ผู้เขียน หัวข้อ: สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 11 สตูปสันทรรศนปริวรรต ว่าด้วยการสันทัศนาพระสถูป  (อ่าน 2697 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



“ธรรมปรัชญา : เทวานุภาพ” โดยสุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์
http://www.visualizer-club.com/index2.php
พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ

วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต

บทที่ 11
สตูปสันทรรศนปริวรรต
ว่าด้วยการสันทัศนาพระสถูป


      ได้ยินว่า พระสถูปที่ประดับด้วยรัตนะทั้ง 7 ได้ผุดขึ้นท่ามกลางบริษัท เบื้องหน้าที่พระทับของพระตถาคต สถูปนั้นมีความสูง 500 โยชน์ มีความกว้างพอสมควร ครั้นผุดขึ้นแล้วสถูปนั้นได้ตั้งตระหง่านอยู่ในอากาศ งดงาม น่าดูยิ่งนัก ประดับด้วยแท่นบูชารับดอกไม้ 5,000 แท่น ตกแต่งด้วยซุ้มประตูหลายพันซุ้ม ประดับด้วยธงปฏากและมาลา จำนวนหลายพัน พวงรัตนะ จำนวนหลายพัน ผ้าแพร และระฆังจำนวนหลายพัน กลิ่นหอมของภาชนะผงเจิมและ ไม้จันทน์ ย่อมกระจายทั่วไป โลกธาตุนี้ทั้งปวงถูกปกคลุมด้วยกลิ่นหอมนั้น ฉัตรของสถูปนั้นประดับด้วยรัตนะทั้ง7 คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ปะการัง มรกต พลอย และเพชร ส่องแสง ประกายไปถึงภพของเทพมหาราชทั้ง 4 ในสถูปที่ผุดขึ้นนั้น เทวบุตรทั้งหลาย ผู้อยู่ในตรัยตรึงค์ ได้สักการะ เคารพบูชา รัตนสถูปนั้น ด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ อันเป็นทิพย์ทั้งหลายจากรัตนสถูปนั้น มีเสียงกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ดีละ ธรรมบรรยาย คือสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ พระองค์ตรัสดีแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ ข้าแต่ พระสุคต ข้อนั้นเป็นอย่างนี้

       ได้ยิน ว่าขณะนั้น บริษัททั้ง 4 ที่ได้เห็นรัตนสถูป ที่ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าต่างพากันยินดี มีความปีติปราโมทย์ ในเวลาพร้อมๆกันได้พากันลุกจากอาสนะยืนประคองอัญชลีอยู่

        ได้ยิน ว่าขณะนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า มหาประติภาน ได้ทราบว่า ชาวโลกรวมทั้งเทวดา มนุษย์ และอสูร มีความประหลาดใจ จึงได้กราบทูลถามข้อความนั้น กับพระผู้มีพระภาคว่า "อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการเกิดขึ้นในโลก ของมหารัตนสถูปเห็นปานนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ใครเปล่งเสียงเห็นปานนี้ออกมาจากมหารัตนสถูปนี้? เมื่อมีคำทูลถาม อย่างนั้น  พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกระพระโพธิสัตว์พระมหาสัตว์ "มหาประติภาน" นั้นว่า ดูก่อน มหาประติภาน อาตมภาวะ ซึ่งมีองค์เป็นหนึ่ง ย่อมสถิตอยู่ในมหารัตนสถูปนี้ นี้คือสถูปของพระองค์ พระองค์คือผู้เปล่งเสียง ดูก่อนมหาประติภาน ยังมีโลกธาตุ ชื่อว่า รัตนวิศุทธา มากกว่าพันร้อยหมื่นโกฏิจนไม่สามารถจะนับได้ ในทิศเบื้องล่าง ในที่นั้น มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ประภูตรัตนะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้มีประณิธาน ดังนี้ "เรายังไม่ได้ฟังธรรมบรรยายปุณฑรีกสูตรนี้ อันเป็นวาทะของพระโพธิ์สัตว์ตราบใด เราจะปฏิบัติวัตรของพระโพธิสัตว์ต่อไป จะไม่ก้าวลงสู่อนุตตรอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณตราบนั้น

เมื่อใด เราได้ฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อนั้นเราจะเข้าสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในภายหลัง ดูก่อนมหาประติภาน ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ นั้น ได้ตรัสไว้อย่างนี้ แก่ประชาชนและสมณพราหมณ์ของชาวโลก เทวโลก มารโลก รวมทั้งพรหมโลก ในสมัยที่ประนิพพานว่า"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายพึงสร้างมหารัตนสถูปขึ้นองค์หนึ่ง เพื่อบรรจุอาตมภาวะของเรา ผู้เป็นตถาคตที่ประนิพพานแล้ว สถูปอื่นๆ ที่เหลือก็ควรสร้างอุทิศเรา ดูก่อนมหาประติภาน ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประภูตรัตนะนั้น ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"สถูป อันเป็นที่เก็บอาตมภาวะของเรา พึงผุดขึ้นตั้งตระหง่าน ในโลกธาตุทั้งปวงทั้ง 10 ทิศ ที่มีการประกาศธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ในพุทธเกษตรทั้งมวล ในสถานที่ที่พระผู้มีพระภาค ทั้งหลายเหล่านั้น แสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ขอให้สถูปลอยอยู่บน (ตั้งอยู่ใน) ท้องฟ้าเหนือมณฑลบริษัท ขอให้สถูปอันเป็นที่บรรจุอาตมภาวะของเรานี้ พึงให้เสียงสาธุการ แก่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้แสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้" ดูก่อนมหาประติภานนี้คือสถูปนั้น เป็นสถูปบรรจุพระสรีรธาตุของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่า ประภูตรัตนะ เมื่อเราแสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรในสหาโลกธาตุนี้อยู่ สถูปก็ได้ผุดขึ้นในท่ามกลางมณฑลของบริษัทตั้งลอยอยู่ท่ามกลางอากาศในท้องฟ้าแล้วเปล่งเสียงสาธุการ

        ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า มหาประติภาน ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมเห็นรูปของพระตถาคต เพราะอานุภาพของพระผู้มีพระภาค เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวดังนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสกระพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มหาประติภาน ว่า "ดูก่อนมหาประติภาน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะนั้นได้มีประณิธานที่หนักแน่น ประณิธานนั้นของพระองค์ที่ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อใดพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในพุทธเกษตร พึงแสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อนั้นขอให้สถูปอันบรรจุอาตมภาวะ ของข้าพระองค์นี้ พึงอยู่ในที่ใกล้พระตถาคต เมื่อฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น มีความปรารถนาจะเปิดเผยรูปแห่งอาตมภาวะของตนแก่บริษัท 4 เมื่อนั้น รูปแห่งพระตถาคตทั้งหลาย ที่พระตถาคตเหล่านั้นนิรมิตอาตมภาวะไว้ในพุทธเกษตรอื่นๆ ทั้งสิบทิศ ซึงมีนามต่างกัน ย่อมแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรเหล่านั้น สถูปอันบรรจุอาตมภาวะของเรานี้ จงรวมรูปเหล่านั้นทั้งหมด กับรูปของพระตถาคตที่นิรมิตขึ้นจากอาตมภาวะแล้ว เปิดเผยให้บริษัท 4 ได้เห็น ดูก่อนมหาประติภาน เราได้นิรมิตรูปของพระตถาคตไว้จำนวนมาก รูปเหล่าใด ย่อมแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ในพันโลกธาตุในพุทธเกษตรทั้งหลายเหล่าอื่นทั้งสิบทิศ ขอให้รูปเหล่านั้นทั้งปวง พึงมารวมกันในที่นี้

        ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มหาประติภาน ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอถวายบังคม อาตมภาวะของพระตถาคต และรูปที่พระตถาคตนิรมิตแล้วทั้งหลายเหล่านั้น ได้ยินว่า ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงเปล่งพระรัศมีออกจากอูณณาโกศ (พระอุษณีย์=อุณาโลม) เมื่อพระรัศมีถูกเปล่งออกโดยรอบ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ใน ห้าพันร้อยหมื่นโกฏิแห่งโลกธาตุทั้งหลาย ซึ่งเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ในทิศตะวันออก ก็ปรากฏให้เห็นโดยทั่วกัน พุทธเกษตรเหล่านั้นซึ่งประดับด้วยแก้ว ก็สามารถมองเห็นได้ ความวิจิตรทั้งหลายจักปรากฏด้วยรัตนพฤกษ์ประดับด้วยผ้าไหมแลผ้าแพร พรั่งพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์หลายพันร้อยพระองค์ กั้นด้วยตาข่าย ทองเงินทั้งแปด ซึ่งกางออกเป็นเพดาน ในพุทธเกษตรเหล่านั้น ย่อมปรากฏพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กำลังแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยพระสุระเสียงอันไพเราะอ่อนหวาน พุทธเกษตรทั้งหลายเหล่านั้น จักปรากฏพรั่งพร้อมไปด้วยพระโพธิสัตว์หลายพันร้อยองค์ ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในทิศใต้ ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในทิศตะวันตก ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในทิศเหนือ ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในทิศเบื้องล่างและในทิศเบื้องบน ในทิศทั้ง 10 โดยรอบ ในแต่ละทิศ มีพุทธเกษตรจำนวนพันร้อยหมื่นโกฏิเหมือนกับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ในโลกธาตุจำนวนพันร้อยหมื่นโกฏิ เปรียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาจักปรากฏ

        ได้ยินว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในสิบทิศ ได้ตรัสกะคณะพระโพธิสัตว์ของตนว่า "ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราทั้งหลาย จักต้องกลับไปสู่สหาโลกธาตุอีกอันเป็นที่ใกล้ชิดของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคศากยมุนี เพื่อนมัสการสถูปแห่งพระสรีรธาตุ ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น พร้อมด้วย รูปแห่งตนของพระตถาคต ผู้มีตนเป็นที่สอง มีตนเป็นที่สาม ได้เสด็จมาสู่สหาโลกธาตุนี้อีก ในสมัยนั้น โลกธาตุนี้ทั้งปวง ประดับด้วยต้นรัตนพฤกษ์ สำเร็จจากแก้วไพฑูรย์ ปกคลุมด้วยตาข่ายแห่งรัตนะทั้ง 8 เปล่งประกายด้วยมหารัตนะและธูปหอม กระจายด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ ประดับด้วยตาข่ายกระดิ่งเล็กๆที่เชื่อมจุดทั้ง 8 ด้วยสายทองคำ ปราศจากหมู่บ้าน นคร นิคม ชนบท เมือง(ราษฎร) และราชธานี

ปราศจากภูเขาที่เกิดตามกาล ปราศจากภูเขามุจลินทรและมหามุจลินทร์ ปราศจากภูเขาในจักรวาลและมหาจักรวาล ปราศจากภูเขาพระสุเมรุ ปราศจากภูเขาอื่นๆ นอกจากนั้นยังปราศจากมหาสมุทร ปราศจากนทีและมหานที ได้ตั้งอยู่โดยปราศจากเทพ มนุษย์และอสุรกาย ปราศจากนรก ดิรัจฉานและยมโลก เพราะว่า ในสมัยนั้น สัตว์ทั้งหลาย ผู้เข้าถึงคติ 6 ในสหาโลกธาตุนี้ ถูกย้ายไปในโลกธาตุอื่นทั้งหมด ครั้นดำรงอยู่แล้วจะไปบังเกิดในบริษัทนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้มีอุปัฏฐากเป็นที่สองบ้าง เป็นที่สามบ้าง ได้เสด็จมาสู่สหาโลกธาตุนี้

พระตถาคตเหล่านั้นผู้มาแล้วๆ ได้เข้าสู่สิงหาสน์ประทับที่โคนรัตนพฤกษ์ ต้นรัตนพฤกษ์แต่ละต้นสูง 500 โยชน์ แผ่กว้างด้วยกิ่งก้านไปพอสมควร สะพรั่งด้วยดอกและผล
สิงหาสน์ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ แต่ละต้นทราบกันดีว่าสูง 500 โยชน์ ประดับด้วยมหารัตนะ พระตถาคตแต่ละพระองค์ มิใช่น้อยต่างนั่งขัดสมาธิที่รัตนบัลลังก์นั้น พระตถาคตทั้งหลาย ต่างนั่งขัดสมาธิ ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ทั้งปวงในโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ (ตรีสหัสรมหาหัสรโลกธาตุ) เหล่านี้ ทั้งปวงโดยปริยายนี้

        ได้ยินว่า ในสมัยนั้น โลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ เนื่องแน่นไปด้วยพระตถาคตรูปนิรมิตจากอาตมภาวะ ของพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตทั้งปวงยังไม่ได้มาแม้จากทิศาภาคหนึ่ง ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ให้โอกาสแก่รูปพระตถาคตเหล่านั้นผู้มาแล้ว จากทิศทั้งแปดโดยรอบมีพุทธเกษตร 20 พันร้อยหมื่นโกฏิทั้งหมดประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ปกคลุมด้วยตาข่ายรัตนะทั้ง 8 ประดับด้วยตาข่ายกระดิ่ง ดารดาษด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ กางด้วยเพดานทิพย์ ห้อยระย้าด้วยพวงดอกไม้ทิพย์ อบอวนด้วยกลิ่นธูปหอมอันเป็นทิพย์ พุทธเกษตร 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิเหล่านั้นทั้งหมดปราศจากหมู่บ้าน ฯลฯ พุทธเกษตรเหล่านั้นทั้งหมดได้สรุปให้เป็นพุทธเกษตรเดียว และเป็นภูมิประเทศเดียวเท่านั้น วิจิตรด้วนต้นรัตนพฤกษ์ทั้ง 7 อันน่ารื่นรมย์ยิ่ง ต้นรัตนพฤกษ์เหล่านั้นแต่ละต้นสูงและกว้าง 500 โยชน์สมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน ดอก และผลพอสมควร

