บล็อก > บทความ (Blog)

ปรัชญาชีวิต

(1/3) > >>

lek:
คาลิล ยิบราน
KHALIL GIBRAN



                คาลิล ยิบราน เกิดที่ Bechari ประเทศเลบานอน ในปี ค.ศ.๑๘๘๓ ตายที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ เป็นกวี นักเขียน และศิลปินที่ได้รับสมญานามว่า "วิลเลียมเบลคแห่งศตวรรษที่ ๒๐" บิดามารดาของยิบรานเป็นผู้มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี ตระกูลทางมารดาได้ชื่อว่าเก่งดนตรีที่สุดในหมู่บ้าน ยิบรานได้แสดงฝีมือทางวาดเขียน ก่อสร้าง ปั้น และแต่เรียงความมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุ ๘ ปีก็สนใจและเข้าใจซาบซึ้งในงานของไมเคิล แอนเยลโลและเลโอนารโดดารวินชิ ในปี ๑๘๙๕ ครอบครัวของเขาได้เดินทางไปตั้งรกรากยังสหรัฐอเมริกา แต่เมื่ออายุได้สิบสี่ปีครึ่ง ยิบรานก็เดินทางกลับมายังเลบานอนและเข้าเรียนในสถานศึกษาภาษาอาหรับของซีเรีย ต่อมาเขาได้เดินทางไปศึกษาศิลปะกับโรแดง ( Rodin) ปฏิมากรชาวฝรั่งเศสที่ Ecole des Beaux Arts ในกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ยิบรานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและพำนักอยู่ในกรุงนิวยอร์ค และที่นั่นเอง เขาก็ได้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมนักเขียนชาวอาหรับ (Arabic P.E.N. Club) และได้เป็นนายกของสมาคมด้วย
                งานประพันธ์ของยิบรานได้มีอิทธิพลจูงใจคนรุ่นหลังมาก ทั้งผู้ใช้ภาษาอาเรบิคในประเทศอาหรับและในอเมริกา ตลอดทั้งยุโรป เอเชีย ตั้งแต่ประเทศจีนถึงสเปน งานชิ้นแรกๆ ของยิบราน เป็นบทเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ งานเหล่านั้นแสดงทัศนะเห็นแจ้งในธรรมะ ความงดงามในท่วงทำนอง และแนวใหม่ที่จะเข้าแก้ปัญหาของชีวิต ยิบรานเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนของเขาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี งานชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ชิ้นที่ชื่อ "THE PROPHET" ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน งานชิ้นนี้ได้ถูกแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่าสิบสามภาษา อ่านกันแพร่หลายอย่างยิ่งทั่วโลก ยิบรานได้บรรจุหลักสัจธรรมไว้ด้วยสำนวนกวีอ่านง่ายแต่ไพเราะ เข้าถึงชนทุกชั้น นับเป็นทั้งบทกวี ปรัชญาและธรรมะ พร้อมกันไปในตัว บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมากได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้นนี้เป็นเสมือนประทีป นำแนวทางแห่งการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะสัจธรรมนั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด
                ข้าพเจ้าแปลงานชิ้นนี้เป็นภาษาไทย ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้คัดบางส่วนลงพิมพ์ในที่หลายแห่ง ต้นฉบับแปลสมบูรณ์หายไปในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗ - ๘ จึงได้แปลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตัวอัลมุสตาฟาในเรื่องตอบปัญหาหลักธรรมถึง ๒๖ หัวข้อด้วยกัน ล้วนบรรจุข้อปรัชญาอันลึกซึ้งและไพเราะด้วยลีลากวีไว้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าได้พยายามถ่ายทอดความไพเราะของต้นฉบับเดิมออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าท่านที่สนใจคงจะได้รับรสและความซาบซึ้งจากฉบับแปลนี้ตามสมควร

