๙. การต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนผืนโลก
จันทร์ ๒๔ กรกฎาคม ๑๙๖๑
ใ นราวเที่ยงวัน หลังจากที่เราเร่ร่อนไปในทะเลทรายหลายชั่วโมง ดอนฮวนเลือกเอาที่ร่มแห่งหนึ่งเป็นที่พัก พอนั่งลงแกก็เริ่มพูด แกบอกว่าผมเรียนรู้ไม่ใช่น้อยในเรื่องการล่าสัตว์ แต่ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายดังที่แกหวัง
"การรู้จักการทำกับดักหรือรู้ว่าจะวางกับอย่างไรเหล่านี้ไม่เพียงพอหรอก" แกพูด "พรานต้องมีชีวิตอย่างพราน เพื่อจะได้นำเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของเขาออกมาใช้ นับเป็นโชคร้ายที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ช้า บางคราวอาจใช้เวลาเป็นปีสำหรับคนบางคน เพียงเพื่อจะโน้มใจให้เชื่อถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง ตัวผมเองก็ใช้เวลาเป็นหลายปี บางทีผมอาจจะไม่มีพรสวรรค์ในการล่า ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวผม ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือความอยากที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นมานั่นเอง"
ผมให้ความมั่นใจกับแกว่า ผมเข้าใจในสิ่งที่แกพูด ความจริงนับตั้งแต่แกเริ่มสอนผมมาเกี่ยวกับว่าจะล่าสัตว์อย่างไร ผมเองก็เริ่มมองย้อนเข้าไปพิจารณาการกระทำทั้งหลายของผมด้วยเช่นกัน
บางทีการค้นพบที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับผมคือ ผมชอบแนวทางของแก ผมชอบดอนฮวนในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีบางสิ่งที่หนักแน่นมั่นคงในการกระทำของแก ลักษณะที่แกควบคุมตัวเองนั้นไม่ทำให้เกิดความสงสัยได้เลยถึงความเป็นผู้เยี่ยมยอด แม้จะเป็นเช่นนั้นแกก็ไม่เคยใช้ความได้เปรียบในข้อนี้เรียกร้องเอาอะไรจากผมเลย
ความสนใจของแกที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมนั้น ผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนกับคำแนะนำที่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์สำหรับตัวของแก หรือบางทีก็เหมือนกับจะเป็นข้อสังเกตที่ถูกต้องมีเหตุผลในส่วนที่เป็นความล้มเหลวของผม แกทำให้ผมสำนึกขึ้นมามากในความล้มเหลว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าวิถีทางของแกจะแก้ไขอะไรได้
ผมยังเชื่ออยู่อย่างแน่นแฟ้นว่าจากแนวทางที่ผมอยากจะทำในชีวิตของตัวเองนั้น วิถีทางของดอนฮวนน่าจะทำให้เกิดความทุกข์และความยากลำบากประการต่าง ๆ ดังนั้นทางของแกจึงเป็นทางตันสำหรับผม อย่างไรก็ตาม ผมยอมรับนับถือในความเยี่ยมยอดของแกซึ่งแสดงออกมาในรูปของความงามและความเฉียบขาด
"ผมตกลงใจที่จะเปลี่ยนยุทธวิธี" แกพูด
ผมขอให้แกอธิบาย คำพูดของแกคลุมเครือ และผมไม่สนใจว่าแกพาดพิงถึงผมหรือเปล่า
"พรานที่ดีเปลี่ยนวิถีทางของเขาบ่อยครั้งตามที่เขาต้องการ" แกพูด "คุณทราบในเรื่องนี้อยู่แล้ว"
"คุณกำลังคิดถึงอะไรอีก ดอนฮวน"
"พรานต้องรู้ไม่เพียงแต่นิสัยของสัตว์ที่เขาล่าเท่านั้น แต่พรานต้องรู้อีกว่า มีพลังบนพื้นโลกนี้ที่นำทางให้กับมนุษย์ สัตว์ และสิ่งอื่น ๆ ที่มีชีวิต"
แกหยุดพูด ผมคอยฟัง แต่ดอนฮวนดูจะหมดสิ่งที่แกอยากจะพูดออกมา
"พลังชนิดไหนล่ะที่คุณพูดถึง"
"พลังที่นำทางให้กับชีวิตและความตายของเรา"
