แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน
เพ่งนิมิตจิตมุทรา : การตื่นขึ้นอย่างเทวะ การสำแดงตรีกาย รูปกายดุจสายรุ้ง
มดเอ๊กซ:
การตื่นขึ้นอย่างเทวะ
จากความสงสารตัวเองสู่การส่องแสงประเสริฐในตัวเอง
สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับการปฏิบัติตันตระคือการลิ้มรสประสบการณ์จริง ของสิ่งที่มีความหมายสำหรับท่าน ไม่สำคัญว่าท่านจะได้ช็อคโกแลตชิ้น เล็กเพียงใด หากท่านได้ลิ้มรสแล้วพอใจก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นสำหรับ ผู้ที่ได้สิ่งที่กระจ่างจริงใจในจิตใจแล้วในนาทีที่เขาเข้าใจ และนำมันตรง เข้าสู่หัวใจ คนเหล่านั้นคือผู้ปฏิบัติที่แท้จริง พวกเขาคือผู้ที่ได้ช๊อกโกแลต
จิตใจธรรมดาอันเป็นสองของเรา เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าใจแท้จริง มักแปล บางสิ่งว่าไม่ถูก บางสิ่งว่าไม่สมบูรณ์ เกี่ยวกับตัวฉันและสิ่งที่แวดล้อม ฉัน จิตใจนั้นมักวิพากษ์วิจารณ์ นี่เป็นอาการของจิตใจเป็นสองคือบาง สิ่งบางอย่างมักผิด จิตใจเป็นสองของเราหากไม่เพิ่มคุณสมบัติที่เหนือ กว่าลงบนสิ่งที่มีอยู่ก็ดูถูกมัน ช่างเป็นจิตใจอันหวาดกลัวและไม่พอใจที่ ไม่เคยไปตามทางสายกลาง ไม่ว่าจะอย่างมีสติหรือไม่ จิตใจมักรู้สึกว่า " ธรรมชาติของฉันไม่บริสุทธิ์ ฉันเกิดมาด้วยความไม่บริสุทธิ์ เดี๋ยวนี้ฉัน ไม่บริสุทธิ์ และฉันก็จะตายไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ และจบลงในนรก " ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าเราจะเรียกตัวเองว่าเป็นพวกเคร่งศาสนาหรือไม่ ยึด หลักปรัชญาหรือเชื่อในสิ่งงมงาย ตราบที่เรายังไม่ได้สัมผัสกับความเป็น จริงพื้นฐาน เราก็ยังคงอยู่ใต้อิทธิพลของมุมมองอันลวงหลอกแห่งการ พ่ายแพ้ตัวเองอยู่นั่นเอง หากเราต้องการจะเป็นอิสระจากโรคร้ายทั้งปวง ของกายและใจ สิ่งสำคัญมากคือสลัดตัวเองจากความคิดสงสารตัวเอง เช่นนี้ให้หมด
ปัญหาคืออะไร ปัญหาก็คือเรารู้สึกว่า " ฉันเป็นคนแบบที่เลวที่สุด ไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง โง่เขลาและละโมบ ฉันแย่มาก " ความคิดเช่นการ ยึดกับความคิดเห็นต่ำเกี่ยวกับตัวเองนี้ ถึงแม้เราจะไม่ได้แสดงออกเป็นคำพูด สิ่งนี้ไม่ดีเลย สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องทำให้บริสุทธิ์
ตันตระกล่าวว่ามนุษย์มีคุณสมบัติประเสริฐแท้จริง แก่นของมนุษย์แต่ละคน คุณสมบัติที่สำคัญของแต่ละคน คือสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่บริสุทธิ์ เพื่อที่จะตระ หนักในเรื่องนี้ และทำให้การตระหนักรู้นี้ผสานเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา ไม่ ใช่เพียงความคิดทางปัญญา มีความจำเป็น ดังที่กล่าวไปแล้ว ที่จะส่องแสง สว่างดั่งเป็นเทวดา
