การกินเนื้องูเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับการกินอยู่โดยทั่วไป ผมรู้สึกว่าจะอาเจียนออกมาให้ได้ มันรู้สึกปั่นป่วนอย่างร้ายกาจ แม้เนื้องูจะอร่อยมากก็ตามแต่ท้องของผมดูจะเป็นอวัยวะที่มีอิสระออกไป ผมเกือบจะกลืนไม่ลง ผมคิดว่าดอนฮวนน่าจะหัวใจวายเนื่องจากการหัวเราะอย่างหนัก
ต่อมาเรานั่งพักอย่างสบายภายใต้เงาของก้อนหิน ผมจดบันทึก และจากเรื่องราวที่ได้รับฟังมานั้นทำให้ผมทราบว่าดอนฮวนให้ความรู้เกี่ยวกับ งูกะปะมากมายแทบไม่น่าเชื่อ
“วิญญาณของนักล่ากลับมาหาคุณแล้ว” ดอนฮวนพูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน หน้าตาของแกแสดงถึงความจริงจังมาก “ตอนนี้คุณติดเบ็ดแล้วละ”
“อะไรนะ” ผมอยากให้แกขยายคำพูดที่ว่า “ติดเบ็ด” แต่แกหัวเราะแล้วพูดประโยคนั้นซ้ำอีก
“ผมติดเบ็ดได้อย่างไร” ผมเร่งเอาคำตอบ
“พรานจะต้องล่าเสมอไป” แกพูด “ ผมเองก็เป็นพราน”
“คุณหมายถึงว่า คุณล่าเพื่อจะมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”
“ผมล่าเพื่ออยู่ ผมสามารถดำรงอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ ตรงไหนก็ได้” แกทำท่าด้วยศีรษะอันบ่งถึงบริเวณทั้งหมด “การเป็นพรานได้นั้นหมายถึงการที่คุณต้องรู้มากทีเดียว” แกพูดต่อ “มันหมายถึงการที่คุณเห็นโลกในลักษณะที่ต่างออกไป การที่จะเป็นพรานได้นั้น คุณจะต้องมีดุลยภาพอย่างสมบูรณ์กับสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง มิฉะนั้นแล้วการล่าจะเป็นงานประจำซ้ำซากไร้ความหมาย ยกตัวอย่างเช่นในวันนี้เราฆ่างูตัวนั้น ผมต้องขอโทษมันที่ต้องตัดชีวิตของมันโดยฉับพลันและแน่นอน ผมทำในสิ่งที่ผมทราบดีว่า สักวันหนึ่ง ชีวิตผมก็จะต้องถูกตัดออกในลักษณะที่ใกล้เคียงกันนี้ คือถูกตัดออกโดยฉับพลันและแน่นอน ดังนั้นทั้งหมดนี้ เราและงูอยู่ในระดับเดียวกัน งูตัวหนึ่งทำให้เราอิ่มในวันนี้”
“เมื่อผมล่าสัตว์ ผมไม่เคยคิดถึงดุลยภาพที่คุณพูดถึง” ผมพูด
“นั่นไม่จริงหรอก เพราะคุณไม่เพียงแต่ล่าสัตว์มาได้เท่านั้น ครอบครัวของคุณกินเนื้อสัตว์เหล่านั้นด้วย”
คำพูดของดอนฮวนทำให้รู้สึกว่ามีคนร่วมด้วย แน่นอนแกพูดถูก หลายครั้งที่ผมแบ่งเนื้อสัตว์ที่ได้มาโดยบังเอิญนั้นให้กับคนอื่นในครอบครัวด้วย ผมรีรออยู่ชั่วครู่แล้วถามออกมาว่า
“คุณรู้ได้อย่างไรล่ะ ดอนฮวน”
“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมรู้ขึ้นมาเฉย ๆ ผมเองก็บอกคุณไม่ได้ว่าผมรู้ขึ้นมาได้อย่างไร” แกตอบ
