๔. ความตายคือผู้ที่จะมาตักเตือน
พุธที่ ๒๕ มกราคม ๑๙๖๑
"สักวันหนึ่งนะ ดอนฮวน คุณจะสอนผมในเรื่องของสมุนไพรเปโยติหรือเปล่า?" ผมถาม
แกไม่ตอบ และเหมือนกับที่แกเคยทำกับผมมาก่อน คือมองดูผมราวกับว่าผมสติวิปลาสไปแล้ว
ผมเอ่ยถึงเรื่องนี้กับดอนฮวนในการคุยกันในเรื่องทั่ว ๆ ไปหลายครั้ง ทุกครั้งแกจะย่นหน้าและสั่นหัว นั่นไม่ใช่อาการที่แสดงว่ารับหรือปฏิเสธ แต่ดูจะเป็นการแสดงออกถึงความสิ้นหวังและไม่เชื่อเอาเลย
ดอนฮวนผลุดลุกขึ้นอย่างกระทันหัน เรานั่งกันอยู่ที่พื้นดินหน้าบ้านของแก การโยกศีรษะที่เกือบไม่เป็นที่สังเกตนั้นถือเป็นการเชื้อเชิญให้ผมตามไป เราเดินลัดไปตามป่าละเมาะในทะเลทรายทางทิศใต้
แกกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกขณะที่เดินไปด้วยกันว่า ผมต้องสำนึกถึงความไร้สาระของการให้ความสำคัญกับตัวเองและประวัติส่วนตัวของผม
"เพื่อน ๆ ของคุณ" แกพูดออกมา "พวกที่รู้จักคุณมานานนั่นนะ คุณต้องหลีกหนีพวกเขาไปเสีย" ผมคิดว่า แกถ้าจะบ้าเสียแล้ว และข้อเร่งรัดของแกนั้นบ้าอย่างที่สุด แต่ผมก็ไม่พูดอะไรออกมา
ดอนฮวนจ้องดูผมแล้วหัวเราะ หลังจากที่ได้เดินมาเป็นเวลานาน เราหยุดพัก ผมกำลังจะนั่งลง แต่ดอนฮวนสั่งให้ผมเดินต่อไปอีกราว ๒๐ หลาแล้วให้ผมพูดด้วยเสียงอันดังกับพืชกระจุกหนึ่งที่นั่น ผมรู้สึกหมดกำลังและหวาดวิตกมาก
ความต้องการพิลึกพิลั่นของดอนฮวนเกินกว่าที่ผมจะทนได้ ดังนั้นผมจึงบอกกับแกว่า ผมพูดกับพืชไม่ได้หรอกเพราะผมรู้สึกขำ ดังนั้นข้อสังเกตของแกจึงมีว่า ความรู้สึกที่ผมเห็นว่าตัวเองสำคัญนั้นยังมีมาก แกคงตัดสินใจอย่างฉับพลันแล้วพูดว่า ผมไม่ควรจะพูดกับพืชจนกว่าผมจะรู้สึกสบายใจและทำได้เองตามธรรมชาติ
"คุณอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรแต่คุณกลับไม่อยากจะทำอะไรเอาเสียเลย" แกพูดปรักปรำ "แล้วอะไรล่ะ ที่คุณพยายามที่จะทำอยู่จริง ๆ"
ผมให้คำอธิบายว่า ผมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรเท่านั้น ดังนั้นผมจึงขอร้องให้แกบอกข้อมูลเหล่านี้ ผมถึงกับเสนอที่จะจ่ายเงินค่าตอบแทนเวลาและความยุ่งยากของแก
"คุณรับเอาเงินนั่นก็แล้วกัน" ผมเสนอ "ในลักษณะเช่นนี้เราทั้งสองฝ่ายจะมีความรู้สึกดีต่อกันขึ้นมาได้ และจากนั้นผมอาจจะถามคุณได้ในสิ่งที่ผมต้องการ เพราะคุณทำงานให้ผม และผมก็จ่ายเงินให้กับคุณ คุณคิดอย่างไรล่ะ?"
