๒. การลบประวัติส่วนตัวทิ้งไปเสีย
พฤหัสบดีที่ ๒๒ ธันวาคม ๑๙๖๐
ดอนฮวนนั่งอยู่บนพื้นข้างประตูบ้าน หันหลังพิงฝา แกพลิกลังใส่นมขึ้นมาแล้วบอกให้ผมนั่งและทำใจให้สบาย ผมเอาบุหรี่ให้แก ผมซื้อบุหรี่มาห่อหนึ่ง ดอนฮวนบอกว่าแกไม่สูบบุหรี่ แต่แกก็รับเอาของกำนัลนั้นไว้ เราคุยกันถึงความหนาวเย็นในทะเลทรายในเวลากลางคืนและเรื่องสัพเพเหระโดยทั่ว ๆไป ในการสนทนา
ผมถามแกว่า ผมมารบกวนกิจวัตรประจำวันของแกหรือเปล่า แกมองผมด้วยใบหน้าบึ้งตึงแล้วพูดว่า แกไม่มีกิจวัตรประจำวัน และดังนั้นผมอาจจะอยู่กับแกตลอดทั้งบ่ายหากว่าผมต้องการ
ผมได้เตรียมตารางแสดงตระกูลและเครือญาติที่ผมต้องการบรรจุข้อความลงไปด้วยความช่วยเหลือของดอนฮวน ผมได้รวบรวมรายการอันยืดยาวเกี่ยวกับลักษณะทางวัฒนธรรมอันเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นของชาวอินเดียนแดงในท้องถิ่นนี้จากหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาชาติวงศ์วิทยาผมต้องการที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ร่วมกับดอนฮวน และกาเครื่องหมายในหัวข้อที่แกคุ้นเคย
ผมเริ่มต้นจากตารางเครือญาติ
"คุณเรียกบิดาของคุณว่าอะไรครับ?" ผมถาม
"ผมก็เรียกแกว่า พ่อ" แกตอบด้วยใบหน้าขึงขัง ผมเริ่มหงุดหงิด แต่ผมต้องถามต่อไปโดยสรุปเอาว่าแกยังไม่เข้าใจ
ผมเอาตารางที่ใช้กรอกข้อความให้แกดู แล้วอธิบายว่า ช่องว่างด้านหนี่งใช้สำหรับบิดา ส่วนอีกด้านหนึ่งใช้สำหรับมารดา ผมให้ตัวอย่างของคำที่ใช้เรียกพ่อและแม่ที่มีในภาษาอังกฤษและภาษาสเปน
ผมคิดว่า ผมน่าจะเริ่มทางฝ่ายมารดาก่อน
"คุณเรียกมารดาของคุณว่าอะไร?"
"ผมก็เรียกแกว่า แม่" แกตอบด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ
"ผมหมายถึงคำอื่น ๆ ที่คุณใช้เรียกบิดามารดาของคุณน่ะ มีบ้างไหม? คุณเรียกแกว่าอะไร?" ผมถาม พยายามอย่างยิ่งที่จะอดทนและสุภาพ
ดอนฮวนเอามือเกาหัวแล้วมองมาทางผมด้วยใบหน้าท่าทางที่แสดงความทึ่ม
"ว้า" แกพูดออกมา " ผมจอดเลยกับคำถามแบบนี้ ขอคิดดูก่อนนะ"
หลังจากที่ทำรีรออยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนแกจะรื้อฟื้นความจำขึ้นมาได้ ผมเตรียมพร้อมที่จะจดลงไป
"เอาละ" แกพูดออกมาราวกับว่ากำลังใช้สมองอย่างหนัก "ผมจะเรียก พ่อ แม่ ด้วยคำ ๆ ไหนอีกล่ะ? ผมก็เรียกแกว่า นี่ พ่อ! นี่ นี่ แม่ ! นะสิ"
ผมหัวเราะออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่อยากหัวเราะ การแสดงหน้าตาของแกน่าขันเสียจริง ๆ และในขณะเช่นนั้นผมเองก็ไม่ทราบเอาเลยว่าแกเป็นตาแก่บ้า ๆ บอ ๆ หรือว่าแกซื่ออย่างบริสุทธิ์ ด้วยความพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ความอดทนเท่าที่มี ผมพยายามอธิบายกับดอนฮวนว่า ข้อความเหล่านี้เป็นคำถามที่จริงจังมาก และการกรอกข้อความลงไปเป็นเรื่องสำคัญสำหรับงานของผม ผมพยายามอธิบายให้แกเข้าใจแนวความคิดเกี่ยวกับวงศ์ญาติและประวัติส่วนตัว
"บิดา มารดา ของคุณมีชื่อเรียกว่าอย่างไร?" ผมถาม
แกมองดูผมด้วยดวงตาที่สดใสและมีเมตตา
