อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > ท่านพุทธทาสภิกขุ

ฟ้าสางทางมรดกที่ขอฝากไว้

<< < (4/5) > >>

ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ:
มรดกที่ ๖๒

ธรรมะมีไว้ช่วยให้อยู่ในโลกอย่างชนะโลก หรือเหนือโลก
มิใช่ให้หนีโลก แต่อยู่เหนืออิทธิพลใด ๆ ของโลก ไม่ใช่จมอยู่ในโลก.
มักสอนให้เข้าใจกันผิด ๆ ว่า ต้องหนีโลก ทิ้งโลก สละโลก
อย่างที่ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใครเลย.

 
มรดกที่ ๖๓

ธรรมะเป็นสิ่งที่อธิบายยากเพราะคำพูดของมนุษย์มีไม่พอ
คือไม่มีคำสำหรับใช้กับสิ่งที่มนุษย์ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน;
ดังนั้น จึงต้องพยายามพูดและพยายามฟัง จนเข้าใจหรือรู้จัก
โดยความหมาย ทั้งในภาษาคนและภาษาธรรม พร้อมกันไป.

 
มรดกที่ ๖๔

ธรรมะมิใช่ตัวหนังสือหรือเสียงแห่งการแสดงธรรม แต่เป็นการกระทำหน้าที่ที่ถูกต้อง
ของผู้ปฏิบัติแต่ละคน อยู่ทุกอิริยาบท–ทุกเวลา–ทุกสถานที่
อย่างถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกัน,
จึงจะเป็นธรรมะที่ถูกต้องตามหลักแห่งพุทธศาสนา
อันนำมาซึ่งความสงบสุขได้จริง.

 
มรดกที่ ๖๕

ศีลธรรมกลับมา เพื่อโลกาสงบเย็น,
ปรมัตถธรรมกลับมา เพื่อโลกาสว่างไสว
ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ,
ถ้าปรมัตถธรรมไม่กลับมา โลกาจะมืดมนท์;
ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันทำให้กลับมา
ในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีสำหรับโลก.



:13:  ..สาธุ สาธุ!!~ .. อนุโมทนา+ขอบคุณมากมายค่ะ พี่แป๋มจ๋า ..^^

होशདངພວན2017:


:07: :07: :07:
:07:คลิ๊กที่่ spoiler :07:
[spoiler]http://video.th.msn.com/watch/video/sleeping-puppy-dreaming/1jkggygtd?from=th-th&fg=dest[/spoiler]

ฐิตา:
มรดกที่  ๑๒๑

การจัดพระไตรปิฎกเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด ให้เหมาะสมสำหรับยุคปรมาณูโดยเฉพาะ
คือชักออก ๓๐% สำหรับนักศึกษาปัญญาชน,
ชักออกอีก ๓๐% สำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีตัวยง;ที่เหลืออยู่ ๔๐% เป็นเรื่องดับทุกข์โดยตรง
ก็ยังมากกว่าคัมภีร์ในศาสนาอื่น ๆ อีกมากมายหลายเท่า.
ทั้งหมดนี้มิได้เป็นการจ้วงจาบพระไตรปิฎก
แต่เป็นการปรับให้เหมาะสม สำหรับยุค.

 
มรดกที่ ๑๒๒

เรียนชีวิตจากชีวิต ดีกว่าเรียนจากพระไตรปิฎก
ซึ่งบอกเพียงวิธีเรียนชีวิตได้อย่างไร แล้วนำไปเรียนที่ตัวชีวิตเอง
เมื่อยังไม่ตายและมีเรื่องดับทุกข์โดยเฉพาะ ให้เรียนอย่างเพียงพอ;
นี้คือการเรียนความทุกข์จากความทุกข์
และพบความดับทุกข์ที่ตัวความทุกข์นั่นเอง.