เป็นที่ทราบว่า ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์นั้น มีสิงหาสน์สูงและกว้าง 500 โยชน์ ประดับด้วยทิพยรัตนะ อันวิจิตรนาทัศนายิ่ง พระตถาคตทั้งหลาย ผู้มาแล้วได้ประทับนั่งขัดสมาธิ ที่สิงหาสน์ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ เหล่านั้น โดยปริยายนี้ พระตถาคตศากยมุนี ยังประโยชน์แห่งโอกาสให้บริสุทธิ์โดยรวม เพื่อพระตถาคตทั้งหลายผู้มาแล้วในแต่ละทิศ ตลอด 20 พันร้อยหมื่นโกฏิโลกธาตุอื่นๆ อีก ในแต่ละทิศโลกธาตุ 20 พันร้อยหมื่นโกฏิเหล่านั้น ถูกจัดให้ปราศจากหมู่บ้าน ฯลฯ ปราศจากนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน และยมโลก สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้นถูกจัดไว้ในโลกธาตุอื่น พุทธเกษตรทั้งหลายเหล่านั้น ประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ฯลฯ งดงามด้วยรัตนพฤกษ์ ต้นรัตนพฤกษ์เหล่านั้น ทั้งปวงสูงประมาณ 500 โยชน์ สิงหาสน์ที่นิรมิตขึ้นสูงประมาณ 5 โยชน์ ถัดจากนั้นพระตถาคตเจ้าเหล่านั้น ประทับนั่งขัดสมาธิที่สิงหาสน์ ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ทั้งหลายติดต่อกัน(โดยไม่เว้นช่องว่าง)

         ได้ยินว่า สมัยนั้น ในทิศบูรพา พระตถาคต ที่พระผู้มีพระภาคศากยมุนีนิรมิตขึ้น ได้แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ที่มาจาก 10 ทิศ ในร้อยพันหมื่นโกฏิพุทธเกษตรซึ่งเปรียบด้วยเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา พระตถาคตผู้มาแล้ว ได้ประทับนั่งในทิศทั้ง 8 ได้ยินว่าในสมัยนั้นในทิศต่างๆ สามสิบพันร้อยหมื่นโกฏิโลกธาตุ เนืองแน่นไปด้วยพระตถาคตโดยรอบ (ทุกด้าน) ทั้ง 8 ทิศ พระตถาคตเหล่านั้นเสด็จไปในที่ประทับของตน ได้ส่งอุปัฏฐากของตนไปสู่ที่ใกล้พระตถาคตศากยมุนี ได้ถวายถุงรัตนบุปผา แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปสู่ภูเขาคิชกูฏ ครั้นไปถึงแล้ว จงไหว้พระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถามถึงพลังแห่งอาพาธความเหน็ดเหนื่อย ผัสสะและการเป็นอยู่ ตามคำของเรา พร้อมกับคณะพระโพธิสัตว์และคณะพระสาวก ท่านทั้งหลาย จงกระจายกองรัตนะนี้ จงกล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตถาคตย่อมประทาน พอใจในการเปิดมหาสถูปรัตนะนี้ พระตถาคตทั้งหลาย ได้ส่งไปอุปัฏฐากของตน ทั้งปวงไปด้วยประการฉะนี้

        ได้ยินว่า ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคต ทรงเห็นพระตถาคตที่พระองค์ทรงนิรมิตขึ้นมา ทุกพระองค์ ทรงเห็นพระตถาคตผู้นั่งในสิงหาสน์ต่อๆกัน ทรงเห็นความพอใจที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น  ยินดีแล้ว ได้เสด็จลุกจากธรรมมาสนะ แล้วประทับยืนในท่ามกลางอากาศ บริษัท 4 ทั้งปวงเหล่านั้น ลุกจากที่นั่ง ประคองอัญชลี เพ่งมองพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค ได้เปิดมหารัตนสถูปนั้น ที่ลอยอยู่ในอากาศด้วยพระองคุลีแห่งพระหัตถ์ข้างขวา ณ จุดกลาง

ครั้นเปิด แล้วมหาสถูปแยกออกเป็น 2 ส่วน บานประตูใหญ่ทั้งสอง ที่ประตูของมหานคร ย่อมเปิดออกในเมื่อถอดกลอนฉันใด พระตถาคต ทรงเลือกเปิดมหารัตนสถูป ที่สถิตอยู่ในอากาศ ณ จุดกลางด้วยพระองคุลีแห่งพระหัตถ์ขวาฉันนั้น เมื่อมหารัตนสถูปนั้น เปิดออกโดยรอบ
พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ ได้เสด็จเข้าไปสู่สิงหาสน์ ประทับนั่งขัดสมาธิ พระวรกายซูบผอม ซีดขาว ปรากฏราวกับอยู่ในสมาธิ พระองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดีละ ดีละ พระผู้มีพระภาคศากยมุนี สัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ เป็นธรรมบรรยายที่พระองค์ตรัสดีแล้ว ดีละ พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ที่พระองค์ได้ตรัสธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ ในท่ามกลางบริษัท ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เราเองก็เสด็จมาในที่นี้เพื่อฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้เช่นกัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 06, 2011, 12:48:14 pm โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


สถูปโพธนาถเป็นสถูปขนาดใหญ่ทรงเดียวกับสถูปสวยัมภูนาถ
ในขณะที่สถูปสวยัมภูนาถเป็นสถูปที่เก่าแก่ที่สุดในหุบเขากาฏมัณฑุ
แต่สถูปโพธนาถเป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในหุบเขาแห่งนี้เช่นกัน

เมื่อบริษัท 4 เหล่านั้น ได้เห็นพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ ผู้ปรินิพพานไปแล้ว หลายพันร้อยหมื่นโกฏิกัลป์ กำลังตรัสอยู่อย่างนั้น ได้ถึงความมหัศจรรย์ใจและประหลาดใจอย่างยิ่ง ขณะนั้น (บริษัททั้ง 4 ) ได้โปรยกองรัตนะ อันเป็นทิพย์และของมนุษย์ (เพื่อบูชา) พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ และพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยมุนี ได้ยินว่า ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ ได้ประทานสิงหาสน์ครึ่งหนึ่งบนบังลังก์นั้น แก่พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยมุนี ในระหว่างแห่งมหารัตนสถูปนั้นเอง (พระองค์) ได้ตรัสอย่างนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคศากมุนีตถาคตจงประทับนั่งในที่นี้ ได้ยินว่าขณะนั้นพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตได้ประทับนั่งบนอาสนะครึ่งหนึ่งรวมกับพระตถาคตนั้น พระตถาคตทั้งสองพระองค์นั้นได้เสด็จเข้าไปสู่สิงหาสน์ในท่ามกลางมหารัตนสถูปนั้นที่ปรากฏเด่นในฟากฟ้า