"อย่าไปเสียเวลาของคุณในเรื่องไร้สาระ" แกพูดออกมาเบา ๆ แต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยพลัง
ผมพูดไม่ออก มันเหมือนกับว่าช่วงก่อนหน้านี้ คนอีกคนหนึ่งเป็นผู้กล่าวถ้อยคำนั้นออกมา เขาเป็นไอ้คนอินเดียนแดงที่โง่เซอะ เกาหัวตัวเองอยู่แกรก ๆ แต่ในขณะเดี๋ยวเดียวต่อมา เขากลับเปลี่ยนบทบาท และผมกลับกลายเป็นไอ้โง่ ดอนฮวนจ้องมองมาทางผมด้วยแววตาที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ ไม่ใช่แววตาที่หยิ่งผยองหรือท้าทาย หรือเกลียดชัง หรือเหยียดหยาม นัยน์ตาของแกมีแววอ่อนโยน แจ่มใสและแทงหยั่งลึกลงไป
"ผมไม่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตัวเอง" แกพูดหลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน "วันหนึ่ง ผมพบว่า ประวัติส่วนตัวไม่จำเป็นสำหรับผมอีกต่อไป และก็เหมือนการดื่มของมึนเมานั่นแหละ ผมละมันไปเฉย ๆ"
ผมไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของสิ่งที่แกพูด ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีและรู้สึกว่าถูกคุกคาม ผมกล่าวเตือนความจำของแกว่า แกรับปากกับผมไว้ว่า ผมอาจจะถามคำถามอะไรกับแกก็ได้ แกกล่าวย้ำอีกครั้งว่า แกก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด
"ผมไม่มีประวัติส่วนตัวอีกต่อไป" แกพูดแล้วมองมาทางผมด้วยสายตาที่ถามไถ่ "ผมทิ้งมันไปในวันหนึ่งเมื่อผมรู้ว่า มันไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว"
"เราจะลบประวัติของเราออกไปๆได้อย่างไรล่ะ?" ผมถามด้วยอารมณ์ที่อยากจะโต้เถียง
"เราต้องมีความอยากที่จะลบมันออกไป" แกตอบ "หลังจากนั้น เราก็ตัดทอนมันลงไปทีละนิด ๆ ให้ประสานและสอดคล้องตามลำดับ"
"แล้วทำไม ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่เถอะ ต้องมีความอยากที่จะทำเช่นนั้นด้วยล่ะ?" ผมอุทานออกมา
ผมเองมีความยึดมั่นอยู่กับประวัติของตัวเองอย่างรุนแรง โคตรตระกูลของครอบครัวผมยาวนาน พูดตามความสัตย์จริง ถ้าหากไม่มีประวัติส่วนตัวแล้ว ชีวิตของผมจะไม่มีการสืบต่อหรือจุดมุ่งหมายใด ๆเลย
"บางทีนะ คุณน่าจะบอกผมถึงความหมายของการลบประวัติส่วนตัวทิ้งเสีย" ผมพูด
"การกำจัดมันออกไป นี่คือสิ่งที่ผมหมายถึง" แกตอบห้วน ๆ
ผมยืนกรานว่าผมไม่เข้าใจข้อความที่กล่าวออกมานั้นเลย
"เช่นยกตัวอย่างว่า" ผมอธิบาย "คุณเป็นคนเผ่ายาคี คุณก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนเผ่าอื่นได้เลยนี้นะ"
"ผมเป็นพวกยาคีรึ?" แกถามพร้อมกับยิ้ม "คุณรู้ได้อย่างไรล่ะ"
"ก็มันเป็นความจริงนี่นา" ผมพูด "ผมไม่อาจรู้ได้แน่นอนลงไปในขณะนี้ แต่คุณเองทราบเรื่องนี้ดี ตรงนี้แหละที่มันมีความหมายขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประวัติส่วนตัวขึ้นมา"
ผมรู้สึกว่า ผมได้พูดตอกย้ำลงไปอย่างแน่นหนาจนไม่มีทางจะแก้ตัว
" ความจริงที่ว่า ผมรู้ว่าผมเป็นคนเผ่ายาคีหรือไม่นั้น ไม่ได้ทำให้เกิดประวัติส่วนตัวขึ้นมา" แกตอบ "ต่อเมื่อคนอื่นรู้เรื่องนี้เท่านั้น มันจึงจะเป็นประวัติส่วนตัว และผมยืนยันกับคุณได้เลยว่า ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง"
