ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว : ภาค ๑ กลับคืนสู่ต้นกำเนิด  (อ่าน 6769 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
๑.๒
โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร


                มีคนถามผมว่าเหตุไฉนผมจึงเลือกทำเกษตรกรรมวิธีนี้เมื่อหลายปีก่อน จวบจนบัดนี้ผมยังไม่เคยพูดคุยกับใครถึงเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน อาจจะกล่าวได้ว่า ไม่มีทางที่จะพูดถึงเรื่องราวเช่นนี้ได้ มันเป็นเรื่องสามัญธรรมดา คุณจะพูดอย่างไรล่ะ เป็นอาการช็อก ความกระจ่างที่แวบขึ้นมาฉับพลัน ประสบการณ์เล็ก ๆ เรื่องหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

              ความประจักษ์แจ้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผมอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถสื่อมันออกมาได้อย่างแท้จริงหรอก แต่ถ้าจะพูดก็อาจจะพูดได้ในทำนองที่ว่า "มนุษย์ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีคุณค่าอันเป็นเนื้อแท้ของสิ่งใด ๆ การกระทำทุกชนิดล้วนหาคุณค่าไม่ได้ เป็นความพยายามที่ไร้ความหมาย" นี้อาจจะดูเป็นเรื่องวิตถาร ผิดวิสัย แต่หากว่าคุณจะสื่อมันเป็นคำพูด มันก็เป็นทางเดียวที่จะอธิบายออกมาได้

              "ความคิด" นี้พัฒนาขึ้นอย่างฉับพลันในหัวสมองของผม เมื่อครั้งที่ผมยังหนุ่มมาก ผมไม่รู้ว่าความกระจ่างแจ้งภายในนี้ ที่ว่าความเข้าใจและความพยายามทั้งหมดของมนุษย์เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ และไร้ความหมายนี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าผมตรวจสอบความคิดเหล่านี้ และพยายามที่จะกำจัดมัน ผมไม่อาจจะหาข้อที่จะมาคัดค้านความคิดนี้ได้ มันกลับเป็นความเชื่อที่ลุกโชติช่วงในตัวผม

              ความเชื่อโดยทั่วไปมักจะเป็นไปในทำนองว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะวิเศษยิ่งกว่าเชาว์ปัญญาของมนุษย์ (human intelligence) มนุษย์เป็นนฤมิตกรรมของคุณค่าอันพิเศษ ทั้งความสำเร็จและประดิษฐกรรมของมนุษย์ ซึ่งสะท้อนอยู่ในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ นี้เป็นความเชื่อโดยสามัญทั่วไป และเนื่องจากสิ่งที่ผมคิดนั้นเป็นการปฏิเสธความเชื่อดังกล่าว ผมจึงไม่สามารถจะสื่อสารทัศนะของผมกับใครได้ ในที่สุดผมตัดสินใจที่จะทำให้ความคิดของผมปรากฏเป็นรูปธรรม ด้วยการนำมาปฏิบัติ และเพื่อจะได้ตัดสินว่าความเข้าใจของผมนั้นถูกหรือผิดกันแน่ การใช้ชีวิตในการทำเกษตรกรรม ปลูกข้าวและธัญพืชฤดูหนาว นี้คือแนวทางที่ผมเลือก

              แล้วประสบการณที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมล่ะ คืออะไรกัน?

              เมื่อ ๔๐ ปีก่อน ตอนผมอายุ ๒๕ ปี ผมทำงานอยู่ในกรมศุลกากรแห่งเมืองโยโกฮาม่า ในแผนกวิจัยพืช งานหลักของผมคือการตรวจสอบหาแหล่งที่เป็นพาหะของโรคพืชจากพันธุไม้ต่าง ๆ ที่จะนำเข้าและส่งออก ผมโชคดีที่มีเวลาว่างมาก ในช่วงนั้นจึงมักจะหมกตัวอยู่ในห้องวิจัยทดลอง ทำการทดลองเกี่ยวกับพยาธิสภาพของพืช ซึ่งเป็นสิ่งทีผมมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ สถานีวิจัยนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะยามาเตะ และถ้ามองจากหน้าผาลงไปก็จะแลเห็นท่าเรือโยโกฮาม่า ตรงข้ามกับตัวอาคารเป็นโบสถ์คาธอลิค และทางด้านตะวันออกเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสตรี สถานที่แห่งนี้มีความสงบเงียบมาก เป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการทำวิจัย

              นักวิจัยด้านพยาธิวิทยา (pathology) ในสถานีวิจัยแห่งนี้คือคุณเออิชิ คุโรซาว่า ผมศึกษาพยาธิวิทยาเกี่ยวกับพืชจากคุณมาโคโตะ โอเคร่า ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยเกษตรกรรมแห่งกิฟุ และรับการอบรมจากคุณซูฮิโกะ อิกาตะที่สถานีวิจัยทางเกษตรกรรมแห่งจังหวัดโอคายาม่า

              ผมโชคดีมากที่เป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์คุโรซาว่า แม้ว่าท่านจะไม่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางนักในวงวิชาการ แต่ท่านก็เป็นผู้ที่แยกเชิ้อราที่ก่อให้เกิดโรคบาคานาเอะ* ในต้นข้าวเจ้า และเลี้ยงด้วยวิธีการเพาะเชื้อ ท่านเป็นบุคคลแรกที่สกัดฮอร์โมนเพิ่มการเจริญเติบโตในพืชชื่อจิบเบเรลลิน (gibberellin)** จากการเพาะเลี้ยงเชื้อราชนิดนี้ เมื่อข้าวกล้าดูดซึมฮอร์โมนนี้เข้าไปเพียงจำนวนเล็กน้อย จะมีผลประหลาดคือทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตสูงผิดปกติ แต่เมื่อให้ฮอร์โมนในปริมาณที่มากกว่าปกติ มันกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม คือทำให้ข้าวเจริญเติบโตช้าลง ในญี่ปุ่นไม่มีใครสนใจการค้นพบนี้ แต่ในต่างประเทศเรื่องนี้กลับเป็นประเด็นที่คนให้ความสนใจในการทดลองวิจัยอย่างมาก และหลังจากนั้นไม่นานชาวอเมริกันก็ใช้ประโยชน์จากจิบเบเรลลินในการพัฒนาองุ่นที่ไม่มีเมล็ด

              ผมนับถือคุณคุโรซาว่าเหมือนกับพ่อแท้ ๆ ของผม และอาศัยการแนะนำของท่าน ผมได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์แบบแยกส่วน และทุ่มเทเวลาให้กับการวิจัยหาสาเหตุของโรคเน่าในลำต้น กิ่งก้าน และผลของส้มในอเมริกาและในญี่ปุ่น

              ผมเฝ้าสังเกตการเจริญเติบโตของเชื้อราผ่านกล้องจุลทรรศน์ และเห็นว่าการนำเอาชนิดพันธุ์ของเชื้อราที่ต่างกันมาผสมพันธุ์กัน จะทำให้เกิดพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคแตกต่างกัน ผมเพลิดเพลินอยู่กับงานของผม งานของผมนี้ต้องการความจดจ่อที่ต่อเนื่องมาก ทำให้มีบางครั้งที่ผมลืมตัวไปเลยในขณะทำงานอยู่ในห้องทดลอง

              ในขณะเดียวกันนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งวัยหนุ่มที่มีจิตใจคึกคะนอง ผมไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดอยู่แต่ในห้องทดลอง คงไม่มีที่ใดที่น่าเดินเล่นหาความเพลิดเพลินยิ่งไปกว่าบริเวณท่าเรือของเมืองโยโกฮาม่า และในช่วงเวลานั้นเองเหตุการณ์ฉากหนึ่งก็ได้เกิดขึ้น ขณะที่ผมกำลังเดินทอดน่องไปตามบริเวณท่าจอดเรือ พร้อมด้วยกล้องถ่ายรูปในมือ