การส่องแสงให้ตนเองเป็นเทวดาไม่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมหรือกลุ่มความ เชื่อใดโดยเฉพาะ ท่านส่องแสงอยู่แล้ว เมื่อท่านส่องแสดงภาพการสงสาร ตัวเอง ท่านไม่คิดว่าท่านเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมใด ท่านเพียงแต่ทำ ดังนั้น หยุดทำตามนิสัยอันโง่เขลานี้ บ่มเพราะความภูมิใจอันประเสริฐแข็งแกร่ง และส่องสองตัวเองเป็นเทวดาแทน เริ่มที่จะใช้ชีวิตให้เท่าเทียมกับศักยภาพ มหาศาลของท่าน
ทางที่ดีและถูกต้องที่สุดในการส่องแสงเป็นเทวดาคือ การทำสมาธิกายทั้ง สาม อาจารย์ตันตระที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่นท่านลามะซองกปะ ได้เน้นว่า ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการปฏิบัติเช่นนี้
มดเอ๊กซ:
การละลาย
สาทธนะแห่งเทวดาที่เราปฏิบัติอาจมีรายละเอียดของการปฏิบัติกายทั้งสาม แต่ก็เพียงพอที่จะกล่าวอย่างย่อดังต่อไปนี้ เราเริ่มด้วยการเตือนตัวเองให้ระ ลึกถึงการถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และบ่มเพาะแรงกระตุ้นโพธิจิตทาง ใจ เพื่อบรรลุการตรัสรู้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วเราฝึกคุรุโยคะ อันเป็น รากฐานของเส้นทางตันตระ เราสร้างมโนภาพเป็นอาจารย์ตันตระมาอยู่ตรง หน้า และเห็นท่านหรือเธอดั่งเป็นตัวแทนของคุณสมบัติการตรัสรู้ทั้งปวง ที่เราปรารถนาที่จะตระหนักรู้ได้ในตนเอง เราจินตนาการว่าคุรุมาที่เหนือ ศีรษะเรา ละลายเป็นแสงและลงสู่หัวใจ เมื่อคุรุจมลงในตัวเราเช่นนี้ เรา สร้างมโนภาพว่าเราประสบภาพการตายหลากหลาย อันเป็นหนทางสู่อรุณ รุ่งแห่งสติสัมปชัญญะสว่างกระจ่างอันละเอียดอ่อนที่สุด ด้วยวิธีนี้เราทำ สมาธิถึงการวมตัวของปัญญาความสุขของคุรุกับจิตใจอันละเอียดอ่อนที่สุด ของเรา วาดภาพความทรงจำของการรับเข้าที่เรารับและติดต่อกับความกระ จ่างและเมตตาของคุรุ เราควรจินตนาการการรวมตัวกันเพื่อความสุขที่สุด เท่าที่จะทำได้ ยิ่งเราสามารถประสบความสุขเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อกระบวนการ แปรเปลี่ยนเท่านั้น
ประสบการณ์ละเอียดอ่อนอันเป็นสุขของการรวมตัวนี้ อยู่เหนือความคิด อันเป็นสองธรรมดาของเรา ดังรูปลักษณ์ธรรมดาทั้งหมดละลายลงสู่ที่ว่าง ของปัญญาอันไม่เป็นสอง และความสุขมหาศาลพร้อม ๆ กัน เราเพ่งไปที่ การละลายเป็นจุด ๆ เดียวเท่าที่จะทำได้ เราควรคิดว่า " นี่เป็นกายสัจจะแห่ง การตรัสรู้ ( ธรรมกาย ) และนี่คือผู้ที่ฉันเป็นจริง ๆ " ด้วยการะบุว่าตนเอง สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยธรรมกาย เราแปลงประสบการณ์แห่งความ ตายธรรมดาสู่เส้นทางการตรัสรู้