ผมจดบันทึกถ้อยคำที่ดอนฮวนพูดอย่างงุ่มง่าม ผมหยุดเขียนแล้วมองไปที่แก ผมไม่อาจประเมินชายคนนี้ได้เลย ความรู้สึกประทับใจในตัวชายแก่ผ่านเข้ามาในใจ - แกมีท่าทีลึกลับไม่อาจคาดคะเนได้ขณะที่แกมองดูผม เมื่อเราพบกันครั้งแรก, ความมีเสน่ห์เมื่อแกอ้างว่าแกได้รับคำรับรองจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว, อารมณ์ขันที่น่ารำคาญและความตื่นตัวของแก, ท่าทางที่โง่เซอะโดยสุจริตใจเมื่อผมถามถึงบิดามารดาของแก และยิ่งไปกว่านั้น คำพูดที่ทรงพลังของแกที่ฉีกผมเป็นชิ้น ๆ
"คุณไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรไม่ใช่หรือ?"แกถามราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก "คุณไม่มีวันรู้ได้เลยว่าผมเป็นใคร หรือเป็นอะไร เพราะผมไม่มีประวัติส่วนตัว"
แกถามว่าผมมีบิดาใช่ไหม ผมตอบว่ามี แกบอกว่า พ่อของผมเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แกมีอยู่ในใจ แกกระตุ้นให้ผมรื้อฟื้นในสิ่งที่พ่อคิดเกี่ยวกับตัวผม
"พ่อของคุณรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวคุณ" แกพูด "ดังนั้น แกเห็นภาพของคุณอย่างชัดแจ้ง แกรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณทำอะไร และไม่มีอำนาจใด ๆ ในโลกนี้มาทำให้แกเปลี่ยนความคิดของแกเกี่ยวกับตัวคุณได้"
ดอนฮวนพูดว่า ทุกคนที่รู้จักผมมีทัศนะเกี่ยวกับตัวของผม และผมเองก็ได้เพาะเชื้อให้กับทัศนะเหล่านั้นด้วยการกระทำประการต่างๆ ของผม "คุณไม่เห็นหรือว่า" แกถามอย่างมีชัย "คุณต้องรื้อฟื้นประวัติส่วนตัวของคุณด้วยการเล่าถึงการกระทำทุกอย่างของคุณให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อน ๆ ของคุณฟังเรื่อยไป แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากคุณไม่มีประวัติส่วนตัว คำอธิบายถึงการกระทำต่างๆ ก็ไม่มีความจำเป็น ไม่มีใครโกรธหรือชัดแจ้งในการกระทำของคุณ และเหนือสิ่งอื่นใด จะไม่มีใครตรึงคุณไว้ในความคิดของเขา"
แนวคิดเช่นนี้กระจ่างชัดขึ้นมาในใจของผมทันที ผมเกือบจะเข้าใจในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าผมไม่ได้สำรวจดูมันด้วยตัวเองเท่านั้น การไม่มีประวัติส่วนตัวเป็นแนวคิดที่มีเหตุผล อย่างน้อยที่สุดก็ในระดับที่ใช้มันสมอง อย่างไรก็ตาม มันทำให้ผมเกิดความเปล่าเปลี่ยว ซึ่งผมเห็นว่าเป็นความรู้สึกที่คุกคามและไม่ค่อยชอบเอาเลย ผมอยากจะพูดเรื่องนี้กับดอนฮวน แต่ผมก็ควบคุมตัวเองไว้ มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนั้น และผมเองก็รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องตลกที่จะพยายามถกเถียงปัญหาทางปรัชญากับชายชราชาวอินเดียนผู้ไม่มี "ความแพรวพราวในเหตุผล" อย่างนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แม้กระนั้นก็ตาม ดอนฮวนได้ดึงผมให้เขวไปจากความตั้งใจเดิม คือจะมาถามถึงเรื่องเกี่ยวกับวงศ์ตระกูลของแก
"ผมไม่ทราบว่าจะยุติการคุยในเรื่องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ผมต้องการคือชื่อต่าง ๆ ที่จะต้องกรอกลงในตารางเหล่านี้" ผมพูด พยายามที่จะเบนคำสนทนาให้กลับเข้ามาสู่หัวข้อที่ผมต้องการ