             ฉับพลันนั้นผมก็เหลือบไปพบหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง ผมคิดว่าเธอจะทำให้องค์ประกอบของภาพถ่ายนั้นวิเศษมาก จึงเข้าไปขอถ่ายรูปเธอ ผมพาเธอขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือที่จอดทอดสมออยู่บริเวณนั้น จัดท่าให้เธอหันไปทางโน้นที ทางนี้ที และถ่ายรูปเธอไว้มากมายหลายท่า เธอขอให้ผมส่งรูปไปในเธอด้วย เมื่อผมถามว่าจะให้ส่งไปที่ไหน เธอเพียงแต่บอกว่า "ที่โอฟุนา" และก็จากไปโดยไม่ได้บอกชื่อของเธอ

              หลังจากที่ผมล้างอัดรูปเสร็จ ผมก็นำรูปของเธอมาให้เพื่อนดูและถามเพื่อนว่ารู้จักเธอหรือไม่ เพื่อนดูรูปแล้วก็บอกว่า "เธอคือ ไมเอโกะ ทาคามิเนะ ดาราภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง" ผมรีบส่งรูป ๑๐ ใบไปให้เธอที่เมืองโอฟุนา หลังจากนั้นไม่นานรูปที่ผมส่งไปถูกส่งกลับมาทางไปรษณีย์ที่จ่าหน้าซองด้วยลายมือเขียน แต่มีอยู่รูปหนึ่งหายไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในเวลาต่อมา ผมก็พบว่ารูปที่หายไปเป็นรูปที่ถ่ายระยะใกล้จนสามารถแลเห็นริ้วรอยย่นบางแห่งบนใบหน้าของเธอ อย่างไรก็ตามผมก็รู้สึกดีใจที่ได้แลเห็นแวบหนึ่งในความงามของสตรี

              ผมมักจะไปที่โรงเต้นรำบริเวณนันคินไกอยู่เสมอ แม้ว่าจะรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง ครั้งหนึ่งผมพบกับนักร้องชื่อดังคนหนึ่งคือ คุณโนริโกะ อาวาย่า ผมเคยไปขอเต้นรำกับเธอ ผมไม่มีวันลืมความรู้สึกจากการเต้นรำครั้งนั้นได้เลย เพราะว่าร่างของผมถูกโอบอยู่ด้วยร่างกายอันมหึมาของเธอ ที่แม้แต่แขนของผมก็ไม่สามารถโอบได้รอบเอวของเธอด้วยซ้ำ

              จะอย่างไรก็ตาม ผมก็เป็นคนหนุ่มที่ยุ่งเหยิงไปด้วยธุระการงาน แต่ก็โชคดีมากในเวลาเดียวกัน ผมใช้เวลาวัน ๆ อยู่กับความน่าตื่นตาตื่นใจในโลกของธรรมชาติที่มองเห็นผ่านเลนส์กล้องจุลทรรศน ถูกสะกดด้วยความรู้สึกว่าไฉนโลกอันกระจิริดจึงช่างละม้ายเหมือนโลกแห่งจักรวาลอันไร้ขอบเขต ในยามเย็นไม่ว่าจะตกอยู่ในห้วงรักหรือไม่ก็ตาม ผมมักจะออกเที่ยวหาความเพลิดเพลินให้กับตัวเองเสมอ ผมคิดว่าชีวิตที่ไร้เป้าหมายเช่นนี้ บวกกับความอ่อนล้าจากการตรากตรำกับงานมากเกินไป ทำให้ผมเป็นลมล้มฟุบลงไปในห้องทดลอง จากการวินิจฉัยพบว่าผมเป็นโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน ผมถูกจัดให้นอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องพิเศษบนชั้นสูงสุดในโรงพยาบาลตำรวจ

              ขณะนั้นเป็นฤดูหนาว ลมได้พัดหอบเอาละอองหิมะเข้ามาในห้องผ่านทางช่องหน้าต่างที่กระจกแตก ร่างกายภายใต้ผ้าห่มนั้นอบอุ่น แต่ใบหน้าของผมเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง นางพยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิชั่วครู่แล้วก็กลับออกไป

              เนื่องจากเป็นห้องพิเศษ จึงไม่ค่อยมีใครโผล่เข้ามาดู ผมรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่ในความหนาวเย็นอันขมขื่น และในทันใดก็หลุดเข้าไปยังโลกแห่งความอ้างว้างโดดเดี่ยว ผมพบว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับความกลัวตาย เมื่อผมมาหวนคิดถึงมันในขณะนี้ ผมพบว่ามันเป็นความกลัวที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ แต่ในขณะนั้นมันเป็นเรื่องจริงจังสำหรับผมมาก

              ในที่สุดผมก็ออกจากโรงพยาบาล แต่ผมไม่อาจดึงตัวเองออกจากความรู้สึกหดหู่ใจได้เลย ที่ผ่านมาความมั่นใจของผมเกิดจากอะไรกันหนอ ผมไม่เคยแยแสใส่ใจ มีแต่ความพึงพอใจ แต่อะไรคือธรรมชาติของความพึงพอใจนั้นล่ะ ผมปวดร้าวทรมานอยู่กับความสงสัยเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตและความตาย ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย ทั้งไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานด้วย ในยามค่ำคืน ผมจะเดินเตร็ดเตร่ไปตามเชิงผาและริมอ่าว ความวิตกกังวลยังคงเกาะกุมจิตใจของผมอยู่ไม่เสื่อมคลาย

              คืนหนึ่งขณะที่เดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย ผมก็ทรุดกายลงด้วยความเหนื่อยอ่อนบนเนินเขาเหนืออ่าว ในที่สุดก็เอนหลังพิงกับไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผมนอนอยู่ที่นั่นในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่นจนรุ่งสาง ผมยังจำได้ดีว่าเช้าวันนั้นเป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ในอาการสะลึมสะลือผมแลเห็นแสงสว่างค่อย ๆ เรืองรองขึ้นทีละน้อยที่ริมอ่าว ในขณะที่ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นจากทะเล เมื่อลมอ่อน ๆ โบกพัดมาจากหุบผาเบื้องล่าง หมอกยามเช้าก็พลันสลายตัวไป
              ในทันใดนั้น นกกระสากลางคืนก็ปรากฏกายขึ้น ส่งเสียงร้องแหลม และบินลับจากสายตาไปผมสามารถได้ยินเสียงกระพือปีกของมัน ในชั่วขณะนั้นเอง หมอกมัวแห่งความขุ่นข้องสับสนและความลังเลสงสัยของผมก็ปลาสนาการไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยยึดถืออย่างเหนียวแน่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยเชื่อมั่นเป็นปกติวิสัยล้วนสลายไปกับสายลม ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจเรื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมา ผมถึงกับหลุดคำพูดออกมาโดยไม่ได้คิดมาก่อนว่า
             "ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลยหนอ...."
               ผมรู้สึกขึ้นมาว่าผมไม่ได้เข้าใจอะไรเลย***

              ผมแลเห็นได้ว่าบัญญัติ (concepts) ทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยยึดถือ ความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับความมีอยู่ โดยตัวมันเอง ล้วนเป็นโครงอันว่างเปล่า จิตใจของผมโปร่งเบา และใสกระจ่าง ผมกระโดดโลดเต้นด้วยความร่าเริง ผมได้ยินเสียงนกเล็ก ๆ ร้องจุ๊กจิ๊กอยู่ในพุ่มไม้ และแลเห็นเกลียวคลื่นสะท้อนประกายแสงอรุณอยู่ลิบ ๆ ใบไม้พลิ้วทอประกายเขียวเลื่อมพราย ผมรู้ดีกว่านี่คือสรวงสวรรค์อันแท้จริงบนพื้นพิภพ ความปวดร้าวทรมานใจทั้งหลายแหล่ที่เกาะกุมใจผมล้วนแต่ปลาศนาการไปดุจความฝันและมายาภาพ และสิ่งหนึ่งที่เราอาจเรียกมันว่า "ธรรมชาติที่แท้" ก็ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างเปิดเผย

              ผมคิดว่าคงจะพูดได้ว่า นับแต่ประสบการณ์ในเช้าวันนั้นแล้ว ชีวิตของผมได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