 
มรดกที่ ๑๒๓

การเตรียมพระไตรปิฎกเพื่อเสนอแก่โลกยุคปรมาณูอันสูงสุด
นั้นต้องเป็นคนกล้าและบริสุทธิ์ใจ
พอที่จะใช้หลักกาลามสูตร เป็นเครื่องคัดเลือกและจัดสรร
ให้เหลืออยู่แต่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
แล้วจึงหยิบยื่นให้ไป จึงจะสำเร็จประโยชน์.


มรดกที่ ๑๒๔

นิพพานแท้ ที่เป็นสันทิฏฐิโก
คือความเย็นแห่งชีวิต ที่เย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้
อยู่ตลอดเวลาเพราะกิเลสไม่เกิดขึ้น และไม่มีอุปาทานว่าตัวตน
สำหรับรับผลกรรมใด ๆ ทั้งดีและชั่ว;
นี่แหละคือข้อที่นิพพานแท้
นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความตาย.

 
มรดกที่ ๑๒๕

ยิ่งเจริญคือยิ่งบ้า ตามประสาวัตถุนิยมชักนำไป แล้วเข้าใจว่ายิ่งเจริญ;
นั่นคือการวิ่งฝ่าเข้าไปในดงแห่งปัญหาอันยุ่งยาก
อันมนุษย์สร้างขึ้นมาเอง โดยไม่รู้ความหมายแห่งความเป็นมนุษย์.

 
มรดกที่ ๑๒๖

การอยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาติ
นั้นให้ความสะดวกในการเข้าถึงสัจจธรรมของธรรมชาติ
อันจะทำให้หมดปัญหาทุกประการ ที่เกิดมาจากธรรมชาติ
เพราะสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้โดยแท้จริง.

 
มรดกที่ ๑๒๗

บุถุชน คือคนที่ยังไม่รู้จักสิ่งที่ควรรู้จัก
แม้จะตำตาอยู่เสมอ คือไม่รู้จักนิวรณ์ทั้งห้า
อันได้แก่ความครุ่นในกาม–พยาบาท–หดหู่–ฟุ้งซ่าน–ลังเลในชีวิต
ว่าเป็นสิ่งทำลายความสงบสุข
หรือไม่รู้ว่า ความโลภ–โกรธ–หลง
นั้นเป็นสิ่งนำมาซึ่งทุกข์, แล้วก็ไม่กลัว;
จึงได้ชื่อว่าบุถุชน คือคนมีความหนา แห่งไฝฝ้าในดวงตา.

 
มรดกที่ ๑๒๘

ธรรมะสำหรับคนเกลียดวัด
ที่บูชาอบายมุข ทรมานอยู่ด้วยโรคประสาท เพราะบูชาเงิน จะได้สำนึกตัวเสียบ้าง
ก็คือความรู้ในข้อที่ว่า เราไม่ได้เกิดมาสำหรับเป็นทาสกิเลส
หรือเป็นทาสตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางเนื้อหนัง
แล้วจมปลักอยู่ในกองทุกข์ในโลกนี้ เพราะความเป็นทาสนั่นเอง.
 

มรดกที่ ๑๒๙

ศีลห้า ที่มีความหมายอันสมบูรณ์
นั้นสรุปลงได้ในคำว่า "ความไม่ประทุษร้าย ๕ ประการ"
คือ ไม่ประทุษร้ายชีวิต
–ไม่ประทุษร้ายทรัพย์
–ไม่ประทุษร้ายของรัก
–ไม่ประทุษร้ายความป็นธรรมของผู้อื่น
–ไม่ประทุษร้ายสติสัมปฤดีของตนเอง.
อย่างนี้แล้วไม่มีช่องว่างสำหรับจะบิดพริ้วหลีกเลี่ยง
หรือแก้ตัวแต่ประการใด.

 
มรดกที่ ๑๓๐

โดยปรมัตถ์แล้ว : ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครตาย
มีแต่กระแสแห่งสังขารการปรุงแต่งตามกฏอิทัปปัจจยตา ของธาตุตามธรรมชาติ.
เมื่อไม่มีใครตาย แล้วจะมีใครไปเกิด
ดังนั้น ตามหลักพุทธศาสนา จึงไม่มีวิญญาณนี้ หรือวิญญาณไหนสำหรับไปเกิดใหม่,
เว้นเสียแต่จะพูดโดยภาษาคนของมนุษย์ในสมัยที่ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้
แล้วก็พูดตาม ๆ กันมา.