แกมองมาทางผมอย่างเหยียดหยาม แล้วทำเสียงน่าเกลียดออกมาจากปากด้วยการทำให้ริมฝีปากล่างและลิ้นสั่นสะเทือนด้วยการสูดลมเข้าไปอย่างแรง
"นั่นคือสิ่งที่ผมคิดละ" แกตอบ และหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งที่เห็นความประหลาดใจอย่างยิ่งซึ่งคงปรากฏออกมาทางใบหน้าของผม
เห็นได้ชัดแจ้งแล้วว่า ดอนฮวนไม่ใช่คนที่ผมจะเข้าต่อเชิงด้วยง่าย ๆ ในวัยขนาดนั้นแกยังแข็งแรงและว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเคยคิดว่า ในวัยชราเช่นนี้แกคงเป็น "ผู้บอกข้อมูล"ที่สมบูรณ์แบบ ผมเคยเชื่อว่าคนแก่เป็นผู้ให้ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีที่สุด เพราะคนชราอ่อนแอในการทำสิ่งต่าง ๆ ยกเว้นการคุย
แต่ตรงข้าม ดอนฮวนกลับเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดความทุกข์ได้มาก ผมรู้สึกว่าแกเป็นคนที่จะบังคับควบคุมไม่ได้ง่าย ๆ และมีอันตรายเอาด้วย เพื่อนคนที่แนะนำให้เรารู้จักกันพูดถูกแล้ว ดอนฮวนเป็นชายแก่ชาวอินเดียนแดงที่ผิดธรรมดาแม้ว่าแกจะไม่ปิดปากเงียบอยู่ตลอดเวลาดังที่เพื่อนคนนั้นบอกไว้ แต่แกก็ร้ายกาจมากอยู่ดี แกเป็นคนบ้าที่สุด
ผมรู้สึกสงสัยและกลัวมากเหมือนกับที่เคยรู้สึกมาก่อนแล้วซึ่งผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความรู้สึกเช่นนี้อีก ความจริงผมก็ไม่มีความลำบากใจอะไรในการที่จะบอกกับตัวเองว่าผมอยากพบกับดอนฮวน ความคิดจึงผุดขึ้นมาว่า จะอย่างไรก็แล้วแต่ บางทีผมเองก็บ้าอยู่ไม่ใช่น้อยเมื่อรู้ตัวว่าชอบอยู่กับชายแก่คนนี้ ความเห็นของแกที่บอกกับผมว่า ความรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญคืออุปสรรคอย่างหนึ่ง ความคิดนี้ฝังอยู่ในใจของผมขึ้นมาจริง ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่องคิด ๆ เอาเท่านั้นสำหรับผม และขณะใดก็ตามที่ผมพบกับพฤติกรรมที่ประหลาด ๆ ของแก ผมจะหวาดกลัวและอยากผละหนีไป
ผมบอกแกว่า ผมแน่ใจว่าเราทั้งสองแตกต่างกันมากจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะร่วมงานกัน
"คนหนึ่งคนใดในระหว่างเราทั้งสองต้องเปลี่ยนแปลง" แกพูดพลางจ้องไปที่พื้นดิน
"และคุณก็ทราบดีแล้วว่าคนนั้นคือใคร"
แกเริ่มครวญเพลงพื้นเมืองเม็กซิกันแล้วผงกหัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน จ้องมาทางผม ดวงตาของแกมีแววดุร้ายและลุกโพลง
ผมอยากจะเบือนหน้าหนีหรือไม่ก็หลับตา แต่ด้วยความประหลาดใจอย่างสูงสุด ผมไม่อาจละสายตาไปจากการจ้องของแกได้เลย
แกสั่งให้ผมบอกกับแกว่า ผมเห็นอะไรหรือเปล่าในตาของแก ผมบอกว่าผมไม่เห็นอะไร แต่แกคงเร่งเร้าให้ผมบอกกับแกว่านัยน์ตาของแกทำให้ผมรู้สึกถึงอะไรบ้าง
ผมพยายามที่จะทำให้แกเข้าใจว่า มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่นัยน์ตาของแกทำให้ผมรู้สึก นั่นคือความอึดอัด และการที่แกจ้องมองผมนั้นทำให้ผมรู้สึกไม่สบายด้วย
ดอนฮวนไม่ยอมง่าย ๆ แกจ้องเขม็งอยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่การมองอย่างข่มขู่หรือเหยียดหยาม แต่ดูจะเป็นการมองที่มีแววลึกลับและทำให้อึดอัดมาก
แกถามผมว่า แกทำให้ผมได้ระลึกถึงนกตัวหนึ่งหรือเปล่า
"นกหรือ?" ผมอุทานออกมา
แกหัวเราะคิก ๆ ออกมาเหมือนเด็ก แล้วเลื่อนสายตาออกไปจากตัวผม
"ใช่แล้ว" แกพูดค่อย ๆ "นกตัวหนึ่ง นกที่น่าขำมาก!"