เมื่อเราทำสมาธิถึงธรรมกายเช่นนี้ ความคิดของตนเองที่เรายึดก็จะพังทลาย ลงบ้าง นี่เป็นสิ่งที่ดีพอที่จะทำให้เรามีคุณสมบัติดั่งการมีประสบการณ์แห่ง ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง อย่าเพิ่งหมดกำลังใจและคิดว่า " ฉันไม่ได้ตระ หนักถึงสิ่งใดในความว่างเปล่าเลย ฉันไม่แม้แต่เข้าใจคำว่าความว่างเปล่า หรือวิธีที่จะฝึกเลย " อย่าคิดเช่นนี้ เพราะความคิดเช่นนี้เป็นเพียงอุปสรรค ในที่สุดแล้ว เรามีประสบการณ์บางอย่างแห่งแสงสว่างกระจ่างในระดับหนึ่ง เราตายมาหลายครั้งในอดีต และตันตระอธิบายว่ากระบวนการตายทางกาย เกี่ยวพันกับการค้นพบแสงกระจ่างและคุณสมบัติอันไม่เป็นสองแห่งความ บริบูรณ์ ไม่เพียงแต่ขณะที่กำลังจะตาย แต่ขณะหลับและถึงจุดสุดยอดทาง เพศ เราก็ได้ลิ้มรสความบริบูรณ์อันสว่างกระจ่างนี้ด้วยในระดับหนึ่ง ประ สบการณ์นี้พังความคิดอันหนักแน่นของจิตใจแห่งการสงสารตัวเอง ทำให้ จิตใจละเอียดอ่อนลงบ้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าท่านควรจะเข้าใจความ ว่างเปล่าลึกซึ้งเพียงใด มันเพียงพอแล้วที่ท่านควรจะเข้าใจความว่างเปล่า ลึกซึ้งเพียงใด มันเพียงพอแล้วที่ท่านไม่เกี่ยวข้องกับความคิดอันหนักแน่น ของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพียงปล่อยวางและอนุญาติให้การยึดทั้งหมดละลายสู่ที่ว่าง กว้างขวางอันกระจ่างแจ้ง
คงความตื่นตัวและรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะที่ตื่นตัวนี้คือปัญญาที่โอบล้อม จักรวาลกว้างแห่งที่ว่างอันสะอาดกระจ่าง ในที่ว่างนี้ การสงสารตัวเอง การคร่ำครวญและการร้องทุกข์เกี่ยวกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่มีอยู่ มันไม่มีอยู่ โดยสิ้นเชิง ปล่อยให้ใจอยู่ในที่ว่างที่เป็นอิสระจากปริศนาที่สัมพันธ์กัน ทั้งปวง และเป็นอิสระจากหน้าที่ผิด ๆ ทั้งหลาย รับรู้สิ่งนี้ว่าเป็นประสบ การณ์ธรรมกายอันแท้จริงเป็นสภาวะสะอาดกระจ่างที่ปราศจากแม้แต่ ความคิดขยะเพียงเล็กน้อยนิด ว่างจากสมบูรณ์จากความขัดแย้งในอัตตา อันสับสน มันเป็นความจริง และท่านเพียงให้จิตใจสถิตอยู่ที่นั่นอย่าง ตื่นตัว
บางทีที่รู้สึกไม่สบายใจกับคำอธิบายเรื่องประสบการณ์อันสว่างกระจ่าง นี้ ท่านอาจถกเถียงด้วยสติปัญญาว่า " เดี๋ยวก่อน ธูปเท็น เยเช่ ถ้าท่าน พูดว่าความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากความว่างเปล่าของที่ว่าง ท่านผิด แล้ว ท่านทำให้เรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่งเป็นเรื่องง่ายเกินไป นี่ไม่ใช่มุมมอง ของมัญชุศรี นี่ไม่ใช่ปรัชญาของมาธยมิกา ความว่างเปล่าที่แท้ไม่เหมือน กับเพียงสมมติให้ละลายลงสู่ที่ว่าง "
ท่านสามารถโต้แย้งเช่นนี้ ท่านสามารถโต้เถียงประเด็นปรัชญาที่ดีทั้ง ปวง และพิสูจน์ว่าการละลายลงสู่ที่ว่างไม่ใช่สิ่งที่หมายความโดยความ ว่างเปล่า แต่ที่จริงแล้วนี่เป็นข้อโต้แย้งขยะทำไมน่ะหรือ เพราะว่าวิธี การทางปัญญาสู่ความว่างเปล่ามักกลายเป็นอุปสรรคในการค้นพบประ สบการณ์จริงแห่งความว่างเปล่าดั่งที่ว่าง หรือโต้แย้งและโต้เถียงชั่ว ชีวิต แต่ก็จะเป็นการเสียเวลาโดยสิ้นเชิง