              แม้จะมีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมก็ยังคงเป็นคนบ๊อง ๆ เมื่อเทียบกับคนอื่น และนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยจากเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน มองจากภายนอกคงจะไม่มีใครที่ดูราบเรียบไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเช่นผม และไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผม แต่ความมั่นใจที่ผมได้รู้สิ่งนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยนับจากเวลานั้น ผมได้ใช้เวลา ๓๐-๔๐ ปีในการทดสอบว่าผมเข้าใจผิดหรือไม่ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมสามารถหาหลักฐานมาหักล้างความเชื่อมั่นนั้นได้ ซึ่งได้แสดงออกด้วยการที่ผมดำเนินชีวิตเช่นนี้มา

              ความประจักษ์แจ้งนี้ในตัวมันเองเป็นสิ่งมีคุณค่ามาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมผูกติดอยู่กับคุณค่าพิเศษอะไรอยู่ ผมยังเป็นคนธรรมดา ๆ จะพูดว่าเหมือนอีกาแก่ตัวหนึ่งก็คงได้ สำหรับคนที่สังเกตอยู่ห่าง ๆ ผมอาจจะดูเหมือนคนอ่อนน้อมถ่อมตน หรือไม่ก็คงหยิ่งยโสจองหองก็ได้ ผมเตือนหนุ่มสาวที่อยู่ในไร่นาของผมเสมอว่า อย่าพยายามเลียนแบบผม และผมก็โกรธจริง ๆ ด้วยถ้ามีใครไม่ใส่ใจในคำแนะนำของผม ดังที่ผมต้องการคือให้เขาทั้งหลายอยู่กับธรรมชาติและใช้ชีวิตกับงานการประจำวัน ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวผมหรอก แต่สิ่งที่ผมแลเห็นต่างหากที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง


 

--------------------------------------------------------------------------------

*เป็นโรคข้าวชนิดหนึ่งเกิดจากเชื้อราชื่อ Glbberella Fujikuroi wol ลักษณะเด่นคือปล้องของต้นข้าวที่เป็นโรคนี้จะยืดยาวกว่าต้นที่ไม่ได้เป็นโรค ไทยเรียกว่าโรคถอดฝักดาบ : ผู้แปล

**เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งซึ่งพบมากในส่วนที่กำลังเจริญเติบโต เช่น ในเมล็ดอ่อน ยอดอ่อนและปลายราก มีผลในการกระตุ้นความเจริญเติบโตของพืช เป็นฮอร์โมนที่พบทั้งในพืชชั้นสูงและพืชชั้นต่ำ : ผู้แปล

*** "การไม่เข้าใจอะไรเลย" ในความหมายนี้ คือการตระหนักถึงความไม่สมบูรณ์ของความรู้ในระดับพุทธิปัญญา (lntellectual knowledge)

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
๑.๓
กลับสู่ชนบท


                วันรุ่งขึ้นที่ ๑๖ พฤษภาคม ผมกลับไปยังที่ทำงานและประกาศลาออกจากงานในทันที ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานของผมต่างพากันประหลาดใจและไม่อาจเข้าใจการกระทำเช่นนี้ได้ พวกเขาจัดงานเลี้ยงอำลาให้ผมในภัตตาคารเหนือท่าจอดเรือ แต่บรรยากาศออกจะพิกลอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้แต่ไหนแต่ไรมาเคยเป็นคนเข้ากับใครต่อใครได้อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูเหมือนจะไม่เคยรู้สึกไม่พอใจงานที่ตนทำ ในทางตรงกันข้าม เขาได้ทุ่มเทให้กับงานวิจัยด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมด แต่จู่ ๆ ก็ประกาศลาออกจากงานในทันทีทันใด ทั้งผมยังหัวเราะอย่างมีความสุขอีกด้วย

              ตอนนั้นผมกล่าวกับทุกคนว่า
             "ฝั่งนี้คือท่าจอดเรือ และฝั่งโน้นก็คือสะพานจอดเรือที่ ๔ หากคุณคิดว่าชีวิตอยู่ฝั่งนี้ ความตายก็จะอยู่ฝั่งโน้น หากคุณต้องการกำจัดความคิดเกี่ยวกับความตาย คุณก็ต้องกำจัดความคิดที่ว่ามีชีวิตอยู่ฝั่งนี้ออกไปด้วย เพราะชีวิตและความตายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
              เมื่อผมกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา ทุกคนก็ยิ่งพากันเป็นห่วงผมมากขึ้น
             "เขาพูดอะไรน่ะ เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ" พวกเขาคงต้องคิดเช่นนี้ พวกเขาพากันมองดูผมด้วยใบหน้าสลด มีผมเพียงคนเดียวที่เดินอย่างกระฉับกระเฉงด้วยท่าทีร่าเริงสบายใจ

              ในเวลานั้น เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของผมมีความวิตกกังวลห่วงใยผมมาก และแนะนำให้ผมไปพักผ่อนเงียบ ๆ สักระยะที่ฝั่งทะเลโบโซ ผมก็เลยไป ตอนนั้นผมไปทุกที่ที่มีคนแนะนำให้ไป ผมขึ้นรถประจำทางไปเป็นระยะทางหลายไมล์ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง แลดูท้องนาแปลงสี่เหลี่ยมเหมือนตาหมากรุกและหมู่บ้านเล็ก ๆ ตามเส้นทางถนนหลวง เมื่อรถจอดที่สถานีหนึ่งผมแลเห็นป้ายเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง อ่านได้ความว่า "เมืองในฝัน" ผมรีบลงจากรถและก็ออกเดินหาสถานที่นั้น

              ผมพบโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ขณะที่ปีนขึ้นทางหน้าผาผมก็พบสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามอย่างยิ่ง ผมพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น และใช้เวลาเป็นวัน ๆ หมดกับการเอนกายเคลิ้มหลับอยู่ในพงหญ้าสูงซึ่งมองลงไปแลเห็นทะเล อาจจะเป็นเวลาหลายวัน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือน ที่ผมอยู่ที่นั่น ผมไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เอาเป็นว่าผมได้พักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ความร่าเริงเบิกบานของผมก็ค่อย ๆ อาจคลายลง ผมเพิ่งจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น คุณอาจจะพูดว่า ในที่สุดผมก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

              ผมกลับไปโตเกียว และพักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ใช้เวลาให้หมดไปวัน ๆ กับการเตร็ดเตร่อยู่ในสวนสาธารณะ พูดคุยกับคนบนท้องถนน ไปนอนที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง เพื่อนผมเป็นห่วงมากและแวะมาดูว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง เขาถามว่า
           "นี่คุณไม่ได้หลงอยู่ในโลกของความสนุกหรือโลกแห่งมายาอะไรสักอย่างหรือ"
           "ไม่" ผมตอบ "คุณต่างหากเล่าที่อยู่ในโลกของความฝัน"
             เราทั้งคู่ต่างคิดว่า "ฉันถูกและคุณต่างหากที่อยู่ในโลกของความฝัน"
             เมื่อเพื่อนบอกอำลา ผมก็ตอบเขาในทำนองนี้ว่า
            "อย่าพูดว่าลาก่อน การจากก็คือการจาก"
              ดูเหมือนเพื่อนจะรู้สึกหมดหวังในตัวผม

              ผมเดินทางออกจากโตเกียวผ่านมณฑลคันไซ* และไปจนถึงใต้สุดที่กิวชิวผมรู้สึกเพลิดเพลินกับการเร่ร่อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเหมือนกับสายลม ผมเที่ยวได้ท้าทายใครต่อใครถึงความเชื่อมั่นของตนเองที่ว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไร้ความหมาย และปราศจากคุณค่า และสรรพสิ่งกลับคืนสู่ความว่าง