แกจ้องเขม็งมาที่ผมอีกแล้วสั่งให้รำลึกขึ้นมาให้ได้
แกพูดด้วยความมั่นใจเป็นพิเศษว่า "รู้ดี" ว่าผมเคยมองในลักษณะนี้มาก่อน
ขณะนั้นผมคิดขึ้นมาว่า ชายแก่คนนี้กระตุ้นผมขึ้นมาทุกคราวที่แกอ้าปากพูดโดยที่ผมไม่มีความต้องการโดยบริสุทธิ์ใจเอาเลย ผมจ้องกลับไปเพื่อแสดงให้เห็นชัดว่าท้าทาย แต่แทนที่แกจะโกรธแกกลับหัวเราะ แกตบตะโพกแล้วร้องลั่นเหมือนกับว่าแกกำลังขี่ม้าป่า ต่อมาแกเอาจริงเอาจังขึ้นมาอีก
แกบอกกับผมว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด ผมต้องหยุดสู้รบกับแก แล้วพยายามจำนกที่น่าขันที่แกพูดถึงให้ได้
"จงมองเข้าไปในตาผม" แกสั่ง นัยน์ตาของแกมีแววดุร้ายเป็นพิเศษ ความรู้สึกชนิดหนึ่งซ่อนอยู่ในดวงตานั้นซึ่งทำให้ผมระลึกขึ้นมาได้จริง ๆ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ ผมตรึกตรองอยู่ชั่วครู่
และในทันใดนั้นผมทราบขึ้นมาได้เอง มันไม่ใช่รูปลักษณะของนัยน์ตาหรือศีรษะของแกหรอกที่ทำให้ผมรู้ แต่เป็นแววตาอันดุร้ายเย็นชาในการจ้องมองของแกนั่นเอง มันทำให้ผมระลึกได้ถึงดวงตาที่จ้องลงมาของเหยี่ยวตัวหนึ่ง
ชั่วขณะที่ผมจำได้นั้น ดอนฮวนทำชายตามาทางผม และจิตของผมสับสนไปชั่วแวบหนึ่ง
ผมคิดว่ามองเห็นรูปร่างของเหยี่ยวตัวนั้นแทนที่จะเห็นตัวของดอนฮวน ภาพนั้นแวบเข้ามาและผมก็ยังสับสนเอามาก ๆ เกินกว่าจะมาใส่ใจดูอย่างจริงจัง
ผมบอกกับดอนฮวนด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า ผมสาบานได้เลยว่าผมเห็นรูปนกเหยี่ยวที่ใบหน้าของแก แกหัวเราะก้องขึ้นมาอีกครั้ง ผมมองเห็นแววตาที่มองลงมาของอีเหยี่ยว
ผมเคยล่าเหยี่ยวเมื่อผมยังเป็นเด็ก และปู่ของผมบอกว่าการที่ผมทำเช่นนั้นผมเป็นเด็กดี อีเหยี่ยวเป็นศัตรูของลูกไก่และปู่มีฟาร์มลูกไก่เล็กฮอร์น การยิงเหยี่ยวจึงไม่เพียงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แต่เป็นการกระทำที่ "ถูกต้อง" ด้วย
ผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ในช่วงหนึ่งแววตาของอีเหยี่ยวหลอกหลอนผมอยู่หลายปี แต่นั่นก็เป็นอดีตที่ผ่านมานานซึ่งผมคิดว่าลบออกไปจากความทรงจำเสียแล้ว
"ผมเคยล่าเหยี่ยว" ผมบอก
"ผมทราบแล้ว" ดอนฮวนตอบอย่างกับรู้จริง ๆ
น้ำเสียงของแกมีความมั่นใจจนผมต้องหัวเราะออกมา ผมคิดว่าแกเป็นคนที่น่าทึ่งคนหนึ่ง แกมีประสาทที่สัมผัสได้เป็นพิเศษราวกับว่า แกรู้ว่าผมเคยล่าเหยี่ยว ผมรู้สึกเหยียดหยามแกมาก
"ทำไมคุณโกรธขึ้นมาล่ะ?" แกถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความห่วงใยอย่างแท้จริง ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะสาเหตุอะไร
แกเริ่มหยั่งดูผมในลักษณะที่แปลกมาก แกขอให้ผมมองดูผมอีกครั้งหนึ่งแล้วบอกกับแกถึง "นกที่น่าขัน" ตัวที่แกทำให้ผมระลึกขึ้นมาได้ตัวนั้น
ผมสู้รบกับแก และด้วยความรู้สึกที่เหยียดหยาม ผมบอกกับแกว่าผมไม่มีอะไรจะพูดออกมาอีก แต่ขณะต่อมาผมกลับทนไม่ได้ที่ถามแกว่าทำไมแกจึงทราบว่าผมเคยล่าเหยี่ยว แต่แทนที่แกจะตอบคำถามของผม แกกลับออกความเห็นถึงความประพฤติของผม