แกหยุดพูด และคงลำบากในการตกลงใจที่จะพูดอะไรออกมา แกถูมือ สั่นหัวแล้วทำขากรรไกรยื่นออกมา
แกทำสัญญาณให้ผมเงียบถึงสองครั้ง เมื่อผมจะขอให้แกอธิบายคำพูดที่เป็นปริศนานั้น
"คุณไม่สามารถหยุดตัวเองได้ง่าย ๆ " แกพูดออกมาในที่สุด "ผมทราบว่าคุณเป็นคนรั้น นั่นก็ไม่สำคัญหรอก ยิ่งรั้นเท่าไหร่ยิ่งดี เมื่อคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในที่สุด"
"ผมพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว" ผมพูด
"ไม่จริงหรอก ผมไม่เห็นด้วย คุณไม่ได้พยายามอย่างดีที่สุดเลย คุณเพียงแต่พูดมันออกมาเพราะมันฟังดูแล้วดีสำหรับคุณ ความจริงคุณพูดอย่างนี้แหละกับทุกสิ่งที่คุณทำ คุณทำดีที่สุดมาแล้วหลายสิบปีโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อแก้ไขในสิ่งนี้ "
ผมรู้สึกเหมือนกับทุกครั้งว่า ถูกบีบให้ป้องกันตัวเอง ก็เหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้ว ดอนฮวนกระทบจุดอ่อนแอที่สุดของผม และผมจำได้ดีอีกเหมือนกันว่า ทุกครั้งที่ผมปกป้องตัวเองจากคำวิจารณ์ของแก ผมก็จะรู้สึกตัวเองเป็นไอ้โง่ในที่สุด ดังนั้นผมจึงหยุดแก้ตัวในระหว่างคำพูดที่ยังจะยืดยาวต่อไปนั้น
ดอนฮวนสำรวจดูผมด้วยความแปลกใจแล้วหัวเราะออกมา แกพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเมตตาว่า แกเคยบอกกับผมแล้วว่าทุกคนเป็นไอ้โง่ ผมเองก็หาใช่บุคคลที่อยู่ในข่ายอันควรถูกยกเว้นไม่
" คุณรู้สึกถูกผลักดันที่จะอธิบายการกระทำของคุณเสมอไป ราวกับว่าคุณเป็นคนคนเดียวในโลกที่ถูกกลั่นแกล้ง " แกพูดออกมา " มันเป็นความรู้สึกเก่า ๆ ที่เห็นว่า ตัวเองสำคัญ คุณมีเรื่องเช่นนี้มาก และคุณมีประวัติส่วนตัวมากมายด้วย พูดอีกนัยหนึ่ง คุณไม่ทำให้ตัวเองรู้จักที่จะรับผิดชอบในการกระทำของตน คุณไม่ใช้ความตายให้เป็นผู้แนะนำ และเหนือสิ่งอื่นใด คุณเป็นผู้ที่ใครหยั่งรู้ได้อย่างง่ายดาย พูดอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตของคุณยังยุ่งเหยิงเหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนที่ผมจะพบกับคุณ"
อีกครั้งที่ความรู้สึกทะนงตนเอ่อท้นขึ้นมา ผมอยากจะเถียง แต่ดอนฮวนทำอาการให้ผมเงียบ
"คุณต้องทำตัวให้เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบในการอยู่ในโลกอันลึกลับมหัศจรรย์นี้" แกพูด " คุณรู้ไหมว่า เราอยู่ในโลกอันลึกลับมหัศจรรย์"
ผมผงกหัวรับ
"เราไม่ได้พูดในสิ่งเดียวกันเลย" แกบอก "สำหรับคุณโลกนี้ลึกลับมหัศจรรย์ เพราะถ้าหากคุณไม่เบื่อโลกคุณก็ขัดแย้งกับโลก แต่สำหรับผม โลกเป็นสิ่งลึกลับมหัศจรรย์เพราะมันใหญ่โตมโหฬาร น่ากลัว ลึกลับและไม่อาจหยั่งถึงได้
"ความสนใจของผมอยู่ที่จะโน้มน้าวให้คุณเชื่อว่า คุณต้องทำตัวให้เป็นผู้มีความรับผิดชอบในการอยู่ที่นี่ อยู่ในโลกอันน่ามหัศจรรย์นี้ ในทะเลทรายอันสวยงามนี้ และอยู่ในยุคสมัยอันน่าพิศวงนี้ด้วย ผมอยากจะโน้มน้าวคุณว่า คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำให้การกระทำทุกชนิดมีความหมายขึ้นมา เพราะเหตุว่าคุณจะอยู่ในโลกนี้ชั่วระยะเวลาอันสั้น สั้นนิดเดียวเท่านั้นที่จะได้ทัศนาความมหัศจรรย์ของมัน "
ผมยืนกรานว่า การเบื่อโลกหรือขัดแย้งกับโลกคือเงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับมนุษย์