              แต่นี่อาจจะมากเกินไป หรือน้อยเกินไป สำหรับโลกทุกวันนี้ที่จะเข้าใจ ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีวิธีที่จะสื่อสาร ผมคิดแต่เพียงว่าความคิดเกี่ยวกับความไร้ประโยชน์นี้ เป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อโลกมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกปัจจุบันที่กำลังเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว ผมตั้งใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศเพื่อประกาศถึงความเชื่อนี้ แต่ผลลัพธ์ก็คือไม่ว่าที่ไหนที่ผมไป ผมไม่เคยได้รับการใส่ใจจากผู้คน เพราะพวกเขาคิดว่าผมเป็นคนไม่เต็มเต็ง ผมจึงตัดสินใจกลับไปบ้านนาของพ่อในชนบท

              พ่อผมทำสวนส้มอยู่ในตอนนั้น ผมย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในกระท่อมบนภูเขาและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่นัน ผมคิดว่าถ้าผมเป็นเกษตรกรอยู่ที่นี่ ผมก็จะสามารถทำให้ความจริงที่ผมได้ค้นพบเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง ดังนั้นอาจจะทำให้สัจจะที่ผมค้นพบเป็นที่ยอมรับได้ การปฏิบัติตามความเชื่อนี้ จะไม่เป็นวิธีที่ดีกว่าการอธิบายด้วยคำพูดเป็นร้อย ๆ ครั้งละหรือ เกษตรกรรมแบบ "ไม่กระทำ"** เริ่มต้นขึ้นบนฐานของความคิดนี้ ขณะนั้นเป็นปีที่ ๑๓ ของรัชกาลปัจจุบันซึ่งตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๘๑

              ผมปักหลักอยู่ที่นั่นและทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งพ่อวางมือมอบให้ผมดูแลสวนส้มที่ให้ผลดีมากสวนนั้น พ่อได้ตัดแต่งกิ่งส้มให้เป็นพุ่มคล้ายรูปถ้วยสาเก เพื่อให้การเก็บผลส้มทำได้ง่าย เมื่อผมปล่อยทิ้งไว้ในสภาพนั้นผลก็คือ กิ่งก้านของต้นส้มแตกแขนงซ้อนไขว้กันไปมาอย่างไม่มีระเบียบ แมลงก็รวมกันเข้ามาทำลาย และในที่สุดสวนส้มขนัดนั้นก็เฉาตายไปในเวลาไม่นานนัก

              ความเชื่อของผมคือพืชพันธุ์ไม้ทั้งหลายจะเติบโตของมันเอง และไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าไปแทรกแซงการเจริญเติบโตของมัน ผมได้ทำตามความเชื่อที่ แต่ผมก็พบว่าหากเรานำเอาความคิดนี้มาปฏิบัติในทันทีทันใด ย่อมจะประสบความล้มเหลว เพราะนี่เป็นการปล่อยปละละเลย ไม่รับผิดขอบ ไม่ใช่เกษตรกรรมธรรมชาติ

              พ่อผมตกอกตกใจมากกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ท่านบอกว่าผมต้องปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ และให้หางานในเมืองทำไปพลาง ๆ ก่อน จนกว่าสติสัมปชัญญะจะกลับคืนมา จึงค่อยกลับบ้าน ในเวลานั้นพ่อผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน และแลเห็นว่าชาวบ้านคงจะเข้ากับลูกชายไม่เต็มเต็มของท่านได้ยาก เห็นได้ชัดว่าผมเป็นพวกแผลง ๆ ที่ไม่สามารถเข้ากับผู้คนได้ อย่างการแยกตัวไปอยู่คนเดียวที่หลังเขา ยิ่งกว่านั้น ผมไม่ชอบการเป็นทหาร และในระหว่างนั้นสงครามกำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ผมจึงตัดสินใจหางานทำตามความประสงค์ของพ่ออย่างว่าง่าย ในเวลานั้นผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคยังมีอยู่น้อย สถานีทดลองในจังหวัดโคชิได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับตัวผม จึงเสนอให้ผมมารับตำแหน่งหัวหน้านักวิจัยทางด้านควบคุมโรคพืชและแมลง ผมจึงตอบสนองความกรุณาของจังหวัดโคชิด้วยการทำงานอยู่ที่นั่นนานเกือบ ๘ ปี ในสถานีทดลองแห่งนี้ ผมยังเป็นทีปรึกษาของแผนกเกษตรกรรมวิทยาศาสตร์อีกด้วย นอกจากนี้ผมยังได้ทุ่มเทให้กับการวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารในระหว่างสงคราม ในระหว่าง ๘ ปีนั้น ผมครุ่นคิดคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรรมวิทยาศาสตร์และเกษตรกรรมธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา เกษตรกรรมเคมีซึ่งอาศัยสติปัญญาของมนุษย์ มีกิตติศัพท์ในความเหนือกว่า คำถามที่ติดอยู่ในใจของผมตลอดเวลาก็คือ เกษตรกรรมธรรมชาติและสามารถยืนผงาดอย่างทัดเทียมกับวิทยาศาสตร์แผนใหม่ได้หรือไม่

              เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ผมก็รู้สึกเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง และเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นงานเกษตรที่นั่นใหม่

 

--------------------------------------------------------------------------------

* โอซาก้า โกเบ เกียวโต
** โดยคำพูดนี้ ฟูกูโอกะต้องการอธิบายถึงความง่ายโดยเปรียบเทียบกับวิธีอื่น การทำเกษตรกรรมวิธีนี้ต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะในฤดูเก็บเกี่ยวแต่ก็น้อยกว่าวิธีแบบอื่น ว่าสรรพสิ่งควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน


" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

๑.๔

เกษตรกรรมแบบไม่กระทำ


                ผมใช้ชีวิตอยู่ในไร่นาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี โดยติดต่อกับผู้คนและโลกภายนอกชุมชนที่ผมอยู่อาศัยน้อยมาก ในระหว่างหลายปีนั้น ผมมุ่งมั่นกับวิธีการทำการเกษตรที่เรียกว่า "ไม่กระทำ" อย่างจริงจัง

              ตามปกติเมื่อเราคิดที่จะพัฒนาวิธีการอะไรสักอย่าง เรามักจะเริ่มต้นด้วยคำถามว่า "ลองวิธีนี้ดีไหม" หรือ "ลองวิธีนั้นดีไหม" การเริ่มต้นเช่นนี้จะทำให้เรามีเทคนิควิธีการที่หลากหลาย จากวิธีหนึ่งไปสู่อีกวิธีหนึ่ง นี่คือเกษตรกรรมแผนใหม่ ผลก็คือมักจะทำให้เกษตรกรมีเรื่องที่ต้องทำมากขึ้น

              ผมทำตรงกันข้าม สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือ การทำเกษตรด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติ* และน่าพึงพอใจ ซึ่งส่งผลให้งานง่ายขึ้นยิ่งกว่าหนักขึ้น วิธีคิดของผมก็คือ "ลองไม่ทำสิ่งนี้ดูซิ ลองไม่ทำสิ่งนั้นดูซิ" ผมได้มาถึงข้อยุติที่ว่า ไม่จำเป็นต้องไถพรวนดิน ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ไม่จำเป็นต้องทำปุ๋ยอินทรีย์ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง เมื่อคุณปฏิบัติจริง ๆ ดู คุณจะพบว่ามีวิธีการทางเกษตรกรรมไม่กี่อย่างเท่านั้นที่มีความจำเป็น

              เหตุผลที่เทคนิคใหม่ ๆ ของมนุษย์ดูจะมีความจำเป็น ก็เพราะว่าธรรมชาติได้สูญเสียความสมดุลไปมากแล้วจากเทคนิคทั้งหลายก่อนหน้านั้น จนทำให้ต้องพึ่งพิงและขึ้นอยู่กับเทคนิคพวกนั้น

              เหตุผลข้อนี้ไม่เพียงแต่ใช้ได้กับเกษตรกรรมเท่านั้น แต่รวมถึงแง่มุมอื่น ๆ ของสังคมมนุษย์ด้วย แพทย์และยากลายเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อคนเราก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เจ็บป่วยขึ้นมา การศึกษาในระบบโรงเรียนไม่มีคุณค่าที่แท้จริงแต่กลายเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อคนเราสร้างเงื่อนไขให้คนต้องเป็นผู้ "มีการศึกษา" ขึ้นมา