ฐิตา:
มรดกที่  ๑๓๑

ขอย้ำอีกว่า สิ่งที่เรียกว่า "ตัวตน" เป็นเพียงความรู้สึก ที่เพิ่งเกิดปรุงขึ้นมา
เมื่อมีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยอำนาจของอวิชชา เกิดขึ้นมาในใจเท่านั้น.
เมื่อเป็นเพียงความรู้สึก ที่เป็นปฏิกิริยาของความอยากเช่นนี้
จึงเป็นสิ่งที่เป็นของลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีตัวจริงอะไรที่ไหน;
แต่ถึงกระนั้น ก็มีอำนาจมากพอ ที่ทำให้เกิดกิเลสสืบต่อไป และเป็นความทุกข์ได้.

 
มรดกที่ ๑๓๒

นรกที่แท้จริง คือความรู้สึกอิดหนาระอาใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองไม่ลง ตรงกันข้ามจากสวรรค์ คือความรู้สึกพอใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้อย่างชื่นใจที่นี่และเดี๋ยวนี้. นรกและสวรรค์อย่างอื่น ๆ จะมีอีกกี่ชนิด ก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับนรกและสวรรค์ ๒ ชนิดนี้ทั้งนั้น.

 
มรดกที่ ๑๓๓

การเห็นตถตา หรือ "ความเป็นเช่นนั้นเอง" ของสิ่งทุกสิ่ง
นั้นคือญาณทัสสนะอันสูงสุดของพระอริยเจ้า
สามารถห้ามเสียซึ่งความประหลาดใจในสิ่งใด ๆ
ห้ามความรัก–โกรธเกลียด–กลัว–วิตกกังวล–อาลัยอาวรณ์–อิจฉาริษยา–หึง–หวง–ลังเล–ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
อันเป็นสมบัติของบุถุชนเสียได้โดยเด็ดขาด.

 
มรดกที่ ๑๓๔

การที่จะเกิดสุขหรือทุกข์ ทำผิดหรือทำถูก
นั้นขึ้นอยู่กับการสัมผัสอารมณ์ที่มากระทบ
ว่าสัมผัสมันด้วยวิชชาหรืออวิชชา, คือมีสติสัมปชัญญะหรือไม่.
ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ก็ควบคุมการปรุงแต่งของจิตไว้ได้
ในลักษณะที่ไม่เกิดกิเลสและความทุกข์;
ถ้าปราศจากสติสัมปชัญญะ ก็ตรงกันข้าม.

 
มรดกที่ ๑๓๕

ของจริง เห็นด้วยใจของพระอริยเจ้า, ของเท็จ เห็นด้วยตาของบุถุชน
ดังนั้นจึงต่างกันมาก : ต่างฝ่ายต่างเชื่อตามความรู้สึกของตน ๆ และได้ผลตรง
ตามสถานภาพแห่งจิตของตนๆ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย.

 
มรดกที่ ๑๓๖

หลักตัดสินว่า ผิด–ถูก ชั่ว–ดี ในพุทธศาสนา
ไม่ยุ่งยากลำบาก เหมือนของพวกปรัชญาชนิด Philosophy หรือพวกตรรกวิทยา Logics
คือถ้ามีผลไม่เป็นที่เสียหายแก่ใคร และเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ก็ถือว่าถูกหรือดี.
ถ้าตรงกันข้าม ก็ถือว่าผิดหรือชั่ว, ไม่ต้องอ้างเหตุผลอย่างอื่น ให้ลำบาก.