"ง่ายมาก" แกบอก "วิธีที่จะยุติการพูดคุยในเรื่องนี้ก็โดยคำพูดของผมที่ว่า การที่จะถามคำถามที่เกี่ยวกับอดีตของคนนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระ"
น้ำเสียงของแกหนักแน่น ผมรู้ว่าไม่มีทางที่จะให้แกยอมตามได้ง่าย ๆ ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนแปลงยุทธวิธี
"แนวคิดที่จะไม่มีประวัติส่วนตัวนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ชนเผ่ายาคีปฏิบัติกันอยู่ใช่ไหม?" ผมถาม
"มันเป็นสิ่งที่ผมทำอยู่"
"คุณเรียนเรื่องนี้มาจากไหน"
"ผมเรียนมันจากชีวิตของผม"
"พ่อของคุณสอนเรื่องนี้ให้กับคุณหรือเปล่า?"
"เปล่านี่ พูดก็ได้ว่าผมเรียนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และเดี๋ยวนี้ผมกำลังจะบอกกับคุณถึงความลึกลับของมัน เพื่อว่าคุณจะไม่จากไปมือเปล่าในวันนี้"
แกผ่อนเสียงลงให้เป็นกระซิบกระซาบอย่างน่าตื่นเต้น ผมหัวเราะในการแสดงของแก ผมต้องยอมรับว่าดอนฮวนยิ่งใหญ่มากในเรื่องนี้ ความคิดผ่านวูบเข้ามาว่า ผมกำลังอยู่เบื้องหน้านักแสดงโดยกำเนิด
"จดลงไปสิ" แกพูดอย่างวางท่า "อ้าว ทำไมล่ะ? คุณดูจะมีความสุขมากเมื่อได้เขียนอะไรลงไป"
ผมมองดูแก และสายตาของผมต้องมีแววที่ส่อถึงความสับสน แกเอามือตบต้นขาแล้วหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ
"มันเป็นการดีที่สุดที่จะลบประวัติส่วนตัวทิ้งเสีย" แกพูดช้า ๆ เหมือนกับจะให้ผมมีเวลาจดลงไปด้ยท่าทีที่ค่อนข้างจะงุ่มง่าม "เพราะว่า การกระทำเช่นนี้จะทำให้เราเป็นอิสระจากความคิดหนักอกหนักใจที่คนอื่นมีต่อเรา"
ผมเกือบจะไม่เชื่อว่าดอนฮวนพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาจริง ๆ ผมสับสนไปชั่วขณะ แกต้องมองเห็นความวุ่นวายที่แสดงออกมาในสีหน้าของผม แกจึงฉวยโอกาสกับความรู้สึกเช่นนี้ในทันที
"ยกตัวอย่างของคุณก็ได้" แกพูดต่อ " ขณะนี้คุณไม่ทราบบว่าจะอยู่หรือไปดี และที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าผมลบประวัติส่วนตัวของผมทิ้งเสียแล้ว ผมได้สร้างเมฆหมอกคลุมรอบตัวของผมและชีวิตของผมทีละนิด ๆเดี๋ยวนี้ไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัดได้เลยว่าผมเป็นใคร หรือกำลังทำอะไรอยู่"
"แต่ว่าตัวของคุณเองรู้ไม่ใช่หรือว่าคุณเป็นใคร" ผมสอดขึ้นมา
"คุณแน่ใจหรือว่าผม…อย่าดีกว่า" แกร้องออกมา แล้วกลิ้งตัวอยู่กับพื้นพร้อมกับหัวเราะในท่าทางที่แสดงความประหลาดใจของผม
แกหยุดพูดไปนานจนผมเชื่อว่า แกจะบอกว่าแกรู้ประวัติของแกเองดังที่ผมบอกไป ความลับลมคมในของแกคุกคามผมมาก ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ
"นี่คือความลับเล็ก ๆ น้อย ๆที่ผมจะบอกกับคุณในวันนี้" ดอนฮวนพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ ๆ "ไม่มีใครที่รู้ประวัติส่วนตัวของผม ไม่มีใครทราบว่าผมเป็นใคร หรือผมทำอะไร แม้แต่ตัวของผมเอง"