              ก่อนที่สงครามโลกจะสิ้นสุด ตอนนั้นผมไปทดลองกับสวนส้มของพ่อด้วยวิธีที่ผมคิดในตอนนั้นว่า คือ เกษตรกรรมธรรมชาติ ผมไม่ตัดแต่งกิ่งของต้นส้มอย่างที่พ่อเคยทำ และปล่อยให้สวนส้มทั้งขนัดนั้นเติบโตของมันไปตามลำพัง ผลปรากฏว่ากิ่งก้านที่งอกขึ้นใหม่ของต้นส้ม ซ้อนก่ายกันไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ ทั้งแมลงก็ยังพากันมารุมกิน จนในที่สุดสวนส้มเกือบ ๒ เอเคอร์ (๕ ไร่)ก็เหี่ยวเฉา และล้มตายไปหมด จากเวลานั้นเป็นต้นมาคำถามเกิดขึ้นในใจผมตลอดว่า "อะไรคือแบบแผนของธรรมชาติ"

              กว่าที่จะได้คำตอบ ผมได้ทำให้ต้นไม้ต้องเหี่ยวตายไปอีกราว ๔๐๐ ต้น ในที่สุดผมคิดว่าผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า "นี่คือแบบแผนของธรรมชาติ" เมื่อพืชพันธุ์ไม้ถูกทำให้ผิดจากธรรมชาติดั้งเดิมของมันไปแล้ว การตัดแต่งกิ่งใบ และการกำจัดแมลงศัตรูพืชก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกันสังคมมนุษย์ที่ชีวิตแยกขาดออกจากธรรมชาติ การศึกษาในโรงเรียนก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น ในธรรมชาติการศึกษาด้วยระบบโรงเรียนเป็นสิ่งที่ไม่อาจใช้งานได้จริง

              ในการเลี้ยงดูลูก พ่อแม่จำนวนมากได้กระทำความผิดพลาด เช่นเดียวกับที่ผมได้ทำต่อสวนส้มในครั้งแรกนั้น ยกตัวอย่างเช่น การสอนดนตรีให้กับเด็กเป็นสิ่งไม่จำเป็นดุจเดียวกับการตัดแต่งกิ่งใบของพันธุ์ไม้ หูของเด็กสามารถรับรู้เสียงดนตรีอยู่แล้ว เสียงพึมพำของสายน้ำ เสียงกบเขียดระงมอยู่ริมส่งน้ำ เสียงใบไม้แผ่วพลิ้วอยู่ในป่า เสียงของธรรมชาติเหล่านี้คือเสียงดนตรี เป็นดนตรีที่แท้ แต่เมื่อมีเสียงรบกวนมากมายที่เข้ามาก่อกวนโสตประสาท เด็ก ๆ จะสูญเสียความสามารถในการรับรู้ดนตรีที่ตรงและบริสุทธิ์เช่นนี้ไป ถ้าหากเราปล่อยไปเรื่อย ๆ เด็ก ๆ จะไม่สามารถได้ยินเสียงร้องของนกหรือเสียงลมพัดเป็นเสียงเพลงได้เลย และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการศึกษาเกี่ยวกับดนตรี จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก

              เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้โสตประสาทบริสุทธิ์ และใสกระจ่าง แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเล่นไวโอลินหรือเปียโนด้วยทำนองที่ทันสมัยได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่ามีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปอบรมให้เด็กมีความสามารถในการฟังดนตรี หรือร้องเพลง ต่อเมื่อหัวใจเต็มเปี่ยมด้วยเสียงเพลงเท่านั้น จึงจะกล่าวได้ว่าเด็กคนนั้นมีพรสวรรค์ในทางดนตรี

              เกือบทุกคนล้วนคิดว่า "ธรรมชาติ" เป็นสิ่งที่ดี แต่มีน้อยคนที่สามารถรับรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นธรรมชาติและไม่เป็นธรรมชาติ หากว่าตาอ่อนของไม้ผลสักตาหนึ่งถูกตัดออกด้วยกรรไกร นั่นอาจเป็นต้นเหตุของความยุ่งยากที่ไม่อาจปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไขได้ เมื่อปลูกพันธุ์ไม้ในรูปแบบเดิมตามธรรมชาติ กิ่งก้านของต้นไม้จะงอกสลับกันอย่างเป็นระเบียบออกมาจากลำต้น ทำให้ใบสามารถได้รับแสงอาทิตย์อย่างทั่วถึง หากว่าระเบียบของธรรมชาตินี้ถูกทำลายไป กิ่งก้านจะงอกออกมาอย่างสบสน และจะซ้อนก่ายกันไปมายุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ และใบที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ก็จะเหี่ยวเฉาหลุดร่วงไป แมลงศัตรูพืชก็จะแพร่ระบาด และถ้าในปีต่อไปต้นไม้ไม่ได้ถูกตัดแต่งกิ่งใบอีกกิ่งก้านของต้นไม้ก็จะยิ่งเหี่ยวเฉาเพิ่มมากขึ้น

              การเข้าไปแทรกแซงของมนุษย์ก่อให้เกิดสิ่งที่ผิดพลาดขึ้น และถ้าความเสียหายดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไข จนผลร้ายนั้นสะสมมากเข้า คนเราก็จะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งมวลเพื่อเข้าไปแก้ไขมัน หากการแก้ไขลุล่วงไปด้วยดี พวกเขาก็จะคิดว่าวิธีการเหล่านี้เป็นความสำเร็จอันงดงาม คนเรามักทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็เหมือนกับคนโง่ที่ปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านแล้วทำกระเบื้องบนหลังคาแตก พอฝนตกลงมา เพดานก็เริ่มเปื่อยและปล่อยน้ำฝนรั่วลงมา เขาก็จะรีบปีนขึ้นไปซ่อมหลังคา จากนั้นก็ดีอกดีใจที่เขาได้ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่วิเศษมหัศจรรย์

              นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาคร่ำเคร่งกับการอ่านตำรับตำราทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเป็นการบั่นทอนสายตาของตนและในที่สุดก็สายตาสั้น หากคุณนึกกังขาว่า อะไรหน้าที่ทำให้เขาถึงกับคร่ำเคร่งศึกษาอย่างจริงจังตลอดเวลาเช่นนั้น คำตอบก็คือเขาเป็นนักประดิษฐ์แว่นตาสำหรับคนสายตาสั้น

 

--------------------------------------------------------------------------------

* ทำการเกษตรด้วยวิธีเรียบง่ายที่สุด ด้วยการร่วมมือกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติหรือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ยิ่งกว่าที่จะเอาอย่างวิธีการแบบใหม่ที่มุ่งเพิ่มขยายเทคนิคที่ซับซ้อน ในการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง เพื่อผลได้ของตัวมนุษย์เอง

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

๑.๕

กลับคืนสู่ต้นกำเนิด


                ผมยืนพิงเคียวด้ามยาวในมือ หยุดพักงานในสวนชั่วขณะแล้วทอดสายตาจับจ้องอยู่ที่ภูเขาและหมู่บ้านเบื้องล่าง ผมเฝ้าสงสัยว่าเหตุไฉนปรัชญาของผู้คน จึงได้หมุนเร็วเสียยิ่งกว่าการแปรเปลี่ยนของฤดูกาล

              เส้นทางที่ผมเลือกเดิน หรือการทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับผู้คนส่วนใหญ่นั้น เคยได้รับการกล่าวขวัญถึงในสมัยแรก ๆ ว่า เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ความก้าวหน้าและการพัฒนาอย่างปราศจากความยั้งคิดของวิทยาศาสตร์ แต่ทั้งหมดที่ผมได้กระทำมา ด้วยการออกมาทำเกษตรในชนบท ก็เพียงเพื่อจะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่รู้อะไรเลย เพราะโลกได้หมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามด้วยพลังอันบ้าระห่ำนี่เอง ผมจึงดูเหมือนคนล้าหลัง แต่กระนั้นผมก็ยังเชื่อมั่นว่าหนทางที่ผมเลือกเดินเป็นหนทางที่มีเหตุมีผลอันสมควรมากที่สุดหนทางหนึ่ง

