๑๐. การยอมให้พลังเข้าถึงตัว
พฤหัส ๑๗ สิงหาคม ๑๙๖๑
ขณะ ที่ก้าวลงจากรถ ผมเริ่มบ่นกับดอนฮวนว่าผมไม่สบาย
"นั่งลง นั่งลงก่อนสิ" แกพูดเบา ๆ และแทบจะจูงมือผมไปที่ระเบียงบ้าน แกยิ้มแล้วเอามือตบหลังของผม
สองอาทิตย์ก่อนหน้านี้คือวันที่ ๔ สิงหาคม ดอนฮวนได้เปลี่ยนยุทธวิธีกับผมดังที่แกเคยพูดเอาไว้ โดยให้ผมเสพปุ่มของต้นกระบองเพชรเปโยติ ขณะเมาจนได้ที่นั้น ผมเล่นกับหมาตัวหนึ่งที่อยู่ในบ้านที่เรามาร่วมเสพสมุนไพรนั่นเอง ดอนฮวนแปลปฏิกิริยาที่ผมเล่นกับหมาตัวนั้นว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษมาก แกยืนยันกับผมว่า ในขณะที่ผมตกอยู่ในอำนาจของพลังนั้น โลกของการกระทำอย่างธรรมดาไม่ปรากฏ และไม่มีสิ่งใดที่ผมจะบอกว่าเป็นสิ่งที่รู้จัก หมาตัวนั้นก็ไม่ใช่หมาโดยทั่วไปอีก แต่เป็นอวตารของเมสคาลิโต พลังของเทพเจ้าที่มีอยู่ในสมุนไพรของเปโยติ
ผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เสพสมุนไพรดังกล่าวคือ รู้สึกเหนื่อยอ่อน เหี่ยวแห้งใจ บวกกับความฝันที่ชัดมากและมีการละเมอเพ้อพกในเวลาหลับ
"เครื่องเขียนของคุณอยู่ที่ไหน" ดอนฮวนถามขณะที่ผมนั่งที่ระเบียงหน้าบ้าน
ผมทิ้งสมุดบันทึกไว้ที่รถยนต์ ดอนฮวนเดินกลับไปที่รถแล้วดึงเอากระเป๋าเอกสารของผมออกมาอย่างระมัดระวัง และนำมันมาวางไว้ข้างตัวของผม
แกถามว่า ผมชอบถือกระเป่าเครื่องเขียนขณะที่กำลังเดินใช่หรือเปล่า ผมตอบว่าใช่
"นั่นนะบ้าแล้ว" แกพูด "ผมบอกคุณแล้วว่าอย่าถืออะไรไว้ในมือขณะที่เดินอยู่ หาเครื่องหลังสิ"
ผมหัวเราะ ความคิดที่จะเอาสมุดบันทึกใส่เครื่องหลังนั้นน่าขำมาก ผมบอกแกว่าตามปกติผมสวมสูท และถ้าเอาเครื่องหลังทับไปบนสูทน่าจะเป็นภาพที่ตลกมากทีเดียว
"สวมเสื้อคลุมทับเครื่องหลังอีกทีสิ" แกแนะ "คงดีไม่น้อยที่คนอื่น ๆ คิดว่าคุณหลังค่อมแทนที่จะปล่อยให้ร่างกายพิกลพิการจากการถือของเหล่านี้"
แกเร่งให้ผมเอาสมุดบันทึกออกมาเขียน ดูแกตั้งใจอย่างมากที่จะทำให้ผมสบายใจ
ผมบ่นกับแกอีกครั้งถึงความไม่สบายกายและความรู้สึกไม่เป็นสุขที่เกิดขึ้นกับผม
แกหัวเราะแล้วบอกว่า ผมเริ่มที่จะเรียนรู้
เราคุยกันอยู่นาน แกบอกว่า นอกจากเมสคาลิโตจะยอมให้ผมเล่นด้วยแล้ว ยังเจาะจงให้เป็น "คนที่เลือกสรรแล้ว" อีกด้วย และแม้ว่าแกจะงงเอามาก ๆ ในลางที่เกิดขึ้น เพราะผมไม่ได้เป็นชาวอินเดียนแดงแกก็ประสิทธิ์ประสาทความรู้อันลึกลับนี้ให้กับผม แกบอกว่า ตัวแกเองก็เคยมี "ผู้อุปการะ" ที่มาถ่ายทอดความรู้ว่าจะเป็น "ผู้รู้แจ้ง" อย่างไรให้ด้วย *(ผู้รู้แจ้ง - man of Knowledge หมายถึงหมอผีซึ่งตรัสรู้แล้ว เป็นลำดับสุดท้ายตามวิถีทางพัฒนาตัวเองตามแนวแห่งการรู้แจ้ง ลำดับของผู้รู้แจ้งตามคติของชาวอินเดียนแดงในเรื่องนี้ คือ พราน นักรบ และ ผู้รู้แจ้ง)
ผมรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้นกับผมอีกอย่างแน่นอน ข้อบ่งชี้ว่าผมเป็นคนถูกเลือกสรรแล้วบวกกับวิถีทางอันประหลาดไม่เหมือนใครของดอนฮวน และผลอันพิลึกพิลั่นของการเสพเปโยติเหล่านี้ ทำให้ผมหวาดกลัวแทบจะทนไม่ได้และไม่ทราบว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี แต่ดอนฮวนไม่สนใจในความรู้สึกของผมเลย แกแนะนำว่า ผมควรคิดถึงแต่ความมหัศจรรย์ที่เมสคาลิโตเล่นกับผมเท่านั้น
"อย่าไปคิดถึงเรื่องอื่น" แกบอก "เรื่องอื่น ๆ คุณจะรู้ได้เอง"
แกลุกขึ้น เอามือตบที่หัวของผมเบา ๆ แล้วพูดว่า "ผมกำลังจะสอนคุณถึงการเป็นนักรบ เหมือนกับที่ผมสอนให้รู้จักการล่ามาแล้ว แต่ผมก็อยากจะเตือนคุณว่า การเรียนรู้ว่าจะล่าสัตว์อย่างไรนั้นไม่ได้ทำให้คุณเป็นพรานขึ้นมา เช่นเดียวกับการเรียนรู้เรื่องการเป็นนักรบก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นนักรบขึ้นมาได้"
ผมรู้สึกหงุดหงิดและไม่สบายเนื้อตัวจนเกือบจะเป็นความฉุนเฉียว ผมบ่นถึงความฝันที่เห็นชัดและการละเมอเพ้อพกต่าง ๆ แกดูจะเครียดไปชั่วครู่แล้วนั่งลง
"ความฝันเหล่านั้นน่าขนลุก" ผมพูด
"ความฝันของคุณชวนให้ขนลุกเสมอไปแหละน่า" แกพูดสวนกลับมา
"ผมอยากจะบอกกับคุณว่า ระยะนี้มันน่าขนลุกกว่าเดิม"
"อย่าไปใส่ใจกับมัน มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ก็เหมือนกับความฝันของคนที่ชอบฝันทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรหรือจะมากังวลหรือพูดถึงเรื่องนี้"
"แต่มันรบกวนผมมาก ดอนฮวน จะมีอะไรมาหยุดความฝันเหล่านี้ได้ไหมล่ะ"
"ไม่หรอก ให้มันผ่านไป" แกบอก "แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่คุณต้องยอมให้พลังเข้าถึงตัวได้ และคุณต้องเริ่มต้นด้วย การฝัน "
น้ำเสียงที่แกกล่าวคำว่า "การฝัน" นั้น ทำให้ผมเห็นว่าดอนฮวนใช้คำนี้ในความหมายที่ต่างออกไป ผมคิดคำถามเหมาะที่จะมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ดอนฮวนพูดต่อไป
"ผมไม่เคยพูดกับคุณเกี่ยวกับ 'การฝัน' เพราะตอนนั้นผมสนใจจะสอนให้คุณเป็นพราน" แกบอก "พรานไม่ใส่ใจที่จะใช้พลัง ดังนั้นความฝันของพรานจึงเป็นความฝันธรรมดาเท่านั้น ความฝันเหล่านั้นอาจจะชัดมาก แต่มันก็ยังไม่ใช่ 'การฝัน'"
"ในทางตรงข้าม นักรบแสวงหาพลัง และทางที่จะเข้าไปสู่พลังทางหนึ่งก็คือ 'การฝัน' คุณอาจจะพูดได้ว่า ความแตกต่างระหว่างพรานและนักรบคือ นักรบกำลังเดินไปหาพลัง ส่วนพรานไม่รู้เรื่องนี้เลย หรือรู้ก็เพียงเล็กน้อย"
