ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ความเป็นไปได้ยิ่งกว่าความเป็นไปไม่ได้ที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ  (อ่าน 1648 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
 

ผู้อ่านคิดว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือไม่? ขึ้นกับสิ่งหลักๆ 2 เหตุการณ์  คือ ฝน - เขื่อน กับพายุ อย่างเช่น ไต้ฝุ่น - กับน้ำทะเลหนุนอย่างถาวร เช่น จากโลกร้อน เพราะการเผาซากฟอสซิลคาร์บอน (น้ำมัน) ฝนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำลายป่าไม้อันเนื่องมาจากความอยากร่ำอยากรวย และไล่ไปจนถึงกิเลสตัณหาของคนที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี ฝนเป็นตัวการทำให้น้ำมีมาก ส่วนน้ำทะเลหนุนอย่างถาวรเป็นเรื่องของโลกร้อน

 นานมาแล้วร่วม 20 ปีก่อน (ปี ๒๕๓๗) ผู้เขียนได้เขียนคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์ว่า “หลังปี ๒๕๕๓ ให้ระวังน้ำจะเอ่อล้นโลก” ซึ่งในรายละเอียดผู้เขียนได้อ้างถึงรายงานทางวิทยาศาสตร์จะส่งตรงไปถึงประธานาธิบดีจอร์จ บุช  จูเนียร์ โดยในรายงานดังกล่าวมีขึ้นเมื่อปี 1992 และบอกว่าการเผาฟอสซิลคาร์บอน ที่ไม่ว่าจากโรงงานผลิตอุตสาหกรรมต่างๆ การทำลายและทำร้ายป่าไม้  การใช้รถยนต์อาจทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นได้ถึง 3 องศาเซลเซียส ภายในเร็วๆ นี้ หากเราไม่ทำอะไรเลยในวันนี้ และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าผลของรายงานและบทบาทของสหรัฐอเมริกาและโลกอันเป็นผลของความบ้องตื้นของประธานาธิบดีจอร์จ บุช นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเราจะกล่าวโทษสาเหตุของน้ำท่วมที่กำลังทรมานคนทั่วทั้งโลก - รวมทั้งคนไทยอยู่ในขณะนี้ว่า อย่างน้อยมาจากความบ้องตื้นบางส่วนของประธานาธิบดีจอร์จ บุช ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาคือผู้นำประเทศต่างๆ ของโลก ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง  และประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถรอดพ้นจากสงครามโดยที่แทบว่าจะไม่ได้รับความบอบช้ำเท่าไรเลย

ในบทความดังกล่าวผู้เขียนได้พูดถึงความเป็นไปได้ที่สภาวะโลกร้อนจากการเผาซากฟอสซิลคาร์บอนจนส่งผลทำให้น้ำเข้าท่วมที่ลุ่มต่ำของโลก เนื่องจากการละลายของก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกภายในช่วงหลังปี ๒๕๕๓ ที่เกิดขึ้นชนิดถาวรเร็วๆ นี้ในปีใดปีหนึ่ง โดยอ้างอิงมาจากการคำนวณของอดีตนักลมฟ้าอากาศ (climatologist) ที่มีชื่อว่า ฮิวเบิร์ต แลมบ์ ที่ทำวิจัยเมื่อปี 1982 และบอกว่ายุคสมัยโฮโลซีน (holosein) ที่นำด้วยสภาวะอบอุ่น (interglacial) มานานนั้นกำลังสิ้นสุดลงแล้ว หมายความว่าโลกกำลังย่างเท้าเข้าสู่ยุคน้ำแข็งจริงๆ นั่นแสดงว่าทั้งรัสเซียและอเมริกาล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายถูก คือ โลกเรากำลังมีทั้งยุคน้ำแข็งที่แท้จริง และมีสภาวะโลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์ไปพร้อมๆ กัน และเป็นอย่างที่ผู้เขียนพูดและเขียน ว่าโลกได้เจอภัยธรรมชาติทั้ง 2 อย่าง เรียกว่าแทบจะพร้อมกันก็ได้ อย่างหนึ่งเป็นกรรมรวมโดยรวมของมนุษยชาติ อีกอย่างเป็นฝีมือของมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวเป็นปัจเจก ส่วนอย่างไหนเป็นภัยมากกว่าหรือเป็นผู้ร้ายมากกว่า เราคงจะไม่เกี่ยว เพราะส่วนใหญ่คงไม่รอดมาบอก ซึ่งภายหลังหน้าหนาวปีนี้ (๒๕๕๔) ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ประชากรที่รอดเหลืออยู่อาจจะบอกกับเราก็ได้

