แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต

(1/2) > >>

มดเอ๊กซ:



บทนำ
 
สาระสำคัญของความตาย
 
มนุษย์เราสนใจเรื่องความตายกันมานานเต็มที นับตั้งแต่สติปัญญาของ เราได้พัฒนาขึ้นมาจนถึงจุดที่ทำให้เรารำลึกได้ว่าตัวเราเองก็ตกอยู่ภายใต้ กฏเกณฑ์ของอนิจจังเช่นกัน แต่ยิ่งวันเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด ท่าที ของเราต่อความตายก็ยิ่งเปลี่ยนแปรไปมากขึ้นเพียงนั้น ดังจะเห็นได้จาก อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ เช่นอารยธรรมของชาวอียิปต์ที่มีประเพณีต่าง ๆ ทางศาสนาอันแสดงถึงแนวคิดเรื่องความตาย งานเขียนของปราชญ์ชาว ยุโรปหลายต่อหลายเล่มล้วนเป็นเรื่องปรัชญาอันประณีตลึกซึ้งเกี่ยวกับ ความตายและมรณกรรม จินตกวีเองก็พยายามเรียบเรียงความหมายของ มันออกมาเป็นกวีนิพนธ์อันลึกซึ้งกินใจ จิตกรเล่าก็ได้เพียรระบายพิษสง ของมันไว้บนผืนผ้าใบตลอดมา ถึงกระนั้นก็ตาม คนยุคนี้กลับพยายาม บิดเบือนความหมายที่แท้จริงของความตายอยู่เสมอ ความเสื่อมโทรมของ ลัทธิศาสนาเมื่อย่างเข้าศตวรรษี้ ตลอดจนการนำเอาแพทย์และเครื่องมือ ทางการแพทย์อันทรงประสิทธิภาพเข้ามาแทนที่พระเจ้าและศาสนา ทำให้ัั ชุมชนต้องสูญเสียอำนาจจัดการเรื่องความตายของชาวบ้านไปให้นักวิชา ชีพ บรรดาคนชราถูกยื้อแย่งไปเก็บซ่อนไว้ในบ้านพักคนชรา ที่ซึ่งพวก เขาจะได้รับความช่วยเหลือตามความจำเป็น ผู้ป่วยที่นอนรอความตายจะ ถูกเข็นไปยังเตียงมรณะลับตาคนบนชั้นสูงของโรงพยาบาลคนชรา สักขี พยานที่เฝ้าดูผู้ป่วยจนถึงวาระสุดท้ายในฤทธิ์ยาก็มีแต่เพียงอุปกรณ์การ แพทย์ทันสมัยที่ส่งเสียงติ๊ก ๆ และดังกระหึ่มขณะที่มันบันทึกจังหวะเต้น ของหัวใจ ความดันโลหิต และการหายใจอันแผ่วเบาลงทุกที ในที่สุด เมื่อต้องส่งคืนศพไปให้บรรดาญาติพี่น้อง ทางโรงพยาบาลไม่เพียงแต่จะ บิดเบือนสาเหตุการตายของผู้ป่วย แต่ยังฉีดยาดับกลิ่นศพ ตกแต่งใบหน้า ให้ดูแจ่มใสราวกับอยู่ในอาการหลับสนิทและสิ้นลมไปพร้อมกับความฝัน อันสุนทร นอกจากนั้นร่างกายของผู้ตายก็อยู่ในชุดงามเรียบร้อยราวกับ กำลังจะไปพิธีเลี้ยงยามค่ำ