แกพูดว่า ผมเป็นคนรุนแรงมากชนิดที่จะ "น้ำลายฟูมปาก" ด้วยความโกรธแม้เพียงแต่มองเห็นหมวกหล่นลงมาจากหัว ผมค้านว่านั่นไม่จริงเลย ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ออกจะอ่อนโยน ง่าย ๆ ตามสบาย จึงเป็นความผิดของแกเองที่บีบผมด้วยถ้อยคำและการกระทำชนิดที่คาดไม่ถึง นี่ทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้
"แต่ทำไมถึงต้องโกรธ?" แกถาม
ผมเปิดเผยถึงเหตุของความรู้สึกและปฏิกิริยาที่แสดงออกมา
ความจริงผมไม่น่าจะโกรธดอนฮวน แต่แกเร่งเร้าให้ผมมอง เข้าไปที่นัยน์ตาของแกอีกครั้งแล้วให้บอกแกเกี่ยวกับ "นกเหยี่ยวที่แปลกประหลาด" ตัวนั้น
แกเปลี่ยนคำ แกพูดในตอนแรกว่า "นกที่น่าขำมาก" ต่อมาแกใช้คำว่า "นกเหยี่ยวที่แปลกประหลาด" การเปลี่ยนคำเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ของผมด้วย ผมรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที
ดอนฮวนหรี่ตาจนกระทั่งดูเหมือนกับจะแง้มออกเป็นช่องสองช่อง แล้วพูดด้วยเสียงที่แกล้งแสดงเกินจริงว่า แก "เห็น" อีเหยี่ยวที่แปลกประหลาดมากตัวนั้น แกพูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ ถึงสามครั้งราวกับว่าแกมองเห็นมันอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ
"คุณจำมันไม่ได้หรือ?" แกบอก ผมจำเรื่องที่แกกล่าวออกมาไม่ได้เลย
"มีอะไรล่ะที่พิเศษออกไปเกี่ยวกับเหยี่ยวตัวนั้น" ผมถาม
"คุณต้องบอกผมเอง" แกตอบ
ผมยืนกรานว่า ผมไม่มีทางรู้ในสิ่งที่แกพูดถึงได้เลย ดังนั้นผมจึงบอกอะไรกับแกไม่ได้
"อย่ารบกับผม!" แกบอก "จงสู้รบกับความซึมกะทือและความจำของคุณเอง"
ผมพยายามอย่างจริงจังที่จะรู้ในสิ่งที่แกพูดถึงให้ได้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ผมก็จำอะไรไม่ได้เลย
"มีอยู่ช่วงหนึ่งละ ที่คุณเห็นนกมากมาย" แกบอกเหมือนกับจะแนะทาง
ผมบอกกับแกว่า ถ้าเช่นนั้นผมน่าจะไม่มีความลำบากอะไรในการรื้อฟื้นความทรงจำถึงนกที่น่าขบขันทั้งหลายที่ผมล่า แกมองมายังผมด้วยสายตาที่มีคำถามราวกับว่าแกได้บอกเงื่อนสุดท้ายให้กับผมแล้ว
"ผมเคยล่านกมามาก" ผมบอก "แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จำเรื่องนี้ไม่ได้"
"นกตัวนี้พิเศษมาก" แกบอกเกือบจะเป็นกระซิบ "มันเป็นนกเหยี่ยว"
ผมครุ่นคิดที่จะมองให้เห็นภาพที่ดอนฮวนพยายามจะให้เห็น หรือว่าแกกำลังหยอกเย้าผมเล่นกระมัง แกจริงจังในเรื่องนี้หรือเปล่า
หลังจากที่ได้ทิ้งช่วงครู่หนึ่ง ดอนฮวนเร่งเร้าให้พยายามรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาให้ได้อีกครั้ง ผมรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่จะหยุดยั้งความพยายามของแกในเรื่องนี้ มีสิ่งเดียวที่ผมทำได้คือร่วมแสดงไปกับแกเท่านั้น
"คุณกำลังพูดถึงอีเหยี่ยวที่ผมเคยล่าใช่ไหม?"
"ใช่" แกกระซิบออกมาขณะที่หลับตา
"ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่ผมเป็นเด็กใช่หรือเปล่า?"
