ริมระเบียงรับลมโชย > ห้องสัมมาอาชีพแบบเพียงพอและพอเพียง

10 ร้าน 10 รส คนบันเทิง ขยันทำมาหากิน

(1/2) > >>

Plusz:
แต่ทว่าในความเป็นจริง อาชีพที่ขายหน้าตา ขายเสียงนั้น แทบไม่มีความจีรังยั่งยืน เพราะทุกปีจะมีคนที่ใหม่กว่า สดกว่าก้าวขึ้นมาประชันฝีมือบนเวทีแห่งนี้ตลอด สปอตไลต์ที่เคยสาดส่องก็เริ่มจะเปลี่ยนทิศ ดังนั้นเมื่อเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มเก็บหอมรอมริบเงินได้ก้อนหนึ่ง บรรดาคนบันเทิงก็นิยมเปิดกิจการเป็นของตนเองเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคง ในชีวิตวันข้างหน้าในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปคนบันเทิงมีวิธีคิดในการเลือก ประกอบอาชีพที่สองอย่างไร แล้วแต่ละคนประสบความสำเร็จแค่ไหน เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของแฟนคนบันเทิงอย่างยิ่ง ในงาน พลังสร้างไทย พลังใจสร้างอาชีพ ที่ M-150 ได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อช่วยลดวิกฤตคนว่างงาน จึงไม่เพียงแต่จัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับสินค้าโอท็อปทั่วประเทศนำสินค้ามา ร่วมแสดงแล้วยังกันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับเหล่านักร้อง นักแสดง ที่ได้ประกอบอาชีพอิสระมาร่วมออกบูทประชันลีลาการผลิตสินค้าและขายสินค้า เรียกให้ผู้สนใจอยากกระทบไหล่คนบันเทิงกันแบบใกล้ชิดได้เดินเข้ามาร่วมงาน นานๆ คนบันเทิงจะได้มีโอกาสมารวมตัวกันออกร้าน งานนี้จึงมีทั้งผู้ที่ใคร่ชิมสินค้า ผู้ที่ใคร่ถ่ายรูปพูดคุยกับดารา และผู้ที่สนใจอาชีพอิสระเข้าไปร่วมงานอย่างคึกคัก วีเจ จ๋า-ไอศกรีมโอลูรี่ ร้านแรกไอศกรีม "โอลูรี่" ชื่อร้านเป็นภาษาฮาวาย เจ้าของไม่ใช่ใครอื่น เป็นของ VJ จ๋า "ณัฐฐาวีรานุช ทองมี" ความหมายของชื่อร้าน คือ การเขย่า (shake) เหมือนกับการผสมเครื่องดื่มนั่นเอง "จ๋า" บอกว่า "ชีวิตคนเราอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ วันนี้มีเงินพรุ่งนี้ก็อาจจะหมดได้ เราจึงต้องพยายามหาเส้นทางที่ทำให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้" ข้อคิดง่ายๆ แต่ได้ใจของสาว "จ๋า" บอกเล่าถึงที่มาที่ไปของการก้าวเข้ามาจับธุรกิจนี้ได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม "จ๋า" ยังบอกอีกว่า "ช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ ร้านโอลูรี่ ก็ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะคนมีการใช้จ่ายน้อยลงแต่สินค้าประเภทอาหารเครื่องดื่มมีราคาไม่แพงมาก เรียกว่าราคาน่ารักๆ พอคุยกันจึงทำให้คนมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่เรื่อยๆ" "ร้านโอลูรี่" มีไอศกรีมหลากหลายรสที่บางส่วนมีการดัดแปลงสูตรมาทำบ้าง บางสูตรทาง "ร้านโอลูรี่" ก็มีการคิดค้นขึ้นเองด้วย อย่างเช่น สูตรสตรอว์เบอร์รี่สมูทตี้ แต่ที่เด็ดสุดของร้านนี้ที่แนะนำผ่านประชาชาติธุรกิจมา คือ ไอศกรีมโมจิ สีสวยน่ารัก เรียกว่าอร่อยแบบ VJ จ๋า ต้องที่โอลูรี่เท่านั้น หนุ่มแทน-ลูกชิ้นดาวร้าย มาถึงร้านที่สองใช้ชื่อแบรนด์แบบบู๊ๆ ว่า "ลูกชิ้นดาวร้าย" เป็นของ ฐิติ พุ่มอ่อน หรือ "หนุ่มแทน" ดาวร้ายหน้าหล่อที่มีอีกด้านที่น่ารักเหมือนกัน "แทน" บอกว่า "แบรนด์ลูกชิ้นดาวร้ายทำมาได้เกือบ 2 ปี ทุกวันนี้คนเริ่มรู้จักกันมากขึ้น สาเหตุที่มีลูกชิ้นดาวร้ายก็เพราะ เห็นว่ามี "ลูกชิ้นปู-เด๋อ" ก็เลยลองทำลูกชิ้นดาวร้ายขึ้นมาบ้าง" ช่างเป็นชื่อร้านที่เหมาะเจาะกับรูปลักษณ์ของเจ้าของร้านมากเลย "แทน" บอกถึงความพิเศษของลูกชิ้นดาวร้ายที่โดดเด่นแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ว่า เป็นลูกชิ้นที่ชาวมุสลิมสามารถซื้อทานได้ด้วย และถ้าจะทานให้อร่อยมีสูตรว่าต้องทานคู่กับน้ำจิ้มนางเอกของทางร้าน ที่สำคัญลูกชิ้นดาวร้ายใช้วัตถุดิบอย่างดีไม่มีผสมแป้งเพื่อลดต้นทุน "แทน" แอบกระซิบบอกว่า น้ำจิ้มของลูกชิ้นดาวร้ายได้รวมนางเอกไว้ครบทุกรส ทั้งรสหวาน รสเปรี้ยว รสเผ็ด ดังนั้นจึงเป็นสูตรเด็ดที่อร่อยไม่เหมือนใคร



