ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : งานวิจัยชี้ในทำนองว่าไม่ใช่มีแต่สวรรค์-นรกก็มี  (อ่าน 1962 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



งานวิจัยชี้ในทำนองว่าไม่ใช่มีแต่สวรรค์-นรกก็มี

บทความของวันนี้คงต้องขอโทษคนไทยเป็นพิเศษอย่างแรงจริงๆ ที่แม้จะไม่อยากพูด - เพราะแทบจะไม่มีหรอกที่เราจะไม่โกรธเลยกับคนที่ตำหนิเรา แม้ว่าเราจะรู้ว่าเป็นการ ติเพื่อก่อ แต่ผู้เขียนก็ยังอยากพูด เพราะคนไทยเรานั้น แม้เพียง 10 หรือ 15 ปีก่อน มักไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่มักจะทำเป็นรู้แทบจะทุกเรื่องเลย เพราะอายที่จะถาม หรือตอบว่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย และที่ว่ามานี้จะรวมทั้งนักศึกษา นักวิชาการ และแพทย์เองที่มักจะอ่านก็แต่ตำรา และตำราทุกตำราก็คือผลของการรวบรวมการปฏิบัติ หรือการกระทำซ้ำๆ ซากๆ และโดยใครก็ได้อันเป็นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันในชมรมนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่คิดไว้นั้นให้เป็นความรู้เป็นตำรา ซึ่งกว่าจะเป็นตำราได้ก็เป็นเวลา 5-10 ปีให้หลัง และนั่นคือ วิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) ซึ่งเราใช้กัน นั่นคือหลักการสำคัญๆ เหมือนกับว่าโลกนี้จักรวาลนี้ประกอบขึ้นด้วยวัตถุรูปกายที่มองเห็นหรือใช้อุปกรณ์ช่วยให้มองเห็นหรือคาดเดาได้ เพราะฉะนั้นโลกนี้จักรวาลนี้ อะไรๆ จะเป็นความรู้ได้ก็ต้องเป็นรูปเป็นวัตถุเท่านั้น เราจึงเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์กันเป็นทิวแถว การวิจัยใดๆ ทางจิตวิทยาทางจิตวิญญาณ กระทั่งวิชาจิตวิทยาหรือจิตเวชศาสตร์ก็ไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์หรือเป็นเพียงไก่รองบ่อน เพราะการวิจัยและตำราต่างๆ ล้วนเป็นการสัมภาษณ์หรือเป็นอัตวิสัย (subjective) ยกเว้นซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ไปยอมแพ้แม็ตทีเรียลลิสต์มาตั้งแต่ต้น แต่ทุกวันนี้หรือตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 และ 1980 เป็นต้นมา งานวิจัยที่มีลักษณะการสัมภาษณ์ก็ปรับปรุงวิธีการ (methodology) วิจัยเสียใหม่ จนแม็ตทีเรียลลิสต์หาที่ติไม่ได้ ไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ถึงได้จำใจรับ วิทยาศาสตร์ทางจิตจึงเกิดขึ้นในช่วงกลางๆ ทศวรรษ 1980 แต่นั่นก็ไม่ใช่ชมรมนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดหรือแม้แต่ครึ่งเดียวเชื่อ แถมยังยกเว้นนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย และประเทศที่เพิ่งพัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย คนบ้าเทคโนโลยีที่สนับสนุนกิเลสตัณหาทั้งหลาย ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับมุมมองของเราว่า ชีวิตคืออะไร? และวิวัฒนาการจิต-กายมีพลวัตต่อเนื่องหรือไม่ในสังสารวัฏนี้? และที่พูดมาในประโยคสุดท้ายนี้มีความสำคัญที่สุดกับปัญญาชนทุกๆ คน

ทุกวันนี้ที่เมืองนอกวิทยาศาสตร์ที่ว่านี้เขาก้าวหน้าไปทั้งมากและเร็วมาก ที่กล่าวมานี้จำต้องขยายความเล็กน้อยใน 3 เรื่อง 3 ประเด็นคือ 1.ที่เมืองนอกนั้นหมายถึงฝรั่งทั้งในยุโรป นอกยุโรป เช่น อเมริกาที่พัฒนาอุตสาหกรรมมากๆ แล้ว 2.ที่พูดว่าวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงไม่จำเพาะแต่เฉพาะวิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) อย่างเดียว ซึ่งประเทศที่กำลังพัฒนา หรือประเทศที่เพิ่งพัฒนาใหม่ของเอเชียจะสนใจมากๆ ดั่งว่า หรือว่าแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะงานวิจัยที่มีผลประโยชน์ (เงิน) หรือเชิดหน้าชูตาประเทศ เช่น โคลนนิ่ง สเต็มเซลล์ โครงการอวกาศ ฯลฯ แต่ทางจิตใจ (psychological) จนกระทั่งจิตไร้สำนึก (unconsciousness as consciousness) จิตวิญญาณ (spirituality) ที่แม้แต่นักวิชาการของประเทศเหล่านี้ บ่อยครั้งยังถามว่า “เรามีวิทยาศาสตร์ทางจิตด้วยหรือ?” 3.การวิจัยที่ผู้เขียนจะเน้นเป็นพิเศษคือ งานวิจัยที่ล้ำหน้าหรือแนวหน้า (frontier or at the cutting-edge research) ใหม่จริงๆ จึงไม่มีในตำรา (text books) ไม่ว่าตำราเล่มนั้นจะใหม่เอี่ยมเท่าไรก็ตาม ดังที่ผู้เขียนเอามาเขียนเล่าตลอดมา

งานวิจัยเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับจิตใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจิตสำนึก จิตรู้ที่ตนรู้ว่ารู้ เช่น ความคิด  เวทนา จิตอารมณ์ที่เป็นอัตตา (self) หรือเป็นเรื่องภายใน เป็นอัตวิสัย (subjective) ก่อนที่จะเป็นเรื่องภายนอก (objective) ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมในรูปใด ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ซึ่งในที่นี้เป็นการวิจัยกับผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายหรือตายแล้วทางการแพทย์ช่วยให้ฟื้น (NDEs) ซึ่งเดี๋ยวนี้ทางการแพทย์ช่วยคนไข้ที่ตายไปแล้ว (ทางการแพทย์หรือ clinical death) ซึ่งในสมัยก่อนนั้นคนไข้พวกนี้จะต้องตายทั้งหมดหรือแทบทั้งหมด โดยเฉพาะคนป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด แต่กระนั้นผู้ป่วยจะต้องพบเจ้าหน้าที่แพทย์ผู้ช่วยชีวิตผู้ป่วยนั้น โดยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตพร้อมสรรพ หรือต้องไปถึงโรงพยาบาลก่อน 8 นาที อันเป็นเวลาก่อนที่สมองจะตายไป เท่าที่ผู้เขียนรู้งานวิจัยทั้งหมดจะขึ้นกับวิธีการ (methodology) ซึ่งส่วนใหญ่คือการสัมภาษณ์ผู้ป่วยหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ซึ่งแสดงว่าผู้ป่วยได้ตายทางการแพทย์แล้วจริงๆ เช่น  การตรวจการเต้นของหัวใจหรือการหายใจจะเป็นลบ และการตอบสนองของเยื่อบุลูกตาและดวงตาจะเป็นลบโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญคือการตรวจคลื่นไฟฟ้าของหัวใจกับสมอง (EKG and EEG) จะเป็นเส้นที่แบนราบเรียบที่บอกได้ชัดเจนว่าในทางการแพทย์นั้น ผู้ป่วยได้แสดงอาการของการตายอย่างสมบูรณ์แล้ว การสัมภาษณ์จะทำหลังจากได้ช่วยให้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะทำกันภายในระยะเวลา 2-3 วัน หรือเร็วที่สุด และต้องทำต่อหน้าแพทย์ผู้อื่นอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป

โดยปกติกรณีที่มีรายงานการวิจัยเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย (NDEs) นี้ ซึ่งมีนับหมื่นๆ รายในระยะหลังมานี้ที่รายงานเป็นทางการในวารสารการแพทย์ที่ต่างๆ ในโลก จริงๆ แล้วแกลลอปโพลล์รายงานว่า เฉพาะที่อเมริกาแห่งเดียวมีคนเป็นถึง 8 ล้านคน (ทศวรรษ 1970s เป็นต้นมา) รวมทั้งยังมีกระทั่งสมาคมประสบการณ์ใกล้ตายที่มีวารสารของสมาคมตีพิมพ์บทความและรายงานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ด้วย (journal of near-death experiences) เป็นของตนเอง เป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าชาวตะวันตกมักจะให้ความสนใจในเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากกว่าเราที่เป็นชาวตะวันออกมากยิ่งนัก แม้กระทั่งเรื่องความตายดังที่ผู้เขียนตั้งเป็นข้อสังเกตข้อหนึ่งตอนไปเมืองนอกใหม่ๆ ไว้ว่า  ชาวตะวันตกกลัวตายยิ่งนัก ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเพราะชาวตะวันตกมีความเชื่อในศักยภาพของมนุษยชาติมากคือ ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ หรือชาวตะวันตกรวยกว่าเรา - คนยิ่งรวยยิ่งมักกลัวตายมากกว่า หรือว่าเป็นเพราะวัฒนธรรมความเชื่อในศาสนามานานว่า “พระเจ้าได้สร้างให้มนุษย์มีภาพลักษณ์เหมือนพระเจ้า” อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนต้องการกล่าวว่ารายงานที่มีมากนับหมื่นๆ รายที่ว่ามักจะบอกเฉพาะผลทางด้านบวก ซึ่งหลักการของประสบการณ์ใกล้ตายหรือตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่นั้นจงอย่าได้คิดว่า “ไม่ใช่ตายไปแล้วจริงๆ น่ะซี!  ตายทางการแพทย์กับตายจริงๆ ไม่เหมือนกัน ถ้าตายแล้วจริงๆ จะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร?” ก็ตอบย้อนถามคนที่คิดเช่นนั้นว่าแล้วตายไปจริงๆ เป็นอย่างไร? เรียนแพทย์ไปทำไม? ถ้าหากไม่เชื่อหมอ? แถมไม่ใช่หมอคนเดียว แต่หากเป็นหมอหลายคนและทุกคนก็ว่าเหมือนๆ กัน จนกระทั่งมีสมาคมที่ว่ามาแล้ว และกำลังมีการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก นานที่สุดในโลก และมีนักวิจัยที่มากที่สุดในโลก - นำโดยมาริโอ บูเรการ์ด นักประสาทวิทยาศาสตร์ (neuroscience) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคนหนึ่ง - ไปทำขิงอะไร?

ฟีเอ็มเอช แอ็ตวอเตอร์ (P.M.H. Atwater : Return From the death, 1992) นักเขียนประสบการณ์ใกล้ตายหลายเล่มที่เหมือนกับนักเขียนคนอื่นที่มักเลือกเอาแต่ประสบการณ์ที่เป็นบวก หรือเหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ - ที่จะคล้ายๆ กันทุกประการ โดยหลักการคือ 1.การเดินทาง (อุโมงค์ สะพาน)  2.การพบผู้ที่ตายไปแล้ว 3.การเห็นการกระทำ (บาปบุญหรือกรรมดีกรรมชั่วของตัวเอง 4.การพบแสงที่กระจ่างใสที่ห่อหุ้มร่างของศาสดา (ของศาสนานั้นๆ) ที่ใจดี หรือรวมตัวเองกับแสงนั้น 5.เดินทางกลับ เพราะยังไม่ถึงเวลาตาย การรายงานแต่เฉพาะผลบวกเช่นนี้ทำให้เกือบทุกคนโดยแทบไม่มีการยกเว้นไม่อยากกลับมาในโลกอีก เพราะต่างก็คิดว่าตนได้ขึ้นสวรรค์แน่จึงไม่กลัวตาย และพยายามทำความดีมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็นับว่าดี แอ็ตวอเตอร์ได้เล่าว่า วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเซ็นชื่อหนังสือที่เขาเขียนให้แก่ลูกค้าที่ร้านหนังสือในมอลล์แห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งที่อยู่ในวัยกลางคนได้เดินมาที่โต๊ะที่เขาเขียน พร้อมกับจ้องตาเขาเขม็ง แล้วพูดลอดฟันเพื่อให้เขาได้ยินคนเดียวว่า “คุณต้องเขียนบอกประชาชนให้รู้ว่ามันไม่ใช่มีแต่สวรรค์นะ แต่มีนรกด้วย ผมรู้เพราะผมได้ไปที่นั่นมาแล้ว คนที่อ่านหนังสือหรือดูทีวีฟังคนพูดเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย และบอกว่าจะพบแสงอันกระจ่างใสห่อหุ้มศาสดาผู้ใจดีที่ยิ้มแย้มแล้วเชื่อว่าตนได้ไปสวรรค์เมื่อตายจริงๆ ไปแล้วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่นรกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนไปจริงๆ”

มาร์ก็อต เกรย์ นักวิจัยชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่ทำการวิจัย “ศึกษาอย่างเป็นทางการ (scholarly)  พร้อมทั้งวิเคราะห์และเขียนบทพิเศษที่เธอเรียกว่าประสบการณ์ใกล้ตายที่น่าสะพึงกลัว (frightening or  FNDEs) หรือสภาพเหมือนนรก (Margot Grey : Return From Death, 1985) เธอได้บรรยายประสบการณ์ใกล้ตายหรือตายแล้วฟื้นที่สภาพเหมือนนรกว่า “สภาวะประสบการณ์ที่เป็นลบจะนำหน้าด้วยความกลัวอย่างที่สุด กลัวชนิดไม่มีทางที่ทำอย่างไรก็หายกลัวไม่ได้ เนื่องจากมันเกิดจากความรู้สึก  ความคิดและอารมณ์ของตัวเองบวกกับความหงอยเหงาของการอยู่คนเดียว นอกเหนือจากนั้นคือความสิ้นหวังและหมดหนทางที่จะช่วยตัวเอง นั่นคือความรู้สึกและความคิดที่แทบทุกคนประสบ รายงานอื่นๆ ที่พบก็มีความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ที่ขอบหลุมลึกที่ไม่เห็นก้นหลุม และตัวเองจะต้องช่วยตัวเองทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตกลงไป บางคนรายงานว่า มีคนจับตัวลากถูลู่ถูกังไปโดยคนที่ไม่มีหน้า คนคลุมหัว หรืออสุรกายที่บางคนเล่าว่าคือความมืดมิดนั่นเอง มีบ่อยครั้งที่จะได้ยินเสียงร้องอย่างโหยหวนเหมือนวิญญาณถูกทรมาน หรือเสียงสัตว์ร้ายคำราม ส่วนบรรยากาศนั้นถ้าไม่หนาวจับใจก็ร้อนจนทนไม่ได้”  และต่อมาบรูซ เกรสัน กับแนนซี บุช ได้เขียนเล่าอย่างละเอียดพร้อมกับรายงาน (50 ราย) ภาพนรกตามที่ตน (FNDEs) คนนั้นๆ เห็น
ผู้เขียนเชื่อในวัชรญาณพุทธศาสนาที่สุด (ประสาน ต่างใจ ชีวิตหลังตาย 1938) กับเชื่อในสตานิสลัฟ โกรฟ จิตแพทย์ที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นเอกะทัคคะในเรื่องจิตคนหนึ่ง อย่างน้อยก็เทียบๆ ได้กับเค็น วิลเบอร์ ในปัจจุบัน โกรฟคือผู้วิจัยความรู้เร้นลับ (mysticism) ทางวิทยาศาสตร์แต่ผู้เดียว แม้ว่าความรู้เร้นลับ-เกิดจากแอลเอสดี ไม่ใช่เกิดจากสมาธิก็ตาม และเพราะความเชื่อมั่นที่ 2 ผู้เขียนจึงเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งในโลกในจักรวาลนี้ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงตาหรือเป็นมายาทั้งหมดทั้งสิ้น ย้ำทั้งหมดทั้งสิ้นเลย

เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงเชื่อว่า อะไรๆ ที่เราคิดว่าจริงเป็นสิ่งลวงทั้งนั้น คือเป็นภาพลวงตา ได้ยินลวงหู ฯลฯ ทั้งนั้น ความจริงแท้คือสิ่งที่ฟิสิกส์ใหม่บอก คือที่พระเวทบอก คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอก (ลบจิตนิยมสุดๆ และความงมงายไสยศาสตร์ออก) วิวัฒนาการของจักรวาล - มายา - ทางจิต - กายที่คิดว่ามีจริงจึงต้องทำให้มันกระจ่างทุกขั้นตอน เราอยู่กับมายาที่ตาเห็น หูได้ยิน ฯลฯ ที่ประสาทหลอกและบอกเราจริงๆ สวรรค์-นรกอยู่ที่จิตไร้สำนึกที่มีก่อนจักรวาล (มาเป็นจิตจักรวาลทีหลังเมื่อมีจักรวาลแล้ว)

วิวัฒนาการของจิต-กาย แม้จะเป็นเรื่องลวงที่ประสาทหลอกเรา แต่มันให้ความจริง (คิดว่าจริง)  ของโลกนี้จักรวาลนี้ เราจึงต้องเข้าใจทุกขั้นตอนดังกล่าว เราจะทำเหมือนไม่แคร์ ไม่กลัวนรกและสวรรค์ก็ไม่มี หรือเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ตายแล้วตายเลยคงไม่ได้ ไม่เห็นใครไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แม้แต่ยอดแม็ตทีเรียลลิสต์คาร์ล เซกาน เองก็ยังทำท่าว่าจะเปลี่ยนใจเมื่อรู้ว่าความตายได้ใกล้เข้ามาแล้ว (Dean Radin :  The Conscious Universe, 1998) นรก-สวรรต์นั้นขึ้นอยู่กับจิต แต่เป็นจิตไร้สำนึกปฐมภูมิที่มาก่อนจักรวาลเสียอีก คือเป็นพ่อของพ่อของพ่อ ฯลฯ ของอารคีไทพ์ หรือจิตจักรวาล (universe unconscious  continuum or archetype ของคาร์ล จุง) จึงไม่มีทางจะหลีกหนีไปที่ไหนได้.


http://www.thaipost.net/sunday/141110/30086
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :45: ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~