" ถ้าอย่างนั้น จงเปลี่ยนแปลงมันเสีย " แกพูดอย่างไม่มีน้ำเสียง " ถ้าคุณไม่ต่อสู้กับสิ่งท้าทายอันนี้ คุณก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว "
ดอนฮวนบอกให้ผมบอกตรง ๆ ถึงประเด็นหรือเรื่องที่ผมเคยคิดผูกพันมาก่อน ผมบอกว่า ศิลป ผมอยากเป็นศิลปิน หลายปีที่ผมใช้ความพยายามในเรื่องนี้ แต่ผมก็ยังจำได้อย่างปวดร้าวในความล้มเหลวของผม
"คุณไม่เคยรับผิดชอบในการอยู่ในโลกอันไม่อาจหยั่งได้นี้" แกพูดอย่างปรักปรำ "ดังนั้นคุณจึงเป็นศิลปินไม่ได้ บางทีนะ คุณเป็นพรานไม่ได้ด้วย"
"นี่เป็นการกระทำที่ดีที่สุดของผมแล้ว ดอนฮวน"
"ไม่หรอก คุณไม่รู้หรอกว่า ที่ดีที่สุดของคุณเป็นอย่างไร"
"ผมทำในสิ่งที่ผมสามารถทำได้"
"ผิดอีก คุณสามารถทำได้ดีกว่านี้ มีเรื่องง่าย ๆ ที่คุณคิดผิดไป คือคุณคิดว่าคุณยังมีเวลาอยู่มากมาย"
แกหยุดพูดแล้วมองมาทางผมเหมือนกับจะคอยดูปฏิกิริยาของผม
"คุณคิดว่าคุณมีเวลามากมาย" แกย้ำ
"เวลามากมายเพื่อทำอะไร ดอนฮวน"
"คุณคิดว่าชีวิตของคุณจะอยู่ยงยืดยาวตลอดไป"
"เปล่า ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น"
" ถ้าคุณไม่คิดว่าชีวิตของคุณจะอยู่ยงคงทนตลอดไปแล้ว คุณคอยอะไรอยู่ล่ะ ทำไมรีรอที่จะเปลี่ยนแปลงเล่า "
"คุณเห็นชัดอยู่อย่างนั้นหรือว่าผมไม่อยากเปลี่ยนแปลง"
"ใช่ ผมเห็นอย่างนั้น ผมเองก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ คือไม่อยากเปลี่ยนแปลง ผมเบื่อชีวิตของผม เบื่อชีวิตเหมือนกับคุณ แต่ในขณะนี้ผมมีชีวิตอยู่ไม่เพียงพอเสียแล้ว"
ผมยืนกรานอย่างรุนแรงกับแกว่า ข้อเร่งรัดของแกที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมนั้นน่ากลัวและเด็ดขาดจนเกินไป ผมบอกว่าในระดับหนึ่งผมเห็นด้วยกับแก เพียงแต่ความจริงข้อหนึ่งที่ว่าแกเป็นผู้รู้ดีอยู่แล้วมาสั่งให้ผมเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น ทำให้สถานการณ์ยากเกินกว่าที่ผมจะทำได้
"คุณไม่มีเวลาที่จะเล่นอยู่กับเรื่องนี้หรอก คุณน่ะคือไอ้โง่" แกพูดอย่างรุนแรง " ไม่ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนี้ นี่อาจเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายของคุณบนพื้นโลก มันอาจเป็นการต่อสู่ครั้งสุดท้ายของคุณ ไม่มีพลังใดมาให้คำรับรองกับคุณได้ว่า คุณจะมีชีวิตยืนนานออกไปแม้นาทีเดียว "
"ผมรู้" ผมพูดออกมาด้วยความโกรธ
"ไม่หรอก คุณไม่รู้ ถ้าคุณรู้คุณก็จะเป็นพราน"
ผมเถียงว่าผมรู้ดีถึงความตายที่จะมาถึง แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อผมไม่อาจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อเลี่ยงไปจากมันได้
ดอนฮวนหัวเราะ แกพูดว่าผมก็เหมือนกับตัวตลกที่ทำอะไรตามตารางเวลาซ้ำ ๆ ซาก ๆ
"ถ้าหากว่า นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของคุณบนโลกนี้ ผมอยากจะบอกกับคุณว่า คุณเป็นไอ้โง่บัดซบ" แกพูดอย่างสงบ " คุณทำลายการกระทำครั้งสุดท้ายบนโลกนี้ด้วยอารมณ์หมกมุ่นไร้สาระ"
เราเงียบกันไปชั่วครู่ ความคิดของผมวิ่งไม่เป็นส่ำ แน่นอน ดอนฮวนพูดถูกแล้ว
" คุณไม่มีเวลา เพื่อนรัก คุณไม่มีเวลาจริง ๆ เราทุกคนไม่มีเวลาเอาเลย " แกพูด
"ผมเห็นด้วย ดอนฮวน แต่ว่า…."