Plusz:
ติ๊ก ชีโร่-โดนัท โด ดี โด ร้านที่สาม อร่อยแบบหวานๆ กับร้าน "โดนัท โด ดี โด" โดนัทแป้งดีของนักร้องหนุ่มอารมณ์ดี โต้ ชีริ๊ก "ติ๊ก ชีโร่" ร้านนี้เจ้าของร้านเลือกใช้โทนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ ทุกครั้งที่ต้องไปยืนเป็นพรีเซ็นเตอร์หน้าร้าน ติ๊ก ชีโร่ จึงต้องใส่สีเขียวทั้งชุด เพื่อให้กลมกลืน ทั้งกล่อง ทั้งถุงใส่ขนมร้านนี้ก็ยังใช้กระดาษเป็นสีเขียว ไม่ต้องพูดถึงพนักงานขายหน้าร้านอย่างไรหนีไม่พ้นต้องแต่งองค์ทรงเครื่อง ด้วยชุดเสื้อสีเขียว เรียกว่าเขียวทั้งร้าน เพราะคอนเซ็ปต์เขาวางไว้อย่างนี้ "ติ๊ก ชีโร่" ให้เหตุผลแบบอินเทรนด์ว่า เพื่อร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหามาแรงจึงนำเสนอ ทุกอย่างเป็นแพ็กเกจสีเขียว โดนัทแบรนด์โด ดี โดนี้ถือเป็นอีกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง เพราะเปิดมายังไม่ถึงปี ปัจจุบันมีทั้งหมดเกือบ 10 แห่ง โดยไม่ได้ขายแฟรนไชส์ให้กับที่อื่น เรียกว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการขายสินค้าเข้ากระเป๋าพี่ติ๊กคน เดียว ติ๊กเล่าให้ฟังว่า โดนัทในร้านเป็นสูตรที่คิดขึ้นมาเองเพราะเห็นว่าคนเดี๋ยวนี้เริ่มรักษา สุขภาพของตัวเองแล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องของอาหารการกินกันมากขึ้น ทางร้านจึงเลือกใช้สูตรแป้งที่มีน้ำตาลน้อย (low sugar) เพื่อตอบโจทย์สาวๆ ที่ห่วงรูปร่างของตัวเองก็สามารถทานได้อย่างสบายหายห่วง โดยมีเมนูให้เลือก 40 กว่ารสชาติ แต่รสชาติที่ฮิตที่สุดพนักงานขายหน้าร้านกระซิบบอกมา คือ โดนัทตุ๊กตาหน้ายิ้ม และเค้กแยมจุด ที่เห็นเป็นรูปการ์ตูนติดอยู่ที่ถุงใส่ขนม และสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเลือกเดินเข้าร้านโดนัท โด ดี โด กันอย่างเนืองแน่นก็เพราะสินค้าของร้านแห่งนี้ผลิตกันใหม่สดทุกวัน การันตีว่าไม่มีของค้างคืน ใครอยากลิ้มรสโดนัทในสไตล์ช่วยลดโลกร้อนว่าเป็นอย่างไร ก็แวะกันไปได้ที่ร้าน "โดนัท โด ดี โด" ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งแฟชั่นไอส์แลนด์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และที่อื่นๆ อีกมากมาย