สำหรับภัยธรรมชาติเฉพาะหน้าหรือจะเรียกว่าเป็นฝีมือของมนุษย์กับกิเลสราคะ (ความโลภจากความอยากรวย) จากระบบเศรษฐกิจทุนนิยม “การตลาดที่เสรี” ที่เลิกไม่ได้ทั้งๆ ที่ผิดเห็นกันชัดๆ ภัยธรรมชาติที่เราบอกว่าเกิดขึ้นจากก๊าซเรือนกระจกที่ว่านั้น ทางกรมอุตุนิยมและกรมชลประทานได้บอกเตือนชาวกรุงเทพฯ ไว้ล่วงหน้าว่า ให้ระวังวันที่ 19-20 กันยายนเอาไว้ เพราะมวลน้ำมหึมาก้อนใหญ่จากเหนือจะมาถึงกรุงเทพฯ ในวันนั้น และประกอบกับช่วงที่น้ำทะเลหนุน ดังนั้นน้ำจึงอาจท่วม ในวันนั้นจะมีน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทางตะวันออกก็มีทางเป็นไปได้ นั่นว่ากันทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ๆ กันอยู่ อันเป็นวิทยาศาสตร์เก่าที่บอกย้ำๆ ว่าเรื่องของน้ำทะเลหนุนนั้นเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีแทบทุกวันในเดือนกันยายน ซึ่งข้อนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนกังวล เพราะเราไม่รู้ว่าที่พูดว่าน้ำทะเลหนุนๆ นั้นมันจะทำให้น้ำทะเลหนุนอย่างถาวร และทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ อันเป็นจุดจบของน้ำท่วมประเทศไทย และนั่นคือน้ำได้ท่วมโลกแล้วตามสภาพของน้ำท่วมโลกในความหมายที่ผู้เขียนได้เขียนในคอลัมน์นี้มาตลอดเวลา เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องของการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับภัยธรรมชาติแล้ว ที่บอกตรงๆ ผู้เขียนไม่ว่าพวกเขาคิดอะไรถึงได้แย่งกัน “เป็นเล็ก”  โดยคิดเอาเองว่าใหญ่ ซึ่งสำหรับผู้เขียนคำว่ากรุงเทพฯ นั้นก็คือประเทศไทย

สิ่งที่ผู้เขียนสงสัยและกังวลใจนั่นเป็นเรื่องของความจริงทางโลกที่แต่ก่อนเมื่อไม่นานมานั้น เมื่อมีความรู้อันเป็นของชาวตะวันตกเรียนและใช้ๆ กันอยู่ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์เก่าที่นำโดยนิวโตเนียนฟิสิกส์แพร่เข้ามาถึงทางตะวันออกใหม่ๆ การแพร่ขององค์ความรู้ตะวันตกที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบขึ้นมาด้วยสสารวัตถุ (matter) ทำให้ชาวโลกทั้งหมด รวมทั้งชาวตะวันออกด้วย ซึ่งถูกสอนให้เชื่อในความเป็นสอง (dualism) มานานหลายพันปี  โดยกลับโยนทิ้งความรู้ความเชื่อที่ว่านั้น แล้วหันไปรับความรู้ใหม่โดยภาวะจำยอมและโดยไม่ทันคิดให้รอบคอบ เป็นที่น่าเสียใจยิ่งว่าความรู้ทางตะวันตกที่นักวิชาการทั่วทั้งโลกที่ว่านั้น โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์นั้นยังคงเชื่อองค์ความรู้เก๋ากึ้กที่ว่านั้น โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ทุกคนหรือแทบจะทุกคนของประเทศไทย รวมทั้งสาธารณชนทั่วๆ ไป  ทั้งนี้ ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกเองที่เชื่อถือในวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ที่รวมทั้งควอนตัมเม็คคานิกส์กันมากขึ้นและมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสงสัยกังวลใจของผู้เขียนอันเป็นความจริงทางโลกอันไม่ใช่เป็นความไม่จริงทางธรรมที่ชาวตะวันออกเคยเชื่อมานาน และที่เดี๋ยวนี้กลายเป็นฟิสิกส์ใหม่ที่รวมทฤษฎีสัมพันธภาพและทฤษฎีควอนตัม ซึ่งผู้เขียนคิดว่าสอดคล้องกับเส้นทางหรือมรรคปฏิปทาของความจริงทางธรรม