จริงอยู่ว่าในการศึกษาของเรา เราพยายามที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องตาม ปรัชญาของความว่างเปล่าเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจเช่น เดียวกับท่านนาคารชุน และปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญสมาธิทั้งหลายเข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้ ระหว่างการทำสมาธิ เราไม่ต้องห่วงกับการศึกษาและการ วิเคราะห์ เราห่วงแค่การกระทำ และในบริบทแห่งการทำให้ประสบ การณ์แสงกระจ่างแห่งธรรมกายเป็นจริง คุรุชาวอินเดียและธิเบตกล่าว ว่าที่ว่างเป็นตัวอย่างอันดับแรกเพื่อความเข้าใจการไม่เป็นสอง หรือ ความว่างเปล่า
เพื่อจะมีประสบการณ์ความว่างเปล่าที่แท้ ท่านต้องเริ่มที่ใดที่หนึ่ง ท่าน ต้องมีประสบการณ์หรือรสชาติบางอย่างว่าการไปไกลกว่าปริศนาสามัญ แห่งกาสร้างอัตตาของสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นเช่นไร นี่คือประเด็นหลัก เราต้อง ปล่อยความคิดหยาบ หนักแน่น และจำกัดทั้งปวง ที่ทำให้เราติดอยู่ใน ความคิดไม่พอใจสามัญของตนเองและทุกสิ่งออกบ้าง
จากมุมมองทางปรัชญา กล่าวกันว่าในความว่างเปล่าไม่มีรูปร่าง ไม่มี เสียง ไม่มีกลิ่น ฯลฯ มุมมองเช่นนี้สามารถแปลเป็นประสบการณ์จริง โดยทุกสิ่งละลายลงสู่ที่ว่างด้วยวิธีของการซึมซาบประสบการณ์แห่ง ความตาย ในเวลาแห่งการละลายนั้นจิตของท่านไม่มีทางที่จะดึงดูดติด ต่อกับโลกแห่งประสาทสัมผัสที่คุ้นเคย ในที่ว่างสว่างกระจ่างของความ ว่างเปล่า ไม่มีสี กลิ่น ความรู้สึก ฯลฯ ปริศนาอันแคบแห่งความเป็น สองทั้งปวงหายไปและเป็นผลให้สภาวะที่ว่างอันไม่เป็นสองนี้ และรู้ สึกว่าการทำเช่นนี้ ท่าได้ไปถึงธรรมกายที่แท้ คือปัญญาไร้ความคลุม เครืออันสมบูรณ์
มดเอ๊กซ:
การปรากฏใหม่
เดี๋ยวนี้ ท่านจะเคลื่อนสู่ประสบการณ์สัมโภคกายได้อย่างไร ขณะที่ ล่องลอยในที่ว่างแห่งธรรมกาย ท่านปล่อยวางจนกระทั่งไม่มีสิ่งใด รบกวนจิตใจ ไม่มีสิ่งใดเลย หลังจากนั้น ปริศนาแห่งความสัมพัทธ์ จะเริ่มยืนยันตัวเองอีกครั้ง ดึงดูดความสนใจของท่าน นี่เป็นเวลาที่ ท่านจะเคลื่อนจากธรรมกายสู่ประสบการณ์สัมโภคกายมีเพียงท่าน เท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อใด ไม่มีผู้อื่นสามารถบอกได้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นใน จิตใจของท่าน
