ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๖. การทำตัวให้เป็นพราน  (อ่าน 2318 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




๖. การทำตัวให้เป็นพราน




ศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๑๙๖๑


              เมื่อ ผมนั่งลง ผมพุ่งคำถามเข้าใส่ดอนฮวนในทันที แกไม่ตอบและโบกมือด้วยความเบื่อหน่ายเพื่อให้ผมเงียบลง ดูแกจะตกอยู่ในอารมณ์ที่เคร่งเครียดเป็นพิเศษ
              “ผมคิดอยู่ว่า คุณไม่เปลี่ยนแปลงเอาเลยนับตั้งแต่คุณพยายามจะเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพร” แกบอกด้วยน้ำเสียงตำหนิ

              แกเริ่มอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงบุคคลิกทั้งหมดที่แกแนะให้ผมทำด้วยเสียงอันดัง ผมบอกกับแกว่า ผมพิจารณาในเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว และเห็นว่า ผมทำไม่ได้ เพราะแต่ละเรื่องที่แกแนะตรงกันข้ามกับธรรมชาติที่แท้จริงของผม แกบอกว่า เพียงการพิจารณาเท่านั้นไม่เป็นการเพียงพอ และไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่แกพูดกับผมไม่ได้พูดกันเล่น ๆ เท่านั้น ผมกล่าวยืนยันขึ้นมาอีกว่า แม้ผมจะปรับวิถีชีวิตส่วนตัวของผมให้สอดคล้องกับแนวทางของแกได้เพียงเล็กน้อยก็ตามที แต่ผมก็มีความจริงใจที่จะเรียนรู้ในเรื่องสมุนไพรอย่างแท้จริง

              หลังจากที่ได้เงียบไปนานด้วยความอึดอัด ผมกล้าถามแกว่า “คุณจะสอนผมเรื่องการใช้เปโยติหรือเปล่า? ดอนฮวน”
              แกบอกว่า ความตั้งใจอย่างเดียวไม่เพียงพอ การที่จะศึกษาเกี่ยวกับเปโยติ (แกเรียกมันว่า เมสคาลิโตเป็นครั้งแรก)* มันเป็นเรื่องที่ต้องจริงจังมาก ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันอีกในเรื่องนี้

              อย่างไรก็ตาม ในตอนหัวค่ำของวันนั้นดอนฮวนทดสอบผมอย่างหนึ่ง แกมีปัญหาแต่ไม่บอกเงื่อนงำที่จะนำมาแก้ปัญหานั้น ปัญหาก็คือ ให้หาบริเวณหรือจุดที่ ดี จากบริเวณหน้าประตูบ้านที่แกนั่งคุยกับผมอยู่บ่อย ๆ บริเวณแห่งนั้นจะเป็นจุดที่ทำให้ผมมีความสุขและสดชื่นอย่างแท้จริง ช่วงกลางคืน ขณะที่ผมหา”บริเวณ” ดังกล่าวด้วยการกลิ้งตัวไปมาบนพื้น ผมมองเห็นการเปลี่ยนสีบนพื้นตรงจุดที่มืดที่สุดและสกปรกด้วยสองครั้ง

              การเสาะหาจุดดังกล่าวทำให้ผมเหนื่อยมากและหลับไปตรงจุดแห่งหนึ่งที่ผมเห็นการเปลี่ยนสี ดอนฮวนปลุกผมขึ้นมาในตอนเช้าแล้วบอกว่าผมทำได้สำเร็จเพราะผมไม่เพียงพบบริเวณที่ดีเท่านั้น แต่ยังพบบริเวณตรงกันข้ามคือจุดที่เป็นปฏิปักษ์หรือจุดที่เป็นศัตรูอีกด้วย และสีที่ผมมองเห็นนั้นก็สัมพันธ์กับคุณลักษณะของจุดทั้งสองนี้ด้วย


เสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๑๙๖๑


              เราเดินเข้าไปในป่าละเมาะตั้งแต่เช้ามืด ขณะเดินอยู่นั้นดอนฮวนอธิบายว่า การหาบริเวณที่ “ดี” หรือที่เป็น “ปฏิปักษ์” นั้นเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่มาอยู่ในป่าเขา ผมอยากจะเบนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องของเปโยติ แต่ดอนฮวนปฏิเสธออกมาตรง ๆ ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ แกเตือนผมว่า ขออย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกนอกจากแกจะพูดถึงมันขึ้นมา

              เรานั่งพักใต้เงาของต้นไม้สูงต้นหนึ่งในแถบที่มีต้นไม้หนาแน่น พุมไม้เตี้ย ๆ ที่ขึ้นอยู่รอบตัวของเราไม่ถึงกับแห้งเหี่ยวเสียทีเดียวนัก วันนั้นร้อนอบอ้าวและแมลงวันเฝ้าไต่ตอมตัวผม แต่ดูเหมือนมันไม่ไปรบกวนดอนฮวนเอาเสียเลย ผมสงสัยว่าคงจะเป็นเพราะแกไม่ใส่ใจกับพวกมัน แต่เมื่อผมสังเกตดู แมลงวันไม่บินไปจับที่หน้าของดอนฮวนเลย

              "ในบางคราว ถือเป็นเรื่องจำเป็นมากที่จะต้องหาจุดที่ดีให้ได้โดยรวดเร็วในที่ดล่ง” ดอนฮวนพูดต่อไป “หรือเราอาจมีความจำเป็นที่จะเลือกในทันมีว่า จุดที่คุณนั่งพักนั้นเป็นจุดที่ดีหรือเลว ในคราวที่เรานั่งพักข้างเนินเขาแห่งหนึ่งและคุณโกรธผมมาก คุณอารมณ์เสียด้วย ที่ตรงนั้นเป็นปฏิปักษ์กับคุณ อีกาตัวเล็ก ๆ ร้องเตือนคุณแล้ว จำได้ไหมล่ะ”

              ผมจำได้ว่า แกชี้ให้ผมเห็นโดยบอกให้ผมเลี่ยงจากบริเวณแห่งนั้นในอนาคต ผมยังจำได้ดีว่า ผมโกรธมากเพราะแกไม่ยอมให้ผมหัวเราะ
              “ผมคิดว่าอีกาตัวที่บินข้ามหัวเราไปนั้นเป็นลางเฉพาะของผมคนเดียว” แกพูด “ผมน่าจะไม่สงสัยว่า อีกาก็เป็นเพื่อนที่ดีของคุณด้วยเช่นกัน”
              “คุณพูดถึงอะไรดอนฮวน?”
              “อีกาถือเป็นลางอย่างหนึ่ง” แกพูดต่อ “ถ้าคุณทราบในเรื่องที่เกี่ยวกับอีกา คุณจะเลี้ยงจากที่ตรงนั้นเหมือนกับที่คุณเลี่ยงจากกาฬโรคเลยทีเดียว แต่อีกาไม่ได้บินมาเพื่อเราเสมอไป ดังัน้นคุณต้องเรียนรู้ถึงการหาจุดที่ดีเพื่อตั้งแคมป์หรือที่นั่งพักด้วยตัวคุณเอง”

              แกหยุดพูดอยู่นาน ทันใดนั้นแกหันมาทางผมแล้วบอกว่าการที่จะหาจุดที่ดีสำหรับพักนั้นสิ่งที่ผมต้องทำก็คือ การมองไขว้สายตา แกมองมาทางผมด้วยสายตาที่แสดงว่ารู้ดี และด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแกบอกอีกว่า ขณะที่ผมกลิ้งตัวบนพื้นบริเวณหน้าบ้านของแกผมก็ทำอย่างนี้ ดังนั้นผมจึงพบจุดทั้งสองรวมทั้งสีของจุดทั้งสองนั้นด้วย แกบอกให้ผมรู้อีกว่าแกประทับใจในความพยายามจนสำเร็จของผมมาก

              “ผมไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่าผมทำอะไรลงไป” ผมพูด
              “คุณต้องมองไขว้สายตา” แกพูดอย่างมั่นใจ “นั่นคือเทคนิคในเรื่องนี้ คุณต้องทำเช่นนี้แม้ว่าคุณจะจำไม่ได้แล้ว”

              ต่อมาดอนฮวนอธิบายถึงวิธีมองซึ่งแกบอกว่าต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะทำได้ดี เทคนิคการมองนั้นคือ การบังคับนัยน์ตาอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้มองเห็นภาพที่ดูอยู่นั้นแยกจากกัน การมองที่ไม่เห็นภาพเป็นหนึ่งทำให้เกิดการรับรู้ดลกในลักษณะที่เป็นคู่ ตามแนวคิดของดอนฮวน การเห็นโลกในลักษณะที่เป็นคู่ทำให้เรามีโอกาสในการตัดสินการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ซึ่งโดยปกติแล้วการมองอย่างธรรมดาไม่อาจเห็นเช่นนี้ได้

              แกคะยั้นคะยอให้ผมทำดู แกรับรองกับผมว่าการทำเช่นนี้ไม่มีอันตรายต่อสายตาแต่อย่างใด แกแนะว่าผมควรจะเริ่มด้วยการกวาดตามองในระยะใกล้ด้วยหางตา แกชี้ไปยังพุ่มไม้พุ่มโตแล้วแสดงให้ผมดูว่าควรจะทำอย่างไร ผมเกิดความรู้สึกที่ประหลาดมากเมื่อเห็นตาของดอนฮวนชำเลืองออกไปอย่างรวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อยังต้นไม้ต้นนั้น นัยน์ตาของแกทำให้ผมนึกถึงตาของสัตว์ที่กำลังหนีภัย คือมองตรง ๆไม่ได้

              เราเดินต่อไปอีกราวหนึ่งชั่วโมงขณะที่ผมพยายามที่จะไม่เพ่งสายตาไปสู่จุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะลงไป ต่อมาดอนฮวนบอกให้แยกสิ่งที่มองดูอยู่นั้นโดยให้เห็นด้วยตาแต่ละข้าง เมื่อทำไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมปวดตาอย่างรุนแรงจนต้องหยุด

              “คุณคิดว่า คุณจะบอกที่ ๆ เหมาะสมสำหรับพักเดินด้วยตัวของคุณเองได้หรือยัง” แกถาม

              ผมไม่ทราบเลยว่า อะไรคือข้อตัดสินว่าเป็น “บริเวณที่เหมาะสม” ดอนฮวนอธิบายต่อไปอย่างอดทนว่า การมองด้วยการชำเลืองอย่างรวดเร็วทำให้ตาสามารถจับภาพตรงที่ผิดปกติออกไปได้
              “เช่นผิดปกติอย่างไรล่ะ?”
              “มันไม่เชิงจะเป็นภาพ” แกบอก “มันเป็นความรู้สึกมากกว่า ถ้าคุณมองไปที่พุ่มไม้ ต้นไม้หรือก้อนหินตรงที่คุณจะพัก ตาของคุณจะบอกได้เองถึงความรู้สึกที่ว่า ตรงนั้นเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการพักหรือเปล่า”

              ผมเร่งเร้าให้แกอธิบายถึงความรู้สึกชนิดนั้นอีก แต่แกไม่อธิบายหรือไม่อยากอธิบายก็เป็นได้ แกบอกว่าผมน่าจะฝึกดูดดยชี้จุดที่ต้องการแล้วแกอาจจะบอกกับผมได้ว่า ตาของผมใช้การได้หรือยัง

              ชั่วแวบหนึ่งที่ผมเห็นสิ่งหนึ่งซึ่งคงจะเป็นก้อนกรวดที่สะท้อนแสงออกมา ถ้าผมเพ่งดูจะไม่เห็นแสงนี้ แต่ถ้าผมกวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว ผมจะเห็นประกายชนิดหนึ่งส่องแววออกมา ผมชี้ที่ตรงนั้นให้ดอนฮวนดู มันอยู่ตรงกลางของที่โล่ง ไม่มีร่มเงา ไม่มีพุ่มไม้ ดอนฮวนหัวเราะก้องแล้วถามว่า ทำไมผมจึงเลือกเอาที่ตรงนั้น ผมบอกวาผมเห็นแสงประกายส่องออกมา
              “ผมไม่สนใจกับสิ่งที่คุณมองเห็นหรอก” แกพูด “คุณอาจมองเห็นช้างก็ได้ แต่ที่สำคัญคือคุณรู้สึกอย่างไรกับที่ตรงนั้นมากกว่า”

              ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ดอนฮวนมองที่ผมด้วยสายตาที่มีปริศนาแล้วพูดว่า แกอยากจะขอบใจผมแล้วนั่งลงพักกับผมที่จุดนั้นแต่แกจะไปนั่งที่อื่นขณะที่ผมทดสอบจุดที่ผมเลือก

              ผมนั่งลงที่นั่น ดอนฮวนมองดูผมด้วยความใคร่รู้จากที่อีกแห่งหนึ่งห่างออกไปประมาณ ๓๐ - ๔๐ ฟุต ไม่กี่นาทีต่อมาแกหัวเราะออกมาอย่างดัง เสียงหัวเราะของแกนั่นเองทำให้ผมหงุดหงิด มันทำให้ผมควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ ผมรู้สึกว่าดอนฮวนกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่ ผมโกรธขึ้นมา ผมเริ่มถามตัวเองถึงสาเหตุที่มานั่งอยู่ที่นี่ ความพยายามทั้งหมดที่ผมทำลงไปอันเนื่องมาจากดอนฮวนต้องผิดพลาดอย่างแน่นอน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นลูกไก่อยู่ในกำมือของแก

              ทันใดนั้น ดอนฮวนพุ่งมาทางผมด้วยการวิ่งเต็มฝีเท้าแล้วจับแขนผมลากออกไปไกลถึงสิบหรือสิบสองฟุต แกฉุดให้ผมยืนขึ้นแล้วเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ผมเห็นว่าแกวิ่งเต็มฝีเท้าจริง ๆ แกเอามือตบที่ไหล่ของผมแล้วบอกว่าผมเลือกที่ผิด ดังนั้นแกต้องช่วยผมอย่างรีบด่วนจริง ๆ เพราะแกเห็นว่า จุดที่ผมนั่งอยู่นั้นจะกลืนเอาความรู้สึกทั้งหมดของผม ผมหัวเราะออกมา ภาพที่ดอนฮวนจู่โจมเข้ามาหาผมนั้นน่าขำมาก แกวิ่งเหมือนกับคนหนุ่ม และเท้าทั้งสองของแกเคลื่อนไปราวกับว่าจะยึดดินร่วนสีแดงในทะเลทรายไว้ให้แน่นเพื่อดันลำตัวให้พุ่งมาทางผม ผมเห็นแกหัวเราะเยาะผม แต่ประเดี๋ยวเดียวต่อมาแกกลับลากผมออกไป

              ครู่ต่อมาแกเร้าให้ผมหาที่ที่เหมาะสมต่อ เราเดินต่อไป แต่ผมก็ไม่เห็นหรือไม่ “รู้สึก” อะไรเอาเลย บางทีถ้าผมรู้สึกผ่อนคลายลงไปมากกว่านี้ ผมอาจจะเห็นหรือรู้สึกในบางสิ่งบางอย่างก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่โกรธดอนฮวนอีกต่อไป ในที่สุดแกชี้ไปที่ก้อนหินบางก้อน และเราหยุดเดิน

              “อย่าเพิ่งหมดหวัง” แกปลอบ “มันต้องใช้เวลานานกว่าจะฝึกสายตาได้อย่างถูกต้อง”
              ผมไม่พูด ผมไม่ได้ผิดหวังในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจเอาเลย แต่กระนั้นก็ตาม ผมต้องยอมรับว่าตั้งแต่ผมพบกับดอนฮวน ผมโกรธมากถึงสามครั้ง และขณะที่ผมนั่งตรงจุดที่แกบอกว่าไม่ดีนั้น ผมรู้สึกปั่นป่วนมากแทบจะป่วยลงไปทีเดียว

              “เคล็ดในเรื่องนี้ก็คือ คุณต้องรู้สึกให้ได้ด้วยตา” แกพูด “ข้อขัดข้องของคุณในขณะนี้ก็คือ คุณไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร แต่ถึงจะอย่างไรก็ตามเถอะ มันจะเกิดกับคุณเองจากการฝึกฝน”
              “บางทีนะดอนฮวน คุณน่าจะบอกกับผมได้ว่าผมจะรู้สึกอย่างไร”
              “ไม่ได้หรอก”
              “ทำไมล่ะ”
              “ไม่มีใครบอกกับคุณได้หรอกว่าคุณน่าจะรู้สึกอย่างไร มันไม่ใช่ความร้อน ไม่ใช่แสง ไม่ใช่แสงที่วูบวาบออกมา ไม่ใช่สี มันเป็นสิ่งอื่น”
              “คุณอธิบายได้ไหมล่ะ”
              “ไม่ได้หรอก สิ่งที่ผมทำได้คือบอกกับคุณถึงวิธีการ เมื่อคุณเรียนรู้ถึงการแยกภาพที่เห็นออกจากกันได้และมองเห็นทุกสิ่งเป็นสองภาพแล้ว คุณต้องเพ่งความสนใจไปที่ช่องในระหว่างภาพทั้งสองนั้น ในบริเวณนั้น”
              “ความผิดปกติชนิดไหนล่ะ”
              “นั่นไม่สำคัญหรอก ความรู้สึกที่คุณได้รับสำคัญกว่า และทุกคนก็รู้สึกได้ต่างกันไป วันนี้คุณมองเห็นแสงแวบออกมา แต่นั่นไม่มีความหมายอะไรเพราะไม่มีความรู้สึกร่วมอยู่ด้วย ผมบอกไม่ได้หรอกว่าคุณควรจะรู้สึกอย่างไรบ้าง คุณต้องศึกษาจากตัวของคุณเอง”

              เราพักในความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ดอนฮวนเอาหมวกปิดที่หน้าไม่กระดุกกระดิกราวกับว่าแกหลับไป ผมหมกมุ่นอยู่กับการจดบันทึกจนกระทั่งดอนฮวนไหวตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันจนผมสะดุ้งสุดตัว แกลุกขึ้นนั่งในทันทีแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผมพร้อมกับย่นหน้าผาก

              “คุณมีหัวในทางการเป็นพราน” แกพูดออกมา “และการเป็นพรานคือสิ่งที่คุณควรศึกษาเรียนรู้การล่าเอาไว้ เราจะไม่พูดกันในเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรอีกต่อไป”

              เราใช้เวลาที่เหลือของวันนั้นเดินไปในทิศทางต่าง ๆ พร้อมกันนั้นดอนฮวนได้บรรยายรายละเอียดแทบไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับงูกะปะ มันทำรังอย่างไร เคลื่อนไหวอย่างไร นิสัยของมันในฤดูต่าง ๆ และพฤติกรรมพิเศษของมัน จากนั้นแกกลับมาอธิบายอย่างละเอียดในแต่ละหัวข้อ ในที่สุดแกจับงูกะปะตัวโตได้ตัวหนึ่งแล้วฆ่ามัน แกตัดหัวของมันออก ทำความสะอาดตับไตไส้พุง ถลกหนังแล้วย่างงูตัวนั้น การเคลื่อนไหวของแกน่าดูและทำอย่างชำนาญมาก น่าเพลิดเพลินที่ได้อยู่กับแก ผมฟังแกพูดและดูแกทำลงไปเหมือนกับว่าถูกสะกดจิต ความใส่ใจของผมเป็นไปอย่างสมบูรณ์จนสิ่งอื่น ๆ หายไปจากความรับรู้หมดสิ้น

         
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
    การกินเนื้องูเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับการกินอยู่โดยทั่วไป ผมรู้สึกว่าจะอาเจียนออกมาให้ได้ มันรู้สึกปั่นป่วนอย่างร้ายกาจ แม้เนื้องูจะอร่อยมากก็ตามแต่ท้องของผมดูจะเป็นอวัยวะที่มีอิสระออกไป ผมเกือบจะกลืนไม่ลง ผมคิดว่าดอนฮวนน่าจะหัวใจวายเนื่องจากการหัวเราะอย่างหนัก