 :13:

Plusz:


หนุ่มเอ-ปลาดุกฟู เดินมาถึงร้านที่สี่ ไม่แวะก็คงไม่ได้ ร้านนี้เป็นของ "หนุ่มเอ เชิญยิ้ม" ขายยำปลาดุกฟู ตั้งชื่อร้านแบบน่ารักๆ ว่า "ฟู๊ ฟู เอเชิญยิ้ม" กรรมวิธีในการทำยำปลาดุกฟูดูเหมือนจะง่ายๆ แต่หนุ่มเอบอกว่าไม่หมูเหมือนกัน กว่าจะได้อาหารรสเลิศมาเสิร์ฟผู้บริโภคต้องคัดปลาอย่างดีนำมาต้มจนสุกแล้ว ลอกเอาเฉพาะเนื้อของปลาแล้วนำมาปั่นให้ละเอียดจนเข้ากันดีแล้ว จากนั้นนำมาทอดในน้ำมันที่เดือดจนเหลืองกรอบ ซึ่งที่ร้านจะใช้เนื้อปลาล้วนๆ ไม่ผสมแป้งจึงมีความกรอบนอกนุ่มใน เวลาทานเข้าไปแล้วจะเหมือนเส้นสายไหมที่เป็นขนมหวาน เรียกว่ากว่าจะมาเป็นยำปลาดุก ฟู๊ ฟู ได้ก็ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เสียปลาดุกฟรีไปหลายกิโลกรัม เพราะครั้งแรกที่ทำออกมาหน้าตาเป็นยำปลาดุกแฟบ ต้องพัฒนาสูตรกันอยู่นาน พยายามหากรรมวิธีจนกลายมาเป็นยำปลาดุกฟูในแบบที่น่ารับประทานเช่นปัจจุบัน หลายวันอาจจะยังไม่รู้ว่า ทำไมหนอหนุ่มเอจึงเลือกขายปลาดุกฟู มันอินเทรนด์ ตรงไหน เมื่อสอบถามพนักงานได้รับคำตอบว่า การที่หนุ่ม "เอ" เลือกทำยำปลาดุกเพราะส่วนหนึ่งเป็นคนอิสลาม เห็นหน้าตาหล่อตี๋แบบนี้ไม่บอกไม่รู้เลยนะนี่ว่ามีเชื้อ จะว่าไปแล้วตอนนี้ฟู๊ ฟูก็เฟื่องฟูไม่น้อยกว่าธุรกิจของคนบันเทิงคนอื่นๆ เพราะมีร้านแฟรนไชส์ถึง 10 แห่งแล้ว แถมยังมีรับจัดงานเลี้ยงนอกสถานที่อีกด้วย

Plusz:


ตี๋ ดอกสะเดา-ไอศกรีมทอด ร้านที่ห้า เห็นแล้วต้องแปลกใจ แค่ชื่อร้าน "ไอศกรีมทอด ตี๋ ดอกสะเดา" ก็ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตั้งคำถามแล้วว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นคำเชิญชวนที่ว่า อร่อยขึ้นตา มีให้เลือก 5 รสชาติ ยิ่งเพิ่มข้อสังสัยต้องเดินเข้าไปสอบถาม "หนุ่มตี๋" คุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองว่า ทำตรงนี้มาได้ 2 ปีแล้ว ธุรกิจมีขึ้นมีลงบ้างตามสภาพเศรษฐกิจของสังคม แต่ก็พออยู่ได้ในระดับหนึ่ง ตอนนี้มีแฟรนไชส์ทั้งหมด 167 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่างจังหวัด โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และที่เลือกทำธุรกิจนี้เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบทานของแปลก ไอศกรีมเย็นๆ ทอดในความร้อนที่สูงแต่ไม่ละลาย ถือเป็นของหวานอีกชนิดที่ช่วยคลายร้อนได้ดี เมื่อถามของเรื่องอุปสรรคในการทำงาน "หนุ่มตี๋" บอกว่าก็มีบ้าง อย่างเช่นปัญหาการเจาะตลาดหรือแหล่งที่ขายว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าเป็นที่ รู้จักของตลาด "หนุ่มตี๋" แม้จะเลือกอาชีพตลกเป็นอาชีพหลัก แต่ชีวิตจริงที่ไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา เขาจึงต้องหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตอีกทางหนึ่ง