         ได้ยินว่า ครั้งนั้น บริษัททั้ง 4 เหล่านั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "พวกเราอยู่ห่างไกลจากพระตถาคตทั้งสองนี้ยิ่งนัก อย่างไรหนอ พวกเราพึงได้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ด้วยอานุภาพของพระตถาคต ได้ยินว่าครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ทรงทราบความปริตกแห่งจิตของบริษัท 4 เหล่านั้นด้วยจิต (ของพระองค์) นั่นเอง จึงยังบริษัท 4 เหล่านั้นให้ดำรงอยู่บนท้องฟ้าด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคศากยมุนีได้ตรัสเรียกบริษัททั้ง 4 เหล่านั้นในเวลานั้นว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาท่านทั้งหลาย ใครสามารถเพื่อประกาศสัทธรรมปุณฑรีตสูตรบรรยายนี้ ในสหาโลกธาตุนั้นคือ กาลสมัยนั้น ณ  เบื้องพระพักตร์ พระตถาคต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตได้มอบธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ แล้วก็ปรารถนาจะเข้าสู่ปรินิพพาน

ดวงตาแห่งธรรมบนสถูปสวยัมภูนาถ  เป็นดวงเนตรแห่งความกรุณา ดวงตาเห็นธรรม  เปรียบเสมือนพระพุทธเจ้ากำลังจ้องมองทุกคนอยู่  เพื่อให้เราประกอบแต่คุณงามความดีเพื่อบรรลุซึ่งความหลุดพ้น  ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างมีลวดลายเหมือนจมูก แท้จริงแล้วเป็นเลข ๑ ในภาษาเนปาล ซึ่งตีความได้หลายอย่าง อาจหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสิ่งหรือหมายถึงหนทางแห่งการดับทุกข์มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น  นอกจากนั้นระหว่างคิ้วทั้งสองข้างยังมีดวงตาที่สามตรงกลางหน้าผาก ถือเป็นดวงตาแห่งปัญญา :http://cherokee.exteen.com/20101124/entry

        ได้ยินว่าในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระถาคาเหล่านี้ว่า
1      มหาฤาษีองค์นี้ แม้ปรินิพพาน แล้วยังเป็นผู้นำ ได้เสด็จมาสู่รัตนสถูป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใครละที่ปรารถนาจะฟังธรรมนี้ จะไม่เกิดความกล้าเพราะเหตุแห่งธรรม
2      พระมหามุนีนั้น แม้ปรินิพพานแล้วหลายโกฏิกัลป์ ยังมาฟังธรรมเห็นปานนี้เป็นเพราะเหตุแห่งธรรม พระองค์จึงได้เสด็จไปในที่นั้นๆ พระธรรมเห็นปานนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
3      ประณิธานที่ใช้อยู่ของพระผู้นำพระองค์นี้ ซึ่งมีมาแต่ภพก่อนว่า แม้ปรินิพพานแล้วก็จะเที่ยวไปสู่โลกนี้ทั้งปวงทั้ง 10 ทิศ
4      อาตมภาวะ (ร่างกาย) ของข้าพเจ้าทั้งปวงเหล่านี้ มีจำนวนหลายพันโกฏิดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา อาตมภาวะเหล่านั้น มาในรูปที่สร้างขึ้นของการสร้างพระธรรม เพื่อเฝ้าพระผู้เป็นที่พึ่งนี้ แม้ปรินิพพานแล้ว
5      เมื่อได้จัด (พุทธ) เกษตรแต่ละแห่งแล้ว ได้จัดเทพทั้งปวงไว้ในระหว่างสาวกพระสาวกทั้งปวงเหล่านั้น เป็นผู้นำทางธรรม ได้ดำรงอยู่สิ้นกาลนาน เพื่อเหตุแห่งการรักษาพระสัทธรรม

6      พันโกฏิแห่งโลกธาตุจำนวนมาก ที่เราจัดไว้เพื่อให้เป็นที่ประทับนั่งของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น  และทำให้สัตว์ทั้งปวงบริสุทธิ์ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์
7      ผู้นำทางธรรมที่เป็นเช่นนี้ ที่ได้ประกาศ(ธรรม) เราได้สร้างไว้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าเหล่านี้ มีจำนวนประมาณมิได้ ได้ประทับอยู่ที่โคนต้นไม้ราวกับกองดอกบัว
8      มีกายมิใช่น้อยจำนวนโกฏิ ปรากฏ ณ โคนต้นไม้ เมื่อพระผู้นำประทับนั่งบนสิงหาสน์ งดงามดำรงอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์ ด้วยพระอัคนีเทพราวกับว่าจะกำจัดความมืดฉะนั้น
9      กลิ่นหอมของพระผู้นำแห่งโลก เป็นที่รู้ได้ด้วยใจ ย่อมกระจายไปในทิศทั้ง 10 เมื่อลมพัดพาไป สัตว์ทั้งปวงเหล่านี้ย่อมลุ่มหลงตลอดกาลเป็นนิตย์
10     เมื่อเราปรินิพพานแล้วผู้ใดพึงทรงจำไว้ซึ่งธรรมบรรยายนี้  ผู้นั้นจงเปล่งวาจาต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นที่พึ่งของชาวโลกโดยเร็ว


11     พระพุทธเจ้าประภูตร้ตนมุนี แม้ปรินิพพานแล้ว ยังกระทำความพยายามในการฟังสิงหนาทของพระองค์
12     พระผู้นำจำนวนมากหลายโกฏิ ได้มาที่นี้ เราเป็นที่สอง จำพยายามฟังพระชินบุตร ผู้อดทน เพื่อประกาศพระธรรมนี้
13     เพราะเหตุนั้น เราและพระประภูติรัตนชินสวยัมภู จึงได้รับการบูชาในกาลทุกเมื่อ ผู้เสด็จไปสู่ทิศน้อยใหญ่เป็นนิตย์เพื่อฟังธรรมที่มีลักษณะอย่างนี้
14     พระโลกนาถเหล่านี้ ผู้เสด็จมาแล้ว ผู้ทำให้แผ่นดินนี้วิจิตร งดงาม การบูชาอันไพบูลย์ มิใช่น้อย พึงกระทำแก่พระโลกนาถเหล่านั้น ด้วยการประกาศพระสูตร(นี้)
15     เราปรากฏบนอาสนะนี้และพระผู้มีพระภาคที่ประทับอยู่ในท่ามกลางสถูปและพระโลกนาถจำนวนมากเหล่าอื่น ผู้มาแล้วจากร้อย (พุทธ) เกษตรมิใช่น้อย

16     โอ ดูก่อนกุลบุตร ท่านทั้งหลายจงตั้งใจ ด้วยความเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง พระผู้นำทั้งหลาย ได้อดทนต่อสถานะนี้ที่ทำได้ยากยิ่ง
17     บางคนพึงประกาศพระสูตรจำนวนมากหลายพัน เทียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ข้อนั้นไม่ชื่อว่ากระทำได้ยาก
18     บุคคลใดได้รวบเขาพระสุเมรุไว้ด้วยกำมือแล้วขวางไปสิ้นโกฏิ (พุทธ) เกษตรนั้นก็ไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก
19     บุคคลใดพึงยังโลกนี้ใสให้หวั่นไหวด้วยหัวแม่เท้า แล้วพึงทิ้งไปสิ้นหลายโกฏิพุทธเกษตร ข้อนั้นก็ไม่ชื่อว่าทำได้ยาก
20     บางคนในโลกนี้ได้ยืนอยู่ที่ปลายโลกแล้วพึงฟังธรรม สิ้นพระสูตรอื่นๆ จำนวนหลายพัน ข้อนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก


21     เมื่อผู้เป็นใหญ่ในโลกปรินิพพานแล้ว ผู้ใดพึงทรงจำไว้และกล่าวพระสูตรนี้ ในกาลภายหลังที่น่ากลัวยิ่ง ข้อนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง
22     ส่วนบุคคลใดได้วางอากาศธาตุทั้งปวงไว้ในกำมือหนึ่ง  แล้วโยนทั้งไป ข้อนั้นก็ไม่ชื่อว่าทำได้ยากยิ่ง
23     ส่วนบุคคลใด พึงคิดคัดลอกพระสูตรนี้ ในกาลภายหลัง เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ข้อนี้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง
24     บุคคลใดพึงยังปฐวีธาตุทั้งปวงให้เข้าไปสู่ปลายเล็บแล้วสลัดทั้งขึ้นไปถึงพรหมโลก
25     เพราะว่า บุคคลนั้นไม่พึงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก และไม่พึงกระทำความกังวลแห่งความเพียร เมื่อกระทำสิ่งที่ทำได้ยากนั้น จากที่สุดของโลกทั้งปวง

26     ต่อจากนี้ เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ผู้ใดพึงกล่าวพระสูตรนี้ ในกาลภายหลังแม้เพียงครู่หนึ่ง ข้อนี้ชื่อว่ากระทำได้ยากยิ่ง
27     บุคคลใดพึงเข้าไปในท่ามกลางไฟบรรลัยกัลป์ในโลก และพึงนำภาระแห่งหญ้าที่ไฟกำลังเผาไหม้อยู่ออกไป สิ่งนี้ไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก
28     ต่อจากนี้ไป เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ผู้รักษา (ทรงไว้) และยังสัตว์ผู้หนึ่งให้ฟังพระสูตรนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า
29     บุคคลพึงทรงจำพระธรรมสิ้น 84,000 ธรรมขันธ์ เขาพึงแสดงธรรม ที่ได้รับการแนะนำแล้ว แห่สัตว์จำนวนหลายโกฏิ
30     เพราะว่า สิ่งนี้ไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก คือ พึงแนะนำความเจริญแก่ภิกษุทั้งหลาย ในกาลนั้น และพึงยังสาวกของเราทั้งหลาย ให้ตั้งอยู่ในอภิญญา 5


31    สิ่งนี้ชื่อว่ากระทำได้ยากกว่า คือบุคคลพึงทรงจำพระสูตรนี้ พึงเชื่อ พึงหลุดพ้น และพึงกล่าวพระสูตรนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
32     ผู้ใดยังสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากหลายพันโกฏิ ดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ผู้ได้อภิญญา 6 เป็นมหัพภาค ให้ดำรงอยู่ในความเป็นพระอรหันต์
33     บุคคลผู้ประเสริฐนั้นชื่อว่าย่อมกระทำหรรมมากกว่านี้ เมื่อได้ทรงจำพระสูตรอันประเสริฐของเรา ผู้ปรินิพพานแล้ว
34    ธรรมจำนวนมาก ที่เราได้กล่าวแล้วในหลายพันโลกธาตุ แม้ในวันนี้ เราจะกล่าวจากเหตุแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
35    พระสูตรที่ใครๆ ก็กล่าวว่าเป็นยอดของพระสูตรทั้งปวง ผู้ใดย่อมทรงจำไว้ซึ่งพระสูตรนี้ ผู้นั้นชื่อรักษาพระสรีระของพระชินเจ้าด้วย

36    โอ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงกล่าวเฉพาะพระพักตร์พระตถาคตของท่านเถิด บางคนจะพยายามทรงจำเพียงเล็กน้อยในภายหลัง
37     ผู้ใดทรงจำพระสูตรนี้ ที่จำได้ยาก แม่เพียงครู่หนึ่ง พระโลกนาถทั้งปวงก็จะมีความปีติยินดีอย่างใหญ่หลวง
38     พระโลกนาถทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น ในกาลทุกเมื่อ เขาเป็นผู้กล้าที่หยิ่งผยอง เป็นผู้ได้อภิญญาเพื่อพระโพธิญาณโดยเร็ว
39     บุคคลนั้น เป็นผู้นำภาระโอรสของพระโลกนาถ เป็นผู้ถึงภูมิแห่งทาน ย่อมรักษาไว้ซึ่งพระสูตรนี้
40     เมื่อพระผู้นำแห่งนรชน ปรินิพพานแล้ว เขาผู้ประกาศพระสูตรนี้ จักเป็นจักษุของโลกพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์


41     บุคคลใดพึงกล่าวพระสูตรนี้แม้ชั่วครู่หนึ่ง ในกาลภายหลัง บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต เป็นผู้ที่สัตว์ทั้งปวงควรไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 14, 2011, 07:13:26 am โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


Bodhnath กล่าวกันว่าเป็นสถูปเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาลและในโลก
เป็นศูนย์กลางทาง ศาสนาของชาวทิเบต

  ได้ยินว่าครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะคณะของพระโพธิสัตว์ ชาวโลกรวมทั้งเทพและอสูรทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนซึ่งเป็นกาลเวลาแห่งอดีต เราได้แสวง สัทธรรมปุณฑรีกสูตร สิ้นกัลป์ที่ไม่สามารถประมาณนับได้ โดยเป็นผู้ไม่หวั่นไหวและไม่เหน็ดเหนื่อย ในกาลก่อน เราได้เป็นพระราชา สิ้นกัลป์มิใช่น้อย สิ้นร้อยพันกัลป์มิใช่น้อย ได้ตั้งประณิธานไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ความประพฤติของเรา ไม่เปลี่ยนไปจากความหวังที่คิดไว้ เราได้พยายามด้วยการยังบารมี 6 ให้สมบูรณ์ เป็นผู้ให้ทานอันประมาณมิได้ ได้บริจาคทองมณี มุกดา ไพฑูรย์ สังข์ แก้วประพาฬ เงิน ทอง มรกต ปะการัง พลอย หมู่บ้าน เมือง นิคม ชนบท ราษฎร ราชธานี ภรรยา บุตร ธิดา ทาสี ทาสา กรรมกร บุรุษ ช้าง ม้า รถ ได้สละสรีระของตน ได้สละแขน ขา อวัยวะเบื้องสูง หรือศีรษะ องค์แห่งอินทรีย์ (อวัยวะเครื่องสัมผัส =ตา หู จมูก ฯลฯ) และชีวิต จิตแห่งการยึดมั่น แม้ครั้งหนึ่ง ก็ไม่เกิดขึ้นแก่เรา