ระวี ภาวิไล
มีนาคม ๒๕๐๔


คำนำผู้แปล



               ข้าพเจ้ามีความยินดีที่สำนักพิมพ์ศึกษิตสยามดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือแปลสาธนา ปรัชญานิพนธ์ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร และ ปรัชญาชีวิตของ กวี คาลิล ยิบราน พร้อมกัน ๒ เล่ม หนังสือเล่มแรกนั้นข้าพเจ้าได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก แจกเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพมารดาของข้าพเจ้าเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๐๘ สำหรับงานของคาลิล ยิบรานนั้นสำนักพิมพ์บริการทองได้จัดพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ และในระยะหลังๆ นี้ได้มีผู้ปรารภต้องการได้ไว้เสมอๆ แม้ว่างานประพันธ์ทั้งสองจะแตกต่างด้วยพื้นเพวัฒนธรรมและขนบประเพณีของผู้รจนา เพราะเหตุด้วยชาติกำเนิด ผิวพรรณและภูมิศาสตร์ แต่เนื้อแท้ของงานทั้งสองนั้นก็กล่าวถึงเรื่องเดียวกันคือ ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับชีวิตและสังคม
              ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในงานแปลทั้งสองนี้ประการหนึ่งคือ เป็นงานที่ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่ายี่สิบปีด้วยความรัก อีกประการหนึ่งนั้น แม้กาลเวลาได้ผ่านมานานฉะนี้แล้ว เมื่อข้าพเจ้าย้อนมาอ่านทบทวนดูใหม่ ก็ยังไม่ได้พบว่าตนเองเติบโตเกินที่จะต้องการรับฟังความนึกคิดในบทประพันธ์ทั้งสองนี้ ในความนึกคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว บทประพันธ์ทั้งสองบรรจุข้อคิดและคำสอนมากมายที่มีคุณค่าแก่ชีวิต และไม่เปลี่ยนแปรไปตามยุคและสมัย ขอท่านผู้สนใจทั้งหลายได้โปรดพินิจพิเคราะห์ด้วยวิจารณญาณของตนเองเถิด.


ระวี ภาวิไล
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑




--------------------------------------------------------------------------------


ขอขอบพระคุณ คุณรไมยา
มิตรผู้ี่กรุณาเอื้อเฟื้อต้นฉบับ
พร้อมทั้งคีย์อักษร

lek:
การมาถึงแห่งนาวา

 


อัลมุสตาฟา ผู้บริสุทธิ์และเป็นที่รัก
ผู้เป็นเสมือนรุ่งอรุณในสมัยของท่าน
ได้อยู่ในเมืองออร์ฟาลีสเป็นเวลาสิบสองปี
เพื่อรอเรือซึ่งจะนำท่านกลับไปยังเกาะแห่งการเวียนเกิด

     ในปีที่สิบสอง วันที่เจ็ดของเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว
ท่านขึ้นไปบนภูเขานอกกำแพงเมือง
และมองออกไปในท้องทะเล
และก็เห็นเรือแล่นฝ่าหมอกเข้ามา
ทันใดทวารแห่งดวงใจของท่านก็เปิดออก
ความปิติชื่นชมโบยบินออกไปในสมุทร
ท่านหลับตาและสวดภาวนาในความเงียบสงัด
ขณะเมื่อท่านเดินลงจากภูเขา
ความเศร้าสลดได้บังเกิดขึ้นในใจและท่านคิดว่า
เราจะไปโดยความสงบและปราศจากความเศร้าโศกได้อย่างไร
ไม่ได้ เราจะจากเมืองนี้ไปโดยปราศจากความเจ็บปวดไม่ได้

วันอันเต็มไปด้วยทุกข์ทรมานซึ่งเราได้อยู่ในกำแพงเมืองนี้
ยืดยาวและคืนอันเปล่าเปลี่ยวก็เนิ่นนาน
ใครนะที่อาจจะจากความเจ็บปวด
แลความเปล่าเปลี่ยวของตนเองไปโดยไม่รู้สึกเสียใจได้
บนถนนเหล่านี้ เราได้มีสิ่งที่รักมาก
และลูกหลานแหงความเฝ้าคอยของเรา
ก็เดินเปลือยร่างอยู่ตามเนินเขานี้มากมาย
และเราก็ไม่อาจจากสิ่งเหล่านี้ไปได้โดยปราศจากความปวดร้าว
สิ่งที่เราจะสละวางลงวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแต่เครื่องนุ่งห่ม
แต่เป็นเนื้อหนังของเราแท้ ๆ ที่เราจะฉีกด้วยมือตนเอง
และสิ่งที่เราจะละไว้เบื้องหลัง ก็ไม่ใช่เพียงความคำนึง
แต่เป็นดวงใจที่งดงามด้วยความหิว และความกระหาย
แต่เราก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้
ห้วงสมุทรอันเรียกสรรพสิ่งเข้าสู่ตนได้เรียกร้องเราแล้ว
และเราก็ต้องลงเรือ เพราะการที่จะยับยั้งอยู่นั้น
ถึงแม้ว่าโมงยามจะลุกไหม้ในราตรี
เราก็จะเย็นตัวแข็งและถูกจำกัดในแบบพิมพ์
ที่จริงเราอยากจะนำสิ่งทั้งหมดนี้ไปด้วย
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า