 
มรดกที่ ๑๓๗

อย่าทำอะไรด้วยความหวัง หรือด้วยความยึดมั่นถือมั่น
แต่ทำด้วยสติปัญญา หรือสมาทานด้วยสติปัญญา,
มิใช่ด้วยอุปาทาน อันมีความหมายแห่งการทำเพื่อตัวกู.
การทำด้วยสติปัญญานั้น เป็นการทำเพื่อธรรมอย่างที่เรียกว่า ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่,
มิใช่ทำเพื่อตน แต่ทำเพื่อคนทั้งโลก หรือทุกโลก.

 
มรดกที่ ๑๓๘

ลัทธิที่สอนว่ามีตัวตน ย่อมนำไปสู่ความเห็นแก่ตน ระดับใดระดับหนึ่งเสมอไป
จึงดับทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่ได้ เพราะเป็นกิเลสหรือมีกิเลสอยู่ในความเห็นแก่ตัวนั่นเอง.
ต้องเห็นแก่ธรรมคือหน้าที่ที่ถูกต้องสำหรับการดับทุกข์, โดยหมดตนจึงจะหมดทุกข์.

 
มรดกที่ ๑๓๙

ความไม่ยึดมั่นอะไรว่าเป็นตัวตนของตน
ยังมีแต่สิ่งที่กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
นั้นไม่เกี่ยวกับลัทธิอะไร ๆ ที่ถือว่าตายแล้วสูญ หรือว่าไม่มีอะไรเสียเลย.
มันต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับดิน,
ขอให้พยายามเข้าใจอย่างถูกต้องเถิด
จะเข้าถึงหัวใจของพทธศาสนาที่ว่า
ทุกอย่างมิใช่ตัวตน นั้นอย่างถูกต้อง.

 
มรดกที่ ๑๔๐

ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่กลับทำให้เงินเหลือ
: ความสุขที่หลอกลวง ยิ่งต้องใช้เงิน จนเงินไม่พอใช้.
ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการทำงานด้วยความพอใจ
จนเกิดความสุขเมื่อกำลังทำงาน จึงไม่ต้องการความสุขชนิดไหนอีก,
เงินที่เป็นผลของงาน จึงยังเหลืออยู่,
ส่วนความสุขที่หลอกลวงนั้น คนทำความพอใจให้แก่กิเลส ซึ่งไม่รู้จักอิ่มจักพอ เงินจึงไม่มีเหลือ.

ฐิตา:
มรดกที่  ๑๔๑

ขอให้ตั้งต้นการศึกษาธรรมะด้วยการรุ้จักนิวรณ์ และภาวะที่ไม่มีนิวรณ์
อันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ด้วยกันทุกวันและทุกคน.
นี้จะเป็นการง่ายเข้า ในการที่จะรู้จักกิเลสอย่างชัดเจน
และปรารถนาชีวิตที่ไม่มีกิเลส หรือคุณค่าของพระนิพพาน ได้ง่ายเข้า.

 
มรดกที่ ๑๔๒

"ชีวิตใหม่" สำหรับผู้ถือศาสนาอะไรก็ได้
คือการทำหน้าที่ให้ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ของตน ๆ
ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เกิดจนตาย
ทั้งเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผ้อื่น.


มรดกที่ ๑๔๓

อนุปาทิเสสนิพพาน ไม่เกี่ยวกับความตาย
หากหมายถึงความดับเย็น ถึงระดับเย็นสนิท ของกิเลสและเบญจขันธ์
มีชีวิตอยู่เสวยรสแห่งความเย็นนั้น จนกว่าจะสิ้นชีวิต
เพราะหมดปัจจัยส่วนชีวิตหรือรูปนาม.
ถือเป็นหลักได้ว่า "นิพพานในพุทธศาสนา ในทุกความหมาย ไม่เกี่ยวกับความตาย".

 
มรดกที่ ๑๔๔

นิพพานเป็นของให้เปล่า โดยไม่ต้องเสียสตางค์
นั้นเป็นเพียงการเสียสละความยึดถือว่าตัวตนออกไปเสีย,
เป็นความสงบเย็นสูงสุดแห่งชีวิต ที่มีความเต็มสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ กันที่นี่และเดี๋ยวนี้.
แต่ก็ยังไม่เป็นที่สนใจในหมู่พุทธบริษัทเอง
ต้องการแต่ชนิดในอนาคตกาลนานไกล และต่อตายแล้ว
โดยยอมเสียสตางค์มาก ๆ เพื่อเตรียมสิ่งที่เป็นปัจจัยแก่นิพพาน.