Plusz:
จอน ม๊กจ๊ก-น้ำพริกสู้ชีวิต ร้านที่หก ไม่ลองไม่รู้กับ น้ำพริกสู้ชีวิต ของตลกสาวแคระสู้ชีวิต จอน ม๊กจ๊ก ลิ้มรสแล้วอร่อยไม่แพ้เจ้าอื่น ถ้าจะพูดถึงชีวิตของหญิงเหล็กคนหนึ่งที่เศร้าและทุกข์ไม่แพ้เรื่องราวในละคร ไทย แต่เธอก็ไม่เคยท้อกับชีวิตที่บางครั้งต้องนั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิด ขึ้น เพราะสุดท้ายเธอเลือกที่จะให้กำลังใจตัวเองด้วยการลุกขึ้นสู้ใหม่เสมอ แม้ในสายตาหลายคนจะมองเธอว่าเป็นตลกตกอับ แต่ "จอน" บอกว่า "ไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นแต่พยายามทำทุกอย่างด้วยน้ำพักน้ำแรงที่ตัวเองมี เพราะสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่การตกอับแต่มันเป็นเรื่องของการสร้างอาชีพเสริม ให้กับตัวเอง หากพรุ่งนี้ไม่มีงานตลก แต่ก็ยังมีน้ำพริกให้ขาย ที่สำคัญสิ่งที่ทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนทุกการกระทำ ทุกความตั้งใจเพื่อความอยู่รอดเหมือนกับทุกๆ ชีวิตในสังคม" "จอน" บอกว่า ทำ "น้ำพริกสู้ชีวิต" มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว ชีวิตพออยู่ได้ ที่สำคัญยังได้กำลังใจดีๆ จากคนรอบข้างเสมอ การทำน้ำพริกตอนนี้ก็ไม่ลำบากมากเพราะมีลูกมือช่วยทำ 2-3 คน เป็นน้ำพริกที่ไม่ผสมสารกันบูด คิดเอง ทำเอง ทุกขั้นตอน อิทธิ พลางกูร-ไก่ทอดเก็บตะวัน ร้านที่เจ็ด อิ่มอร่อยแบบทอดๆ กับ "รานไก่ทอดเก็บตะวัน ของ ครอบครัวอิทธิ พลางกูร แค่เห็นชื่อร้านไก่ทอดก็ต้องนึกถึงเพลงเก็บตะวันที่พี่อิทธิ พลางกูร เคยร้องเอาไว้ เพราะเพลงนี้ไม่เพียงแต่มีเนื้อหากินใจ เสียงของนักร้องยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ผู้ฟังอินทุกครั้งที่เสียง เพลงนี้ลอยมาตามสายลม ครอบครัวของคุณอิทธิ พลางกูร บอกว่า "ไก่ทอดเก็บตะวันทำผ่านมาได้ 1 ปีแล้ว เหตุผลที่เลือกทำไก่ทอดเก็บตะวันเพราะทางครอบครัวชอบทานไก่ทอดเป็นอาหารหลัก ของบ้าน เมื่อก่อนเวลาเดินทางไปไหนก็จะมีข้าวเหนียวไก่ทอดไปทานด้วยทุกครั้งแล้วก็ อยากจะแบ่งปันความอร่อยให้กับคนอื่นบ้าง" ในวันที่คิดจะเปิดกิจการนี้ก็มานั่งคิดกันว่าจะตั้งชื่อร้านว่าอะไรดี สุดท้ายก็มาสรุปที่ร้านไก่ทอดเก็บตะวัน ซึ่งอิทธิ พลางกูร เป็นคนตั้งเอง ซึ่งทางร้านก็ไม่ได้มีแค่ไก่ทอดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีปูจ๊อ หอยจ๊อ ปูจ๋า กุ้งพันอ้อย และเร็วๆ นี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ชื่อว่า "น้ำพริกยังจำไว้" ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของครอบครัวพลางกูร ไม่ใส่ผงชูรสและสารกันบูด เจ้าของร้านบอกว่า ร้านนี้ไม่เหมือนร้านไก่สูตรอื่นๆ เพราะใช้สูตรพิเศษในการหมักไก่ทำให้รสชาติดี ถ้าใครติดใจรสชาติก็ต้องคอยติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะร้านนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีแฟรนไชส์ ไม่มีสาขาแล้ว ยังไม่ได้เปิดขายเป็นประจำทุกวัน แต่จะเปิดเฉพาะในช่วงออกงานต่างๆ เท่านั้น

 :47:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version