"อย่าเพียงแต่เห็นด้วยกับผม" แกพูดสอดขึ้นมา "แทนที่จะเห็นด้วยอย่างง่ายดาย ทำมันลงไปสิ เผชิญกับสิ่งที่มาท้าทายแล้วเปลี่ยนตัวเองเสีย"
"เปลี่ยนทันทีอย่างนั้นหรือ"
"ใช่ การเปลี่ยนแปลงที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามลำดับ มันเกิดโดยฉับพลัน แต่คุณไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการกระทำโดยฉับพลันที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยตลอดนั่นเลย"
ผมคิดว่าแกกำลังพูดในสิ่งที่เป็นตรงข้ามกัน ผมอธิบายว่าถ้าหากผมเตรียมตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลง แน่นอนที่สุด ผมต้องเปลี่ยนไปโดยลำดับ
"คุณยังไม่เปลี่ยนแปลงเอาเลย" แกพูด "นี่คือเหตุที่คุณเชื่อว่าคุณกำลังเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย ถึงกระนั้นก็ตาม บางทีคุณจะแปลกใจว่า วันหนึ่งคุณเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน ไม่มีการบอกเตือนเป็นการล่วงหน้าแต่อย่างใดทั้งสิ้น ผมรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้ ดังนั้นผมจึงไม่หมดกำลังใจที่จะโน้มน้าวให้คุณเชื่อ"
ผมไม่อาจดื้อเถียงได้อีกต่อไป ผมไม่แน่ใจว่าผมอยากจะพูดอะไรออกมาจริง ๆ เมื่อหยุดไปครู่หนึ่งดอนฮวนอธิบายในเรื่องนี้ต่อไป
"บางทีผมน่าจะพูดในอีกลักษณะหนึ่งที่ต่างออกไป" แกพูด "สิ่งที่ผมแนะนำให้คุณทำก็คือ ให้สังเกตว่าเราไม่มีความมั่นใจได้เลยว่าชีวิตของเราจะดำเนินไปไม่มีที่สิ้นสุด ผมพูดจบไปหยก ๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทันทีทันใดและอย่างไม่คาดคิดมาก่อน และความตายก็เช่นเดียวกัน คุณคิดว่าเราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร"
ผมคิดว่าแกถามเพื่อเร้าความสนใจเท่านั้น แต่แกพยักหน้าให้ผมตอบ
"ก็อยู่อย่างมีความสุขเท่าที่จะมีได้" ผมตอบ
"ถูกต้อง! แต่คุณเคยเห็นคนที่มีความสุขหรือเปล่าล่ะ"
ความรู้สึกแรกที่ผมอยากจะพูดออกมาคือ รู้จักสิ ผมคิดว่าผมอาจอ้างเอาคนหลายคนที่ผมรู้จักมาเป็นตัวอย่าง แต่ความคิดต่อมาบอกว่า ความพยายามของผมน่าจะไม่มีความหมายทำให้ตัวเองพ้นจากข้อกล่าวแย้งไปได้เลย
"ผมรู้จัก" ดอนฮวนพูด " มีคนบางคนที่ระมัดระวังมากในการกระทำของตน ความสุขของเขาอยู่ที่การกระทำสิ่งหนึ่งลงไปด้วยความรู้ชัดว่าเขาไม่มีเวลาพอ ดังนั้นการกระทำของเขามีพลังที่ประหลาดมาก การกระทำของเขามีสำนึกของ…"
ดูแกจะหาคำพูดไม่ได้ แกเกาหัวแล้วยิ้ม ต่อมาแกลุกขึ้นอย่างกระทันหันราวกับว่าได้พูดไปโดยตลอดแล้ว ผมอ้อนวอนให้แกพูดจนจบ แกนั่งลงแล้วห่อริมฝีปาก
" การกระทำนั้นมีพลัง " แกบอก " โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ทำรู้ว่า การกระทำนั้นเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขา มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นอย่างประหลาด เมื่อได้ทำสิ่งที่รู้อยู่เต็มเปี่ยมว่า ไม่ว่าคุณทำอะไรอยู่ก็ตามที เป็นการทำครั้งสุดท้ายบนโลกนี้ ผมขอแนะนำว่าคุณต้องพินิจดูชีวิตของคุณ และให้การกระทำของคุณทำลงด้วยความรู้สึกชนิดน ี้"