" ข้อตัดสินว่า ใครสามารถเป็นนักรบหรือใครเป็นพรานได้นั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจของเราเลย ข้อตัดสินนั้นอยู่ในอาณาจักรของพลังที่มานำทางให้กับมนุษย์ เพราะเหตุนี้เองการที่คุณเล่นกับเมสคาลิโตจึงเป็นลางที่สำคัญมาก พลังนำคุณมาหาผม พลังนำคุณมาที่สถานีขนส่ง จำได้ไหม ตัวตลกตัวหนึ่งนำคุณมาหาผม มันเป็นลางที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ ที่ตัวตลกชี้มาที่ตัวคุณ ดังนั้น ผมจึงสอนคุณให้เป็นพราน และต่อมาก็มีลางดีอีก คือเมสคาลิโตเล่นกับคุณ คุณเข้าใจสิ่งที่ผมพูดไหมล่ะ"
เหตุผลอันพิลึกพิลั่นของแกครอบงำผมอย่างเต็มที่ คำพูดของแกทำให้เกิดภาพพจน์ในลักษณะที่ตัวของผมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งหนึ่งที่น่าหวาดกลัวและลึกลับ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่ได้แสวงหาและไม่ทราบเอาเลยว่ามีอยู่จริงแม้ในความฝันที่บ้าที่สุด
"คุณจะแนะให้ผมทำอะไรอีกล่ะ ดอนฮวน" ผมถาม
"จงเป็นผู้ที่พลังเข้าถึงได้ และให้จัดการกับความฝันของคุณ" แกตอบ "คุณเรียกมันว่าเป็นความฝันเพราะคุณไม่มีพลัง นักรบเป็นผู้แสวงหาพลัง นักรบจะไม่เรียกความฝันว่าเป็นความฝัน แต่เรียกมันว่าเป็นความจริงชนิดหนึ่ง"
"คุณหมายถึงว่า นักรบบอกว่าความฝันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ"
"เขาไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไรอีก สิ่งที่คุณเรียกว่าความฝันนั้นเป็นความจริงสำหรับนักรบ คุณต้องเข้าใจว่านักรบไม่ใช่คนโง่ นักรบคือพรานผู้ล่าพลัง-เป็นพรานที่สมบูรณ์แบบที่สุด นักรบไม่มัวเมาหรือบ้า ๆ บอ ๆ เขาไม่มีทั้งเวลาหรือข้อกำหนดใด ๆ มาหลอกลวงหรือโกหกตัวของเขาเอง หรือก้าวไปข้างหน้าอย่างผิดพลาด เกณฑ์การวัดสูงมากสำหรับเรื่องนี้ เกณฑ์วัดนี้คือชีวิตที่ปรับเป็นระเบียบแล้วของนักรบ ซึ่งจะต้องใช้เวลานานในการที่จะทำให้กระชับและสมบูรณ์แบบ นักรบจะไม่ทิ้งคุณสมบัติอันนี้ไปเพราะเหตุว่าคาดการณ์ผิดอย่างโง่เง่าเห็นสิ่งนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง
"ความฝัน เป็นความจริงสำหรับนักรบ เพราะว่าในการฝันนั้นเขาสามารถทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปได้ เขาอาจเลือกหรือปฏิเสธ และนักรบอาจเลือกจากรายละเอียดมากมายในการฝันส่วนที่จะไปสู่พลัง จากนั้นเขาจะจัดการกับพลังตามความเหมาะสมหรือนำมันมาใช้ ในขณะที่ความฝันธรรมดาเราไม่อาจทำอะไรได้ตามที่เราต้องการ"
"ถ้าอย่างนั้น คุณหมายความว่า การฝัน เป็นความจริง อย่างนั้นสิดอนฮวน"
"แน่นอน การฝัน เป็นความจริง"
"จริงเหมือนกับที่เรากำลังคุยกันอยู่เดี๋ยวนี้อย่างนั้นหรือ"