เสียงพูดไม่อาจนำเอาลิ้นและริมฝีปากซึ่งให้ปีกแก่มันไปด้วยได้
มันจะต้องเคลื่อนไปในเวหาแต่เดียวดาย
และนกอินทรีบินผ่านดวงอาทิตย์ก็แต่ลำพังตนเองไม่ได้นำรังไปด้วย

บัดนี้ เมื่อท่านลงมาถึงเชิงเขา
ท่านก็หันหน้าออกไปทางทะเลอีก
และก็เห็นเรือกำลังเข้ามาในอ่าว
มีกะลาสียืนอยู่บนกราบ เป็นคนจากบ้านเกิดของท่าน
ดวงวิญญาณของท่านก็กู่เรียกเขาเหล่านี้ และท่านพูดว่า

   บุตรแห่งมารดาของเรา เธอผู้สัญจรไปกับคลื่น
บ่อยครั้ง เธอได้แล่นใบในความฝันของเรา
และบัดนี้เธอมาในตื่นซึ่งเป็นความฝันอันลึกกว่า
เราพร้อมที่จะไป และความเร่งร้อนของเราก็คอยกระแสลมอยู่
ขอให้เราได้หายใจในอากาศอันสงัดนี้อีกสักครั้ง
ขอเพียงแต่มองกลับไปข้างหลังอีกสักครั้ง
แล้วเราก็จะมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเธอ
ชาวทะเลในหมู่ชาวทะเล และห้วงสมุทรกว้าง
มารดาผู้มิรู้หลับผู้ซึ่งเป็นศานติและอิสรภาพของแม่น้ำและลำธาร
ขอลำธารนี้วกวนอีกสักครั้ง
ขอเพียงแต่ได้รำพึงในหมู่ไม้นี้อีกสักครั้ง
แล้วเราก็จะมาสู่ท่าน...
หยดน้ำ...สู่ห้วงสมุทรอันไร้เขต

ขณะที่ท่านเดินลงมา
ท่านก็เห็นชายและหญิงละมือจากท้องทุ่งและไร่องุ่นของเขา
และรีบมาที่กำแพงเมือง ท่านได้ยินเสียงเขาเหล่านั้นเรียกชื่อของท่าน
พร้อมกับตะโกนบอกกันถึงข่าวเรือของท่านมาถึง
แล้วท่านรำพึงว่า

วันแห่งการจากไป ควรจะเป็นวันเก็บเกี่ยวด้วยหรือไม่
และในอนาคตกาลนั้น ควรจะเป็นที่กล่าวกันหรือไม่ว่า
สันธยากาลแห่งเรานั้นแท้จริงก็เป็นรุ่งอรุณด้วย
เรามีอะไรสำหรับให้แก่ผู้ที่วางคันไถมา
หรือแก่ผู้ที่รีบหยุดล้อเครื่องบดองุ่น เพื่อมาหาเรา

