เกิดมาทำไม?
พุทธทาสภิกขุ
ตอนที่ ๑ : เกิดมาเพื่อเดินทาง
(แสดง ณ โรงธรรม วัดธารน้ำไหล ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๘)
ข้อแรกสุด จะต้องระลึกให้กว้างกันไปสักหน่อยว่าคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป มีปัญหาอยู่ในใจว่า เกิดมาทำไม จริงหรือเปล่า
เกิดมาทำไม?
ปัญหาข้อนี้ถือกันว่าทุกคนสนใจและสงสัย แม้กระนั้นก็อาจจะมีบางคนมีเล่ห์เหลี่ยมที่จะเยาะเย้ยว่า ก็พระพุทธศาสนาสอนถึงความไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา คือไม่มีใครเกิดดังนี้ แล้วเหตุใดจึงมีปัญหาว่าเกิดมาทำไมด้วยเล่า ถ้าผู้ใดถามซักไปในทำนองนั้น เราจะต้องถือว่าเขาอาศัยหลักของพระพุทธศาสนาชั้นสูงสุด คือ ขั้นที่ว่าด้วยความหลุดพ้น มาพูดกับคนธรรมดาสามัญที่ยังไม่มีความหลุดพ้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ตรง คือ ไม่ถูกฝาถูกตัว เพราะว่าตามธรรมดาของคนที่ยังไม่รู้ธรรมะ ถึงที่สุดแล้วจะต้องมีความรู้สึกว่าตนกำลังเกิดอยู่ และตนมีปัญหามากมายที่จะต้องทำ กระทั่งไม่รู้ว่าเกิดมานี้เพื่ออะไรกัน
โดยทั่ว ๆ ไป ผู้ที่เป็นอรหันต์ ถึงที่สุดแห่งธรรมในพระพุทธศาสนาแล้วเท่านั้น ที่จะรู้สึกว่ามิได้มีการเกิดอยู่ในบัดนี้ ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตนของใครที่เกิดอยู่ในบัดนี้ ดังนั้น ปัญหาที่ว่าเกิดมาทำไม จึงไม่มีแก่พระอรหันต์ แต่สำหรับบุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ แม้ที่ยังเป็นพระอริยเจ้าในขั้นต้น ๆ เช่น พระโสดาบันก็ดี ก็ยังมีความรู้สึกว่ามีตัวตนของตนและตนกำลังเกิดอยู่ทั้งนั้น จึงจัดได้ว่าเป็นผู้ที่ล้วนแต่มีปัญหาอยู่ในใจว่า เกิดมาทำไม ด้วยกันทุกคน โดยเหตุนี้ขอให้สรุปใจความของปัญหานี้สั้น ๆ ว่า เกิดมาทำไม และเป็นปัญหาของคนทั่วไปที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์
เราจะพิจารณากันดูถึงความรู้สึกที่เกิดอยู่เองในใจของคนซึ่งต่างคนก็มักจะมีความคิดเป็นของเขาด้วยกันทั้งนั้นว่า เขาเกิดมาทำไม
นานาทัศนะในเรื่องเกิดมาทำไม ถ้าจะถามเด็ก ๆ ดู ก็จะตอบว่าเกิดมาเพื่อเล่นกันให้สนุกสนานทีเดียว ถ้าจะถามคนหนุ่มสาวก็คงจะตอบว่า เกิดมาเพื่อความสวยความงาม ความรื่นเริงบันเทิงกันในระหว่างเพศ ถ้าจะถามคนที่สูงอายุขึ้นไปในวัยเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ก็คงจะตอบกันเป็นเล่นมากว่า เกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้กินต่อแก่เฒ่าและให้ลูกหลานดังนี้เรื่อย ๆ ไปด้วยกันทั้งนั้น ครั้นอยู่ไปจนถึงชราแก่หง่อม เมื่อถามดูว่าเกิดมาทำไม คงจะงง และคงจะคิดว่า เกิดมาเพื่อตายไปสำหรับจะเกิดใหม่ต่อ ๆ ไปมากกว่าอย่างอื่น ข้อนี้น้อยคนที่จะคิดว่าเกิดมาแล้วก็สิ้นสุดกันเพียงตาย เพราะว่าได้ถูกอบรมสั่งสอนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกถึงเรื่องโลกอื่นถึงชาติอื่นหลังจากตายแล้ว จนฝังอยู่ในจิตใจด้วยกันแทบทั้งนั้น สำหรับผู้ที่มีวัฒนธรรมที่รับมาจากอินเดีย ไม่ว่าจะนับถือพุทธศาสนาหรือศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาอื่น ๆ ส่วนมาก มีความเชื่อไปในทางตายแล้วเกิดใหม่ คนแก่ ๆ คนชราหมดปัญญาที่จะนึกคิดอะไรแล้วก็คงจะตอบว่าเกิดมาเพื่อตาย แล้วไปเกิดใหม่ดังนี้ นี้หลักใหญ่ ๆ ทั่ว ๆ ไปก็ตอบได้แค่นี้