              หลายปีที่ผ่านมานี้ คนที่หันมาสนใจการเกษตรกรรมธรรมชาติได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าขีดจำกัดของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ได้ปรากฏให้เห็นแล้ว ความลังเลสงสัยเริ่มเกิดขึ้น และเวลาสำหรับการกลับมากำหนดคุณค่าใหม่ได้มาถึง ดังที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึและล้าหลัง กลับกลายเป็นความก้าวหน้าที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์แผนใหม่ไปได้อย่างไม่คาดฝัน ทั้งนี้อาจจะดูแปลกประหลาดในตอนแรก แต่สำหรับผม ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย

              ผมได้พูดคุยกับศาสตราจารย์ อินูม่า แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโตเมื่อไม่นานมานี้ว่า เมื่อพันปีที่แล้ว การทำเกษตรกรรมในญี่ปุ่นไม่มีการไถพลิกหน้าดิน จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยโตกูกาว่า เมื่อราว ๓๐๐-๔๐๐ ปีที่ผ่านมา การไถหน้าดินตื้น ๆ ก็ถูกนำเข้ามาใช้ไนญี่ปุ่น การไถดินแบบลึกถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับเกษตรกรรมแบบตะวันตก ผมกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาในอนาคต คนรุ่นต่อไปจะกลับไปหาวิธีทำเกษตรกรรมแบบไม่ไถพลิกหน้าดินอีกครั้งหนึ่ง

              การเพาะปลูกโดยไม่ไถพลิกหน้าดิน ในตอนแรกอาจจะดูเป็นการถอยหลังกลับไปสู่เกษตรกรรมแบบโบราณ แต่หลายปีที่ผ่านมา จากการทดลองในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย และสถานีทดลองการเกษตรทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่า วิธีทำเกษตรกรรมแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด มีประสิทธิภาพ และเป็นวิธีที่ทันสมัยกว่าทุกวิธีในปัจจุบัน แม้ว่าวิธีทำเกษตรกรรมแบบนี้จะปฏิเสธวิทยาศาสตร์แผนใหม่ แต่วิธีการนี้ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของพัฒนาการทางการเกษตรแผนใหม่

              ผมได้เสนอวิธีทำเกษตรแบบหว่านเมล็ดข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวลงไปโดยตรงในดินที่ไม่มีการไถพรวนในวารสารการเกษตรเมื่อประมาณ ๒๐ ปีก่อน จากนั้นเป็นต้นมา ก็มีการนำเนื้อหานี้ไปตีพิมพ์ และออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์อยู่เสมอ เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้กันอย่างกว้างขวาง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก

              มาบัดนี้ เรื่องราวกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง คุณอาจกล่าวว่าตอนนี้เกษตรกรรมธรรมชาติได้กลายเป็นสิ่งน่านิยมอย่างที่สุด นักหนังสือพิมพ์ ศาสตราจารย์ และนักวิจัยทางเทคนิคพากันแห่มาเยี่ยมผมที่ไร่และกระท่อมบนเขา

              แต่ละคนที่มาล้วนมีทัศนะที่แตกต่างกันไป ต่างคนต่างมองจากจุดยืนของตน และให้ความหมายต่อสิ่งที่แลเห็นแตกต่างกัน แล้วก็จากไป บางคนก็บอกว่ามันโบราณ บ้างก็ว่าล้าหลัง บางส่วนก็เห็นว่านี่คือความสำเร็จทางเกษตรกรรมขั้นสูงสุด และบางคนก็เรียกมันเป็นการเบิกทางสู่อนาคต โดยทั่วไปคนมักสนใจแต่เพียงว่าการทำเกษตรแบบนี้เป็นความก้าวหน้าของอนาคตหรือการย้อนกลับไปหาอดีตกันแน่ มีน้อยคนที่จะสามารถจับสาระได้อย่างถูกต้องว่า แท้จริงแล้วเกษตรกรรมธรรมชาติเกิดขึ้นจากศูนย์กลางแห่งพัฒนาการทางการเกษตรที่ไม่ไหลเลื่อน และไม่เปลี่ยนแปลง

              ด้วยเหตุที่ผู้คนแยกตัวออกจากธรรมชาติ เขาจึงหมุนห่างออกจากศูนย์กลางนี้ไหลออกไปทุกที ในขณะเดียวกัน ความปรารถนาในการที่จะกลับคืนสู่ศูนย์กลางดังกล่าวก็ค่อยแสดงตัวขึ้น และความปรารถนาที่จะกลับมาหาธรรมชาติก็เกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าผู้คนยังคงคิดอยู่แค่การแสดงปฏิกิริยาโต้กลับ ด้วยการหมุนไปทางซ้ายทีขวาที โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเหตุปัจจัยอื่น ๆ ผลคือจะเป็นเพียงการเพิ่มพูนกิจกรรมให้เกิดมากขึ้นเท่านั้น จุดที่ไม่เคลื่อนไหวของต้นกำเนิดดั้งเดิม ยังอยู่นอกอาณาจักรแห่งสัมพันธภาพนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นและถูกมองผ่านไป ผมเชื่อว่าแม้ "การกลับสู่ธรรมชาติ" และกิจกรรมที่ต่อต้านมลภาวะ จะเป็นการกระทำที่น่ายกย่องเพียงไรก็ตาม แต่ก็มิได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ตราบใดที่การกระทำนั้น เป็นเพียงการแสดงออกถึงปฏิกิริยาต่อการพัฒนามากเกินไปในสมัยปัจจุบันเท่านั้น

              ธรรมชาติไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้ว่าวิธีการมองดูธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายจากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง แต่ไม่ว่ายุคใด เกษตรกรรมธรรมชาติจะยังคงเป็นต้นกำเนิดของเกษตรกรรมตลอดไป

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
๑.๖
สาเหตุที่เกษตรกรรมธรรมชาติไม่แพร่หลาย


                ในระยะ ๒๐ หรือ ๓๐ ปีที่ผ่านมา วิธีการปลูกข้าวและธัญพืชฤดูหนาวแบบนี้ได้ผ่านการปฏิบัติทดลองในขอบข่ายที่กว้างขวาง ทั้งในด้านภูมิอากาศ และเงื่อนไขทางธรรมชาติ เกือบทุกจังหวัดในญี่ปุ่นได้ทำการทดลองเปรียบเทียบผลผลิตที่ได้จาก "การหว่านเมล็ดโดยตรงลงในดินที่ไม่มีการไถพรวน" และการปลูกข้าว ทั้งข้าวเจ้า ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ด้วยวิธีแบบเดิมคือไถดินยกคันร่อง ผลจากการทดลองทั้งหมดทำให้เห็นชัดว่า เกษตรกรรมธรรมชาติสามารถนำมาใช้การได้อย่างกว้างขวางและทั่วไป

              อาจจะมีผู้ถามว่า ถ้ายังงั้นเหตุใดความจริงในเรื่องนี้จึงไม่เป็นที่ปรากฏหรือแพร่หลายออกไป ผมคิดว่าเหตุผลข้อหนึ่งก็คือ โลกเราในปัจจุบันนี้ไดกลายเป็นโลกของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากเกินไป จนผู้อื่นไม่อาจจะจับสาระของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในฐานะแห่งความเป็นองค์รวมอันสมบูรณ์ของสิ่งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านป้องกันโรคแมลงศัตรูพืชผู้หนึ่งจากศูนย์ทดลองการเกษตรที่จังหวัดโคชิได้มาที่นาและถามผมว่า ทำไมจึงมีเพลี้ยจักจั่นข้าว(rice leaf hopper) น้อยมากในนาของผม ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงเลย จากการสังเกตสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนาข้าว เขาพบว่าความสมดุลระหว่างแมลงชนิดต่าง ๆ และศัตรูตามธรรมชาติของแมลงเหล่านั้น รวมทั้งอัตราการขยายตัวของแมงมุม และอื่น ๆ ทำให้เพลี้ยจักจั่นข้าวในนาของผมมีน้อยกว่าที่พบในแปลงทดลองของศูนย์ ทั้ง ๆ ที่แปลงทดลองดังกล่าว ได้ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงพิษร้ายแรงสารพัดชนิดอย่างนับครั้งไม่ถ้วนด้วยซ้ำ