แกชำเลืองมองมาทางผม แกไม่ได้จ้องตรงมาที่ตัวผม แต่มองเลยเหนือไหล่ขวาของผมออกไป แกนั่งขัดสมาธิ ลำตัวตั้งตรง แต่กระนั้นก็มีลักษณะผ่อนคลาย ในขณะนั้น ภาพของแกเป็นภาพของความดุร้าย ผมคิดไปว่าดอนฮวนเป็นหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง เป็น "นักรบผิวสีแดง" ในนิยายโลดโผนแถบชายแดนในวัยเด็กของผม ความฝันพาผมล่องลอยไปไกล และความรู้สึกคลุมเครือสับสนที่ชอนไชอยู่ในใจนั้นห่อหุ้มผมอยู่ ผมอาจจะกล่าวออกมาด้วยความจริงใจได้ว่า ผมชอบดอนฮวนมาก และในความรู้สึกดังกล่าว ผมอาจจะกล่าวได้อีกว่า ผมรู้สึกกลัวชายแก่คนนี้เท่าเทียมกัน
แกมองผมในลักษณะเช่นนั้นเป็นเวลานาน
"ผมจะรู้ว่าผมเป็นใครได้อย่างไร ในเมื่อผมเป็นสิ่งทั้งหมดนี้" แกพูด พร้อมกับเอี้ยวศีรษะไปรอบ ๆ
ต่อมาแกชำเลืองมาที่ผมแล้วยิ้ม
"คุณต้องสร้างเมฆหมอกขึ้นรอบ ๆ ตัวของคุณทีละเล็กละน้อย คุณต้องลบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆตัวของคุณออกไป จนกระทั่งว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่คุณทึกทักเอาว่า เป็นนั่นเป็นนี่ ไม่มีสิ่งใดเลยที่มาทำให้เกิดความมั่นใจหรือเป็นจริงอีกต่อไป ปัญหาของคุณในขณะนี้ก็คือว่า คุณจริงเสียเหลือเกิน ความพยายามของคุณทั้งหลายจริงเกินไป อารมณ์ของคุณก็จริงมาก อย่าได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นเช่นนั้น คุณจะต้องเริ่มลบตัวตนของคุณออกไป"
"เพื่ออะไรล่ะ?" ผมถามกวน ๆ
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าดอนฮวนกำลังกำหนดรูปแบบความประพฤติให้กับผม ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม ผมจะพุ่งขึ้นสู่จุดที่เป็นอันตราย เมื่อใครก็ตามพยายามที่จะบอกให้ผมทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้เพียงคิดเอาว่ามีคนมาบอกให้ผมทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมก็จะปกป้องตัวเองในทันที
"ก็คุณบอกผมว่าคุณอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร" ดอนฮวนพูดออกมาอย่างสงบ "คุณต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ศึกษาอะไรเลยจะได้หรือ คุณคิดว่าสิ่งนี้คืออะไร? เราตกลงกันแล้วว่า คุณจะถามคำถามและผมจะตอบในสิ่งที่ผมรู้ ถ้าหากว่าคุณไม่ชอบ เราก็ไม่มีอะไรจะพูดกันอีก"
ความตรงไปตรงมาชนิดกำปั้นทุบดินของแกทำให้ผมรู้สึกโกรธ แต่ผมก็ยอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่าดอนฮวนพูดถูก
"เอาอย่างนี้ดีกว่า" แกพูดต่อไป "ถ้าหากคุณจะเรียนเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร และเนื่องจากว่าไม่มีอะไรเลยจริง ๆที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นก่อนที่จะเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ ให้ลบประวัติส่วนตัวของคุณทิ้งเสียก่อน"
"ทำอย่างไรล่ะ?" ผมถาม
"จงเริ่มต้นด้วยสิ่งง่าย ๆเช่น ไม่เปิดเผยสิ่งที่คุณทำอยู่ ต่อมาคุณต้องละจากคนที่คุณรู้จักดี การทำเช่นนี้ คุณจะทำให้เกิดเมฆหมอกพรางรอบตัวของคุณ"
"แต่การทำอย่างนั้นน่ะ เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ" ผมค้าน "ทำไมคนอื่น ๆจะมารู้จักกับผมไม่ได้ มันผิดอะไรหรือ?"