ความสงสัยอันเป็นเป็นความจริงทางโลกที่ว่านั้น แม้เดี๋ยวนี้ผู้เขียนจะรู้ว่าไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรม แต่เมื่ออยู่ในโลกและคุ้นเคยกับความจริงทางโลก ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยกังวลใจ ความสงสัยที่เกิดจากน้ำทะเลหนุนที่เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน คือสงสัยว่ามันเป็นอันเดียวกัน น้ำทะเลที่เกิดจากก้อนน้ำแข็งจากขั้วโลกทั้ง 2 ขั้วที่ละลายกลายเป็นน้ำอย่างถาวรหรือไม่?

ความสงสัยกังวลใจที่ว่า แม้จะเขียนซ้ำๆ ว่าไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรม ก็ต้องอธิบายเพื่อให้ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ฟัง ผู้อ่านส่วนใหญ่ที่คิดว่ามันมีความจริงเพียงอย่างเดียว และนั่นคือความจริงทางโลก เพราะว่าทุกสรรพสิ่งประกอบขึ้นด้วยสสารวัตถุ (matter) ทั้งสิ้น นั่นคือความรู้ตะวันตกที่เรียนมาจากกรีซช้านานมาแล้ว ความรู้ตะวันตกที่แพร่ไปทั่วทั้งโลกมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมของชาวตะวันตกไปทั่วทั้งโลก - เมื่อประมาณ 200-300 ปีก่อน ใช้อธิบาย คำอธิบายความเป็นสองหรือทวิตา (dualism) อันเป็นความรู้ชั้นสูงของชาวตะวันออกทางศาสนามานานหลายพันปี ความรู้ที่มีว่านั้นหรือความเป็นสองเป็นผลของความจริงที่ได้มาจากรูปกับนาม หรือกาย (ที่มองเห็นและรับรู้ด้วย  “ผัสสะ” หรือประสาทสัมผัสทั้ง 6 หรือนามขันธ์) กับ “จิต” (ที่มองไม่เห็น) ซึ่งเกิดขึ้นและดับด้วยอัตราที่เร็วมากๆ จนเห็นต่อเนื่องกันเป็นสายเดียวติดต่อกัน เราอย่าลืมว่าความจริงทางโลกที่ทำให้ชาวกรีซและชาวตะวันตกเข้าใจว่าทุกสิ่งในโลกในจักรวาลประกอบขึ้นด้วยสสารวัตถุนั้น หรือต้นเหตุของหลักการวัตถุนิยม  (materialistic) โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย และประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย เราถึงยังไม่ก้าวหน้า เราถึงยังไม่ประสีประสาต่อควอนตัมฟิสิกส์ก็เพราะเหตุนี้

การที่ประเทศทางตะวันตก และต่อมาประเทศต่างๆ ทุกประเทศทั่วทั้งโลก รวมทั้งประเทศทางตะวันออกมองเห็นว่าโลกนี้จักรวาลนี้ประกอบขึ้นด้วยสสารวัตถุ (matter) และชีวิตต่างๆ ประกอบขึ้นด้วยรูปร่างทางกายภาพ  (physical) ที่ในเวลาต่อมาเกี่ยวข้องเป็นสาเหตุของหลักการวัตถุนิยม  (materialism) ซึ่งไทยเราแม้ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์แทบจะทุกคนยังคงไว้ซึ่งหลักการวิทยาศาสตร์ข้อนี้แทบจะเป็นหลักการเดียว

หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่นำโดยนิวโตเนียนฟิสิกส์นี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะ 3 ประการ คือ 1.เพราะง่ายดี 2.เพราะมองเห็น โดยทั้ง 2 ข้อนี้เป็นต้นตอของหลักการวัตถุนิยม ซึ่งมองไม่เห็น และเป็นต้นตอที่มาของศาสนาที่มองไม่เห็น และแบ่งออกไปเป็น 2 ค่าย ส่วน 3.จักรวาลวิทยาเก่าบอกว่า จักรวาลนั้นอยู่กับ “ความเป็นระเบียบ” เพราะฉะนั้นจึงเรียกจักรวาลไปตามนั้น (cosmos)  จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้เองที่เรารู้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งตัวจักรวาลเองอยู่กับ  “ความไร้ระเบียบ” (chaos) ซึ่งแท้จริงแล้วจักรวาลของเราอยู่กับความไร้ระเบียบที่เป็นระเบียบอย่างที่สุด

เพราะมนุษย์อยู่กับเหตุผลที่มนุษย์คิดขึ้นเอง และเรามองด้วยมุมมองที่ต่างกัน ดังนั้นเราถึงได้โต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน ส่วนความจริงทางธรรมหรือความจริงที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นอยู่นอกเหตุและเหนือผล นอกสุขและเหนือทุกข์ นอกเกิดและเหนือตาย เนื่องจากธรรมชาตินั้นทุกสิ่งทุกอย่างว่ายเวียนเป็นวงกลมหรือวัฏจักร - ไม่ว่าจะเร็วยิ่งกว่าพริบตาเดียวหรือช้าเป็นล้านๆ  ปี - เราก็คาดการณ์ล่วงหนาเป๊ะๆ ไม่ได้ เพราะว่าพุทธศาสนาบอกว่า “มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง” ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือศาสนาที่มีพระเจ้า เช่น ศาสนาพรามณ์ และศาสนาคริสต์จะบอกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นคือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
เรื่องของน้ำทะเลจึงเป็นเรื่องที่จริงๆ แล้วคาดการณ์ไม่ได้ การคาดการณ์จึงต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และอื่นๆ เช่น เรื่องของกรรมร่วมโดยรวมของเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ และการทำนายที่เชื่อถือได้มาช่วยการพิจารณา  เพราะฉะนั้นผู้เขียนคิดว่าเรื่องของกรรมร่วมโดยรวมของมนุษยชาติอันเป็นเรื่องของจิตและจิตวิญญาณที่กำลังมีวิวัฒนาการตามมาจึงสำคัญที่สุด กฎแห่งกรรมนั้นมนุษยชาติหนีไม่ได้ และเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำขึ้น และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมนั่นเองที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นตัวการปฐมและเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นตัวการในทีแรก แต่เรากลับมาร่วมกันทำร้ายและทำลายธรรมชาติในทีหลัง  เพราะความอยากร่ำอยากรวย ความไม่รู้จักพอ และก่อให้เกิดโลภจริตอันเป็นกิเลสตัณหา มนุษย์ทำร้ายธรรมชาติก็เพราะระบบที่ว่านั่นเอง เรื่องของสภาวะโลกร้อนและน้ำทะเลหนุนอย่างถาวรจึงน่าจะเป็นผลพวงที่ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ชนิดที่หนีก็ไม่ได้ หรือหนีก็ไม่พ้น และนั่นเป็นเรื่องที่ผู้เขียนคิดและเชื่อเช่นนั้น
หากว่าน้ำทะเลหนุนเป็นการหนุนแบบถาวร เพราะเป็นการละลายของก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกทั้ง 2 จากสภาพโลกร้อน จึงน่าจะสำคัญกว่าสิ่งที่ฮิวเบิร์ต  แลมบ์ และทีมของนักวิจัยรัสเซียบอก โดยจะเป็นเรื่องที่ตามมา และฤดูหนาวปีนี้หรือไม่กี่วันนี้เราจะได้รู้กัน จึงเป็นการสรุปที่ผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะเป็นความน่าเป็นไปได้ที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ก่อน และยุคน้ำแข็งจริงๆ ที่ทีมนักวิจัยชาวรัสเซียบอก และผู้เขียนได้เขียนไปแล้วเมื่อต้นปีนี้จะตามมาทีหลังติดต่อกัน.

http://www.thaipost.net/sunday/091011/46283
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...