ผมบอกกับแกว่า ลุงและป้าของผมจะเรียกบ่งลงไปเลยว่านกที่ผมล่ามาได้นั้นเป็น ‘ไก่ฟ้า’
ดอนฮวนบอกว่าแกจินตนาการเอาได้อย่างง่ายดายว่า ลุงและป้าของผมจะเรียกนกนางแอ่นว่า ‘ไก่ฟ้าเล็ก’ แล้วแกเพิ่มตัวอย่างว่าทั้งสองคนนั้นจะเคี้ยวไก่ฟ้าเล็กอย่างไร การเคลื่อนไหวขากรรไกรของแก ทำให้ผมเห็นว่าแกกำลังเคี้ยวนกอยู่ทั้งตัว เคี้ยวทั้งกระดูกและส่วนอื่น ๆ
“ผมมีความรู้สึกจริงจังขึ้นมาว่า คุณมีแววในการล่าสัตว์” แกประกาศออกมา “ไม่ทุกคนหรอกที่พยายามหาแล้วพบสีและจุดที่ต้องการในขณะเดียวกัน”
การเป็นพรานฟังดูเข้าทีและโรแมนติคไม่น้อย แต่มันน่าตลกในเมื่อผมไม่สนใจในการล่าสัตว์เป็นพิเศษแต่อย่างใด
“คุณไม่จำเป็นต้องสนใจในการล่าหรือชอบที่จะล่าสัตว์” แกไขข้อข้องใจที่ผมพ่นออกไป “คุณมีแนวโน้มอยู่แล้วตามธรรมชาติ ผมคิดว่าพรานที่ดีที่สุดไม่เคยชอบการล่าสัตว์ แต่เขาล่าได้ดีเท่านั้นเอง”
ผมทราบดีว่าดอนฮวนสามารถอ้างเหตุผลไปทางใดก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นแกคงยืนยันว่าแกไม่ชอบพูดเอาเลย
“นั่นก็เหมือนกับการที่ผมบอกคุณเกี่ยวกับพรานนั่นเอง” แกพูด “ผมไม่จำเป็นจะต้องชอบพูด
ผมเพียงแต่มีความสามารถเฉพาะในทางนี้และผมทำมันได้ดีเท่านั้น” ผมเห็นความมีปัญญาอันฉับไวของแกเป็นเรื่องน่าขันจริง ๆ
“ พรานต้องเป็นคนที่รัดกุมเป็นพิเศษ ” แกพูดต่อ “ พรานให้โอกาสกับโชคเพียงเล็กน้อย ผมพยายามโดยตลอดในการที่จะโน้มน้าวคุณว่า คุณต้องเรียนรู้การที่จะมีชีวิตอยู่ในลักษณะที่ต่างออกไป จนบัดนี้ผมยังไม่พบความสำเร็จในความพยายามนั้น แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ผมเรียกเอาวิญญาณนักล่าของคุณกลับมา บางทีนะ จากสิ่งนี้คุณจะเปลี่ยนแปลงได้”
ผมค้านว่าผมไม่อยากเป็นนายพรานหรอก ผมเตือนแกให้ระลึกถึงว่า นับแต่เริ่มแรกผมเพียงแต่อยากให้แกบอกผมเกี่ยวกับพืชสมุนไพร แต่แกทำให้ผมเฉออกไปไกลจากจุดมุ่งหมายเดิม จนกระทั่งผมเองก็ไม่อาจระลึกได้อย่างชัดแจ้งอีกต่อไปว่า ผมต้องการเรียนรู้ในเรื่องสมุนไพรต่อไปอีกหรือไม่
“ก็ดีแล้วนี่” แกพูด “ดีจริง ๆ แหละ ถ้าคุณไม่มีภาพพจน์ที่ชัดแจ้งว่าคุณต้องการอะไรอย่างแท้จริงแล้วคุณอาจจะเป็นคนถ่อมตัวยิ่งขึ้น”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า สำหรับจุดมุ่งหมายของคุณนั้น มันไม่สำคัญจริงจังอะไรหรอกว่าคุณจะเรียนเกี่ยวกับสมุนไพรหรือเกี่ยวกับการล่าสัตว์ คุณบอกผมเองว่า คุณสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นบอกกับคุณไม่ใช่หรือ?”