 
มรดกที่ ๑๔๕

ขอยืนยันว่า นิพพานก็มิใช่ตัวตนของใคร หรือแม้แต่ของนิพพานเอง
แล้วจะมาเป็นสมบัติของใครได้;
เพียงแต่ทุกคนเปิดใจให้ถูกต้องเพื่อรับรัศมีเย็น
อันเกิดมาจากความไม่มีตัวตนของนิพาน จนตลอดชีวิตก็พอแล้ว
คือทำตนไม่ให้เป็นของใคร หรือแม้แต่ของตนเอง.

 
มรดกที่ ๑๔๖

ดับทุกข์ที่ทุกข์ ดับไฟที่ไฟ อย่าเอาไปไว้คนละแห่งคนละชาติ
คือทุกข์อยู่ในชาตินี้ แล้วจะดับทุกข์หรือนิพพาน ต่อชาติอื่น อีกหลายร้อยหลายพันชาติ
: จะดับไม่ได้ และมีแต่การละเมอเฟ้อฝัน.
จะต้องดับที่ตัวมัน และให้ทันแก่เวลา เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น
ก็มีสติสัมปชัญญะทันควัน จัดการกับผัสสะนั้นทันที
จนทุกข์ไม่อาจจะเกิดขึ้น หรือดับไป,
เดี๋ยวนี้มักจะเอาทุกข์กับดับทุกข์ ไว้คนละชาติ.


มรดกที่ ๑๔๗

ทั้งชั่วทั้งดี ล้วนแต่อัปรีย์ คือไม่น่ารัก
ล้วนแต่ทำให้วิ่งแจ้น ไปในความวนเวียน
ด้วยอำนาจการผลักดันของความชั่วและความดีนั้น.
มาแสวงหา และอยู่กับความสงบ ที่ไม่ชั่วไม่ดีกันดีกว่า, ไม่ต้องวิงให้วุ่นวาย;
ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ แล้วอยู่ด้วยความสงบเย็น.

 
มรดกที่ ๑๔๘

ปัญญาต้องมาก่อนทุกสิ่งที่จะปฏิบัติ นี้คือหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง
เหมือนอริยมรรคมีองค์แปดที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ;
มิฉะนั้นการปฏิบัติจะเข้ารกเข้าพง พลาดวัตถุประสงค์ไปเสียหมดสิ้น
นับตั้งแต่สรณาคมน์ และศีล ดังที่กำลังมีอยู่ในที่ทั่วไป.
 

มรดกที่ ๑๔๙

สวดปัจจเวกขณ์กันเพียงครึ่งท่อน ของความจริงทั้งหมด
ว่าเรามีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ไม่อาจพ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้;
แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า
"ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ทั้งหลายจะพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย"
และตรัสระบุการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดว่าเป็การมีพระองค์เป็นกัลยาณมิตร.
เรามีแต่การสวดบทที่หลอนตัวเอง ให้กลัวความเกิดแก่เจ็บตายอย่างเปล่า ๆ ปลี้ ๆ,
นี้เป็นความเหลวไหลของสาวกเอง ในการรับถือพุทธศาสนา.

 
มรดกที่ ๑๕๐

จิตว่างแท้จริงทางธรรมะ ต่างจากจิตว่างของอันธพาล
ซึ่งไม่รู้จักจิตว่างที่แท้จริง แล้วกล่าวหาว่า จิตว่างไม่ทำอะไร ไม่รับผิดชอบอะไร;
ทั้งที่จิตว่างแท้จริงนั้น ทำหน้าที่ทุกอย่าง ได้อย่างฉลาดเฉลียว ถูกต้องและไม่เห็นแก่ตัว.
จงรู้จักจิตว่างกันเสียใหม่เถิด.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version