ถ้าจะพิจารณาดูกันอีกทางหนึ่งในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยและบางคนก็คงจะตอบว่าเกิดมาเพื่อกิน เพราะมักมากในการกิน และบางคนก็คงจะตอบว่าเกิดมาเพื่อกินเหล้า เพราะว่าเป็นทาสของเหล้าอยู่ตลอดเวลา ไม่บูชาอะไรยิงไปกว่าเหล้า ดังนี้ก็มี บางคนเกิดมาเล่นไพ่ จนถึงกับมีคำกล่าวว่า ยอมหย่าผัวไม่ยอมหย่าไพ่ ดังนี้ก็มี บางคนยังหลงใหลในสิ่งอื่น ๆ ในอบายมุขอื่น ๆ แม้กระทั่งของเล่น จนเห็นว่าเป็นสิ่งที่สูงสุด ในสิ่งที่เขาควรจะได้อย่างนี้ก็มี โดยทั่ว ๆ ไป คนที่เรียกว่าได้รับการศึกษาดีนั้น มักจะนิยมหลงใหลในเรื่องเกียรติ คือ อยากจะมีเกียรติว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ให้สูงสุดขึ้นไป เพราะเกิดมาเพื่อจะสร้างเกียรติ
เท่าที่กล่าวมานี้ พอจะสรุปได้ว่า เกิดมาเพื่อกิน เกิดมาเพื่อกาม เกิดมาเพื่อเกียรติ
พวกที่ ๑ คือ เกิดมาเพื่อกิน เรื่องกินนั้นเป็นของจำเป็น ครั้งไปติดในรสของอาหารเข้าก็หลงใหลในเรื่องการกิน ดูคนสมัยนี้สนใจในเรื่องการกินกันมากยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที ตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็ดี หรือเครื่องมือสื่อมวลชนอย่างอื่นก็ดี มีโฆษณาเรื่องกินอย่างมีศิลปะกันยิ่งขึ้นจนเป็นที่เชื่อได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยหลงใหลบูชาในเรื่องการกิน เกิดมานี้เพื่อกิน นี้เป็นพวกที่ ๑
พวกที่ ๒ เกิดมาเพื่อกาม ที่เรียกว่าเรื่องกามนั้น หมายถึง ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทุกชนิด เพราะว่าเมื่อเสร็จจากเรื่องกินแล้ว คนก็หันมาเรื่องความสนุกสนานทางอายตนะเป็นส่วนใหญ่ นี้เรียกว่าเป็นเรื่องกาม กลายเป็นคนที่ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งเหล่านี้ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นทางด้วยกันทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่อบายมุขต่าง ๆ ที่กล่าวนามมาแล้วนั้นก็รวมอยู่ในเรื่องกาม คือ ความรู้สึกเอร็ดอร่อยทางจิตใจ ซึ่งเป็นอายตนะที่ ๖ เป็นเรื่องหลงใหลได้ถึงที่สุดด้วยกันทุกอย่าง นี้เรียกว่าคนเหล่านี้เกิดมาเพื่อสิ่งที่เรียกว่ากาม คือ วัตถุอันเป็นที่ตั้งของความใคร่ อันอาศัยอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องมือ นี้เป็นพวกที่ ๒
พวกที่ ๓ เกิดมาเพื่อเกียรติ นี้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาให้บูชาเกียรติ แม้ชีวิตนี้ก็สละให้เพื่อเกียรติ ถ้าหนทางที่ตนถือเอาสำหรับแสวงเกียรตินั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ตนรวมกันไป ก็ยังนับว่าเป็นประโยชน์อยู่มาก ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการติเตียนตามวิสัยชาวโลกทั่ว ๆ ไป แต่ในทางธรรมะนั้น ถ้าหลงใหลถึงขนาดตกเป็นทาสของสิ่งที่เรียกว่าเกียรติแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเวทนาสงสาร คือ ยังไม่ดับทุกข์นั่นเอง เพราะฉะนั้น เรื่องกินก็ดี เรื่องกามก็ดี เรื่องเกียรติก็ดี จึงมีไว้สำหรับเป็นเครื่องหลงใหลอย่างยิ่งได้ด้วยกันทุกอย่าง