ก็โดยสมัยนั้น โลกนี้ยังมีอายุยืนยาว ก็เราได้สร้างราชสมบัติตามความถูกต้องแห่งธรรม ตามกาล มิใช่ตามความถูกต้องตามวิสัย ด้วยชีวิตหลายร้อยพันปี เรานั้นได้อภิเษกผู้พี่ไว้ ในราชสมบัติแล้ว ก็พยายามแสวงหาพระธรรมอันประเสริฐทั้ง 4 ทิศ คำอย่างนี้  ได้ให้ประกาศแล้วด้วย (การตี) ระฆังว่า ผู้ใดจักให้ธรรมอันประเสริฐแก่เรา หรือจักบอกสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจะยอมเป็นทาสของผู้นั้น โดยกาลนั้น ได้มีฤาษีตนหนึ่ง ท่านได้กล่าวคำนี้แก่เราว่า "ข้าแต่มหาราชมีพระสูตรหนึ่ง ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นสูตรที่แสดงถึงธรรมอันประเสริฐยิ่ง ถ้าท่านจักเข้าถึงความเป็นทาส (ของข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าจักให้ท่านได้ฟังพระธรรมนั้น ข้าพเจ้าครั้นได้ฟังแล้ว เกิดความพอใจยินดีถ้อยคำของฤาษีนั้น มีใจเป็นของตน เกิดปีติโสมนัสอย่างสูง ได้เข้าไปถึงที่อาศัยของฤาษีนั้น ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กล่าวว่า งานใดอันทาสพึงกระทำแก่ท่าน ข้าพเจ้าจักกระทำงานนั้น เรานั้น ครั้นเข้าถึงความเป็นทาสของฤาษีนั้นแล้ว ได้กระทำงานคนรับใช้ เช่น การหาหญ้า ไม้ น้ำ ผักกาด และผลไม้เป็นต้น และเราได้เป็นผู้รักษาประตูด้วย ครั้นเราทำงานต่างๆ ในเวลากลางวัน กลางคืนได้ประคองเท้าของท่านผู้นอนอยู่บนเตียงความเหน็ดเหนื่อยทางกายและจิตไม่ได้มีแก่เรา งานอย่างนี้ที่เรากระทำอยู่ถึงพันปีบริบูรณ์

        ได้ยินว่า ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาค เพื่อขยายข้อความนี้ให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

42     เราได้ระลึกถึงอดีตกาลล่วงมาแล้วหลายกัลป์ เมื่อครั้งเรายังเป็นธรรมราชา ผู้ประกอบด้วยธรรม เราได้ครองราชสมบัติ เพราะเหตุแห่งธรรม มิใช่เพราะเหตุแห่งความปรารถนา เพราะเหตุแห่งธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุด

43    เรากระทำการโฆษณานี้ไปสู่ทิศทั้ง 4 ว่าผู้ใดพึงบอกธรรม แก่เรา  เราจะยอมเป็นทาสของผู้นั้น โดยกาลนั้น ได้มีฤษีองค์หนึ่ง ผู้เป็นปราชญ์ ได้บอกชื่อพระสูตรว่า สัทธรรม (ปุณฑรีกะ)

44     ท่าน (ฤาษี) ได้บอกแก่เราว่า "ท่านมีความปรารถนาพระธรรม ท่านจงยอมเป็นทาส(ของข้าพเจ้าก่อน) ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าจะบอกธรรมแก่ท่าน

45     ความเหน็ดเหนื่อยทางกายและจิตไม่เป็นอุปสรรคแก่เรา ผู้ยอมเป็นทาสเพราะเหตุแห่งพระสัทธรรม เราอุทิศตนปฏิบัติ มิใช่เพราะเหตุแห่งความเป็นสัตว์ และมิใช่เพราะเหตุแห่งความใคร่

46     พระราชานั้น ได้ประกอบความเพียรแล้ว กรรมอย่างอื่นไม่มีในทิศทั้ง 10 พระองค์มีความทุกข์ สิ้นพันกัลป์เต็มบริบูรณ์ จึงได้รับพระสูตรที่ชื่อว่า "สัทธรรม(ปุณฑรีกะ)


        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคิดว่า ข้อนั้นเป็นไฉน พระราชาในกาลนั้น คือพระราชาอื่นหรือ?  ท่านทั้งหลาย ไม่ควรมีความเห็นอย่างนี้ เพราะเหตุไร?  เพราะว่าเราคือพระราชาในสมัยนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคิดว่า ฤาษีในสมัยนั้นคือบุคคลอื่นหรือได้ยินว่าท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นอย่างนี้ เพราะว่า ฤาษีในสมัยนั้น ก็คือภิกษุเทวทัตนี้เอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า พระเทวทัตคือกัลยาณมิตรของเรา บารมี 6 ประการ ที่เราได้สมบูรณ์ได้ก็เพราะอาศัยพระเทวทัต รวมทั้งมหาไมตรี มหากรุณา มหามุฑิตา และมหาอุเบกขา มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการอนุพยัญชนะ 80 ผิวสีทอง พละ 10 อภิญญา 4(ไวศารทฺย=ปัญญา) สังคหวัตถุ 4 พุทธธรรมของผู้เกล้าผม (ชฎิล) ทั้ง18 กำลังของมหาอิทธิฤทธิ์ การปกป้องสัตว์ในทิศทั้ง 10 ทั้งหมดนี้ ย่อมมีแก่เรา เมื่อคบกับพระเทวทัต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะบอกกล่าวแก่ท่านว่า ในอนาคต โดยกัลป์อันประมาณมิได้ นับมิได้ ภิกษุเทวทัตนี้ จักได้เป็นตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า เทวราช ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้เป็นโลกวิทู เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ  ที่ไม่มีผู้เปรียบได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรมใน เทวโสปานโลกธาตุ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า อายุของพระเทวราชตถาคต มีประมาณ 20 กัลป์ พระองค์จักได้แสดงธรรมโดยพิสดาร สัตว์ทั้งหลายมีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จักสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ด้วยการละกิเลสทั้งปวง ณ เบื้องพระพักตร์ สัตว์มิใช่น้อย จักยกจิตขึ้นสู่ปัจเจกโพธิญาณ สัตว์ทั้งหลาย ประมาณเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จักยกจิตขึ้นสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จึงถึงความอดทนที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตเทวราชปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมจักตั้งอยู่สิ้น 20 กัลป์ แต่สรีระของพระองค์ จักไม่สลายตามการแตกสลายของพระธาตุ แต่พระสรีระของพระองค์จะรวมเป็นกลุ่มเดียว เข้าไปสู่สัตตรัตนสถูป สถูปนั้นสูง 6 พันโยชน์ กว้าง 40 โยชน์ เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงในที่นั้น จักทำการบูชาด้วย ดอกไม้ ธูป มาลัยหอม แป้ง(ผงลูบไล้) จีวร(ผ้า) ฉัตร ธงแถบ ธงปฏาก และคาถาทั้งหลาย พวกเขา (เทวดาแลมนุษย์) จักอยู่บูชาด้วยวัตถุเหล่านั้น ส่วนชนเหล่าใด กระทำการนอบน้อมประทักษิณสถูปนั้น บางพวกจำสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นผลสูงสุดของการสักการะนั้น บางพวกจักเข้าใกล้พระปัจเจกโพธิญาณ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนที่คำนวณไม่ได้ ประมาณไม่ได้ จักยกจิตขึ้นสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จักเป็นผู้ไม่หวนกลับมาอีก

        ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุสงฆ์อีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในอนาคตกาล กุลบุตรหรือกุลธิดาบางคน จำได้ฟังความเป็นไปของสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ครั้นฟังแล้ว จักไม่สงสัย ไม่ลังเลใจ เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ ย่อมหลุดพ้น ประตูแห่งทุคติทั้งสามจะถูกปิด เขาจะไม่ไปเกิดในนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน และยมโลก เขาผู้บังเกิดในพุทธเกษตรทั้ง 10 ทิศ จักได้ยินพระสูตรนี้ ทุกชาติ การถึงฐานะ อันประเสริฐ จักมีแก่เขา ผู้เกิดในโลกของเทวดาและมนุษย์ เมื่อเกิดในพุทธเกษตรใด เขาจักเกิดในสัตตรัตนปัทมะ ที่เกิดขึ้นเองในพุทธเกษตรนั้น เบื้องพระพักตร์ของพระตถาคต

         ได้ยินว่า เวลานั้น พระโพธิสัตว์นามว่า ปรัชญากูฎะ ได้มาจากทิศเบื้องล่างพุทธเกษตรของ พระประภูติรัตนตถาคต พระองค์ได้กราบทูลพระประภูตรัตนตถาคตอย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอให้พวกเราทั้งหลาย จงไปสู่พุทธเกษตรของตน ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ได้ตรัสกับปรัชญากูฏโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนกุลบุตรท่านจงรอครู่หนึ่งขอให้ท่านกับพระโพธิสัตว์มัญชุศรีกุมารภูตะ ร่วมกันวินิจฉัยธรรมบางอย่างก่อน แล้วค่อยไปสู่พุทธเกษตรของตน ในภายหลัง ได้ยินว่า ในเวลานั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้เสด็จขึ้นจากท่ามกลางของสมุทร อันเป็นที่ประทับของพระสาครนาคราช ได้ประทับนั่งบนดอกบัวที่มี 1,000 กลีบ มีขนาดเท่าล้อเกวียน แวดล้อมด้วยพระโพธิสัตว์มากมาย เหาะขึ้นไปทางอากาศไปสู่ที่ใกล้พระผู้มีพระภาค มีภูเขาคิชฌกูฏ ครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้เสด็จลงจากดอกบัวถวายบังคมพระผู้มีพระภาคศากยมุนี และพระประภูตรัตนตถาคต ด้วยเศียรเกล้าแล้วเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ปรัชญาภูฏะ ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กล่าวคาถาต่างๆ อันน่ายินดี น่าประทับใจ ณ เบื้องพระพักตร์พระโพธิสัตว์ปรัชญาภูฏะ แล้วจึงประทับนั่งที่ส่วนข้างหนึ่ง

ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์ ได้ตรัสกะพระมัญชุศรีกุมารภูตะว่า "ข้าแต่พระมัญชุศรี ธาตุแห่งสัตว์เท่าใด ที่ท่านผู้ไปสู่ท่ามกลางมหาสมุทรได้แนะนำแล้ว สัตว์ทั้งหลายประมาณมิได้ นับมิได้ คือไม่อาจให้รู้ได้ด้วยวาจา และไม่อาจให้หยั่งรู้ได้ด้วยจิต ดูก่อนกุลบุตรท่านจงรอครู่หนึ่ง ท่านจักได้นิมิตในกาลก่อน ในระหว่างที่ พระมัญชุศรีกุมารภูตะตรัสอย่างนี้ ในเวลานั้นดอกบัวหลายพันดอก ได้ผุดจากท่ามกลางมหาสมุทรขึ้นสู่ท้องฟ้า พระโพธิสัตว์หลายพันพระองค์ ได้ประทับนั่งบนดอกบัวเหล่านั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ได้เสด็จไปสู่ภูเขาศิชฌกูฏ ทางอากาศ ครั้นขึ้นไปแล้ว ได้ประทับยืนปรากฏอยู่บนอากาศ พระโพธิสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้นเป็นผู้ที่พระมัญชุศรี อบรมให้ตั้งอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระโพธิสัตว์เหล่าใด ดำรงอยู่ในมหายานมาก่อน พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจักสรรเสริญคุณของมหายานและบารมี 6 พระโพธิสัตว์เหล่าใด เป็นสาวกยานมาก่อน พระโพธิสัตว์เหล่านั้น จักสรรเสริญคุณของสาวกยาน แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหมด ย่อมรู้ธรรมและคุณทั้งปวงของมหายานว่าเป็น ศูนยตา ได้ยินว่าครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์ปรัชญากูฏะว่า ดูก่อนกุลบุตร การอบรมสัตว์ทั้งปวงนี้ อันเราได้กระทำแล้ว ขณะที่อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ก็การอบรมนั้นยังปรากฏอยู่ ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ปรัชญกูฏะได้ทูลถามพระมัญชุศรีกุมารภูตะ ด้วยเพลงขับเป็นคาถาว่า

47     ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ พระองค์ได้ชื่อว่าบัณฑิต เพราะปัญญาที่ใช้อบรมสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งมีจำนวนนับไม่ได้ สิ่งนี้เป็นอานุภาพของใคร ข้าแต่ผู้เป็นเทพแห่งนรชน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกเหตุนั้นเถิด

48    ท่านได้แสดงธรรมหรือสูตรใด ที่ชี้ทางแห่งโพธิญาณ แก่สัตว์เหล่านี้ ที่ได้ฟังแล้ว มีจิตน้อมไปเพื่อโพธิญาณ จนได้ฐานะที่มั่นคงในพระสัพพัญญุตญาณ

         พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า เราได้กล่าวสัทธรรมปุณฑรีกสูตรในท่ามกลางมหาสมุทรเราไม่ได้กล่าวถึงสูตรอื่นใด พระปรัชญากูฎะตรัสว่า "พระสูตรนี้ลึกซึ้ง ละเอียด พิจารณาเห็นได้โดยยาก พระสูตรอื่นใด ที่จะเสมอด้วยพระสูตรนี้ย่อมไม่มี มีสัตว์ผู้ใดบ้างละ ที่สามารถเข้าใจรัตนสูตรนี้เพื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า ดูก่อนกุลบุตร มีพระธิดาของสาครนาคราช ซึ่งมีพระชนมายุ 8 ปี มีปัญญามาก มีอินทรีย์แก่กล้า สมบูรณ์ด้วย กาย วาจา ใจ ที่ได้ฌานมาก่อน เป็นผู้ได้รับธารณี (มนตร์) ด้วยการเรียนทั้งพยัญชนะและอรรถ ที่พระตถาคตทั้งปวงตรัสแล้ว เป็นผู้สามารถเข้าสรรพธรรมสัตวสมาธานสมาธิได้จำนวนพัน เพียงครู่เดียว เป็นผู้น้อมจิตไปสู่โพธิญาณ  มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้แทน ความรักของตนให้แก่สัตว์ทั้งปวง เป็นผู้สมควรในการยังคุณธรรมให้เกิดขึ้น