              ต่อมาเรานั่งพักอย่างสบายภายใต้เงาของก้อนหิน ผมจดบันทึก และจากเรื่องราวที่ได้รับฟังมานั้นทำให้ผมทราบว่าดอนฮวนให้ความรู้เกี่ยวกับ งูกะปะมากมายแทบไม่น่าเชื่อ

              “วิญญาณของนักล่ากลับมาหาคุณแล้ว” ดอนฮวนพูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน หน้าตาของแกแสดงถึงความจริงจังมาก “ตอนนี้คุณติดเบ็ดแล้วละ”
              “อะไรนะ” ผมอยากให้แกขยายคำพูดที่ว่า “ติดเบ็ด” แต่แกหัวเราะแล้วพูดประโยคนั้นซ้ำอีก
              “ผมติดเบ็ดได้อย่างไร” ผมเร่งเอาคำตอบ
              “พรานจะต้องล่าเสมอไป” แกพูด “ ผมเองก็เป็นพราน”
              “คุณหมายถึงว่า คุณล่าเพื่อจะมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”
              “ผมล่าเพื่ออยู่ ผมสามารถดำรงอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ ตรงไหนก็ได้” แกทำท่าด้วยศีรษะอันบ่งถึงบริเวณทั้งหมด “การเป็นพรานได้นั้นหมายถึงการที่คุณต้องรู้มากทีเดียว” แกพูดต่อ “มันหมายถึงการที่คุณเห็นโลกในลักษณะที่ต่างออกไป การที่จะเป็นพรานได้นั้น คุณจะต้องมีดุลยภาพอย่างสมบูรณ์กับสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง มิฉะนั้นแล้วการล่าจะเป็นงานประจำซ้ำซากไร้ความหมาย ยกตัวอย่างเช่นในวันนี้เราฆ่างูตัวนั้น ผมต้องขอโทษมันที่ต้องตัดชีวิตของมันโดยฉับพลันและแน่นอน ผมทำในสิ่งที่ผมทราบดีว่า สักวันหนึ่ง ชีวิตผมก็จะต้องถูกตัดออกในลักษณะที่ใกล้เคียงกันนี้ คือถูกตัดออกโดยฉับพลันและแน่นอน ดังนั้นทั้งหมดนี้ เราและงูอยู่ในระดับเดียวกัน งูตัวหนึ่งทำให้เราอิ่มในวันนี้”
              “เมื่อผมล่าสัตว์ ผมไม่เคยคิดถึงดุลยภาพที่คุณพูดถึง” ผมพูด
              “นั่นไม่จริงหรอก เพราะคุณไม่เพียงแต่ล่าสัตว์มาได้เท่านั้น ครอบครัวของคุณกินเนื้อสัตว์เหล่านั้นด้วย”

              คำพูดของดอนฮวนทำให้รู้สึกว่ามีคนร่วมด้วย แน่นอนแกพูดถูก หลายครั้งที่ผมแบ่งเนื้อสัตว์ที่ได้มาโดยบังเอิญนั้นให้กับคนอื่นในครอบครัวด้วย ผมรีรออยู่ชั่วครู่แล้วถามออกมาว่า
              “คุณรู้ได้อย่างไรล่ะ ดอนฮวน”
              “มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมรู้ขึ้นมาเฉย ๆ ผมเองก็บอกคุณไม่ได้ว่าผมรู้ขึ้นมาได้อย่างไร” แกตอบ

              ผมบอกกับแกว่า ลุงและป้าของผมจะเรียกบ่งลงไปเลยว่านกที่ผมล่ามาได้นั้นเป็น ‘ไก่ฟ้า’
              ดอนฮวนบอกว่าแกจินตนาการเอาได้อย่างง่ายดายว่า ลุงและป้าของผมจะเรียกนกนางแอ่นว่า ‘ไก่ฟ้าเล็ก’ แล้วแกเพิ่มตัวอย่างว่าทั้งสองคนนั้นจะเคี้ยวไก่ฟ้าเล็กอย่างไร การเคลื่อนไหวขากรรไกรของแก ทำให้ผมเห็นว่าแกกำลังเคี้ยวนกอยู่ทั้งตัว เคี้ยวทั้งกระดูกและส่วนอื่น ๆ
              “ผมมีความรู้สึกจริงจังขึ้นมาว่า คุณมีแววในการล่าสัตว์” แกประกาศออกมา “ไม่ทุกคนหรอกที่พยายามหาแล้วพบสีและจุดที่ต้องการในขณะเดียวกัน”

              การเป็นพรานฟังดูเข้าทีและโรแมนติคไม่น้อย แต่มันน่าตลกในเมื่อผมไม่สนใจในการล่าสัตว์เป็นพิเศษแต่อย่างใด
              “คุณไม่จำเป็นต้องสนใจในการล่าหรือชอบที่จะล่าสัตว์” แกไขข้อข้องใจที่ผมพ่นออกไป “คุณมีแนวโน้มอยู่แล้วตามธรรมชาติ ผมคิดว่าพรานที่ดีที่สุดไม่เคยชอบการล่าสัตว์ แต่เขาล่าได้ดีเท่านั้นเอง”