 
ชาวตะวันตกมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและทางวัตถุอย่างมหาศาล แต่คนรุ่นลูกรุ่นหลานอาจย้อนกลับมาดูวัฒนธรรมของพวกเขาว่าเถื่อนทราม อย่างน่าหัวร่อก็ได้ อารยธรรมตะวันตกเป็นอายธรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านความ สำอาง ดังจะเห็นได้จากทัศนคติและอุปนิสัยต่าง ๆ ที่มีต่อความตาย เรา สามารถชมความตายแบบสำอางทางโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นของเราได้วันละ หลายร้อยเที่ยว เห็นทัพทหารล้มตายกันในภาพยนต์ ความตายที่สมมุติกัน ขึ้นแบบนั้นออกจะผิดข้อเท็จจริงและดูสนุกสนาน แต่ความตายในชีวิตจริง กลับถูกมองว่าน่ารังเกียจ และน่าสยดสยอง ความเจ็บ ความแก่ และความ ตาย กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมของเรา เรามักถูกกดดันให้หลีกเลี่ยงการ คิดถึงความตายของเราเอง เรามักรู้สึกผิดที่มีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ใครไปถาม อายุเข้าก็เกือบจะกลายเป็นเรื่องดูหมิ่นดูแคลนกัน สังคมตะวันตกเป็นสังคม ที่บูชาความหนุ่มความสาวและชีวิตยามเยาว์ เห็นได้จากการเพียรพยายาม ทุกรูปแบบที่จะลอกเลียนสิ่งเหล่านี้ ผู้คนใช้จ่ายกันนับพันล้านดอลล่าร์ต่อ ปีเพื่อการดึงหน้า ย้อมผม ซื้อครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางสารพัดประเภท ตลอดจนกรรมวิธีนับไม่ถ้วน ด้วยหวังจะให้มีรูปร่างหน้าตาที่ดูเยาว์วัยและ แข็งแรงกว่าตัวจริง การคิดถึงความตายของเราเองถูกมองเป็นเรื่องวิตถาร อันตรายเลยทีเดียว และการพูดถึงความตายในที่สาธารณะก็ถูกรังเกียจว่ามี รสนิยมต่ำทราม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมานี้ได้มีปรากฏการณ์แหวกแนว ที่สำคัญเกิดขึ้นหลายประการ นั่นก็คือการศึกษาเองความตายกันอย่างจริง จัง จิตวิทยาสมัยใหม่ได้เริ่มทำลายสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ เกี่ยวกับความตาย เช่นเดียวกับที่ฟรอยด์ได้ถอนเอาตราบาปทั้งหลายออกไปจากเรื่องอารมณ์ เพศเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยต่าง ๆ เช่น ด.ร.คิวเบลอร์ - รอส ด.ร.เรย์มอนด์ คาเร่ย์ ด.ร.อี.ฮาราลด์สัน และ ด.ร. เออร์เนสต์ เบค เคอร์ เป็นต้น ได้มีส่วนเสริมสร้างสาขาวิชาที่เรียกว่า มรณวิทยา หรือการ ศึกษาเรื่องความตาย จากการสังเกตุทางการแพทย์เกี่ยวกับความตาย และ การทำงานเพื่อคนที่กำลังจะตาย ทำให้แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์แบบอนุ รักษ์นิยมอย่างสุดโต่งตระหนักว่า ถึงเราไม่อาจมองเห็นความตายได้โดย อาศัยกล้องจุลทรรศน์ แต่เราก็อาจสังเกตเห็นความตายได้ในฐานะปรากฏ การณ์ทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่บอกสาเหตุของการตายได้มากกว่าเพียง การหยุดทำงานของร่างกาย อาจกล่าวได้ว่า การค้นพบที่สำคัญที่สุดจาก การศึกษาสมัยใหม่เกี่ยวกับความตาย มาจากงานวิจัยทางจิตเวชของ ด.ร. ด.ร.คิวเบลอร์ - รอส และผู้ร่วมงาน ซึ่งเผยให้เห็นความเข้าใจและความ ตื่นตัวในเรื่องธรรมชาติอันไม่เที่ยงของเรา ที่บงการสุขภาพจิตของเราอยู่ เช่นเดียวกับที่ฟรอยด์เคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่า ความเข้าใจในเรื่องเพศ ของเราเอง เป็นสิ่งจำเป็นต่อความเติบโตทางจิตวิทยาของเรา นักมรณวิทยา สมัยใหม่หลายคนได้เสนอหลักฐานเอกสารที่สำคัญเพื่อสนับสนุนทฤษฎีว่า การตระหนักถึงความตายและความไม่เที่ยงของเราเอง ย่อมช่วยให้เรามี ชีวิตที่แข็งแกร่ง สมดุล และผสมผสานกลมกลืน