เมื่อการเขย่าอันเป็นสองนี้เกิดขึ้นในจิตใจ ระลึกถึงความปรารถนาใน ความเมตตาเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ และการตัดสินใจแน่วแน่บังเกิด ขึ้นในรูปที่ผู้อื่นสามารถสัมพันธ์ได้ เมื่อนั้น ในที่ว่างแห่งความไม่เป็น สอง อันเป็นที่ว่างสว่างกระจ่างแห่งความว่างเปล่า เริ่มมีบางสิ่งปรากฏ ขึ้น สิ่งนี้เหมือนเมฆก้อนเล็กปรากฏทันทีในที่กว้างของท้องฟ้ากระจ่าง รูปร่างและสีของสิ่งที่ปรากฏในที่ว่างในจิตใจท่านในตอนนี้ขึ้นอยู่กับรูป แบบการปฏิบัติที่ท่านฝึก ในหลาย ๆ สาทธนะ นี่เป็นพยางค์หรือตัวอักษร อันเป็นสัญลักษณ์ของเทวดาหลัก หรืออาจเป็นเส้นหวัด หรือเมล็ด หรือ รูปร่างอื่น แต่อะไรก็ตาม สิ่งนี้ควรถูกเข้าใจว่าเป็นหลักฐานที่ละเอียด อ่อนของสติสัมปชัญญะของท่านเอง ไม่ใช่สิ่งที่ท่านมองจากภายใน กลับ เป็นสิ่งที่ท่านควรรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับมันโดยสมบูรณ์ มันเป็นรูปร่าง ที่ปรากฏขึ้นของจิตใจท่านเอง
เมื่อนั้น ดังเช่นที่ท่านระบุไว้ว่าแสงกระจ่างอันว่างเปล่าเป็นประสบการณ์ ธรรมกายที่แท้ ท่านควรจำรูปร่างละเอียดโปร่งแสงที่คล้ายคลึงกับกายไร้ ตัวตนที่เราเป็นเจ้าของเมื่ออยู่ในบาร์โดปกติระหว่างการตายและการเกิด ว่าเป็นประสบการณ์สัมโภคกายแท้จริงเช่นเดียวกัน สัมโภคกายก็เช่นกัน ควรมีประสบการณ์ดั่งการรวมเป็นหนึ่งโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ของความ สุขมหาศาลกับปัญญาไม่เป็นสอง ที่ตอนนี้แสดงตัวเป็นกายเสวยสุขแท้ จริง ( สัมโภคกาย ) ของพระพุทธเจ้า จงคิดว่า " นี่เป็นสัมโภคกายที่แท้ จริง นี่คือผู้ที่ฉันเป็นจริง ๆ " ชั่วขณะ ดำรงรูปลักษณ์กระจ่างของพยางค์ เมล็ดและความภูมิใจอันประเสริฐแห่งการเป็นสัมโภคกาย แล้วจึงแปร เปลี่ยนประสบการณ์สภาวะระหว่างกลางธรรมดาเป็นทางสู่กายเสวยสุข แห่งการตรัสรู้
เมื่อท่านพร้อม นำแรงกระตุ้นโพธิจิตสู่จิตใจของท่าน เพื่อทำงานเพื่อ ประโยชน์แก่ผู้อื่น และสร้างความตั้งใจแน่วแน่ให้บังเกิดในรูปที่ผู้อื่น สัมพันธ์ได้ยิ่งขึ้น ด้วยแรงกระตุ้นอันเมตตานี้ พยางค์เมล็ดก็แปลงกาย เป็นกายสีรุ้งโปร่งใสแห่งเทวดาในทันที จงเข้าใจสิ่งนี้ว่าเป็นกายแสง สว่างแท้จริง ( นิรมาณกาย ) แห่งการตื่นอย่างเต็มที่ ที่แทนที่กายหยาบ ของการเกิดใหม่ธรรมดา และมีคุณสมบัติของความสุขและปัญญาใน เวลาเดียวกัน อีกครั้งหนึ่ง การแสดงตนชัดเจนด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้โดย คิดว่า " นี่คือนิรมาณกายแท้จริง นี่คือผู้ที่ฉันเป็นจริง ๆ " วิธีนี้จึงเป็น วิธีใช้การเกิดใหม่ธรรมดาเป็นทางแห่งกายเรืองแสงของพระพุทธเจ้า
เมื่อท่านเห็นตนเองดั่งเทวดา ท่านควรรู้สึกว่าท่านเป็นการส่องแสงที่แท้ จริงของเทวดา อย่าคิดว่าท่านเพียงสมมติ ท่านควรจะคล้อยตาม ดังนั้น เช่นเดียวกับนักแสดงผู้ยังคงบุคลิกของตัวละคร แม้เมื่อละครจบ ท่านอาจ ประหลาดใจที่พบว่าท่านกลายเป็นเทวดาไปจริง ๆ ความภูมิใจอันประ เสริฐของความรู้สึกอันแรงกล้าของผู้เป็นเทวดาจริงนี้สำคัญยิ่ง ด้วยความ รู้สึกนี้ การปลงทางตันตระจะเป็นธรรมชาติและทรงพลานุภาพมาก ผู้คิด ว่าตันตระเกี่ยวข้องเพียงการ สมมติ เพื่อจะเป็นเทวดานั้นผิดหมด