              ศาสตราจารย์ผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ในขณะที่แมลงศัตรูพืชมีน้อย แต่ศัตรูตามธรรมชาติของแมลงกลับมีอยู่มากมายในนาข้าวของผม ยิ่งกว่าทีมีอยู่ในแปลงทดลองที่ได้พ่นยาปราบศัตรูพืชไว้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้ว่าสภาพเช่นนี้คงอยู่ได้ด้วยความสมดุลตามธรรมชาติที่เกิดจากชุมชนแมลงทีมีอยู่หลากหลายในที่นา เขาได้คำตอบว่า หากวิธีการของผมมีการนำไปปฏิบัติอย่างกว้างขวางแล้ว ปัญหาความเสียหายของพืชผลที่เกิดจากเพลี้ทั้งหลายก็จะสามารถแก้ไขได้ จากนั้นเขาก็รีบกลับขึ้นรถและกลับไปที่โคชิทันที

              แต่ถ้าคุณถามว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความอุดมสมบูรณ์ของดิน และผู้เชี่ยวชาญด้านพืชผลของศูนย์ทดลองนั้นเคยมาที่ไร่นาของผมหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่เลย พวกเขาไม่เคยมา และหากว่าคุณจะพยายามเสนอแนะในที่ประชุมว่าวิธีการเช่นนี้ หรือน่าจะเรียกว่าวิธีที่ปราศจากวิธีการ สมควรจะนำไปทดลองปฏิบัติในระดับกว้างแล้วละก็ ผมเดาได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ของศูนย์ทดลองจะกล่าวว่า "เสียใจครับ มันเร็วเกินไปที่จะทำเช่นนั้น ก่อนอื่นเราต้องทำวิจัยเกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ให้รอบด้านที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ก่อนที่จะมาถึงการอนุมัติขั้นสุดท้าย" และมันต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่จะได้ข้อสรุปออกมา

              สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา ผู้เชี่ยวชาญและนักเทคนิคมากมายจากทั่วประเทศได้มาที่ไร่นาแห่งนี้ มองดูที่นี่จากจุดยืนตามความชำนาญเฉพาะทางของแต่ละคน นักวิจัยเหล่านี้อย่างน้อยก็รู้ดีกว่าวิธีการดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจถ้าเขาไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์น่าทึ่งแต่อย่างไร แต่ปรากฏว่าตลอดเวลา ๕-๖ ปีหลังจากที่ศาสตราจารยจากศูนย์ทดลองการเกษตรผู้นั้นได้แวะมาเยี่ยมดูนาของผมที่นี่ มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากในจังหวัดโคชิ ปีนี้แผนกเกษตรกรรมแห่งมหาวิทยาลัยคินคิได้ตั้งโครงการเกษตรกรรมธรรมชาติขึ้น โดยมีนักศึกษาจากหลายแผนกเข้าร่วมอยู่ในโครงการ และจะมาทำการทดลองปฏิบัติกันที่นี่ วิธีการนี้ดูจะเป็นก้าวอีกก้าวหนึ่งที่เข้ามาใกล้ขึ้น แต่ผมก็มีความรู้สึกว่า ก้าวต่อไปไปอาจกลายเป็นสองก้าวในทิศทางตรงข้ามก็ได้

              ผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปมักให้ความเห็นว่า "ความคิดพื้นฐานของวิธีการเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่หรอก แต่มันจะไม่เป็นการสะดวกขึ้นหรือ ถ้าจะใช้เครื่องจักรมาช่วยในการเก็บเกี่ยว" หรือ "ปริมาณผลผลิตจะไม่เพิ่มมากกว่าหรือ หากจะใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในกรณีเฉพาะ หรือในเวลาที่แน่นอน" มักจะมีผู้ทีพยายามเอาเกษตรกรรมธรรมชาติ และเกษตรกรรมวิทยาศาสตร์มารวมเข้าด้วยกันอยู่เสมอ แต่วิธีคิดเช่นนี้เป็นการคิดที่พลาดจากประเด็นอย่างสิ้นเชิง เกษตรกรที่ก้าวไปสู่การประนีประนอมเช่นนี้ จะไม่สามารถวิพากษ์วิทยาศาสตร์ในระดับรากฐานได้อีกต่อไป

              เกษตรกรธรรมชาติเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และง่ายดาย ทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการกลับสู่ต้นกำเนิดเดิมของการเกษตร การก้าวพลาดออกนอกทางเพียงก้าวเดียวจากจุดตั้งต้นนั้นก็จะพาให้ก้าวผิดทางไปเลย

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
๑.๗
มนุษย์ไม่รู้จักธรรมชาติ


                เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมเกิดความคิดขึ้นว่า ประเด็นของเรื่องนี้คงจะบรรลุผลหากบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ศิลปิน นักปรัชญา นักการศาสนาและทุก ๆ คนที่ทำงานอยู่ในสาขาดังกล่าวจะมารวมกันยังที่นี้ มองออกไปยังทุ่งนาเหล่านี้ และถกเถียงหาข้อสรุปร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ ผมคิดว่าถึงนี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อผู้คนสามารถแลเห็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาของตน

              นักวิทยาศาสตร์คิดว่าเขาสามารถเข้าใจธรรมชาติ นั่นคือฐานะบทบาทที่เขายึดถืออยู่ เพราะเขาเชื่อว่าเขาสามารถเข้าใจธรรมขาติ พวกเขาจึงพากันเข้าไปศึกษาธรรมชาติอย่างเป็นระบบ และใกล้ชิด และนำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ แต่ผมคิดว่าความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติอยู่นอกขอบข่ายแห่งเชาวน์ปัญญาของมนุษย์

              ผมมักพูดกับคนหนุ่มสาว ที่มาอยู่กับผมที่กระท่อมบนเขา เพื่อเรียนรู้งานเกี่ยวกับเกษตรกรรมธรรมชาติว่าใคร ๆ ก็สามารถมองเห็นต้นไม้บนเขาแห่งนี้ เขาสามารถแลเห็นใบเขียวขจีของมัน สามารถแลเห็นต้นข้าว เขาคิดว่าเขารู้ว่าสีเขียวนั้นคืออะไร การสัมผัสกับธรรมชาติทั้งกลางวันกลางคืน บางทีเขาอาจจะคิดว่าเขารู้จักธรรมชาติ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดว่า เขาเริ่มจะเข้าใจธรรมชาติก็แน่ใจได้เลยว่าเขากำลังเดินผิดทางแล้ว

              ทำไมจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจธรรมชาติ สิ่งที่คิดว่าเป็นธรรมชาติเป็นเพียง "ความคิด" เกี่ยวกับธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจิตใจของแต่ละคน ผู้ที่แลเห็นธรรมชาติที่แท้จริงคือเด็กน้อย เขาแลเห็นโดยปราศจากความคิด เป็นการแลเห็นอย่างตรงไปตรงมา และกระจ่างแจ้งแม้ว่า ชื่อของพันธุ์ไม้จะเป็นที่รู้จัก เช่นส้มแมนดารินในตระกูลส้ม ต้นสนในตระกูลไม้สน แต่สิ่งที่แลเห็นก็หาใช่รูปทีแท้จริงของธรรมชาติไม่

              สิ่งที่แลเห็นในลักษณะแยกขาดจากส่วนทั้งหมดของมันไม่ใช่ของแท้

              ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่าง ๆ มาอยู่รวมกันและสังเกตต้นข้าวสักต้น ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคแมลงก็จะแลเห็นแต่โรคที่เกิดจากแมลง ผู้เชี่ยวชาญด้านธาตุอาหารของพืช (plant nutrition) ก็จะสังเกตแต่ความแข็งแรงของต้นข้าว นี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับสภาพการณที่เป็นอยู่ในเวลานี้