ผมเคยพูดเช่นั้นจริง ๆ กับแกตอนที่ผมพยายามที่จะให้คำจำกัดความของขอบเขตและเนื้อหาของวิชามานุษยวิทยา เพื่อว่าดอนฮวนจะเป็นตัวอย่างข้อมูลที่ผมต้องการ
แกหัวเราะหึ ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าแกควบคุมเอาไว้
“ ผมเองก็เป็นพราน ” แกพูดราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก “ ผมปล่อยโอกาสไว้กับโชคเพียงนิดเดียวเท่านั้น บางที่ผมควรจะบอกกับคุณว่า ผมเรียนรู้การที่จะเป็นพรานมาเหมือนกัน ผมหาได้มีชีวิตอย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ช่วงหนึ่งในชีวิตของผม ผมต้องเปลี่ยนแปลง และตอนนี้ผมชี้ทางให้กับคุณ ผมแนะนำคุณ ผมทราบว่าผมพูดอะไรอยู่ มีคนบางคนสอนผมในเรื่องเหล่านี้ ผมไม่ได้คิดเอาเองหรอก”
“คุณหมายถึงว่า คุณมีครูใช่ไหมดอนฮวน?”
“พูดได้ว่า มีคนบางคนสอนให้ผมรู้จักล่าในลักษณะที่ผมอยากจะสอนคุณอยู่เดี๋ยวนี้” แกพูดออกมาแล้วเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“ผมคิดว่า กาลครั้งหนึ่งการล่าเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์” แกพูด “ พรานทุกคนเป็นผู้ที่มีพลังมหาศาล ความจริงแล้วพรานต้องมีพลังเป็นจุดเริ่ม เพื่อว่าจะมีความอดทนต่อชีวิตที่เคร่งครัดเช่นนั้น ” ทันใดนั้นผมเกิความสงสัยขึ้นมาหรือว่าดอนฮวนอ้างถึงกาลเวลาก่อนหน้าที่จะมีการยึดครองของพวกผิวขาวกระมัง ผมเริ่มหยั่งดูท่าที
“เวลาที่คุณพูดถึงนั่นเมื่อไหร่กันแน่?”
“ก็กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว”
“เมื่อไหร่ล่ะ? ‘กาลครั้งหนึ่ง’ หมายถึงอะไร?”
“มันก็หมายถึงกาลครั้งหนึ่งนะสิ หรือไม่ก็หมายถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่สำคัญหรอกว่าเมื่อไหร่ ครั้งหนึ่งทุกคนทราบดีว่าชีวิตนายพรานนั้นเป็นชีวิตที่เยี่ยมยอดที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทุกคนหรอกที่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ดี ผมรู้และสักวันหนึ่งคุณก็จะรู้ พอทราบความหมายที่ผมพูดหรือยังล่ะ?”
“ชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีรู้สึกเกี่ยวกับพวกพรานอย่างนี้หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้”
“ไม่จำเป็นหรอก”
“แล้วพวกปีม่าล่ะ?”
“ก็ไม่ทุกคน แต่บางคนรู้”
ผมเอ่ยชื่อชาวอินเดียนแดงเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ผมต้องการให้ดอนฮวนบอกออกมาให้ชัดว่า การล่าเป็นความรู้สึกร่วมกันและปฏิบัติร่วมกันเฉพาะในชนเผ่าใดเผ่าหนึ่ง แต่แกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผมตรง ๆ ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนหัวข้อของการสนทนา
“คุณทำสิ่งเหล่านี้กับผมทำไมล่ะดอนฮวน?”
แกถอดหมวกออกแล้วเกาหัวในลักษณะที่แกล้งทำเป็นงง
“ผมกำลัง ‘แนะท่า’ ให้กับคุณ” แกพูดเบา ๆ “คนอื่นก็แนะท่าในลักษณะเดียวกันนี้ให้กับคุณด้วย และสักวันหนึ่ง คุณเองก็จะแนะท่าให้กับคนอื่น ๆ เช่นกัน บอกได้ว่ามันเป็นคราวที่ผมกระทำกับคุณ วันหนึ่งผมพบว่าหากผมต้องการเป็นพรานที่มีค่าควรแก่การที่จะเคารพตัวเองได้ ผมต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผม ผมเคยคร่ำครวญ เคยบ่นมามาก ผมมีเหตุผลเพียงพอที่จะรู้สึกว่าตัวเองถูกคดโกง ผมเป็นชาวอินเดียนแดง และชาวอินเดียนแดงถูกเหยียดหยามเหมือนกับสุนัข ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะมาผ่อนคลายความรู้สึกเช่นนั้น ดังนั้นสิ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่คือความทุกข์ แต่แล้วโชคได้ช่วยผมไว้ คน ๆ หนึ่งสอนให้ผมรู้สึกการล่าและผมรู้สึกชัดแจ้งขึ้นมาว่า วิถีชีวิตที่ผมดำเนินอยู่นั้นไม่มีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่ต่อไป…ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนแปลงมันเสีย ”
“แต่ผมมีความสุขกับชีวิตของผมนี่นะดอนฮวน ทำไมผมต้องเปลี่ยนมันล่ะ?”
แกเริ่มร้องเพลงเม็กซิกันค่อย ๆ แล้วออกเสียงเอื้อนทำนอง ศีรษะของแกผงกขึ้น ๆ ลง ๆ ตามจังหวะเพลง
“คุณคิดว่า ผมกับคุณเป็นคนที่เท่าเทียมกันหรือเปล่า?” แกถามออกมาด้วยเสียงที่แหลมชัด
คำถามของแกดังขึ้นในขณะที่ผมเผลอ ผมได้ยินเสียงก้องกังวานที่แปลกมากในรูหูราวกับว่าแกตะโกนถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แต่ดอนฮวนไม่ได้ตะโกน ถึงอย่างนั้นก็มีเสียงคล้ายโลหะกระทบกันในน้ำเสียงที่แกพูดออกมาดังก้องอยู่ในหูของผม
ผมแยงหูด้วยปลายนิ้วก้อยมือซ้าย ผมคันหูอยู่ตลอดเวลาและผมมีวิธีแยงหูเป็นจังหวะขยุก ๆ ด้วยนิ้วก้อยของมือทั้งสองข้าง การแยงหูนั้นถึงกับทำให้แขนไหวไปมาได้
ดอนฮวนมองดูท่าแยงหูของผมด้วยความสนเท่ห์
“เอาละ…เราเป็นคนที่เท่าเทียมกันหรือเปล่าล่ะ?”
“แน่นอน เราเป็นคนที่เท่าเทียมกัน”
ผมรู้สึกว่าถ่อมตัวลงมาได้เอง ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกไปยังดอนฮวน ถึงแม้ว่าหลายครั้งที่เดียวผมไม่ทราบว่าจะจัดการอย่างไรกับแก อย่างไรก็ตาม ผมยังยึดถืออะไรไว้ในใจแม้ว่าผมจะไม่พูดออกมา ผมยังยึดอยู่ในความเชื่อที่ว่าผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นชาวตะวันตกที่มีอารยะแล้ว ย่อมเหนือกว่าคนอินเดียนแดงมาก
“ไม่หรอก” แกพูด “เราไม่ใช่คนที่เท่าเทียมกัน”
“อ้าวทำไมล่ะ แน่นอนที่สุดเลยว่าเราเท่าเทียมกัน” ผมแย้ง
“ไม่หรอก” แกพูดเบา ๆ “เราไม่ใช่คนที่เท่าเทียมกันเลย ผมเป็นพราน เป็นนักรบ ส่วนคุณเป็นแมงดา”
ผมอ้าปากค้าง ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่า ดอนฮวนได้พูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา ผมปล่อยสมุดบันทึกให้ร่วงลงไปแล้วจ้องดูแก ไม่มีคำพูดหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว แน่นอนผมโกรธแกมาก
แกมองที่ผมด้วยสายตาที่สงบมั่นคง ผมเลี่ยงการจ้องมองของแก แลต่อมาแกเริ่มพูดออกมา แกพูดชัดถ้อยชัดคำ ถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาเรียบ ๆ และเย็นชา แกบอกว่าผมกำลังเกาะคนอื่นอยู่ ผมไม่ได้ชิงชัยในการสู้รบเพื่อตัวเอง แต่อิงอยู่กับการสู้รบของคนอื่นที่ผมไม่รู้จัก นั่นก็คือผมไม่ต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพร ไม่ต้องการเรียนรู้ที่จะเป็นพราน ไม่ต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรเลย และโลกที่เฉียบขาดในการกระทำ เฉียบขาดในความรู้สึก และการตัดสินใจของแกนั้นมีประสิทธิภาพเหลือที่จะกล่าว เหนือกว่าความโง่เง่าเซ่อซึมกระทือซึ่งผมเรียกมันว่า ‘ชีวิตของผม’ อย่างมากมาย
เมื่อแกพูดจบผมถึงกับหมดความรู้สึก ดอนฮวนพูดโดยไม่มีลักษณะชวนทะเลาะหรือพูดโดยปราศจากความยั้งคิด แต่พูดออกมาด้วยพลัง แต่กระนั้นก็มีความสงบราบเรียบที่ผมเองก็ไม่อาจแม้จะโกรธได้อีกต่อ
เราเงียบอยู่เช่นนั้น ผมรู้สึกอายและคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรขึ้นมาอีก ผมคอยให้แกเป็นผู้ทำลายความเงียบ หลายชั่วโมงผ่านไป ดอนฮวนไม่ไหวกายยิ่งขึ้นโดยลำดับจนกระทั่งร่างกายของแกแข็งทื่ออย่างประหลาดและน่ากลัว เงาร่างของแกเลือนไปแทบจะมองไม่เห็นเพราะเป็นเวลาใกล้ค่ำ และในที่สุดเมื่อความมืดครอบคลุมเข้ามารอบตัวเรา ดอนฮวนดูจะถูกดูดกลืนหายไปเข้าไปในความดำมืดของก้อนหิน สภาวะอันนิ่งงันของแกนั้นเด็ดขาดราวกับว่าแกไม่ปรากฎอีกต่อไป
เที่ยงคืนแล้วเมื่อผมทราบชัดในที่สุดว่า ดอนฮวนอาจจะอยู่ในสภาวะนิ่งงันที่นั่นกับป่าเขาและก้อนหินเหล่านั้นได้นานตลอดไปหากว่าแกต้องการ โลกแห่งความเฉียบขาดในการกระทำ เฉียบขาดในความรู้สึกและในการตัดสินใจของแกเหนือกว่าผมอย่างแท้จริง
ผมยื่นมือไปสัมผัสที่แขนของแกเงียบ ๆ และน้ำตาได้เอ่อท้นขึ้นมาในดวงตาของผม
--------------------------------------------------------------------------------
*เมสคาลิโต (Mescalito) เป็นชื่อของเทพเจ้าของชาวอินเดียนแดงองค์หนึ่ง การเสพปุ่มของต้นตะบองเพชรที่ชื่อเปโยติจะทำให้เมาแล้วมองเห็นโลกในอีกลักษณะหนึ่ง และชาวอินเดียนแดงเชื่อว่าการเสพเปโยติเป็นการเปิดประตูให้เข้าไปสัมพันธ์กับเมสคาลิโตเทพเจ้าแห่งการรู้แจ้ง ดังนั้นเปโยติจึงมีชื่อเรียกอีกว่า เมสคาลิโต การเสพเปโยติเป็นเรื่องทำกันลับ ๆ และต้องมีหมอผีคือผู้รู้แจ้งหรือหมอสมุนไพรมาควบคุมในเรื่องนี้ด้วย ผู้ที่จะเข้าร่วมเสพสมุนไพรเปโยติจะต้องเป็นบุคคลที่เลือกแล้วและการทำเช่นนี้ต้องมีจุดมุ่งหมายพิเศษด้วย ชาวอินเดียนแดงเชื่อในเรื่องนี้มากและถือเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ด้วย จนเกิดมีชาวอินเดียนแดงกลุ่มหนึ่งที่ถือลัทธิเปโยติ
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html