ความเกี่ยวเนื่องระหว่างงานของฟรอยด์กับเรื่องอารมณ์เพศและงานชิ้นนี้ กับความตาย อันมีส่วนสัมพันธ์กันในทางจิตวิทยาอย่างมาก ในความเรียง เรื่อง " ความอุจาดแห่งความตาย " ที่เขียนโดย ดร. เจฟฟรีย์ กอเรอร์ มี ความตอนหนึ่งว่า " ในศตวรรษที่ ๒o ดูเหมือนจะมีความเปลี่นแปลงที่เรา อาจมองข้ามไปมนเรื่องความเข้มงวดบางประการ ในขณะที่เราพูดถึงการ ร่วมประเวณีกันบ่อยขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมแองโกล - แซกซั่น ความตายกลับกลายเป็นเรื่องที่เรากล่าวถึงน้อยลงเรื่อย ๆ " งานของฟรอยด์ ในเรื่องเพศใช้เวลาถึงครึ่งศตวรรษในการเผยแพร่ออกจากห้องปฏิบัติการ ของเขาไปสู่สังคมภายนอก เราจึงอาจคาดได้ว่า งานที่เกี่ยวกับมรณกรรม ชิ้นนี้คงจะต้องใช้เวลานานเท่ากันในการชักจูงความคิดของสาธารณชน

อันที่จริง อารมณ์เพศกับความโน้มเอียงไปหาความตายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กันอย่างไกล้ชิด เหมือนขั้วที่ตรงข้ามกันของแม่เหล็ก สิ่งหนึ่งกระตุ้นให้เรา มีพลังชีวิตและความสามารถในการสืบพันธุ์ ทำให้เราเป็นคนสำคัญ มีความ หมาย มีอำนาจ และมีตัวตนอยู่จริง อีกสิ่งหนึ่งสาปให้เราหายนะ ทำให้เรา หมดความสำคัญ ไร้ความหมาย สูญสิ้นพลัง และไร้ซึ่งตัวตน ทั้งสองสิ่งนี้ เชื่อมสนิทกับธรรมชาติความเป็นสัตว์โลกของเรา ฝ่ายหนึ่งทำให้เรารู้สึก เข้มแข็ง อีกฝ่ายหนึ่งทำให้เรารู้จักเจียมตัว ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต ฝ่ายหนึ่ง เป็นการสร้างสรรค์อย่างที่สุด และอีกฝ่ายก็เป็นการปฏิเสธชีวิตอย่างเด็ดขาด ฝ่ายหนึ่งทำให้เราก้าวร้าวและเข้าสังคมเก่ง อีกฝ่ายหนึ่งทำให้เราเป็นคนเฉย เมยและหลบเลี่ยงสังคม การเข้าใจอารมณ์เพศของเรา ย่อมช่วยเราให้มอง เห็นธรรมชาติส่วนที่ก้าวร้าวและอำนาจที่เรามี เมื่อขาดความสมดุลเช่นนี้ แล้ว ปัญหาการแสดงออกทางเพศย่อมเกิดขึ้น นับตั้งแต่ความไร้สมรรถ ภาพทางเพศไปจนถึงความรุนแรงทางเพศ

อาจเป็นไปได้ว่า ความเพ้อฝันแบบโรแมนติคในศตวรรษที่ ๑๘ รวมทั้ง ความเชื่อเรื่องจิตกับร่างในแบบทวินิยมที่แพร่หลายในยุคสมัยดังกล่าวทำ ให้เราก้าวเข้ามาสู่ยุคปัจจุบันโดยไม่สามารถเข้าใจอารมณ์เพศหรือความ ตายของเราได้อย่างสมจริง ในทัศนะแบบโรแมนติค จิตเป็นสิ่งสูงส่ง และ ร่างเป็นสิ่งหยาบช้าสามาย์ จึงถูกประณามว่าเป็นของต่ำทราม จำเป็นต้อง ได้รับการปรับปรุง หรือมิฉะนั้นก็ต้องถูกทำลายล้าง