มดเอ๊กซ:
ปล่อยวาง
ถึงแม้ระหว่างการทำสมาธิ ท่านอาจพยายามเต็มที่ที่จะมีสติอยู่ในสภาวะ เปิดแห่งความไม่เป็นสอง ท่านอาจวอกแวกได้ง่ายด้วยความคิดงมงาย นานา เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น แทนที่จะต่อสู้กับความงมงายเหล่านี้ สิ่งที่มักดี ที่สุดคือเพียงจิตนาการตนเองเข้มข้นดั่งเทวดา ดั่งธารา เป็นต้น และ พัฒนาการตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งถึงความรักและความเมตตามหาศาล จงอยู่ในที่ว่างแห่งการรับรู้อย่างลึกซึ้ง และเพียงปล่อยตัวเป็นธารา
อีกครั้งหากท่านพบว่าตนเองวอกแวกด้วยความคิดของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ท่าน กำลังคิดเกี่ยวกับการกินพิซซ่า อย่าใช้พลังมาก แทนที่จะเข้าสู่บทสนทนา ในจิตใจ " ฉันอยากกินพิซซ่าเหลือเกิน แทนที่จะนั่งทำสมาธิอย่างเศร้า หมองอยู่นี่ ฉันควรจะมีความสุข " จงเริ่มกล่าวมนต์แห่งธารา " โอม ธารา ธุทธาเร ธุเร สวาหา " จนกระทั่งท่านสบายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นความ ชำนาญมากกว่าที่จะปล่อยให้ตัวเองได้รับอิทธิพลจากมนต์ทางโลก " พิซซ่า พิซซ่า พิซซ่า "
ความคาดหวังมากเกินไปก็เป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่อีกสิ่งหนึ่งในการทำ สมาธิให้สำเร็จ ทัศนคติงมงายขัดขวางเราจากความพอใจใประสบการณ์ การทำสมาธิและบังคับเราอย่างต่อเนื่องให้เปรียบเทียบประสบการณ์เหล่า นี้กับอุดมคติในจินตนาการ เราทำให้ตัวเองว้าวุ่นใจด้วยคิดว่า " ตามคำ สอนที่ฉันได้รับ ถึงตอนนี้ฉันควรประสบความสุขมหาศาล แต่สิ่งที่ฉัน รู้สึกเดี๋ยวนี้แทบไม่ใช่ความสุข ฉันต้องล้มเหลวแน่นอน " เราทำตัวเอง ให้เคร่งเครียดคาดหวัง ทำให้ประสบการณ์ที่หวังไม่อาจเกิดขึ้น สิ่งนี้ เข้าใจได้ง่าย ความสุขจะเกิดขึ้นในใจที่กังวลและเคร่งเครียดได้อย่างไร
วิธีปัญหาเดียวคือปล่อยวาง รู้ว่าความคาดหวังคืออุปสรรค และปล่อย วางมันทันทีที่เกิด อีกนัยหนึ่ง เราควรทำให้วิธีการเหล่านี้หลอมรวมลง เล็กน้อย บางทีเราใช้พลังงานมากเกินไปในการปฏิบัติ หรือเราสร้าง วินัยแก่ตัวเองอย่างรุนแรง คิดว่านี่จะนำเราสู่การตระหนักรู้ที่ปรารถนา ได้เร็วขึ้น แต่ความพยายามมากเกินไปมักให้ผลตรงกันข้าม มันขัดขวาง ความก้าวหน้าของเราแทนที่จะเป็นการช่วยเหลือ