ผมไม่เห็นด้วยกับแก สำหรับผม ความสุขคือการคาดล่วงหน้าว่าจะมีการสืบต่อในการกระทำของผมไปเรื่อย ๆ และผมสามารถที่จะทำสิ่งนั้นต่อไปตามความต้องการ ไม่ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำที่ผมทำแล้วมีความสุข
ผมบอกกับแกว่าความไม่เห็นด้วยของผมไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดา แต่เกิดจากความเห็นชัดว่า ทั้งโลกและตัวผมมีการสืบต่อที่สามารถกำหนดได้ *(การกระทำของคนทั่วไปเป็นเรื่องของอดีต สามารถทำซ้ำในปัจจุบันและคิดจะทำต่อไปได้อีกในอนาคต เช่น การเสพกามทำให้มีความสุข ความสุขนั้นก็เป็นความจำและความคิดที่จะได้เสพอีก และมีการเสพกามซ้ำอีก ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่สืบต่อซ้ำซากจำเจและประกอบด้วยกาละ คืออดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่การกระทำในความหมายของดอนฮวนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์ในอดีต เป็นการกระทำครั้งเดียวในขณะนั้นเสมอไป)
ดอนฮวนคงรู้สึกขำในความพยายามที่จะมีเหตุผลของผม แกหัวเราะ สั่นศีรษะ เกาหัว และเมื่อผมพูดถึง "การสืบต่อที่สามารถกำหนดได้" แกเหวี่ยงหมวกลงกับพื้นแล้วกระโดดเหยียบ
"คุณไม่มีเวลาหรอกเพื่อนรัก" แกพูด "นี่เป็นโชคร้ายของมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเวลาพอ และการสืบต่อของคุณนั่นไม่มีความหมายเลยในโลกอันพิลึกพิลั่นและมหัศจรรย์นี้"
"การสืบต่อที่คุณพูดถึงทำให้คุณขี้ขลาดเท่านั้นเอง" แกพูด "และการกระทำของคุณไม่อาจมีไหวพริบ มีพลัง มีกำลังมหาศาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะปรากฏในการกระทำของผู้ที่รู้ชัดว่า เขากำลังชิงชัยในการสู้รบครั้งสุดท้ายบนโลกนี้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การสืบต่อของคุณจะไม่ทำให้คุณมีความสุขหรือมีพลังขึ้นมา"
ผมยอมรับว่าผมกลัว เมื่อคิดว่าจะต้องตาย ผมจึงกล่าวโทษดอนฮวนที่ใส่ใจในเรื่องความตายและพูดถึงเรื่องนี้ไม่มีหยุด ทำให้ผมหวาดกลัวความตายแทบจะทนไม่ได้"
"แต่เราทุกคนก็ต้องตาย" แกพูด
แกชี้ไปที่เทือกเขาที่ห่างออกไป
"แน่นอนที่สุดว่า มีอะไรสิ่งหนึ่งคอยผมอยู่ที่นั่น และผมจะเข้าไปร่วมกับมันอย่างแน่นอน แต่บางทีคุณคงเป็นบุคคลพิเศษ และความตายไม่ได้คอยคุณอยู่เลย"
แกหัวเราะในท่าทางที่แสดงความสิ้นหวังของผม
"ผมไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้เอาเลย ดอนฮวน"
"ทำไมล่ะ"
"คิดไปก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าหากว่ามันอยู่ที่นั่นและกำลังคอยผมอยู่แล้ว ทำไมผมจะต้องกังวลกับมันล่ะ"
"ผมไม่ได้พูดว่าคุณต้องไปกังวลกับมันนี่นะ"
"ถ้าอย่างนั้นผมควรจะทำอย่างไรล่ะ"
"ใช้มันสิ จงเพ่งความใส่ใจของคุณที่ช่วงต่อระหว่างคุณและความตายของคุณโดยไม่มีความเสียใจ ความเศร้าสลด หรือมีความกังวลใจอะไรทั้งสิ้น จงเพ่งความใส่ใจในข้อเท็จจริงที่ว่า คุณไม่มีเวลาพอ แล้วปล่อยให้การกระทำของคุณเลื่อนลอยไปเรื่อย ๆ จงให้การกระทำของคุณเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนพื้นโลก ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้เท่านั้น การกระทำของคุณจึงจะมีพลังที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วการกระทำของคุณก็จะเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด "
"มันเลวร้ายนักหรือที่จะเป็นคนขี้ขลาด"
"ไม่หรอก มันไม่ใช่เลวร้ายอะไรหากว่าคุณจะเป็นผู้ที่มีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ตลอดไป แต่ถ้าหากคุณจะต้องตายก็ไม่มีเวลาสำหรับความขี้ขลาด ทั้งนี้ก็เพราะความขี้ขลาดทำให้คุณไขว่คว้าหาสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของคุณเท่านั้น มันทำให้คุณระงับลงไปได้บ้างในบางขณะที่ทุกสิ่งสงบลงชั่วคราว แต่หลังจากนั้น โลกอันพิลึกพิลั่นนี้จะอ้าปากของมันเข้ามาหาคุณ เหมือนกับที่มันอ้าปากเขมือบเราทุกคน และคุณจะรู้ชักแจ้งขึ้นมาว่า วิถีทางที่คุณมั่นใจเป็นอย่างยิ่งนั้นหาได้เป็นทางที่มั่นใจได้เลย การเป็นคนขี้ขลาดจะกั้นเราไว้จากการสำรวจตรวจสอบ และทำลายโชคดีของเราในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย ์"
"การมีชีวิตอยู่กับความคิดที่เกี่ยวกับความตายอยู่ตลอดเวลานั้นไม่ใช่ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่จริง ๆ เลยดอนฮวน"
"ความตายของเรากำลังคอยเราอยู่ และการกระทำที่เราทำอยู่ในขณะนี้อาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนพื้นโลก" ดอนฮวนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ผมเรียกว่าการต่อสู้ เพราะมันเป็นการดิ้นรน คนส่วนใหญ่ทำกรรมหนึ่งแล้วเลื่อนไปสู่อีกกรรมหนึ่งโดยไม่มีการต่อสู้ดิ้นรนหรือแม้แต่คิด
"ในทางตรงข้าม พรานจะกำหนดการกระทำทุกอย่าง และเนื่องจากว่าพรานรู้ชัดถึงความตายของตัว เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างสุขุมรอบคอบราวกับว่าการกระทำทุกชนิดเป็นการสู้รบครั้งสุดท้าย
"คนโง่เท่านั้นที่ไม่อาจสังเกตเห็นข้อได้เปรียบที่พรานมีเหนือมนุษย์คนอื่น พรานทำการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขาด้วยความใส่ใจเต็มที่ ย่อมเป็นธรรมดาที่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนพื้นโลกจะต้องเป็นการกระทำที่ดีที่สุดของพราน มันเป็นความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น และมันทำให้ความขลาดกลัวของเขาอ่อนกำลังลง "
"คุณพูดถูก" ผมยอมรับ "แต่มันยากเหมือนกันที่จะยอมรับ"
"คงหลายปีทีเดียวก่อนที่คุณจะเชื่อ และต่อมาอีกหลายปีคุณจึงจะทำตามนี้ ผมเพียงแต่หวังว่าคุณจะมีเวลาเหลืออยู่บ้าง"
"ผมรู้สึกหวาดผวาเมื่อคุณพูดอย่างนี้"