"ใช่"
"แต่คุณก็บอกว่า คุณเห็นเหยี่ยวอยู่ข้างหน้าของคุณในขณะนี้"
"ผมเห็นมันอยู่จริง ๆ"
"คุณพยายามจะทำอะไรกับผมละนี่ ดอนฮวน?"
"ผมพยายามที่จะทำให้คุณจำขึ้นมาให้ได้"
"อะไรนะ? เพื่ออะไรล่ะ?"
"นกเหยี่ยวไวเหมือนกับแสง" แกพูดพร้อมกับมองตรงเข้ามาที่นัยน์ตาของผม ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจจะหยุดเต้น
"เอาละ มองมาที่ผม" แกบอก ผมไม่มอง ผมได้ยินเสียงของแกแผ่ว ๆ ความทรงจำยิ่งใหญ่บางชนิดอุบัติขึ้นมาชัดแจ้งและ เหยี่ยวเผือก ตัวนั้น!
เรื่องทั้งหมดเริ่มจากการที่ปู่ของผมโกรธมาก สาเหตุเนื่องมาจากลูกไก่เล็กฮอร์นของแกหายไปอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ทราบสาเหตุ ปู่เรียกคนมาและเฝ้าดูอย่างระมัดระวังด้วยตัวเอง หลายวันผ่านไป จากการที่ได้เฝ้าสังเกตอย่างสม่ำเสมอ ในที่สุดเราเห็นนกตัวโตสีขาวบินหนีไปพร้อมกับลูกไก่ในกรงเล็บ
นกตัวนั้นเร็วมากและเห็นได้ชัดว่ามันรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี มันโฉบลงมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง ขยุ้มเอาลูกไก่แล้วบินออกไปทางช่องในระหว่างทุ่งเลี้ยงวัว มันเร็วมากจนปู่เกือบจะไม่เห็น แต่ผมเห็นมันชัดและรู้ว่ามันเป็นเหยี่ยว ปู่จึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นนกตัวนี้คือเหยี่ยวเผือกนั่นเอง
เราเริ่มรณรงค์กับเหยี่ยวเผือกฉลาดตัวนั้น สองครั้งที่ผมคิดว่าได้ตัวของมันแล้ว มันถึงกับทิ้งลูกไก่ลงมาแต่มันก็หนีไปได้ มันเร็วมากสำหรับผมและฉลาดมากด้วย เหยี่ยวเผือกไม่มาล่าเหยื่อที่ฟาร์มของปู่อีก
ผมน่าจะลืมนกตัวนี้หากปู่ไม่เร่งเร้าให้ผมล่ามันให้ได้ เป็นเวลาถึงสองเดือนที่ผมตามเจ้าเหยี่ยวเผือกทั่วทั้งหุบเขาที่เราอาศัย ผมเรียนรู้นิสัยของมันและทราบได้เลยถึงทิศทางที่มันจะออกบิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความรวดเร็วของมัน ความกระทันหันขณะที่มันปรากฏตัวให้เห็นทำให้งง ผมอาจคุยได้ว่าทุกครั้งที่เราพบกัน ผมขัดขวางไม่ให้มันจับเหยื่อ แต่ผมเองก็ไม่อาจเอาตัวมันมาได้เหมือนกัน
ในช่วงสองเดือนที่ผมทำสงครามประหลาดนี้กับเจ้าเหยี่ยวเผือก ผมเข้าใกล้ตัวของมันได้เพียงครั้งเดียว วันนั้นผมตามมันไปทั้งวันจนเหนื่อย ผมนั่งลงพักแล้วหลับไปใต้ต้นยูคาลิปตัส
เสียงร้องของเหยี่ยวปลุกให้ผมตื่นขึ้น ผมลืมตาโดยไม่เคลื่อนไหวส่วนใด ๆ ของร่างกายผมเห็นนกสีขาวจับอยู่บนกิ่งที่สูงที่สุดของต้นยูคาลิปตัส มันคือเหยี่ยวเผือกตัวนั้น การล่าจะสิ้นสุดลงแล้ว
การยิงทำได้ลำบากมาก ผมนอนราบอยู่กับพื้น ส่วนมันหันด้านหลังให้กับผม ลมพัดมาวูบหนึ่งและผมใช้เสียงลมเพื่อซ่อนเสียงที่ผมยกปืนไรเฟิล.๒๒ ลำกล้องยาวขึ้นมาประทับเล็ง ผมอยากจะคอยจนกว่ามันจะหันมาหรือเริ่มบิน เพื่อว่าผมจะไม่ยิงพลาด แต่มันก็ไม่ขยับเขยื้อน เพื่อที่จะยิงได้แม่นยำขึ้นผมจำต้องเคลื่อนไหว แต่มันเร็วมากเกินกว่าที่จะยอมให้ผมทำเช่นนั้น ผมคิดว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของผมคือคอย และผมคอยอยู่เป็นเวลานาน นานไม่มีที่สิ้นสุด