คิดถึงคนขับรถมือใหม่ที่ยังไม่เคยเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายหลังพวงมาลัย เพราะว่าเขากังวลในการทำทุกอย่างให้ถูกต้อง พวกเขายุ่งอยู่เสมอใน การเปลี่ยนเกียร์ ปรับความเร็ว ฯลฯ ผลก็คือการขับที่กระตุก ไม่สบาย แทนที่จะเป็นประสบการณ์ที่น่าพอใจ การขับรถที่มีประสบการณ์ ผ่อน คลายกว่า แม้เขายังคงความรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเรียนรู้ที่จะปล่อย วาง และอนุญาตให้รถขับไปเอง ผลก็คือ การขับของเขาเรียบและไม่ ต้องใช้ความพยายามมาก และบางทีรู้สึกเหมือนรถกำลังบินอย่างมีความ สุขอยู่ในอากาศ มากกว่าจะกระเด้งกระดอนอย่างหนวกหูไปตามถนน หากเราต้องการประสบความสุขเช่นเดียวกันในการทำสมาธิ เราต้อง เรียนรู้ที่จะปล่อยวางความคาดหวังและลดความพยายามในการมีสติใน ตัวเองมากเกินไป
มดเอ๊กซ:
ความภูมิใจอันประเสริฐและรูปลักษณ์กระจ่าง
การฝึกสภาวะการสร้างความภูมิใจอันประเสริฐของเทวดาสำคัญมาก นิสัยตามธรรมดาของเราคือรู้สึกไม่พอใจและวิพากษ์วิจารณ์ร่างกาย คำพูด และจิตใจของตัวเอง " รูปร่างฉันได้ไม่ดี เสียงฉันไม่เพราะจิต ใจฉันสับสน " เราหมกหมุ่นในนิสัยซ้ำซากไร้จุดหมายแห่งการวิจารณ์ ที่เราเหยียดหยามผู้อื่นและตัวเอง จากมุมมองทางตันตระ สิ่งนี้เป็นความ เสียหายอย่างยิ่ง
ทางที่จะเอาชนะนิสัยนี้คือบ่มเพาะความรู้สึกภูมิใจอันประเสริฐ อันเป็น ความรู้สึกแรงกล้าเมื่อเข้าสู่ประสบการณ์นิรมาณกาย อย่างเช่นที่ท่าน เป็นกายเรืองแสงตรัสรู้อย่างเต็มที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่จิตใจท่าน เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากความงมงายและข้อจำกัดทั้งปวง มิฉะนั้น หากท่านยังคงยึดติดกับความคิดที่ท่านสับสนและโกรธอย่างเป็นพื้นฐาน แล้ว ท่านจะปรากฏเป็นผู้ที่สับสนและความโกรธ ไม่ใช่เทวดาที่เต็มไป ด้วยความโกรธ ไม่ใช่เทวดาที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างแน่นอน ท่าน สามารถหยุดความคิดทำลายล้างเกี่ยวกับตัวเองเช่นนี้ และหลีกเลี่ยงผล เลวร้ายแห่งการพ่ายแพ้ตัวเองที่ตามมา โดยมุ่งไปที่ความเป็นหนึ่งอันเดียว ของสติสัมปชัญญะพื้นฐานของตัวท่านเองกับคุณสมบัติทางปัญญาและ เมตตาของคุรุเทวะ วิธีนี้ทำให้ท่านเปิดตัวเองสู่คลื่นยักษ์แห่งแรงบันดาล ใจ ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตท่านได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งท่านมุ่งอย่างหนักไปที่ ความรู้สึกแห่งความภูมิใจอันประเสริฐมากเท่าใด ท่านยิ่งมีประสบการณ์ เป็นอิสระจากรูปแบบทั้งปวงแห่งข้อจำกัดและความไม่พอใจลึกซึ้งเพียง นั้น
การฝึกอนุตรโยคะตันตระก็เหมือนคริสต์มาสพุดดิ้งที่เข้มข้นชั้นเยี่ยม มี ประโยชน์และอร่อยมาก ควรมีรสชาติพิเศษสามอย่างคือ หนึ่ง รูปลักษณ์ ของตนเองและสรรพสิ่งทั้งปวงควรเป็นรูปลักษณ์ของเทวดา สอง จิตใจ ของเราไม่ควรแยกออกจากปัญญาไม่เป็นสอง และ สาม ทุกประการณ์ ควรมีความสุขและรื่นรมย์มหาศาล