อย่างที่เราจะได้ยินได้ฟังอยู่มากกว่าอย่างอื่นในหมู่คนที่ยากจนว่าจำเป็นที่จะต้องประกอบอาชีพเพื่อได้วัตถุมาเลี้ยงชีวิต แต่แล้วก็ดูเหมือนว่า ไม่ได้คิดว่ามีสิ่งอื่นซึ่งสำคัญหรือจำเป็นยิ่งกว่าเรื่องทำมาหากิน จึงถือเอาเรื่องทำมาหากินเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของตน จนกลายเป็นว่าเกิดมาก็เพื่อทำมาหากิน ทำไร่ ทำนา ค้าขาย หรืออะไรก็แล้วแต่ถนัด ทำอย่างนี้เรื่อยจนเน่าเข้าโลงไปทีเดียว ก็ยังไม่มีจุดที่ถือได้ว่าเพียงพอ นี้เรียกว่าเกิดมาเพื่อทำมาหากินแท้ ๆ ไม่เคยนึกว่ามีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่า เพราะเหตุว่าคนเหล่านั้นไม่ได้นั่งใกล้พระอริยเจ้า ไม่ได้ฟังธรรมของพระอริยเจ้า คงนั่งใกล้แต่เพื่อนปุถุชนด้วยกัน เขาถือว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ถึงที่สุดเพียงแค่นั้น
แต่ที่แท้แล้วมันจะเป็นการถูกต้องเพียงครึ่งเดียวหรือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป เพราะว่าคนเรานั้นมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายในการเกิดมา มากไปกว่าที่จะเกิดมาเพียงเพื่อทำมาหากิน นี่แหละคือข้อที่ทุกคนจะต้องสนใจศึกษากันให้เป็นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ข้อที่ทุกคนจะต้องสนใจศึกษากันให้เป็นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าการเกิดมา เพื่อทำมาหากินให้มีชีวิตอยู่นี้อยู่ไปทำไมกัน ต่อเมื่อมีความเข้าใจอันถูกต้องว่าชีวิตนี้จะอยู่เพื่ออะไร ในที่สุดแล้วจึงจะรู้ว่าการทำมาหากินนี้เป็นเพียงเรื่องที่สองรองลงมาจาก เรื่องทีใหญ่ที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ว่า เกิดมาเพื่ออะไรนั่นเอง
เราทำมาหากินนี้สำหรับจะได้เลี้ยงชีวิต เพื่อมีชีวิตอยู่ แล้วจะได้ทำสิ่งอื่นที่ดีกว่านี้ หรือว่าการทำมาหากินนี้สำหรับจะได้สะสมทรัพย์สมบัติไม่มีขอบเขต เท่าที่เห็นกันอยู่โดยมากเป็นไปในทำนองมาหากินเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติอย่างไม่มีขอบเขต ไม่ได้ทำมาหากินเท่าที่จำเป็นจะต้องทำ เช่น ทำเพียงเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ผาสุก ไม่มีความยากลำบากให้มีการก้าวหน้าไปตามทางของคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป คนโดยมากเฝ้าสะสมทรัพย์เท่าไรไม่พอไม่มีขอบเขตจนกระทั่งตัวเองก็บอกไม่ได้ว่าจะเอาไปทำอะไร อย่างนี้ก็มีอยู่มากมายในโลกนี้ การกระทำอย่างนี้ของบุคคลประเภทนี้ ตามทางศาสนาถือว่าเป็นการทำบาปอยู่ในตัวโดยตรงบ้าง โดยปริยายบ้าง
ศาสนาคริสเตียนถือว่าการแสวงหาทรัพย์เกินกว่าจำเป็นนั้นเป็นบาปโดยตรง ในศาสนาอื่นก็มีว่าอย่างนั้น ในศาสนาพุทธเรานี้ก็มีหลักการในทำนองนั้น คือ ว่าผู้ที่มัวคอยสะสมทรัพย์สมบัติไม่มีขอบเขตนั้น มีความหลง ความโง่ ความเขลา อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ขึ้นชื่อว่าความหลงแล้วก็เป็นบาปอยู่ในตัว แม้ไม่ใช่บาปอย่างฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขาก็ยังเป็นบาปชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังนั้นควรยุติกันเสียสักทีว่า คนเราไม่ควรจะเกิดมาเพื่อการสะสมทรัพย์สมบัติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนเราไม่ควรจะเกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ควรจะนึกถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งซึ่งดีกว่านั้นหมายความว่า เราสะสมทรัพย์ ก็เพื่อซื้อความสะดวกแก่การเป็นอยู่ในทุกประการ แล้วก็แสวงหาสิ่งอื่นที่ดีไปกว่าทรัพย์ให้ได้ สิ่งนั้นได้แก่อะไร ก็ควรจะได้คิดดูเอาเองตามใจชอบไปพลางก่อน