พระธิดาย่อมไม่เสื่อมจากคุณธรรมเหล่านั้น พระธิดามีพระพักตร์เบิกบาน ประดับดอกไม้ ลดา สีสวยงามยิ่งเป็นผู้มีจิตเมตตา ทรงกล่าวด้วยวาจา ที่ประกอบด้วยความกรุณา พระธิดาสมควรบรรลุพระโพธิญาณ พระโพธิสัตว์ปรัชญากูฎะตรัสว่า "เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนีผู้พยายามอยู่เพื่อพระโพธิญาณ ได้กระทำบุญมิใช่น้อย จนได้เป็นพระโพธิสัตว์ ความเพียรแม้เล็กน้อยก็มิได้ตกหล่น ตลอดหลายพันโกฏิ แผ่นดินและประเทศ แม้ประมาณเมล็ดงาสรรษปะหนึ่ง ย่อมไม่มีในโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ ที่พระองค์มิได้สละพระสรีระ เพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์ภายหลัง เมื่อพระองค์ทรงบรรลุโพธิญาณแล้ว ใครเล่าพึงเชื่อว่าเธอ (ผู้มีทุกข์) จะสามารถบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ในครู่เดียว ได้ยินว่า ในเวลานั้นพระธิดาของสาครนาคราช ประทับยืนอยู่ข้างหน้า ได้อภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เวลานั้น พระธิดาทรงกล่าวคาถานี้ว่า

49     พระสรีระ (ของพระองค์) บริสุทธิ์ ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ประกอบด้วยลักษณะ32 ประการ เลื่องลือไปทั่วทุกทิศ

50     (สรีระของพระองค์) ประกอบด้วยอนุพยัญชนะที่สมบูรณ์ของความเป็นสัตว์ทั้งปวง จึงเป็นที่สรรเสริญของสัตว์ทั้งปวง ราวกับว่าเป็นตลาดเสื้อผ้า

51     โพธิญาณของข้าพเจ้าได้มาด้วยความปรารถนา ข้อนี้พระตถาคตเป็นพยานของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าจักแสดงธรรมที่ปลดเปลื้องความทุกข์ให้พิสดารได้

        ได้ยินว่า ในเวลานั้น พระศาริบุตร ผู้มีอายุ ได้กล่าวกับธิดาของพระสาครนาคราชว่า ดูก่อนกุลบุตรี ความคิดในพระโพธิญาณเพียงอย่างเดียวเกิดขึ้นแล้ว (แก่ท่าน) ท่านเป็นผู้มีปัญญาอันประมาณไม่ได้ โดยไม่เสื่อม แต่ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ได้โดยยากยิ่ง แต่กุลสตรี ที่ไม่ยอมให้ความเพียรเสื่อมถอย ได้กระทำบุญสิ้นหลายร้อยกัลป์ และหลายพันกัลป์ ได้สร้างบารมี 6 ให้สมบูรณ์ แต่เธอก็ไม่บรรลุพุทธภาวะ แม้ในวันนี้ เพราะอะไร เพราะสตรีย่อมไม่ถึงสถานะ5 แม้ในวันนี้ สถานะ 5 คืออะไรบ้าง? คือที่ 1 สถานะของพรหม ที่2 สถานะของท้าวสักกะ  ที่3 สถานะของมหาราช  ที่4 สถานะของพระเจ้าจักรพรรดิ และที่5 สถานะของพระโพธิสัตว์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

        ได้ยินว่า เวลานั้น พระธิดาของสาครนาคราช มีแก้วมณีดวงหนึ่ง มีค่าควรแก่หลายพันโลกธาตุ พระธิดาสาครนาคราช ได้ถวายแก้วมณีนั้น แด่พระผู้มีพระภาค เพื่อความอนุเคราะห์ พระผู้มีพระภาคทรงรับแก้วมณีนั้นไว้ พระธิดาสาครนาคราช จึงทรงกล่าวคำนี้กันพระปรัชญากูฏะโพธิสัตว์และพระศาริบุตรเถระว่า "ข้าพเจ้าได้ถวายแก้วมณีนี้ พระผู้มีพระภาคและพระผู้มีพระภาค ทรงรับแก้วมณีนั้นโดยเร็วมิใช่หรือ? พระเถระกล่าวว่า เมื่อท่านถวายโดยพลัน พระผู้มีพระภาค ก็รับโดยพลัน พระธิดาสาครนาคราชจึงตรัสว่า ข้าแต่พระศาริบุตร ผู้เจริญถ้าข้าพเจ้า มีฤทธิ์มาก ข้าพเจ้าพึงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณได้เร็วกว่า ผู้รับแก้วมณีก็จะไม่มี

        ในเวลานั้น อินทรีย์แห่งสตรีนั้น ก็อันตรายไปต่อหน้าชาวโลกทั้งปวง และต่อหน้าพระศารีบุตรเถระ อินทรีย์แห่งบุรุษ ก็ปรากฏขึ้น พระธิดาของสาครนาคราช ได้แสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ ในเวลานั้น (พระนาง) ได้เสด็จไปสู่ทิศใต้ ครั้งนั้น ในทิศใต้ มีโลกธาตุ ชื่อว่า วิมล (พระนาง) ได้แสดงตนเป็นองค์พุทธะ ประทับนั่งที่โคนสัตวตรัตนโพธิพฤกษ์ ทรงไว้ซึ่งลักษณะ 32 ประการ ผู้มีรูปประกอบด้วยอนุพยัญชนะทั้งปวง ผู้กำลังแสดงธรรมให้กระจายไปสู่ทิศทั้ง 10 ด้วยพระรัศมี สัตว์เหล่าใด ที่มีอยู่ในสหาโลกเหล่านั้น ย่อมมองเห็นพระตถาคตส่วนเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย ได้ถวายสักการะบูชาพระองค์ ผู้กำลังแสดงธรรมอยู่ สัตว์เหล่าใด ได้ฟังธรรมของพระตถาคต สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นผู้ไม่เปลี่ยนแปลงในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ วิมลโลกธาตุและสหาโลกธาตุนี้ ได้สั่นไหวเป็น 6 จังหวะ สัตว์ทั้งหลายประมาณสามพันคนในมณฑลบริษัทของพระผู้มีพระภาคศากยมุนี ได้รับขันติธรรมโดยทั่วกัน หมู่สัตว์อีกสามพันคน ได้การพยากรณ์ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครั้งนั้น พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์และพระศาริบุตรเถระได้เป็นผู้สงบแล้ว

บทที่11 สตูปสันทรรศนปริวรรต
ว่าด้วยการทัศนาพระสถูป ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร
อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้




:http://www.mahayana.in.th/tmayana/สัทธรรมปุณทรีกะบท11-12-13.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 14, 2011, 07:00:15 am โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับพี่มด ขอบคุณครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด