Hachiko : A Dog's Story : สุนัขหลงทางและรางรถไฟ (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)ผมปลื้ม Lasse Hallstrom ผู้กำกับชาวสวีเดนมาตั้งแต่ตอนดู What's Eating Gilbert Grape (1993) สมัยที่ยังเป็นม้วนวีดีโอ ประทับใจเรื่องนี้มากโดยเฉพาะการแสดงเป็นเด็กปัญญาอ่อนของพระเอกไททานิค หลังจากนั้นก็ตามงานเค้ามาตลอด ชอบมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไม่เคยสิ้นศรัทธา ผลงานที่เด่นๆ หน่อยก็อย่าง The Cider House Rule (1999) หรือ Chocolat (2000) ซึ่งมีโอกาสเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หากถามว่าอะไรคือเสน่ห์ของหนัง Lasse Hallstrom ประโยคแรกที่นึกออก คงเป็นความอบอุ่นและความละมุนทางอารมณ์ที่สัมผัสได้เสมอ
My Life as a Dog (1985) เป็นอีกเรื่องของเค้าที่คล้ายจะเกี่ยวกับสุนัข แต่ก็เป็นเพียงนัยยะเปรียบเปรย ส่วน Hachiko : A Dog's Story เรื่องนี้ หนังถ่ายทอดหัวใจที่ซื่อสัตย์ของเจ้าสุนัขฮาชิออกมากันแบบตรงๆ ลึกซึ้ง กินใจ
เรื่องราวคร่าวๆ คือฮาชิเป็นสุนัขจากวัดในญี่ปุ่น (หนังบอกว่าฮาชิหรือฮาจิหมายถึงเลข 8 คงเหมือนชื่อร้าน “ฮาจิบัง ราเมน” ที่แปลว่าบะหมี่เลข 8 บ้านเรา และอาจตีความต่อถึงสัญลักษณ์ของอินฟินิตี้หรือความเป็นนิรันดร์) แต่ด้วยอุบัติเหตุระหว่างการขนส่ง ทำให้มันต้องมาเดินโต๋เต๋อยู่ที่สถานีรถไฟในอเมริกา ศาสตราจารย์สอนดนตรีซึ่งรับบทโดย ริชาร์ด เกียร์ มาพบเข้า เลยนำไปฝากนายสถานีไว้เผื่อเจ้าของจะมาตามคืน นายสถานีไม่ใคร่จะให้ความช่วยเหลือ ศาสตราจารย์จึงต้องนำมันมาเลี้ยงไว้ชั่วคราวที่บ้านก่อนที่จะปิดประกาศตามหาเจ้าของต่อไป
แรกๆ ภรรยาของศาสตราจารย์ตั้งท่าไม่ยอมรับเลี้ยงเจ้าฮาชิ เพราะไม่อยากให้สุนัขหลงทางตัวนี้มาแทนที่สุนัขตัวเดิมซึ่งตายไปแล้ว แต่เมื่อความผูกพันระหว่างฮาชิกับศาสตราจารย์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความสุขของสามีก็คือความสุขของตัวเธอเอง ภรรยาเริ่มเปิดใจยอมรับสมาชิกใหม่ และตั้งแต่นั้น ฮาชิก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว หนังสื่อออกมาชัดเจนในภาพถ่ายตอนงานแต่งของลูกสาวศาสตราจารย์ซึ่งมีฮาชิชูคอเป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย เวลาผ่านไป ฮาชิก็โตขึ้น มันมารับ-ส่งศาสตราจารย์ที่สถานีรถไฟทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรและภาพชินตาของคนย่านนั้น
หนังกล่าวกับผู้ชมตั้งแต่ต้นเรื่องว่าสุนัขพันธุ์นี้มีญาณพิเศษบางอย่าง ในเช้าวันหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนของหนัง ฮาชิกระวนกระวาย รบเร้าไม่อยากให้ศาสตราจารย์ไปทำงาน ปกติมันเป็นสุนัขหัวดื้อที่ไม่ยอมคาบบอล แต่วันนี้มันยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ศาสตราจารย์อยู่กับมันให้นานที่สุด แต่แล้วความตั้งใจของมันก็ไม่เป็นผล
เมื่อเสียงหวูดรถไฟของเย็นวันนั้นดังขึ้น ฮาชิรีบวิ่งไปรับศาสตราจารย์ดังเดิม แต่ศาสตราจารย์ก็ไม่เคยกลับมา การสูญเสียครั้งนี้ส่งผลต่อครอบครัวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ภรรยาของศาสตราจารย์ตัดสินใจขายบ้าน ส่วนลูกสาวก็ย้ายออกไปอยู่กับสามีและรับเอาฮาชิไปเลี้ยง แม้จะรับรู้ว่าลูกสาวของศาสตราจารย์ปรารถนาดีต่อมันเพียงใด แต่ความภักดีต่อนายคนเดิมของฮาชิก็ไม่อาจถูกเปลี่ยนแปลง
ฮาชิออกจากบ้านหลังนั้น เดินตามรางรถไฟมาจนกระทั่งถึงสถานี มันชะเง้อคอคอยศาสตราจารย์อยู่ที่จัตุรัสแห่งเดิมนานถึง 9 ปี เรื่องราวความภักดีต่อนายของมันเป็นที่โจษขานไปทั่วกระทั่งเจ้าฮาชิสิ้นลม
หนังเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย เข้าใจเรื่องได้ชัดเจนแม้แต่กับเด็กๆ เน้นการหล่อเลี้ยงอารมณ์ด้วยเสียงเปียโนที่คลออยู่ตลอดเรื่อง พริ้วหวาน ไพเราะ และค่อยๆ ลำเลียงเราขึ้นสู่จุดสะเทือนใจสูงสุด ฉากที่ภรรยาของศาสตราจารย์มาเจอเจ้าฮาชิตอนแก่หง่อม มันยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ภรรยาของศาสตราจารย์โอบกอดฮาชิพร้อมขอนั่งรอเป็นเพื่อนจนกว่ารถไฟเที่ยวต่อไปจะมาถึง เสียงเชลโล่ที่อบอุ่นค่อยๆ ดังขึ้น น้ำตาอุ่นๆ ของใครต่อใครในโรงหนังก็พร้อมใจกันหลั่งรินโดยไม่ได้นัดหมาย (คงเหมือนที่ศาสตราจารย์เรียกชื่อมันสั้นๆ ว่า "ฮาช" ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า "หัวใจ" หัวใจของมันช่างมั่นคงจีรัง )
มีการเล่าเรื่องเก๋ๆ อย่างการถ่ายภาพผ่านมุมมองของฮาชิในโทนสีที่เกือบจะเป็นขาว-ดำ (ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่ตารับสีได้อ่อนกว่ามนุษย์ ในขณะที่อดีตเชื่อว่าสุนัขตาบอดสี) จับสิ่งที่ฮาชิกำลังมองโดยผู้ชมก็ได้ร่วมรู้สึกไปกับความคิดของมัน และเมื่อวิธีการนี้ถูกนำไปใช้ในฉากสะเทือนอารมณ์ มันก็ช่างได้ผลยิ่งนัก
Hachiko : A Dog's Story มีตัวเด่นเป็นสุนัขก็จริง ทว่าหนังยังสื่อสารเปรียบเทียบถึงตัวมนุษย์โดยตรง ทั้งความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์เสมอต้นเสมอปลายที่พึงแสดงออกต่อคนที่รัก ฟังดูเหมือนเรื่องเฉิ่มเชย แต่นี่แหละคือเสน่ห์ที่ยกระดับจิตใจเราให้สูงขึ้นจนกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
หนังแฝงสัญลักษณ์เปรียบความจงรักภักดีที่มั่นคงกับรางรถไฟ รางเหล็กที่ทอดยาวช่วยชี้นำเราไปสู่จุดหมายเมื่อรู้สึกหลงทาง ในเรื่องหลายฉากจะมีรางรถไฟปรากฏอยู่ ทั้งตอนศาสตราจารย์พาฮาชิไปเดินเล่น ตอนฮาชิหาทางกลับไปสถานี หรือแม้แต่ฉากจบซึ่งหลานของศาสตราจารย์เดินไปบนรางรถไฟพร้อมด้วยลูกสุนัขตัวหนึ่งที่มีชื่อว่าฮาชิ
ความซื่อสัตย์ยังถูกสื่อผ่านตัวละครในเรื่อง ทั้งความรักระหว่างสามีภรรยาที่ยังคงสดชื่นงดงามอยู่เสมอแม้วันเวลาจะผ่านไปแสนนาน (อย่างฉากที่ภรรยาของศาสตราจารย์กล่าวถึงภาพเขียนผู้หญิงในโรงละครว่าเป็นภาพที่งดงามเสมอแม้จะผ่านมาแล้วถึง 30 ปี ส่วนนัยน์ตาของศาสตราจารย์กลับจ้องมองอยู่ที่ภรรยาเมื่อเธอกล่าวเช่นนั้น) ฉากที่ศาสตราจารย์ถามคู่หมั้นของลูกสาวว่าเมื่อเวลาผ่านไปเค้าจะยังรักเธอเหมือนเดิมหรือเปล่า ภรรยาของศาสตราจารย์ที่มั่นคงในรักแม้เค้าจะจากไปแล้วนับ 10 ปี รวมไปถึงความผูกพันระหว่างเพื่อนแท้ (ทั้งศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นและคนขายฮอทด็อก) เป็นต้น
หนังกล่าวอย่างให้เกียรติเหตุการณ์จริงว่าจิตวิญญาณของเรื่องไม่อาจถูกบันทึกด้วยสื่อใด (พร้อมเสียดสีพฤติกรรมน่ารังเกียจของมนุษย์ในฉากที่นักข่าวถามนายสถานี แต่เค้ากลับให้ข้อเท็จจริงผิดเพี้ยนไปเพียงเพราะอยากดัง) เรื่องราวบางอย่างแม้จะบอกเล่าสู่กันฟังได้ชนิดเหมือนตาเห็น แต่มันก็ไม่อาจสร้างความรู้สึกร่วมหรือประสบการณ์แท้จริงให้เกิดขึ้นได้ เหมือนที่หลานชายศาสตราจารย์ได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณตาและฮาชิอยู่ตลอด แต่ก็ไม่อาจรู้สึกหรือสัมผัสถึงจิตวิญญาณของเรื่อง กระทั่งหลานชายได้เลี้ยงสุนัขของตนเอง
ความมั่นคงในรักคืออุดมคติของมนุษย์ ในสังคมที่หาความจริงใจได้ยากยิ่งเช่นปัจจุบัน ฮาชิอาจถือเป็นวีรบุรุษที่แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความดีงามที่มนุษย์เราสมควรถือเอาเป็นแบบอย่าง
ในบางช่วงของชีวิต เราอาจรู้สึกอ่อนแอ จิตตก และหลงทาง แต่ก็อย่าได้หลงลืมคนที่เรารัก เพราะความมั่นคงในรักแท้นั่นแหละ จะนำเราไปยังจุดหมายอย่างปลอดภัยได้เสมอ
Hachiko: A Dog's Story - Movie Report http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beerled&month=03-2010&date=08&group=1&gblog=51