"ถ้าหากคุณอยากจะเปรียบเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ผมก็อาจบอกกับคุณได้ว่า มันจริงเสียยิ่งกว่าการที่เรากำลังพูดกันอยู่เดี๋ยวนี้เสียอีก ใน การฝัน คุณมีพลัง คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้ คุณจะประสบความจริงนับไม่ถ้วนที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นอยู่ และคุณสามารถควบคุมอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ"
การอ้างเหตุผลต่าง ๆ ของดอนฮวน ทำให้ผมเข้าใจในระดับหนึ่งเท่านั้น การที่ดอนฮวนชอบความคิดที่ว่าเราสามารถทำอะไรก็ได้ในความฝันนั้นผมก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก แต่ผมก็ไม่ได้ถือว่ามันเป็นเรื่องจริงจังอะไรนัก การก้าวกระโดดออกไปในครั้งนี้ออกจะไกลไปหน่อย
เรามองดูกันและกันชั่วครู่ คำพูดของดอนฮวนออกจะบ้ามาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เท่าที่ผมรู้จักแกดี ดอนฮวนเป็นมนุษย์ที่มีสุขภาพจิตเป็นปกติที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา
ผมบอกกับแกว่า ผมไม่เชื่อที่แกบอกว่าความฝันเป็นความจริง แกหัวเราะหึ ๆ ราวกับแกทราบดีสภาวะที่ผมเข้าไม่ได้นั้นเป็นอย่างดี ดังนั้นแกลุกขึ้นไม่พูดอะไรอีก แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
ผมนั่งซึมกระทืออยู่นาน จนดอนฮวนร้องเรียกมาจากหลังบ้าน แกทำข้าวโพดต้มและยื่นส่งมาให้ผมถ้วยหนึ่ง
ผมถามถึงเวลาที่เราตื่น ผมอยากจะทราบว่าแกเรียกเวลาที่เราไม่หลับว่าอย่างไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ดอนฮวนไม่เข้าใจหรือไม่ก็ไม่อยากตอบ
"คุณเรียกการกระทำนี้ว่าอย่างไร การกระทำที่เรากำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้" ผมถามในความหมายสิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นความจริงชนิดที่เป็นตรงข้ามกับความฝัน
"ผมก็เรียกมันว่า การกิน" แกพูดแล้วกลั้นหัวเราะ
"ผมเรียกมันว่า ความจริง" ผมพูด "เพราะการกินของเราเกิดขึ้นจริง ๆ "
"การฝัน ก็เกิดขึ้นจริง ๆ เหมือนกัน" แกตอบพร้อมกับหัวเราะคิก ๆ ออกมา "และการล่าสัตว์ การเดิน และการหัวเราะก็เกิดขึ้นจริง ๆ "
ผมไม่อาจดื้อเถียงอีกต่อไป แต่กระนั้นก็ตามถึงแม้ว่าผมพยายามจะออกไปให้เลยความคับแคบของตัวเองแล้วก็ตามที ผมไม่อาจยอมรับความคิดของดอนฮวนได้ แกดูจะพอใจในความหมดหวังของผมมาก
เมื่อเรารับประทานอาหารเสร็จ ดอนฮวนพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า เราจะออกเดิน แต่คราวนี้จะไม่เร่ร่อนไปในทะเลทรายดังที่เราเคยทำมาแล้ว
"คราวนี้จะต่างออกไป" แกบอก "เราจะไปตามสถานที่ของพลัง คุณกำลังจะเรียนรู้เรื่องการให้พลังเข้าถึงตัวได้อย่างไร"
ผมแสดงความสับสนออกมา ผมบอกว่ายังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่แกพูดถึง