ควรแล้วหรือมิใช่ที่ดวงใจเราจะเป็นประหนึ่งต้นไม้ผลดก
ซึ่งเราจะเก็บแจกจ่ายแก่เขาเหล่านั้น
และความปรารถนาของเราก็ควรที่จะไหลรินดังธารน้ำพุ
เพื่อว่าจะได้เติมถ้วยของเขาให้เต็ม
ควรแล้วหรือมิใช่ที่เราจะเป็นดังพิณ
เพื่อว่าพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าจะได้สัมผัส
หรือเป็นขลุ่ยซึ่งลมหายใจของพระองค์จะเป่าผ่าน
เรานี้เป็นผู้เสาะแสวงหาความสงัด
และสมบัติใดเล่าที่เราพบในความสงัดนั้น
อันเราจะให้แก่เขาได้ด้วยความมั่นใจ
ถ้าหากวันนี้เป็นวันเก็บเกี่ยวของเรา
ก็เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ในท้องทุ่งใด
และในฤดูกาลอันเลือนรางใดเล่า ถ้าหากบัดนี้
เป็นชั่วโมงที่เราจะชูประทีปขึ้น
เปลวประทีปนั้นจะไม่ใช่ของเรา
เราจะชูประทีปขึ้น ว่างเปล่าและมืด
แล้วผู้พิทักษ์ราตรีจะเติมเชื้อเพลิงและจุดมันขึ้นด้วย
ท่านรำพึงสิ่งเหล่านี้เป็นคำพูด
แต่ก็มีอีกมากมายในใจซึ่งไม่ได้พูด
เพราะว่าท่านเองไม่อาจกล่าวความนึกคิดอันล้ำลึกของตนได้

เมื่อท่านถึงในเมือง ฝูงชนก็มาหา
และร้องเรียกท่านเป็นเสียงเดียว
บรรดาผู้เฒ่าออกมาข้างหน้า
และพูดว่า โปรดอย่าเพิ่งด่วนจากเราไปเลย
ท่านได้เป็นเสมือนกาลเที่ยงในยามค่ำของเรา
และความหนุ่มของท่านได้ให้ความฝันแก่เราเพื่อจะฝัน
ท่านนี้ไม่ได้เป็นผู้แปลกหน้าของเรา
และก็ไม่ได้เป็นเพียงผู้เยี่ยมเยียน
แต่เป็นดังบุตรและเป็นที่รักยิ่งของเราแท้ ๆ
อย่าเพ่อให้ดวงตาของเราต้องเจ็บปวด
เพราะไม่ได้เห็นหน้าของท่านเลย

นักบวชทั้งชายและหญิงก็กล่าวแก่ท่านว่า
ขออย่าให้ระลอกคลื่นแยกเราจากกันเสียแต่บัดนี้เลย
ขออย่าเพ่อให้ขวบปีที่ท่านอยู่ในหมู่เรากลายเป็นแต่ความทรงจำ
ท่านได้เดินอยู่ในท่ามกลางเรา ดังดวงวิญญาณ
และเงาของท่านได้เป็นดังแสงสว่างบนใบหน้าของเรา
เรารักท่านมาก แต่ความรักของเราไร้คำพูด ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุม
แต่บัดนี้ มันร้องเรียกท่านแล้วด้วยเสียงอันดัง
และก็จะยืนเปิดเผยตนเองเฉพาะหน้าท่าน
และเป็นที่กล่าวกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า
ความรักไม่รู้ความล้ำลึกของตนเอง
จนกว่าจะถึงชั่วโมงของการจากพราก

คนอื่นก็เข้ามาร่วมอ้อนวอนท่านด้วย
และท่านไม่ตอบ ท่านเพียงแต่ก้มศีรษะ
และผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นน้ำตาของท่านร่วงลงสู่หน้าอก
แล้วท่านพร้อมฝูงชนก็พากันเดินไปยังจตุรัสใหญ่หน้าวิหาร
และก็มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ อัลมิตรา เดินออกมาจากวิหารนั้น
เธอเป็นผู้เห็นธรรม และท่านก็มองเธอด้วยความอ่อนโยนยิ่ง
เพราะว่าเธอเป็นคนแรกที่ได้พบและฟังคำกล่าวของท่าน
เมื่อครั้งที่ท่านมาถึงเมืองได้เพียงวันเดียว
และเธอก็แสดงคารวะต่อท่าน พร้อมกับพูดว่า