              ยกตัวอย่างเช่น ผมพูดกับสุภาพบุรุษที่มาจากสถานีทดลอง ตอนที่เขากำลังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพลี้ยจักจั่นและแมงมุมในนาข้าวของผมว่า "ท่านศาสตราจารย์ครับ เมื่อท่านศึกษาเกี่ยวกับเรื่องแมงมุม ก็เท่ากับท่านสนใจศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยจักจั่นเพียงชนิดเดียวในบรรดาศัตรูทั้งหมดของมัน ปีนี้ประชากรของแมงมุมขยายตัวมาก แต่ปีที่แล้วเป็นคางคก แต่ก่อนหน้านั้นกบจะมีมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น มันมีลักษณะที่หลากหลายนับไม่ถ้วน"

              เป็นไปไม่ได้ที่นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา จะสามารถเข้าใจถึงบทบาทของสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่แน่นอน ภายในระบบความสัมพันธ์ที่อิงอาศัยกันและกันอย่างซับซ้อนละเอียดอ่อนของแมลง มีบางฤดูที่ประชากรของเพลี้ยมีน้อยเพราะมีแมงมุมมาก มีบางครั้งที่ฝนตกมากกบก็จะกินแมงมุม แต่ถ้าหากฝนตกน้อยก็จะไม่มีทั้งเพลี้ยหรือกบเลย

              วิธีควบคุมแมลงโดยละเลยความสัมพันธ์ในบรรดาแมลงด้วยกัน เป็นสิ่งทีไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง การวิจัยเกี่ยวกับแมงมุมและเพลี้ย จะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกบกับแมงมุมด้วย เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ก็จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกบ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแมงมุมและเพลี้ย ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับข้าว และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการชลประทานมาประชุมร่วมกัน

              ยิ่งกว่านั้น ที่นาของผมยังมีแมงมุมที่มีลักษณะแตกต่างกันประมาณ ๔-๕ ชนิด ผมยังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนบ้านคนหนึ่งวิ่งมาหาผมที่บ้านแต่เช้าตรูและถามผมว่าผมเอาตาข่ายไหมหรืออะไรไปคลุมที่นาเอาไว้หรือเปล่า ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ดังนี้ผมจึงรีบเดินรุดไปดูทันที

              เราเพิ่งจะเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จใหม่ ๆ และเพียงชั่วคืนเดียวทุ่งนาที่เหลือเพียงโคนข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว และหญ้าทีเลื้อยอยู่ตามดินก็ถูกคลุมด้วยใยแมงมุมทุกตารางนิ้วดูราวกับใยไหมส่องประกายแวววับเป็นระลอกพริ้วอยู่ในสายหมอกยามเช้า ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

              ความน่าอัศจรรย์ของมันคือ สิ่งที่เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้งเช่นนี้ จะคงอยู่เพียงวันสองวันเท่านั้น หากคุณเข้าไปมองดูใกล้ ๆ ก็จะแลเห็นแมงมุมมากมายอยูในทุก ๆ ตารางนิ้วของทุ่งนา มันอยู่กันอย่างหนาแน่นมากในทุ่งนา จนดูเหมือนจะแทบไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ในระหว่างพวกมัน ในพื้นที่ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ต้องมีแมงมุมอยู่เป็นแสนเป็นล้านตัวทีเดียว ถ้าคุณกลับไปดูที่นาในอีก ๒-๓ วันหลังจากนั้น คุณจะเห็นเส้นใยแมงมุมซึ่งยาวเป็นหลา ๆ ขาดลุ่ยออกสะบัดอยู่ในสายลม โดยมีแมงมุม ๕-๖ ตัวเกาะอยู่ตามเส้นใยเหล่านั้น ดูราวกับปุยของดอกแดนดิเลี่ยน หรือลูกสนที่ปลิวอยู่ในสายลม แมงมุมเหล่านั้นเกาะอยู่กับเส้นใยแต่ละเส้นที่สะบัดขึ้นลงสู่ท้องฟ้าด้วยแรงลม

              ภาพที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้เป็นบทละครแห่งธรรมชาติอันน่าพิศวง เมื่อเห็นเช่นนี้คุณคงเข้าใจว่ากวี และศิลปินก็ควรจะร่วมอยู่ในการประชุมพบปะนี้ด้วยเหมือนกัน

              เมื่อสารเคมีถูกพ่นลงในที่นา สิ่งเหล่านี้จะถูกทำลายไปในพริบตา ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าการใส่ขี้เถ้าลงไปในนา* คงจะไม่เป็นไร ผลที่ออกมาน่าตกใจเพราะว่า ๒-๓ วันหลังจากนั้นปรากฏว่าที่นาทั้งแปลงปราศจากแมงมุมแม้แต่ตัวเดียว ขี้เถ้าทำให้เส้นใยแมงมุมขาดกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่ามีแมงมุมกี่พันกี่หมื่นตัวที่ต้องตกเป็นเหยื่อของขี้เถ้าที่ดูไม่มีพิษสงเพียงกำมือเดียว การใช้ยาฆ่าแมลงไม่เพียงแต่กำจัดเพลี้ยรวมทั้งศัตรูตามธรรมชาติของเพลี้ยไปเท่านั้น ตัวละครแห่งธรรมชาติอันสำคัญเหล่านี้อีกมากมายที่ต้องได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย

              ปรากฏการณ์ของแมงมุมจำนวนมหาศาล ซึ่งปรากฏขึ้นในนาข้าวในฤดูใบไม้ร่วง และราวกับศิลปินที่หลบหายไปในชั่วคืน ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน มันจะมีชีวิตรอดในฤดูหนาวด้วยวิธีใด หรือว่ามันหายไปไหน

              ดังนั้นการใช้สารเคมีจึงไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาของนักกีฏวิทยา หรือผู้ทีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องแมลงเท่านั้น แต่นักปรัชญา นักการศาสนา ศิลปิน และกวีจะต้องเข้ามาช่วยตัดสินด้วยว่าควรอนุญาตให้มีการใช้สารเคมีในการทำเกษตรหรือไม่ และผลที่เกิดขึ้นจำเป็นอย่างไร แม้จากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ด้วย

              ปริมาณผลผลิตของข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวต่อที่ดิน ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) จะได้ในราว ๒๒ บูเชล (๕๙๐.๙ กิโลกรัม) ถ้าเมื่อไรที่เราได้ผลผลิตถึง ๒๙ บูเชล (๗๗๘.๙ กิโลกรัม) ซึ่งเคยได้ในบางครั้ง คุณก็จะไม่สามารถหาผลผลิตที่ไหนทั่วประเทศที่จะสูงไปกว่านี้อีกแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าไม่มีความจำเป็นในการเพาะปลูกด้วยวิธีเช่นนี้ จึงกล่าวได้ว่าเกษตรกรรมธรรมชาติเป็นเรื่องที่สวนทางกับสมมุติฐานของวิทยาศาสตร์แผนใหม่ ใครก็ตามที่มาดูผืนนาแห่งนี้ และยอมรับประจักษ์พยานเหล่านี้ จะต้องรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้นในคำถามที่ว่า มนุษย์รู้จักธรรมชาติหรือไม่ และธรรมชาติอาจรู้จักได้ภายในขอบเขตแห่งความเข้าใจของมนุษย์หรือไม่

              ถ้าจะกล่าวอย่างประชดประชันก็ต้องกล่าวว่า วิทยาศาสตร์ช่วยได้เพียงแค่ทำให้เห็นว่ามนุษย์มีความรู้น้อยเพียงไรเท่านั้น

 

--------------------------------------------------------------------------------

* ฟูกูโอกะทำปุ๋ยหมักจากขี้เถ้าและพวกเศษอาหารเหลือ เขาใส่ปุ๋ยหมักนี้ในสวนครัวเล็ก ๆของเขา

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~