มีสิ่งหนึ่งกระทบใจผม คงเนื่องมาจากการรอคอยที่ยาวนานหรือเป็นเพราะความเปล่าเปลี่ยวของสถานที่ก็เป็นได้ ผมรู้สึกเย็นเยียบไปตามกระดูกสันหลัง และโดยที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ผมลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ผมไม่ทำแม้แต่จะมองกลับมาดูว่าเหยี่ยวตัวนั้นบินหนีไปหรือยัง
ผมไม่เคยให้ความสำคัญใด ๆ ต่อการที่ได้เดินจากเหยี่ยวตัวนั้นไปในตอนสุดท้าย อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่ผมไม่ยิงมัน ผมเคยยิงเหยี่ยวมาหลายสิบตัวก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ และในฟาร์มที่ผมเติบโตขึ้นมานั้น การยิงนกหรือล่าสัตว์ถือเป็นธรรมดา
ขณะที่ผมเล่าเรื่องของเหยี่ยวเผือก ดอนฮวนรับฟังอย่างตั้งใจ
"คุณรู้เรื่องเหยี่ยวเผือกตัวนี้ได้อย่างไร ดอนฮวน?" ผมถามออกมาเมื่อเล่าจบ
"ผมเห็นมันนะสิ" แกตอบ
"เห็นที่ไหน"
"ตรงนี้แหละ เห็นตรงหน้าของคุณ"
ผมไม่มีอารมณ์ที่อยากจะถกเถียงอีกต่อไป
"ทั้งหมดนี้หมายถึงอะไร?" ผมถาม
แกบอกว่า นกสีขาวนั้นคือลางชนิดหนึ่ง และการไม่ยิงมันเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
"ความตายของคุณได้มาเตือนคุณบ้างแล้ว" แกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบ่งถึงความลึกลับ "และมันเข้าในลักษณะที่เป็นความเย็นเยียบเสมอไปแหละ"
"คุณพูดถึงอะไร?" ผมถามออกมาด้วยความกลัว คำพูดที่น่าหวาดเสียวของแกทำให้ผมประสาทเสียขึ้นมาได้จริง ๆ
"คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับนกมากทีเดียว" แกพูด "คุณฆ่ามันมามาก รู้ด้วยว่าจะรอคอยอย่างไร คุณคอยอย่างอดทนนับเป็นชั่วโมง ผมรู้ดี และเห็นมันด้วย"
คำพูดของดอนฮวนทำให้ผมเกิดความรู้สึกสับสน ผมคิดว่าสิ่งมารบกวนผมมากที่สุดในส่วนที่เกี่ยวกับดอนฮวนก็คือความมั่นใจของแก ผมทนไม่ได้เลยในความมั่นใจชนิดที่แจ่มชัดลงไปในเรื่องสำคัญ ๆ ใจชีวิตของผม ซึ่งแม้แต่ตัวของผมเองไม่มีความมั่นใจเอาเลย
ผมรู้สึกเหี่ยวแห้งใจจนผมรู้สึกมองไม่เห็นตอนที่ดอนฮวนโน้มตัวมาทางผม จนกระทั่งแกกระซิบอะไรบางอย่างที่หูของผม ตอนแรกผมไม่เข้าใจ แกกระซิบอีกครั้ง แกบอกให้ผมหันไปมองอย่างผาด ๆ ตรงก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งทางซ้ายมือ
แกบอกว่าความตายของผมอยู่ที่นั่น มันกำลังมองมา และถ้าผมหันไปดูขณะที่แกให้สัญญาณผมก็จะเห็นตัวความตาย แกให้สัญญาณด้วยหางตา ผมหันไปดู
ผมคิดว่าผมเห็นการเคลื่อนไหวแวบหนึ่งเหนือหินก้อนนั้น ความเย็นยะเยียบวิ่งผ่านร่างของผม กล้ามเนื้อตรงท้องน้อยหดเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ ผมรู้สึกถึงการกระแทกเข้ามาและการกระตุกอย่างแรง หลังจากนั้นอีกขณะหนึ่งความรู้สึกตัวตามปกติจึงกลับมา และผมกล่าวแก้ตัวว่าที่ผมรู้สึกว่ามองเห็นเงาวูบหนึ่งนั้นเป็นภาพลวงตาเกิดจากการเอี้ยวศีรษะไปดูอย่างกระทันหัน