              ผมทราบดีว่าดอนฮวนสามารถอ้างเหตุผลไปทางใดก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นแกคงยืนยันว่าแกไม่ชอบพูดเอาเลย
              “นั่นก็เหมือนกับการที่ผมบอกคุณเกี่ยวกับพรานนั่นเอง” แกพูด “ผมไม่จำเป็นจะต้องชอบพูด
              ผมเพียงแต่มีความสามารถเฉพาะในทางนี้และผมทำมันได้ดีเท่านั้น” ผมเห็นความมีปัญญาอันฉับไวของแกเป็นเรื่องน่าขันจริง ๆ

              “ พรานต้องเป็นคนที่รัดกุมเป็นพิเศษ ” แกพูดต่อ “ พรานให้โอกาสกับโชคเพียงเล็กน้อย ผมพยายามโดยตลอดในการที่จะโน้มน้าวคุณว่า คุณต้องเรียนรู้การที่จะมีชีวิตอยู่ในลักษณะที่ต่างออกไป จนบัดนี้ผมยังไม่พบความสำเร็จในความพยายามนั้น แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ผมเรียกเอาวิญญาณนักล่าของคุณกลับมา บางทีนะ จากสิ่งนี้คุณจะเปลี่ยนแปลงได้”

              ผมค้านว่าผมไม่อยากเป็นนายพรานหรอก ผมเตือนแกให้ระลึกถึงว่า นับแต่เริ่มแรกผมเพียงแต่อยากให้แกบอกผมเกี่ยวกับพืชสมุนไพร แต่แกทำให้ผมเฉออกไปไกลจากจุดมุ่งหมายเดิม จนกระทั่งผมเองก็ไม่อาจระลึกได้อย่างชัดแจ้งอีกต่อไปว่า ผมต้องการเรียนรู้ในเรื่องสมุนไพรต่อไปอีกหรือไม่
              “ก็ดีแล้วนี่” แกพูด “ดีจริง ๆ แหละ ถ้าคุณไม่มีภาพพจน์ที่ชัดแจ้งว่าคุณต้องการอะไรอย่างแท้จริงแล้วคุณอาจจะเป็นคนถ่อมตัวยิ่งขึ้น”
              “เอาอย่างนี้ดีกว่า สำหรับจุดมุ่งหมายของคุณนั้น มันไม่สำคัญจริงจังอะไรหรอกว่าคุณจะเรียนเกี่ยวกับสมุนไพรหรือเกี่ยวกับการล่าสัตว์ คุณบอกผมเองว่า คุณสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นบอกกับคุณไม่ใช่หรือ?”

              ผมเคยพูดเช่นั้นจริง ๆ กับแกตอนที่ผมพยายามที่จะให้คำจำกัดความของขอบเขตและเนื้อหาของวิชามานุษยวิทยา เพื่อว่าดอนฮวนจะเป็นตัวอย่างข้อมูลที่ผมต้องการ
              แกหัวเราะหึ ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าแกควบคุมเอาไว้

              “ ผมเองก็เป็นพราน ” แกพูดราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก “ ผมปล่อยโอกาสไว้กับโชคเพียงนิดเดียวเท่านั้น บางที่ผมควรจะบอกกับคุณว่า ผมเรียนรู้การที่จะเป็นพรานมาเหมือนกัน ผมหาได้มีชีวิตอย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ช่วงหนึ่งในชีวิตของผม ผมต้องเปลี่ยนแปลง และตอนนี้ผมชี้ทางให้กับคุณ ผมแนะนำคุณ ผมทราบว่าผมพูดอะไรอยู่ มีคนบางคนสอนผมในเรื่องเหล่านี้ ผมไม่ได้คิดเอาเองหรอก”
              “คุณหมายถึงว่า คุณมีครูใช่ไหมดอนฮวน?”
              “พูดได้ว่า มีคนบางคนสอนให้ผมรู้จักล่าในลักษณะที่ผมอยากจะสอนคุณอยู่เดี๋ยวนี้” แกพูดออกมาแล้วเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