ท่านผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้า
ท่านผู้แสวงหาสิ่งสูงสุด
ท่านได้เฝ้ามองขอบฟ้ารอเรือของท่านเป็นเวลานาน
บัดนี้เรือของท่านมาถึงแล้ว และท่านจำต้องไป
ความใฝ่ฝันถึงดินแดนแห่งความทรงจำของท่านนั้นลึกซึ้งแนบแน่น
และความรักของเราก็ไม่อาจผูกพันท่านไว้ได้
หรือความปรารถนาของเราก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งท่านไว้ได้
แต่สิ่งนี้เราขอร้องก่อนที่ท่านจะจากไป
ขอท่านได้พูดแก่เรา และให้สัจธรรมแก่เรา
และเราก็จะได้ให้แก่ลูกหลานของเรา
และลูกหลานของเราก็จะได้ให้ถ่ายทอดต่อไป
และธรรมะนั้นก็จะไม่สูญ

   ในความโดดเดี่ยวของท่านนั้น
ท่านได้เฝ้ามองวันคืนของเรา
และในความตื่นของท่าน
ท่านก็ได้เฝ้าฟังเสียงสะอื้นและหัวเราะในความหลับของเรา
ดังนั้น ณ บัดนี้ ขอได้เปิดเผยแก่เราเอง
และได้บอกให้เราทราบถึงสิ่งที่ท่านได้ประจักษ์
อันมีอยู่ในระหว่างการเกิดและความตาย

     และท่านตอบว่า ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
เราจะบอกอะไรแก่ท่านได้
นอกจากสิ่งที่เคลื่อนอยู่ในวิญญาณของท่านเอง แม้ขณะนี้
อัลมิตราพูดขึ้นว่า
ได้โปรดบอกเราถึงเรื่อง ความรัก

lek:

ความรัก

และท่านก็เงยศีรษะขึ้นมองดูฝูงชน
เขาเหล่านั้นเงียบกริบ ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า
เมื่อความรักร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

 เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ
มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น
มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาวแล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า
ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว
เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่
  ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า
เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้ว
ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล
ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ
และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา
สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ

lek:
การแต่งงาน

 

 

แล้ว อัลมิตรา ก็ถามต่อไปว่า
การแต่งงาน เล่าพระคุณท่าน
และท่านตอบว่า

   เธอเกิดมาด้วยกัน
และเธอก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เธอจะอยู่ด้วยกันแม้เมื่อปีกขาวของความตาย
ปัดกวาดวันคืนของเธอให้กระจัดกระจายไป
ถูกแล้วเธอจะอยู่ด้วยกัน
แม้ในความทรงจำอันสงัดของพระเป็นเจ้า
แต่ขอให้มีช่องว่างในการอยู่ด้วยกันของเธอ
และขอให้กระแสลมแห่งสวรรค์โบกโบยไปมาระหว่างเธอ

จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งรัก
และขอให้ความรักนั้น เป็นเสมือนห้วงสมุทร
อันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง
จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง
แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว
ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก
เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน
และต้นโพธิ์ ต้นไทรก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้

lek:
บุตร





และหญิงคนหนึ่งซึ่งกอดบุตรน้อยไว้กับอก พูดว่า
ได้โปรดพูดกับเราถึงเรื่อง บุตร และท่านตอบว่า

บุตรของเธอ ไม่ใช่บุตรของเธอ
เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ
และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ
เธออาจให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้
เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศัยแก่ร่างกายของเขาได้
แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา
เพราะว่าวิญญาณของเขานั้นอยู่ในบ้านของพรุ่งนี้
ซึ่งเธอไม่อาจไปเยี่ยมเยียนได้แม้ในความฝัน
เธออาจพยายามเป็นเหมือนเขาได้
แต่อย่าได้พยายามให้เขาเหมือนเธอ
เพราะชีวิตนั้นไม่เดินถอยหลัง
หรือห่วงใยอยู่กับเมื่อวันวาน

 เธอนั้นเป็นเสมือนคันธนู
และบุตรหลานเหมือนลูกธนูอันมีชีวิต
ผู้ยิงเล็งเห็นที่หมายบนทางอันมิรู้สิ้นสุด
พระองค์จะน้าวเธอเต็มแรง
เพื่อว่าลูกธนูจะได้วิ่งเร็วและไปไกล
ขอให้การโน้มง้าวของเธอในอุ้งหัตถ์ของพระองค์
เป็นไปด้วยความยินดี
เพราะว่าเมื่อพระองค์รักลูกธนูที่บินไปนั้น
พระองค์ก็รักคันธนูซึ่งอยู่นิ่งด้วย

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version