ดอนฮวนสำรวจดูผมด้วยหน้าตาที่แสดงออกถึงความเอาจริงเอาจัง
"ผมเคยบอกกับคุณแล้ว นี่คือโลกที่ลึกลับมหัศจรรย์" แกพูด "พลังที่นำทางให้กับมนุษย์นั้นไม่อาจทำนายได้และพิลึกกึกกือ แต่กระนั้นก็ตาม ความงามของมันควรค่าแก่การทัศนา"
"มีสิ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ ที่มานำทางให้กับเรา" ผมถาม
"แน่นอน พลังนำเราอยู่"
"คุณอธิบายมันได้ไหมล่ะ"
"ไม่ได้หรอก นอกจากเรียกมันว่า กำลัง วิญญาณ อากาศ ลม หรืออะไรทำนองนั้นแหละ"
ผมอยากถามแกต่อไป แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกมาแกผลุดลุกขึ้น ผมจ้องดูแกอย่างตื่นตะลึง ดอนฮวนลุกขึ้นด้วยการไหวตัวเพียงครั้งเดียว ร่างของแกพุ่งขึ้นไปและยืนอยู่บนขาทั้งสองข้าง
ผมกำลังครุ่นคิดถึงว่า น่าจะใช้ความชำนาญเป็นอย่างมากจึงลุกขึ้นได้รวดเร็วเช่นนั้น ขณะที่ดอนฮวนออกคำสั่งกร้าว ๆ ให้ผมออกล่ากระต่าย ฆ่ามันแล้วย่างก่อนจะถึงเวลาย่ำค่ำ
แกมองดูท้องฟ้าแล้วว่า ผมคงมีเวลาพอ
ผมเริ่มออกเดินโดยอัตโนมัติไปตามทางที่ผมเคยเดินมานับสิบครั้ง ดอนฮวนเดินตามไปข้าง ๆ และสังเกตการเคลื่อนไหวของผมอย่างพินิจพิจารณา ผมรู้สึกสงบมากและเคลื่อนตัวไปอย่างระมัดระวัง ผมไม่รู้สึกลำบากเลยในการจับกระต่ายตัวผู้ได้ตัวหนึ่ง
"ฆ่ามันเสีย" ดอนฮวนสั่งด้วยเสียงอันดัง
ผมสอดมือเข้าไปในกับเพื่อจับกระต่ายตัวนั้น ผมจับหูมันได้และกำลังจะดึงมันออกมา แต่ความรู้สึกสยดสยองพุ่งขึ้นมาโดยฉับพลัน นับตั้งแต่ดอนฮวนสอนในเรื่องการล่าสัตว์ ผมเพิ่งรู้สึกขึ้นมาในตอนนี้เองว่าแกไม่เคยสอนให้ผมฆ่าสัตว์เลย นับเป็นสิบครั้งที่เราเร่ร่อนไปในทะเลทราย ดอนฮวนฆ่ากระต่ายตัวหนึ่ง นกกระทาสองตัว และงูกะปะอีกตัวหนึ่งเท่านั้น
ผมปล่อยหูกระต่ายออก แล้วมองมายังดอนฮวน
"ผมฆ่ามันไม่ได้หรอก" ผมพูด
"ทำไมล่ะ"
"ผมไม่เคยทำ"
"แต่คุณเคยฆ่านกและสัตว์อื่น ๆ มานับร้อยตัว"
"นั่นผมฆ่าด้วยปืน ไม่ใช่ด้วยมือเปล่า"
"มันจะแตกต่างอะไรกันนักหนา เวลาของกระต่ายตัวนี้หมดลงแล้ว"
น้ำเสียงของแกทำให้ผมตะลึง มันช่างมีอำนาจ รู้ชัดแจ้งจนผมเองไม่มีข้อสงสัยอยู่ในใจเลยถึงการที่แกรู้ว่าเวลาของกระต่ายตัวนี้หมดแล้ว
"ฆ่ามันเสีย" แกสั่ง สายตาที่แกมองมานั้นมีแววดุดัน
"ผมทำไม่ได้หรอก"
ดอนฮวนตะโกนใส่ผมว่า กระต่ายตัวนี้ต้องตาย แกบอกว่าการท่องเที่ยวไปในทะเลทรายอันสวยงามนี้ของมันสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ใช่กงการอะไรของผมที่จะกั้นกระแสอันนี้ เพราะพลังหรือวิญญาณที่นำทางให้กับกระต่ายได้ชี้กระต่ายตัวนี้ให้เข้ามาติดกับของผมในเวลาหัวค่ำพอดี
ความสับสนและความคิดมากมายไหลเข้ามา ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้รอคอยอยู่แล้วจากข้างนอก ผมรู้สึกชัดแจ้งและปวดร้าวในโศกนาฏกรรมที่กระต่ายตัวนี้หลงเข้ามาติดกับของผม ชั่วเวลาสองสามวินาทีที่จิตของผมกระหวัดวูบเข้าไปรู้สึกถึงสภาวะวิกฤติในชีวิต หลายครั้งทีเดียวที่ผมเป็นกระต่ายตัวนี้