              “ผมคิดว่า กาลครั้งหนึ่งการล่าเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์” แกพูด “ พรานทุกคนเป็นผู้ที่มีพลังมหาศาล ความจริงแล้วพรานต้องมีพลังเป็นจุดเริ่ม เพื่อว่าจะมีความอดทนต่อชีวิตที่เคร่งครัดเช่นนั้น ” ทันใดนั้นผมเกิความสงสัยขึ้นมาหรือว่าดอนฮวนอ้างถึงกาลเวลาก่อนหน้าที่จะมีการยึดครองของพวกผิวขาวกระมัง ผมเริ่มหยั่งดูท่าที
              “เวลาที่คุณพูดถึงนั่นเมื่อไหร่กันแน่?”
              “ก็กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว”
              “เมื่อไหร่ล่ะ? ‘กาลครั้งหนึ่ง’ หมายถึงอะไร?”
              “มันก็หมายถึงกาลครั้งหนึ่งนะสิ หรือไม่ก็หมายถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่สำคัญหรอกว่าเมื่อไหร่ ครั้งหนึ่งทุกคนทราบดีว่าชีวิตนายพรานนั้นเป็นชีวิตที่เยี่ยมยอดที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทุกคนหรอกที่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ดี ผมรู้และสักวันหนึ่งคุณก็จะรู้ พอทราบความหมายที่ผมพูดหรือยังล่ะ?”
              “ชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีรู้สึกเกี่ยวกับพวกพรานอย่างนี้หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้”
              “ไม่จำเป็นหรอก”
              “แล้วพวกปีม่าล่ะ?”
              “ก็ไม่ทุกคน แต่บางคนรู้”

              ผมเอ่ยชื่อชาวอินเดียนแดงเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ผมต้องการให้ดอนฮวนบอกออกมาให้ชัดว่า การล่าเป็นความรู้สึกร่วมกันและปฏิบัติร่วมกันเฉพาะในชนเผ่าใดเผ่าหนึ่ง แต่แกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผมตรง ๆ ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนหัวข้อของการสนทนา
              “คุณทำสิ่งเหล่านี้กับผมทำไมล่ะดอนฮวน?”
              แกถอดหมวกออกแล้วเกาหัวในลักษณะที่แกล้งทำเป็นงง

              “ผมกำลัง ‘แนะท่า’ ให้กับคุณ” แกพูดเบา ๆ “คนอื่นก็แนะท่าในลักษณะเดียวกันนี้ให้กับคุณด้วย และสักวันหนึ่ง คุณเองก็จะแนะท่าให้กับคนอื่น ๆ เช่นกัน บอกได้ว่ามันเป็นคราวที่ผมกระทำกับคุณ วันหนึ่งผมพบว่าหากผมต้องการเป็นพรานที่มีค่าควรแก่การที่จะเคารพตัวเองได้ ผมต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผม ผมเคยคร่ำครวญ เคยบ่นมามาก ผมมีเหตุผลเพียงพอที่จะรู้สึกว่าตัวเองถูกคดโกง ผมเป็นชาวอินเดียนแดง และชาวอินเดียนแดงถูกเหยียดหยามเหมือนกับสุนัข ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะมาผ่อนคลายความรู้สึกเช่นนั้น ดังนั้นสิ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่คือความทุกข์ แต่แล้วโชคได้ช่วยผมไว้ คน ๆ หนึ่งสอนให้ผมรู้สึกการล่าและผมรู้สึกชัดแจ้งขึ้นมาว่า วิถีชีวิตที่ผมดำเนินอยู่นั้นไม่มีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่ต่อไป…ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนแปลงมันเสีย ”
              “แต่ผมมีความสุขกับชีวิตของผมนี่นะดอนฮวน ทำไมผมต้องเปลี่ยนมันล่ะ?”
              แกเริ่มร้องเพลงเม็กซิกันค่อย ๆ แล้วออกเสียงเอื้อนทำนอง ศีรษะของแกผงกขึ้น ๆ ลง ๆ ตามจังหวะเพลง
              “คุณคิดว่า ผมกับคุณเป็นคนที่เท่าเทียมกันหรือเปล่า?” แกถามออกมาด้วยเสียงที่แหลมชัด

              คำถามของแกดังขึ้นในขณะที่ผมเผลอ ผมได้ยินเสียงก้องกังวานที่แปลกมากในรูหูราวกับว่าแกตะโกนถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แต่ดอนฮวนไม่ได้ตะโกน ถึงอย่างนั้นก็มีเสียงคล้ายโลหะกระทบกันในน้ำเสียงที่แกพูดออกมาดังก้องอยู่ในหูของผม

              ผมแยงหูด้วยปลายนิ้วก้อยมือซ้าย ผมคันหูอยู่ตลอดเวลาและผมมีวิธีแยงหูเป็นจังหวะขยุก ๆ ด้วยนิ้วก้อยของมือทั้งสองข้าง การแยงหูนั้นถึงกับทำให้แขนไหวไปมาได้
              ดอนฮวนมองดูท่าแยงหูของผมด้วยความสนเท่ห์

              “เอาละ…เราเป็นคนที่เท่าเทียมกันหรือเปล่าล่ะ?”
              “แน่นอน เราเป็นคนที่เท่าเทียมกัน”
              ผมรู้สึกว่าถ่อมตัวลงมาได้เอง ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกไปยังดอนฮวน ถึงแม้ว่าหลายครั้งที่เดียวผมไม่ทราบว่าจะจัดการอย่างไรกับแก อย่างไรก็ตาม ผมยังยึดถืออะไรไว้ในใจแม้ว่าผมจะไม่พูดออกมา ผมยังยึดอยู่ในความเชื่อที่ว่าผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นชาวตะวันตกที่มีอารยะแล้ว ย่อมเหนือกว่าคนอินเดียนแดงมาก

