หลังเกิดการจลาจลของชาวนา ในปี ค.ศ.1894 ระหว่างการเดินทางอันหนาวเหน็บ ขณะที่หิมะยังล่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ชิว วา- ซวอน โผตัวเข้าหาชายแก่ผู้มีหนวดเคราขาวเฟิ้มและคลุกเข่าลงทั้งน้ำตา ด้วยไม่คิดฝันว่า ชาตินี้จะมีโอกาสได้พบกับผู้ใจดี หรือ อาจารย์คิม บง มูน ของเขาอีกครั้ง
ที่ผ่านมาผู้ใจดีใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆและสอนหนังสือให้กับเด็กๆ ณ หมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
“ท่านน่าจะกลับไปที่กรุงโซล พอมีพวกญี่ปุ่นหนุนหลังพวกคณะปฏิวัติก็เลยฮึกเหิมเข้าไปใหญ่”
“ข้าชอบที่นี่ แล้วการเปลี่ยนแปลงก็เป็นความฝันที่ไร้ประโยชน์ เราควรจะพึ่งพิงตัวเอง ถ้าการปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จได้เพราะการช่วยเหลือของญี่ปุ่น ชาติเราจะมีอนาคตแบบไหนกัน”
พักจากการสนทนาถึงความเป็นไปของบ้านเมืองผู้ใจดีหยิบเอาภาพเขียนของวา-ซวอน ที่บังเอิบเก็บรักษาเอาไว้ได้ ในระหว่างที่บ้านเมืองยังรำส่ำระสายขึ้นมากล่าวชมเชยถึงฝีมืออันเยี่ยมยุทธ
“ในภาพใบนี้ ข้ารู้สึกว่ามันมีแรงเต้นของหัวใจของเกาหลีแฝงอยู่มากมาย มันเป็นผลงานชิ้นเอก ทุกเส้นสายล้วนแต่ไม่สูญเปล่า”
เมื่อหัวหน้ากลุ่มกบฎ ถูกทรยศโดยคนที่ไว้วางใจ และถึงคราวสิ้นสุดของราชวงศ์โชซวอน
ขณะที่พวกกบฏถูกนำตัวไปรับโทษ คิม อ็อค ฮุน ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้กล่าวต่อวา-ซวอน เมื่อพบกันว่า
“ภาพของท่านคือแสงเทียนริบหรี่ส่องให้ประเทศชาติที่กำลังจะสิ้นลม”
ขณะเดียวกันนั้นเขาได้เหลือบไปเห็นเมฮง และนางเองกำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างไม่วางตา วัยวันที่เปลี่ยนผ่าน มิอาจพรากความปรารถนาดีไปจากแววตาคู่นั้นเลยสักนิด
“พวกแคทอลิกถูกประหารชีวิตน้อยลง ข้าก็เลยย้อนกลับมาที่กรุงโซลเมื่อไม่นานมานี้ เพราะข้าเป็นนางโลมเพียงคนเดียว ข้าก็เลยสามารถจากบ้านโน้นเข้าออกบ้านนี้ ผู้ว่าเมืองเจจูชอบข้ามาก ข้าก็เลยเดินทางมาเมืองเจจูพร้อมกับเขา หลังจากนั้นเขาก็ตาย ข้าก็เลยเปิดบ้านนี้เพื่อแสดงความขอบคุณเขา”
เมฮงพาวา-ซวอนมายังบ้านหลังที่นางได้ครอบครองเป็นเจ้าของและเล่าถึงชีวิตของตัวเองในช่วงที่ต้องหนีเอาตัวรอดจากการถูกประหาร
เพื่อให้วา-ซวอน ไม่มีความกังวลเรื่องปากท้องและสามารถคิดฝันสร้างงานของตัวเองต่อไปได้ นางจึงชักชวนให้เขาพักอาศัยอยู่กับนาง โดยที่นางจะเป็นฝ่ายสนับสนุนเขาทุกอย่าง
“เพราะข้าแน่ใจว่าซักวันท่านต้องมาหาข้าแน่ ข้าได้ตัดเย็บเสื้อคลุมนี้ด้วยความรัก ในที่สุด มันก็ได้พบเจ้าของของมันจนได้”
แพรผ้าสีขาวประดับด้วยภาพเขียนดอกพลับถูกนำมาคลี่เผยต่อสายตาจิตรกร อันเป็นที่รัก เพื่อรำลึกถึงความทรงจำที่เคยมีร่วมกัน
“ท่านยังจำมันได้ไหม ท่านวาดมันตอนที่เราได้พบกันครั้งแรก ถ้าข้าขอให้ท่านวาดให้ข้าอีกภาพหนึ่ง ท่านจะวาดให้ข้าได้ไหม”