อย่างเพียงแต่สมมติตนเป็นเทวดา เช่น เหรุกะ เป็นต้น อย่างที่ข้าพเจ้า กล่าวไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่เมื่อท่านสร้างมโนภาพตัวเอง เป็นเทวดา กลับเป็นว่า ท่านควรรู้สึกจากส่วนลึกในตัวเองว่าท่านเป็น เหรุกะ ว่าท่านและพระองค์คือสิ่งเดียวกัน ไม่อาจแยกได้ ยิ่งท่านบ่มเพาะ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้มากขึ้นเท่าใด ประสบการณ์การแปรเปลี่ยน ของท่านก็ยิ่งทรงพลานุภาพยิ่งขึ้นเท่านั้น นี่เป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์
ท่านควรฝึกที่จะคิดว่ารูปลักษณ์ทั้งปวงเป็นสิ่งลวง ปราศจากความหนัก แน่นดั่งสิ่งที่อยู่ " ข้างนอก " แยกจากใจของท่าน อีกนัยหนึ่ง ท่านควร ยอมรับว่ารูปลักษณ์ทั้งปวงเกิดจากความว่างเปล่าจากคุณสมบัติที่แท้แห่ง ความว่างเปล่า แห่งความไม่สอง ในที่สุด ประสบการณ์รูปลักษณ์ลวง อันว่างเปล่าของท่านควรเป็นของคุณสมบัติแห่งความสุขอย่างยิ่ง นี่เป็น ความสำเร็จในระหว่างขั้นตอนความสมบูรณ์แห่งอนุตรโยคะตันตระ ด้วยการนำความสนใจของท่านสู่ภายในในแบบที่ท่านจะตระหนักอย่าง ถึงพลังความสุขกุณฑาลินี ที่แผ่เข้าสู่ระบบประสาทของท่านทำให้ท่าน สามารถประสานประสบการณ์ทั้วงปวงกับพลังความสุขอันยิ่งใหญ่นี้
การฝึกฝนทางกายบางอย่างเป็นการช่วยเหลือกระบวนการแปรเปลี่ยน เช่น การฝึกที่มีอยู่ในหัตถโยคะ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติสภาวะ สมบูรณ์ แต่มันไม่ได้เป็นเพียงแค่การฝึกฝนที่ออกแบบเพื่อปรับปรุงท่าทาง หรือทำหือทำให้สุขภาพเราดีขึ้น จุดประสงค์สูงสุดของมันคือเพิ่มพลัง ความสุขกุณฑาลินี พลังความสุขนี้แผ่เข้าสู่ระบบประสาททั้งหมดของเรา แต่ปัญหาคือเราไม่รู้ ผ่านการปฏิบัติอย่างเหมาะสมของหัตถโยคะ ทำให้ เราสามารถเรียนรู้ที่จะสัมผัสพลังความสุขนี้ และเรียนรู้วิธีที่จะติดต่อกับ มัน ทำให้เราสามารถเรียนรู้ที่จะสัมผัสและยิ่งเพิ่มพลังความสุขนี้ และ เรียนรู้วิธีที่จะติดต่อกับมัน ทำให้เราสามารถนำมันไปที่ที่เราต้องการ นี้ไม่ ใช่จุดประสงค์เพื่อให้ได้ความสุขธรรมดา แต่เพื่อที่จะควบคุมร่างกายและ จิตใจในระดับที่ละเอียดอ่อนที่สุด
อย่างไรก็ดี เมื่อทำการฝึกในเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือการรักษาความเอาใจใส่ ว่าตนเองเป็นเทวดา เราต้องเอาภาพจำกัดของตนเองและความคิดสงสาร ตนเองทั้งปวงไปเก็บ เพียงเมื่อนั้น การฝึกฝนเหล่านี้จึงจะมีประสิทธิภาพ จริง ผ่านการปฏิบัติที่เหมาะสมแล้ว จะมีเวลาที่เพียงการสัมผัสส่วนของ ร่างกายจะก่อให้เกิดความสุขมหาศาลขึ้น เมื่อร่างกายเริ่มรู้สึกเบาและอ่อน ขึ้น พลังทางกายที่เคยเป็นแหล่งความเจ็บปวดเริ่มที่จะกระตุ้นความรู้สึก แห่งความเป็นสุขเหลือล้น การแปรเปลี่ยนทางตันตระจึงไม่ได้เป็นเพียง เรื่องของจินตาการ ร่างกายของเราก็แปรเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้งด้วย
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version