              “ไม่หรอก” แกพูด “เราไม่ใช่คนที่เท่าเทียมกัน”
              “อ้าวทำไมล่ะ แน่นอนที่สุดเลยว่าเราเท่าเทียมกัน” ผมแย้ง
              “ไม่หรอก” แกพูดเบา ๆ “เราไม่ใช่คนที่เท่าเทียมกันเลย ผมเป็นพราน เป็นนักรบ ส่วนคุณเป็นแมงดา”

              ผมอ้าปากค้าง ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่า ดอนฮวนได้พูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา ผมปล่อยสมุดบันทึกให้ร่วงลงไปแล้วจ้องดูแก ไม่มีคำพูดหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว แน่นอนผมโกรธแกมาก

              แกมองที่ผมด้วยสายตาที่สงบมั่นคง ผมเลี่ยงการจ้องมองของแก แลต่อมาแกเริ่มพูดออกมา แกพูดชัดถ้อยชัดคำ ถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาเรียบ ๆ และเย็นชา แกบอกว่าผมกำลังเกาะคนอื่นอยู่ ผมไม่ได้ชิงชัยในการสู้รบเพื่อตัวเอง แต่อิงอยู่กับการสู้รบของคนอื่นที่ผมไม่รู้จัก นั่นก็คือผมไม่ต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพร ไม่ต้องการเรียนรู้ที่จะเป็นพราน ไม่ต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรเลย และโลกที่เฉียบขาดในการกระทำ เฉียบขาดในความรู้สึก และการตัดสินใจของแกนั้นมีประสิทธิภาพเหลือที่จะกล่าว เหนือกว่าความโง่เง่าเซ่อซึมกระทือซึ่งผมเรียกมันว่า ‘ชีวิตของผม’ อย่างมากมาย

              เมื่อแกพูดจบผมถึงกับหมดความรู้สึก ดอนฮวนพูดโดยไม่มีลักษณะชวนทะเลาะหรือพูดโดยปราศจากความยั้งคิด แต่พูดออกมาด้วยพลัง แต่กระนั้นก็มีความสงบราบเรียบที่ผมเองก็ไม่อาจแม้จะโกรธได้อีกต่อ

              เราเงียบอยู่เช่นนั้น ผมรู้สึกอายและคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรขึ้นมาอีก ผมคอยให้แกเป็นผู้ทำลายความเงียบ หลายชั่วโมงผ่านไป ดอนฮวนไม่ไหวกายยิ่งขึ้นโดยลำดับจนกระทั่งร่างกายของแกแข็งทื่ออย่างประหลาดและน่ากลัว เงาร่างของแกเลือนไปแทบจะมองไม่เห็นเพราะเป็นเวลาใกล้ค่ำ และในที่สุดเมื่อความมืดครอบคลุมเข้ามารอบตัวเรา ดอนฮวนดูจะถูกดูดกลืนหายไปเข้าไปในความดำมืดของก้อนหิน สภาวะอันนิ่งงันของแกนั้นเด็ดขาดราวกับว่าแกไม่ปรากฎอีกต่อไป

              เที่ยงคืนแล้วเมื่อผมทราบชัดในที่สุดว่า ดอนฮวนอาจจะอยู่ในสภาวะนิ่งงันที่นั่นกับป่าเขาและก้อนหินเหล่านั้นได้นานตลอดไปหากว่าแกต้องการ โลกแห่งความเฉียบขาดในการกระทำ เฉียบขาดในความรู้สึกและในการตัดสินใจของแกเหนือกว่าผมอย่างแท้จริง

              ผมยื่นมือไปสัมผัสที่แขนของแกเงียบ ๆ และน้ำตาได้เอ่อท้นขึ้นมาในดวงตาของผม


--------------------------------------------------------------------------------

*เมสคาลิโต (Mescalito) เป็นชื่อของเทพเจ้าของชาวอินเดียนแดงองค์หนึ่ง การเสพปุ่มของต้นตะบองเพชรที่ชื่อเปโยติจะทำให้เมาแล้วมองเห็นโลกในอีกลักษณะหนึ่ง และชาวอินเดียนแดงเชื่อว่าการเสพเปโยติเป็นการเปิดประตูให้เข้าไปสัมพันธ์กับเมสคาลิโตเทพเจ้าแห่งการรู้แจ้ง ดังนั้นเปโยติจึงมีชื่อเรียกอีกว่า เมสคาลิโต การเสพเปโยติเป็นเรื่องทำกันลับ ๆ และต้องมีหมอผีคือผู้รู้แจ้งหรือหมอสมุนไพรมาควบคุมในเรื่องนี้ด้วย ผู้ที่จะเข้าร่วมเสพสมุนไพรเปโยติจะต้องเป็นบุคคลที่เลือกแล้วและการทำเช่นนี้ต้องมีจุดมุ่งหมายพิเศษด้วย ชาวอินเดียนแดงเชื่อในเรื่องนี้มากและถือเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ด้วย จนเกิดมีชาวอินเดียนแดงกลุ่มหนึ่งที่ถือลัทธิเปโยติ

http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :45:
  ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~