"ความตายเป็นสหายของเราตลอดไป" ดอนฮวนพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง
"มันอยู่ทางซ้ายมือของเราตลอดเวลา ความตายเฝ้าคุณอยู่ขณะที่คุณรอคอยเหยี่ยวเผือกตัวนั้น ความตายกระซิบที่หูของคุณ และคุณรู้สึกถึงความเย็นยะเยียบอย่างที่คุณรู้สึกในวันนี้ ความตายกำลังเฝ้าดูคุณอยู่เสมอไป มันเฝ้าคุณไม่ห่างไปไหนจนกระทั่งวันนี้ มันจะยื่นมือของมันออกมาแตะที่ตัวของคุณ"
แกยื่นมือออกมาแตะเบา ๆ ที่ไหล่ของผมพร้อมทำเสียงจุ๊ปากด้วยลิ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นทารุณมาก ผมไม่สบายเข้าไปจนถึงในกระเพาะลำไส้
"คุณคือเด็กที่ออกล่าและรู้จักรอคอยอย่างอดทนเหมือนกับที่ความตายกำลังคอยคุณอยู่ คุณรู้ดีว่าความตายอยู่ทางซ้ายมือในลักษณะเดียวกันกับที่คุณเฝ้าอยู่ทางซ้ายมือของเหยี่ยวเผือกตัวนั้น" คำพูดของแกมีพลังประหลาดชนิดที่จะเหวี่ยงผมจมลงสู่ความกลัวอันไม่มีเหตุผล สิ่งที่มาคุ้มครองเพียงอย่างเดียวคือบังคับตัวเองให้เขียนทุกสิ่งที่ดอนฮวนพูดออกมา
" เราจะเห็นตัวเองมีความสำคัญได้อย่างไร ในเมื่อเรารู้ว่าความตายกำลังล่าเราอยู่? " แกถาม ผมรู้สึกว่าแกไม่ได้ต้องการคำตอบ อย่างไรก็ตามผมก็ไม่น่าจะต้องพูดอะไรออกไป ความรู้สึกชนิดใหม่เกาะกุมผมเอาไว้
" สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำเมื่อคุณไม่มีน้ำอดน้ำทน " แกพูดต่อไป " คือ หันหน้าไปทางซ้ายมือแล้วขอคำแนะนำจากความตายของคุณ ความคับแคบจำนวนมหึมาจะมลายไปหากความตายกวักมือเรียกคุณ หรือเมื่อคุณมองเห็นมันแวบหนึ่ง หรือแม้เพียงคุณมีความรู้สึกว่าสหายของคุณอยู่ที่นั่น กำลังเฝ้าดูคุณอย ู่"
แกโน้มตัวลงมาทางผมอีกครั้งแล้วกระซิบที่หูของผมว่า หากผมหันไปทางซ้ายอย่างเร็วเมื่อแกให้สัญญาณแล้ว ผมจะเห็นความตายของผมที่หินก้อนนั้นอีก
ผมบอกแกว่าผมเชื่อ และแกไม่จำเป็นต้องบีบคั้นผมในเรื่องนี้เพราะผมกลัวแล้ว
แกหัวเราะออกมาเต็มเสียง แกบอกว่า ความตายยังไม่บีบเราเท่าที่ควรหรอก ผมแย้งแกว่า การอยู่กับความตายนั้นไม่มีความหมายสำหรับผม เพราะความคิดเช่นนี้ทำให้ผมอึดอัดและหวาดกลัวเท่านั้นเอง
"คุณน่ะมีแต่เรื่องเหลวไหล!" แกร้องบอกออกมา " ความตายคือผู้ที่มาแนะนำตักเตือนที่ฉลาดที่สุดเพียงผู้เดียวที่เรามี คราวใดที่คุณเกิดความรู้สึกชนิดที่เป็นอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือคุณกำลังถูกทำลายให้ย่อยยับลงไป ก็จงหันไปหาความตายแล้วถามว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ความตายจะบอกกับคุณว่าคุณคิดผิดไปแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจริง ๆ ที่ยิ่งไปกว่าสัมผัสของความตาย ความตายของคุณจะบอกกับคุณอีกว่า ' ฉันยังไม่ได้ยื่นมือมาสัมผัสคุณเลย '" แกสั่นหัวและดูจะคอยคำตอบจากผม