ยังไม่ทันรับปากวา-ซวอนกลับถามถึงเจ้าของแจกันใบที่ไร้ลวดลายซึ่งตั้งโชว์อยู่ภายในบ้าน
ความรักและความศรัทธาที่เมฮงมีต่อเขา เป็นแรงบันดาลใจให้นางเป็นศิลปินโดยไม่รู้ตัว
“มือที่ต่ำต้อยได้ปั้นมันขึ้นมา ด้วยการนำทางของหัวใจที่เป็นสุขเหลือล้น ถึงเหมือนจะยังไม่เสร็จ มันก็ยังมีความจริงใจและความอบอุ่นแฝงอยู่อย่างมากมาย”
วา-ซวอนเขียนภาพมอบให้กับนางตามคำขอ ทว่าเมื่อเมฮงได้เห็นภาพๆนั้นนางก็พบว่ามันวางอยู่ข้างเสื้อคลุมที่ถูกพับอย่างเรียบร้อย
น้ำตาของเมฮงไหลอาบแก้ม ที่มิอาจล่วงรู้เหตุผลของการจากลา
วา-ซวอนใช้ชีวิตพเนจรมาจนถึงโรงงานเครื่องปั้นดินเผาแห่งหนึ่ง และของานทำเพื่อแลกกับอาหารและที่พัก
“ข้าเป็นจิตรกรร่อนเร่ ข้าพอจะขอพักอยู่ที่นี่ได้ไหม”
“ตอนนี้เราต้องแข่งขันกับพวกถ้วยกระเบื้องเคลือบของญี่ปุ่น ก็เลยหากินลำบากหน่อย”
“ขอแค่มีกินข้าก็พอใจแล้ว”
ความสามารถในการเขียนภาพของวา-ซวอนเป็นสิ่งที่เจ้าของโรงงานหวังจะได้รับเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
“หม้อพวกนี้ ถ้าไม่มีภาพสวยๆเขียนเอาไว้ก็ขายไม่ดีหรอก”
ณ ที่พึ่งพิงของชีวิตแห่งนี้วา-ซวอนได้ค้นพบสัจธรรมของชีวิตมากมาย แม้จะได้รับการดูถูกจ้างลูกจ้างหนุ่มบางรายที่เห็นว่าจิตรกรแก่ๆเช่นเขา คงหมดสมรรถภาพที่จะทำงานต่อไปได้ แต่เมื่อได้รู้จักในตัวตนของวา-ซวอนมากขึ้น มิตรภาพก็คลี่คลายไปในทางที่ดี
“โปรดอภัยให้กับความโง่เขาของข้าด้วยเถิดนะ ท่านคงจะไม่ใช่แค่จิตรกรธรรมดาแน่นอน” ลูกจ้างหนุ่มเอ่ยขึ้น ในคืนที่หลายคนต่างหลับไหล แต่วา-ซวอนยังนั่งพินิจมองเถ้าถ่านในเตาเผาที่ยังครุแดง
วา-ซวอนฉีกยิ้มตอบสนองคำกล่าวนั้น และตั้งคำถามกับลูกจ้างหนุ่มกลับไปว่า
“แล้วเจ้าหล่ะ เจ้าอยากจะปั้นแจกันแบบไหนออกมา”
และเขาก็ได้ค้นพบสัจธรรมจากคำตอบ
“จิตรกรอย่างท่านคงต้องการผงเหล็กเพื่อใช้วาด เพื่อให้ชิ้นงานมีชีวิตีวาขึ้นมาได้ ผู้จ้องมองก็อยากให้สายตาของพวกเขากวาดมองอย่างเหมาะสม เจ้าของเตาเผาก็ย่อมหวังผลงานชิ้นเอกซักชิ้นสองชิ้น แต่การตัดสินใจนั้นไม่ได้อยู่ที่พวกเรา แต่เป็นที่ไฟต่างหากหล่ะ” เมื่อลูกจ้างหนุ่มขอตัวไปเข้านอน วา-ซวอนค่อยๆคลานเข้าสู่เตาเผา อุทิศตัวเป็นเชื้อเพลิงให้ผลงานชิ้นเอก
ให้ไฟช่วยตัดสินชีวิตของตัวเขาเอง
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่าทำไมเขาถึงหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยไป แต่ตามตำนานเล่าขาน ใน ปี ค.ศ.1897เขาเดินทางไปยังเทือกเขาเพชร และกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ผู้เป็นอมตะ
หมายเหตุ : ชิว วา- ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง ที่มาจากภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตจิตรกรชาวเกาหลีเรื่อง CHIHWASEON ซึ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก CANNES FILM FESTIVAL 2002
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000089784Chihwaseon Trailer