"เอาเถอะน่า คุณกำลังหมกมุ่นอยู่กับความกลัวที่ไร้สาระ" แกพูดเสียงต่ำแล้วเอามือมาตบที่หลังของผมพร้อมกับยิ้มอย่างมีเมตตา "ผมพอใจกับวิญญาณของความเป็นนักล่าของคุณ คุณชอบที่เร่ร่อนไปกับผมในทะเลทรายอันสวยงามนี้ สายเกินไปเสียแล้วที่คุณจะถอนตัวออกไป"
แกเดินออกไปยังป่าพุ่มไม้เตี้ย แกทำท่าด้วยศีรษะให้ผมเดินตาม ผมน่าจะเดินไปที่รถแล้วขับหนีไป แต่ผมเองก็ชอบที่จะเร่ร่อนไปในทะเลทรายอันสวยงามนี้กับแก ผมชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้น ซึ่งมันเกิดขึ้นเมื่อผมเดินไปกับดอนฮวนเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกว่า ทะเลทรายนี้พิลึกพิลั่น ลึกลับ แต่กระนั้นก็สวยงามเหมือนกับที่ดอนฮวนเคยพูดเอาไว้ ผมติดเบ็ดเสียแล้ว
แกพาผมเดินไปที่ภูเขาทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่ไกลมาก วันนั้นอากาศร้อน แต่ถึงจะร้อนซึ่งตามปกติแล้วผมจะทนไม่ได้เอาเลยนั้นผมกลับไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
เราเดินลึกไกลเข้าไปในโตรกเขา จนในที่สุดดอนฮวนหยุดเดินและนั่งลงภายใต้เงาของก้อนหินใหญ่ ผมดึงเอาขนมปังกรอบออกมาจากเครื่องหลัง แต่ดอนฮวนบอกว่าอย่างเพิ่งสนใจในเรื่องกิน
แกแนะว่า ให้ผมนั่งในที่เด่นสะดุดตา แกชี้ไปที่ก้อนหินใหญ่รูปเกือบกลมที่อยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐-๑๕ ฟุต แล้วพยุงให้ผมขึ้นไปที่ยอดของหินก้อนนั้น ผมคิดว่าแกจะปีนขึ้นมานั่งด้วยแต่แกไม่ทำ แกปีนขึ้นมาไม่สูงนักแล้วยื่นเนื้อแห้งสองสามชิ้นให้กับผม แกบอกผมด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังมากว่า เนื้อนี้เป็นเนื้อประจุพลัง ผมควรจะเคี้ยวช้า ๆ และไม่ควรให้ผสมกับอาหารอย่างอื่น
ต่อมาแกเดินกลับไปยังเงาหินที่เดิมแล้วนั่งเอาหลังพิงกำแพงหิน แกนั่งอย่างผ่อนคลายเหมือนกับว่าจะหลับไป ดอนฮวนนั่งอยู่ในท่านั้นจนผมกินเนื้อหมด แกยืดตัวตรงแล้วเอียงคอไปทางขวา เงี่ยหูลงฟังเสียงอะไรบางอย่างอย่างตั้งใจ แกชำเลืองมาทางผมสองสามครั้งแล้วยืนขึ้นในทันทีพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างที่พรานทำ
ผมนั่งตัวแข็งโดยอัตโนมัติ ทำได้เพียงกวาดสายตาเพื่อตามดูสิ่งที่ดอนฮวนมองอยู่ แกเดินเข้าไปเบื้องหลังหินก้อนหนึ่งอย่างระมัดระวังตัว ราวกับว่าแกหลบสัตว์ชนิดหนึ่งเข้ามาในบริเวณนั้น ผมมองเห็นในขณะต่อมาด้วยว่าเราอยู่ในแนวโค้งเหมือนกับอ่าวที่เว้าเข้ามาของโตรก ไม่มีน้ำ มีหินทรายก้อนโต ๆ กระจายอยู่โดยรอบ
ดอนฮวนโผล่หน้าออกมาหลังก้อนหินนั้นแล้วยิ้มกับผม แกเหยียดแขนออก อ้าปากหาว แล้วเดินมาที่ก้อนหินที่ผมนั่งอยู่ ความเครียดของผมคลายลง ผมทรุดตัวลงนั่ง
"เกิดอะไรขึ้นหรือ ดอนฮวน" ผมกระซิบถาม
แกตอบด้วยการร้องแหกปากตะโกนออกมาว่า ไม่มีอะไรแถวนี้ที่จะต้องกังวล
ผมรู้สึกกระตุกที่ท้องในทันที คำตอบของแกไม่น่าตะโกนออกมา และผมก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าแกจะทำเช่นนั้น นอกจากว่าแกจะมีเหตุผลเฉพาะลงไป
ผมทำท่าว่าจะเลื่อนตัวลงมาจากก้อนหิน แต่ดอนฮวนตะโกนขึ้นมาอีกว่าให้ผมอยู่ที่เดิม
"คุณกำลังทำอะไร ดอนฮวน" ผมถาม
แกนั่งลงและซ่อนตัวอยู่ในระหว่างหินสองก้อนที่อยู่ตรงฐานของหินที่ผมนั่งอยู่ ต่อมาแกพูดด้วยเสียงอันดังว่า แกกำลังมองไปรอบ ๆ เพราะแกคิดว่าได้ยินเสียงอะไรอย่างหนึ่ง
ผมถามว่าแกได้ยินเสียงสัตว์ตัวโตหรือ แกเอามือมาป้องที่หูแล้วตะโกนออกมาว่า แกไม่ได้ยินที่ผมพูดและผมควรจะตะโกนออกมาด้วย
ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องแหกปากร้อง แต่ดอนฮวนก็แหย่ผมออกมาด้วยเสียงอันดังว่าให้ผมร้องออกมา ผมตะโกนออกไปว่า ผมอยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แกตะโกนออกมาว่า ไม่มีอะไรเลยแถวนี้ แกแหกปากตะโกนต่อว่า ผมเห็นอะไรบ้างไหม จากยอดของก้อนหินที่ผมนั่งอยู่ ผมร้องว่า ไม่มีหรอก ต่อมาแกบอกให้ผมบอกถึงรายละเอียดของภาพที่เห็นทางด้านทิศใต้
เราตะโกนกลับไปกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดอนฮวนทำสัญญาณให้ผมไต่ลงมา ผมเดินไปหาแก แกกระซิบที่หูของผมว่า ผมจำเป็นต้องตะโกนเพื่อให้การปรากฏตัวของเราเป็นที่สังเกตได้ เพราะผมต้องให้พลังของรูน้ำในที่แห่งนี้เข้าถึงตัวได้
ผมมองไปรอบ ๆ แต่ก็มองไม่เห็นว่ามีรูน้ำที่ไหน ดอนฮวนบอกว่าเรายืนอยู่เหนือรูน้ำทีเดียว
"มีน้ำอยู่ที่นี่" แกกระซิบ "และมีพลังด้วย มีวิญญาณอยู่ตรงนี้และเรากำลังล่อให้มันออกมา บางทีมันอาจตามคุณไปก็ได้"
ผมอยากจะทราบเพิ่มเติมถึงวิญญาณที่แกพูดถึง แต่แกยืนยันให้มีการเงียบเสียงลงจริง ๆ แกแนะให้ผมอยู่อย่างนิ่งที่สุดไม่ให้มีเสียงอะไรออกมา ไม่กระดุกกระดิกหรือทำให้เป็นที่สังเกตเห็นการปรากฏกายของเรา
สำหรับดอนฮวนนับเป็นเรื่องง่ายมากที่จะนั่งไม่กระดุกกระดิกนับเป็นชั่วโมง แต่สำหรับผมการทำเช่นนี้เป็นความทรมาน ขาทั้งสองข้างชา กระดูกสันหลังปวดร้าว กล้ามเนื้อตึงแถวบริเวณคอและช่วงไหล่ ร่างกายของผมตาย ผมไม่สบายมากขณะที่ดอนฮวนลุกขึ้นในที่สุด แกดีดตัวยืนขึ้นมาแล้วยื่นมือมาดึงให้ผมลุกยืน
ขณะที่ผมยืดแข้งยืดขาอยู่นั้น ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องแทบไม่น่าเชื่อ ที่ดอนฮวนดีดตัวลุดขึ้นมาหลังจากที่นั่งไม่กระดุกกระดิกเลยหลายชั่วโมง ส่วนผมต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวพอที่จะออกเดินทางต่อไปได้
ดอนฮวนมุ่งหน้ากลับบ้าน แกเดินช้ามาก และเดินห่างออกไปสามก้าวเพื่อให้ผมสังเกตและทำตามแกได้ถูก แกวกออกจากทางที่เคยเดินและข้ามทางเส้นนั้นไป ๆ มา ๆ ๓-๔ ครั้งในทิศทางต่าง ๆ และเมื่อเรามาถึงบ้านก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว
ผมพยายามที่จะถามแกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แกบอกว่าคำพูดไม่จำเป็นสำหรับผมอีกในตอนนี้ ให้งดคำถามต่างๆ ไว้จนกว่าเราจะอยู่ในสถานที่ของพลัง
ผมอยากรู้แทบตายว่าที่แกบอกเช่นนั้นหมายถึงอะไรแน่ ผมพยายามกระซิบถาม แต่แกเตือนผมด้วยสายตาที่มองอย่างชาเย็นว่า เรื่องที่แกพูดไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
เรานั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านหลายชั่วโมง ผมจดบันทึก ดอนฮวนยื่นเอาเนื้อแห้งประจุพลังให้กับผมเป็นครั้งครว จนในที่สุดก็มืดจนเขียนหนังสือไม่ได้ ผมพยายาที่จะคิดถึงความก้าวหน้าใหม่ ๆ ในเรื่องเหล่านี้ แต่ส่วนหนึ่งในตัวของผมปฏิเสธที่จะคิด และในที่สุดผมก็หลับไป
เสาร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๑๙๖๑
เช้าของเมื่อวาน ผมกับดอนฮวนขับรถเข้าไปในเมืองเพื่อรีบประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง แกแนะนำไม่ให้ผมเปลี่ยนอาหารในทันทีทันใด
"ร่างกายของคุณไม่ชินกับเนื้อประจุพลัง" แกบอก "คุณอาจจะไม่สบายหากคุณไม่กินอาหารที่คุณชอบ"
ดอนฮวนเองก็รับประทานเสียเต็มคราบ เมื่อผมล้อแกในเรื่องนี้ แกบอกเพียงว่า ร่างกายของแกชอบอาหารทุกอย่าง
ในเวลาราวเที่ยงวันเราเดินไปยังโตรกผาแหล่งน้ำที่เดิม เราเริ่มทำตัวให้วิญญาณสังเกตได้ด้วย "การพูดเสียงดัง" และต่อมาบังคับตัวเองให้เงียบอีกหลายชั่วโมง
เราออกจากที่นั่น แต่แทนที่จะมุ่งตรงเพื่อกลับบ้าน ดอนฮวนกลับเดินไปอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นภูเขา เรามาถึงเนินเขาที่ไม่สูงนัก และต่อมาเราก็ปีนขึ้นไปยังยอดเขาสูง ตรงยอดเขาดอนฮวนเลือกเอาที่โล่งไม่มีร่มไม้เป็นที่นั่งพัก แกบอกผมว่า เราต้องคอยจนถึงเวลาย่ำค่ำและผมต้องทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ซึ่งหมายรวมถึงให้ถามอะไรก็ได้ที่ผมอยากทราบด้วย
"ผมรู้ว่าวิญญาณซุกซ่อนอยู่แถว ๆ นั้น"
"ตรงไหนล่ะ"
"แถวพุ่มไม้นั่นแหละ"
"มันเป็นวิญญาณชนิดไหนกันล่ะ"
แกมองมาทางผมด้วยสีหน้าแสดงความขบขันแล้วย้อนถามว่า "วิญญาณมีกี่ชนิดกันละคุณ"
เราทั้งสองหัวเราะออกมา ผมถามออกไปด้วยใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเอาเลย
"มันจะออกมาในตอนหัวค่ำ" แกพูด "เราเพียงแต่คอยเท่านั้น"
ผมเงียบไป และไม่มีอะไรจะถามออกมาจริง ๆ
"นี่เป็นเวลาที่เราต้องคุยกันต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ" แกบอก "เสียงของมนุษย์ดึงดูดพวกวิญญาณ มีตัวหนึ่งละที่ซ่อนอยู่ที่นั่น เรากำลังจะทำตัวให้เป็นที่เข้าถึงได้สำหรับเจ้าตัวนี้ ดังนั้นเราจึงต้องคุยกัน"