ผมมองดูมัน และมันจ้องตอบผม มันเอาหลังยันซี่กรงของกับดัก ห่อตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่เคลื่อนไหว เราแลกเปลี่ยนการชำเลืองที่เศร้าสลดไปหากันและกัน ผมคิดว่า การชำเลืองนั้นเป็นความสิ้นหวังอันเงียบงันซึ่งผนึกเอาการมีส่วนร่วมในชะตากรรมส่วนที่เป็นของผมเข้าไปด้วย
"ให้มันลงนรกไปเสีย" ผมร้องออกมาอย่างดัง "ผมจะไม่ฆ่าอะไร ปล่อยกระต่ายตัวนี้ให้เป็นอิสระ"
อารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงทำให้ตัวผมสั่น มือของผมสั่นขณะที่พยายามจับหูของกระต่าย มันหลบอย่างรวดเร็วและผมคว้าพลาด ผมพยายามอีกครั้งและล้วงเข้าไปในกรงดัก ผมรู้สึกสิ้นหวัง มีอาการคลื่นเหียน จึงเตะที่กรงทันทีเพื่อพังกรงออกแล้วปล่อยกระต่ายตัวนั้นไป
แต่กรงนั้นแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ จึงไม่พังง่าย ๆ อย่างที่ผมคิด ความสิ้นหวังของผมถีบตัวสูงขึ้นทุกที จนกลายเป็นความโกรธแทบทนไม่ได้ ผมกระทืบกรงนั้นด้วยเท้าขวาสุดแรงเกิด ไม้ซี่กรงหักเสียงดัง ผมดึงกระต่ายออกมา ผมโล่งใจไปได้ชั่วครู่ ซึ่งความรู้สึกนั้นแตกป่นลงไปในขณะต่อมา กระต่ายตัวนั้นอ่อนปวกเปียกห้อยอยู่กับมือของผม มันตายเสียแล้ว
ผมนั่งลงข้างก้อนหินก้อนหนึ่ง รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ดอนฮวนวางมือบนหัวของผมแล้วพูดกรอกเข้าไปในหูว่า ผมต้องถลกหนังกระต่ายตัวนี้แล้วย่างมันให้สุกก่อนเวลาย่ำค่ำจะผ่านพ้นไป
ผมอยากอาเจียร ดอนฮวนพูดกับผมด้วยความอดทนอย่างมากราวกับว่าแกกำลังพูดกับเด็ก ๆ แกบอกว่าพลังที่นำทางให้กับสัตว์และมนุษย์ทั้งหลายได้นำเอากระต่ายตัวนี้มาให้ผมในลักษณะเดียวกับที่มันจะนำผมไปสู่ความตาย แกพูดว่า ความตายของกระต่ายตัวนี้เป็นของกำนัลสำหรับผม และความตายของผมก็จะเป็นสำหรับบางคนเช่นเดียวกัน
ผมรู้สึกวิงเวียน เหตุการณ์ธรรมดาในวันนี้ขยี้ผม ผมพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องของกระต่ายตัวนี้เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ว่า ตัวเองก็จะตกอยู่ในภาวะอย่างเดียวกันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดอนฮวนบอกว่าผมต้องกินเนื้อมันบ้างแม้สักคำหนึ่งก็ยังดี เพื่อทำให้การที่ผมพบกับมันมีผลขึ้นมา
"ผมกลืนไม่ลงหรอก" ผมค้านออกมาอย่างอ่อนระโหย
" พวกเราเป็นเพียงกากเดนเท่านั้นในกำมือของพลัง " แกตะคอกเข้าใส่ผม " ดังนั้น จงเลิกให้ความสำคัญกับตัวเองเสียที แล้วใช้ของกำนัลที่ได้รับมานี้อย่างถูกต้อง "
ผมหยิบกระต่ายขึ้นมา ตัวของมันยังอุ่นอยู่
ดอนฮวนโน้มกายลงมา กระซิบเข้าไปในหูของผมว่า
"กับดักของคุณเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมันบนโลกนี้ ผมขอบอกกับคุณว่า มันไม่มีเวลาเหลืออีกต่อไปที่จะท่องเที่ยวในทะเลทรายอันสวยมหัศจรรย์นี้"
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html