ผมไม่มีคำพูดที่จะพูดออกมา ความคิดของผมวิ่งโครมคราม ดอนฮวนได้ฟาดฟันอัตตาของผมให้ทรุดลงไป และความรู้สึกหยุมหยิมไร้สาระที่ผมแสดงออกกับดอนฮวนเป็นสิ่งเลวร้ายเมื่อผมคิดถึงความตาย
ผมรู้ว่าดอนอวนทราบดีถึงการที่ผมเปลี่ยนความรู้สึกไป แกจึงเปลี่ยนกระแสความรู้สึกให้เป็นชอบขึ้นมาด้วย แกยิ้ม แล้วครวญเพลงทำนองเม็กซิกันออกมา
"ใช่แล้ว" แกพูดออกมาค่อย ๆ หลังจากที่เงียบไปนาน
" เราคนใดคนหนึ่งต้องเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนอย่างรวดเร็วด้วย เราคนใดคนหนึ่งต้องเรียนรู้ว่าความตายคือผู้ล่า และความตายอยู่ทางซ้ายมือของเราเสมอไป เราคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ต้องขอคำแนะนำจากความตาย และละความคับแคบไร้สาระทั้งหลายที่มนุษย์มีอยู่ โดยใช้ชีวิตราวกับว่าความตายจะไม่ยื่นมือมาสัมผัสที่ตัวของพวกเขานั้นเสีย "
เราเงียบกันไปกว่าชั่วโมง ต่อมาเราออกเดินต่อ เราเดินลดเลี้ยวไปตามพุ่มไม้หลายชั่วโมง ผมไม่ได้ถามดอนฮวนว่ามีจุดมุ่งหมายอื่นใดหรือไม่ในการเร่ร่อนไปเช่นนี้ มันไม่จำเป็นเลย จะอย่างไรก็ตามแกทำให้ผมระลึกถึงความรู้สึกเดิม ๆ ขึ้นมาอีก เป็นความรู้สึกที่ลืมไปนานแล้ว นั่นคือความรู้สึกเริงร่าบริสุทธิ์ในการที่ได้เดินเฉย ๆ ไม่มีความคิดใด ๆ อีก
ผมอยากให้ดอนฮวนช่วยให้ผมเห็นเงาแวบหนึ่งที่ผมเห็นเหนือหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น
"ช่วยให้ผมเห็นเงาชนิดนั้นอีกได้ไหมดอนฮวน" ผมพูด
"คุณหมายถึงความตายของคุณใช่ไหม?" แกพูดออกมาเหมือนกับจะประชด
"ใช่" ผมพูดออกมาในที่สุด"ช่วยให้ผมดูตัวความตายของผมอีกสักครั้งสิ"
"ไม่ใช่เดี๋ยวนี้" แกตอบ "คุณทึบตันมากเกินไป"
"ขอโทษ นั่นหมายความว่าอย่างไร?"
แกหัวเราะ และจากเหตุผลที่ไม่ทราบได้ เสียงหัวเราะของแกไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกขุ่นเคืองหรือเห็นว่ามีเลศนัยดังที่เคยคิดมาก่อน ผมไม่เห็นว่าเสียงหัวเราะนั้นต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง ความดัง หรืออารมณ์ที่มันแสดงออกมา แต่ปัจจัยใหม่ที่เกิดขึ้นคือความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของผม ทัศนะที่ว่า ความตายอยู่ใกล้นิดเดียวนั้น ทำให้ความกลัวและความหงุดหงิดทั้งหลายเป็นเรื่องไร้สาระ
"ถ้าอย่างนั้นให้ผมพูดกับพืชก็แล้วกัน" ผมพูด แกหัวเราะก้องออกมาอีก
"ตอนนี้คุณดีเกินไปเสียแล้วละ" แกพูดออกมาขณะที่หัวเราะ
"คุณเคลื่อนจากปลายสุดด้านนี้ไปสู่ปลายสุดอีกด้านหนึ่ง จงอยู่นิ่ง ๆ ไม่จำเป็นที่จะพูดกับต้นไม้นอกจากว่าคุณต้องการทราบความลึกลับของมัน และการที่จะทำเช่นนั้น คุณจำต้องมีความตั้งใจจริงไม่ยอมลดละจนถึงที่สุด
"ดังนั้นจงประคองความปรารถนาของคุณไว้ และไม่จำเป็นต้องเห็นตัวความตายของคุณด้วย นับว่าเพียงพอแล้วที่จะรู้สึกถึงการปรากฏตัวของมันใกล้ชิดอยู่กับตัวของคุณ"