"ที่ว่าผิดก็คือ เมื่อคนเหล่านั้นรู้จักกับคุณแล้ว ตัวของคุณเองจะเป็นสิ่งที่พวกเขาทึกทักเอาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และจากนั้นคุณไม่อาจทำลายความผูกพันที่มีในความคิดของพวกเขาได้ ตัวของผมเองชอบที่จะมีอิสรภาพสูงสุดโดยการที่จะไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีใครรู้จักผมอย่างมั่นใจจริง ๆในลักษณะเดียวกับที่คนอื่นรู้จักคุณ นี่เป็นตัวอย่าง"
"แต่นั่นเป็นการโกหกนี่นา"
"ผมไม่ใส่ใจกับเรื่องโกหกหรือเรื่องจริงหรอก" แกพูดอย่างเคร่งเครียด "การพูดไม่จริงเป็นการโกหกก็ต่อเมื่อคุณมีประวัติส่วนตัวเท่านั้น"
ผมกล่าวโต้ว่า ผมไม่ชอบที่จะทำตัวให้เป็นลึกลับโดยเจตนาหรือทำให้ผู้อื่นไขว้เขว คำตอบของดอนฮวนคือ จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ ผมทำให้ผู้อื่นไขว้เขวอยู่แล้ว
ชายแก่แตะตรงจุดที่ปวดร้าวในชีวิตของผม ผมไม่หยุดเพื่อจะถามแกว่า แกหมายความว่าอย่างไรในการกล่าวออกมาเช่นนั้นหรือถามว่าแกรู้ได้อย่างไรว่าผมทำตัวให้เป็นคนลับ ๆ ล่อ ๆ กับผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ผมกลับมีปฏิกิริยาต่อคำกล่าวหาของแกและปกป้องตัวเองด้วยคำอธิบายประการต่าง ๆ ผมบอกว่า ผมสำนึกอย่างปวดร้าวที่ครอบครัวและเพื่อน ๆของผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่เชื่อถือไม่ค่อยได้ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมไม่เคยโกหกเลยในชีวิต
"คุณรู้อยู่ตลอดไปแหละน่าว่าจะโกหกอย่างไร" แกบอก "มีสิ่งเดียวที่ขาดไป นั่นก็คือคุณไม่รู้ว่า ทำไมคุณจึงต้องโกหก แต่เดี๋ยวนี้คุณรู้แล้ว"
ผมกล่าวค้าน
"คุณไม่เห็นบ้างหรือว่า ผมระอาเอาเสียจริง ๆและเบื่อหน่ายคนที่คิดว่าผมเป็นคนที่เชื่อไม่ได้" ผมพูด
"แต่คุณก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว" แกพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
"ลงนรกไปเสีย แก! ผมไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น !" ผมตะโกนออกมา
แทนที่อารมณ์ที่ผมแสดงออกมาจะบีบให้ดอนฮวนมีความจริงจังขึ้นมาบ้าง แกกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ผมรู้สึกเหยียดหยามชายแก่คนนี้ในความทะลึ่งของแกจริง ๆ แต่ก็นับเป็นโชคร้ายที่แกพูดถูกแล้วในส่วนที่เกี่ยวกับตัวของผม
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง ความพลุ่งพล่านของผมระงับลง ดอนฮวนจึงพูดต่อไป
"เมื่อคุณไม่มีประวัติส่วนตัวแล้ว" แกอธิบาย "ก็จะไม่มีคำพูดใดที่คุณกล่าวออกไปเป็นคำโกหก ปัญหาของคุณก็คือ ต้องอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างกับคนทุกคน แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องการความบริสุทธิ์และความใหม่ในทุก ๆสิ่งที่คุณทำ ก็ในเมื่อคุณไม่มีความตื่นเต้นใด ๆจากการที่ได้อธิบายสิ่งที่คุณทำลงไป คุณก็พูดไม่จริงได้เพื่อจะดำรงอยู่ต่อไป"
ผมรู้สึกหัวหมุนจริง ๆในขอบเขตของหัวข้อการสนทนาของเรา ผมบันทึกรายละเอียดทั้งหมดในคำโต้ตอบเท่าที่จะทำได้ โดยใส่ใจในสิ่งที่ดอนอวนพูดมากกว่า แทนที่จะหยุดพิจารณาถึงอคติที่ผมมีหรือความหมายของสิ่งที่แกพูด
"นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป" แกพูด "คุณต้องแสดงกับผู้อื่นในส่วนที่คุณต้องการให้เขาทราบเท่านั้น โดยไม่ต้องชี้ลงไปให้ชัดแจ้งว่า คุณทำสิ่งนั้นลงไปได้อย่างไร"
"ผมรักษาความลับไว้ไม่ได้หรอก..!" ผมโวยวายออกมา "สิ่งที่คุณพูดน่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผมเลย"
"ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเสียสิ!" แกพูดสวนออกมา นัยน์ตาของแกมีแววดุดัน
มองดูแล้ว แกเหมือนกับสัตว์ป่าที่แปลกประหลาด แม้กระนั้นก็ตาม ความคิดของแกมีความต่อเนื่องดีมาก และได้ความหมาย ความรำคาญของผมกลับเปลี่ยนไปเป็นความสับสนอย่างขัดเคือง
"คุณเห็นหรือยังว่า" ดอนฮวนพูดต่อ "เรามีทางเลือกอยู่เพียงสองทางเท่านั้น นั่นก็คือ เราถือว่าทุกสิ่งเที่ยงแท้หรือจริง หรือไม่เราก็จะไม่ยืนยันเช่นนั้น หากว่าเราเชื่อตามลักษณะแรก ชีวิตของเราจะจบลงด้วยความเบื่อหน่ายตัวของเราเองและเบื่อหน่ายโลกอย่างถึงที่สุด แต่ถ้าหากเราเชื่อตามลักษณะที่สองและได้ลบประวัติส่วนตัวทิ้งไปเสียแล้ว เราก็สร้างเมฆหมอกพรางรอบตัวของเรา นั่นเป็นสภาวะที่น่าตื่นเต้น ลึกลับ ซึ่งไม่มีใครรู้แม้แต่ตัวของเราเอง ว่าเมื่อไหร่เจ้ากระต่ายจะโผล่พรวดออกมา"
ผมเถียงว่า การลบประวัติของตัวเองทิ้งไปเสียนั้นรังจะเพิ่มพูนความรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัย
"เมื่อไม่มีสิ่งใดแน่นอนลงไป เราก็จะตื่นตัวอยู่เสมอ ระวังระไวอยู่ตลอดไป" แกพูด "แทนที่จะประพฤติราวกับว่าเรารู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะน่าตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าที่จะไม่ทราบเลยว่าพุมไม้พุ่มไหนที่เจ้ากระต่ายตัวนั้นซ่อนอยู่"
……ดอนฮวนไม่พูดอะไรอีกเลยเป็นเวลานาน หนึ่งชั่วโมงคงผ่านไปแล้วในความเงียบ ผมเองก็ไม่ทราบว่าจะถามอะไรอีก ในที่สุดแกลุกขึ้นแล้วขอให้ผมขับรถไปส่งที่เมืองที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น
ผมไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่การสนทนาของเราได้ถ่ายเอาพลังของผมออกไปหมดสิ้น ผมรู้สึกเหมือนกับจะฟุบหลับลงไป แกบอกให้ผมหยุดกลางทางแล้วบอกว่าถ้าผมต้องการจะพักผ่อนแล้ว ผมต้องปีนไปยังที่ราบบนยอดเนินเล็ก ๆที่อยู่ข้างทางแล้วนอนคว่ำลง หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก
ดูเหมือนแกจะมีความรู้สึกรีบร้อนบางประการ ผมเองก็ไม่ต้องการที่จะโต้แย้ง ผมคงเหนื่อยมากแม้แต่จะอ้าปากพูด ผมจึงปีนขึ้นไปบนเนินเขาแล้วทำตามที่แกบอก
ผมหลับไปประมาณสองสามนาที แต่นั่นเป็นการเพียงพอแล้วที่จะเรียกเอาพลังกลับคืนมา
ผมขับรถเข้าไปจนถึงใจกลางเมือง ดอนฮวนบอกให้ผมจอดรถให้แกลง
"มาอีกนะ" แกพูดขณะที่ก้าวลงจากรถ "อย่าลืมกลับมาเยี่ยมผมอีก"
--------------------------------------------------------------------------------