ปราชญ์ท่านหนึ่งผู้เป็นพุทธศาสนิกชาวอินเดียมีนามว่า ศานติเทพ เคย เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า " นักโทษผู้ถูกพระราชาตัดสินลงโทษด้วยการตัดขา ออกไปข้างหนึ่ง ย่อมเกิดความตื่นกลัวเป็นที่สุด ปากของเขาแห้งผาก ตา เหลือกถลน ตัวก็สั่งันงก คนที่ถูกคุกคามด้วยความตายเล่า จะหวั่นกลัว มากกว่าสักเพียงใด " ดร.คิวเบลอร์ - รอส ได้กล่าวไว้อย่างหนักแน่นและ สร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนให้เราทำความเข้าใจในสภาวะความไม่เที่ยง ของตัวเราเอง ดังปรากฏในหนังสือเรื่อง ความตายกับมรณกรรม ตอน หนึ่งว่า " ถ้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ถูกใช้ไปอย่างผิด ๆ ให้ทวี ความหายนะโดยการยืดชีวิตออกไป แทนที่จะทำให้ชีวิตเป็นชีวิตของ มนุษย์มากขึ้น และสามารถทำให้มนนุษย์เป็นอิสระมากยิ่งขึ้นในการติด ต่อกันโดยตรงแล้ว เราค่อยมาพูดถึงสังคมที่ยิ่งใหญ่ และเข้าถึงสันติภาพ ได้ ทั้งสันติภาพภายในของเราเอง และสันติภาพระหว่างชาติ ซึ่งเป็นไป ได้ถ้าเรากล้าเผชิญความตาย และยอมรับความเป็นจริงเรื่องความตายของ เราเอง " ทัศนะดังกล่าวสอดคล้องอย่างชัดแจ้งกับทัศนะของชาวพุทธ ซึ่งถือว่าการเข้าใจเรื่องความตายและธรรมชาติอันเป็นอนิจจังของเราเป็น สิ่งสำคัญยิ่งต่อความเจริญรุ่งเรืองทางจิตวิญญาณ พระพุทธองค์ก็เคยตรัส ว่า " ในรอยเท้าคชสารย่อมเป็นยอด และในบรรดาอนุสติทั้งหลาย มรณสติ ย่อมเป็นยอด " พุทธศาสนาแบบธิเบตมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความตายอยู่ อย่างอุดมสมบูรณ์มากกว่าพุทธศาสนาในประเทศอื่นใด ซึ่งก็มิใช่เรื่องน่า ประหลาดใจนัก เพราะแม้ว่าธิเบตจะมีประชากรอยู่ไม่มาก แต่ก็สร้างสรรค์ วรรณกรรมขึ้นมาได้มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีประชากรหนาแน่น วรรณกรรมธิเบตมีลักษณะเด่นเป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับจิตวิญญาณ สำหรับ นักประพันธ์ชาวธิบเต การเขียนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับบันทึกชีวิต ของบรรดาผู้เคร่งศาสนา และบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นการถ่ายทอด ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ อธิบายการปฏิบัติทางจิต และโดยทั่วไปก็ เป็นการเสนอคำอธิบายเพิ่มเติมว่า ปรัชญา ศิลปะ การแพทย์ ศาสนา ประวัติศาสตร์ และศาสตร์ต่าง ๆ ทางจิต มีความเป็นมาอย่างไร ความ ตายก็จัดเป็นเรื่องสำคัญในศาสตร์เหล่านี้ นักประพันธ์ชาวธิเบตส่วนมาก จะเสนอข้อเขียนอย่างน้อย ๑ เรื่อง เช่น บทแนะนำการนั่งสมาธิ คู่มือ การประกอบพิธีกรรม กวีนิพนธ์หรือบทสวดมนตร์ที่แสดงความเข้าใจ หรือความคิดเห็นส่วนตัว เป็นต้น

เราไม่อาจบอกได้ว่าพุทธศาสนาได้แผ่เข้ามาแทรกซึมเทือกเขาหิมาลัย ของธิเบตตั้งแต่เมื่อใด แม้ปรากฏว่ามีพุทธศาสนาที่บริเวณเชิงเขาด้านใต้ และด้านตะวันตกหลังพุทธกาลเพียงเล็กน้อยก็ตาม ธิเบตยอมรับพุทธ ศาสนาอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๗ ครั้งนั้น พระเจ้าซองเซ็นกัมโปได้ทรงอภิเษกสมรสกับหญิงชาวพุทธ ๒ นาง นาง หนึ่งมาจากประเทศเนปาล อีกนางหนึ่งมาจากประเทศจีน จิตใจอันอ่อน โยนของหญิงทั้งสองทำให้พระองค์ไหวหวั่นเป็นอย่างยิ่งเพื่อสดุดีเกียรติ คุณของนาง พระองค์จึงมีพระบัญชาให้สร้างวัดโจโว ขึ้น ( ชาวตะวันตก รู้จักวัดนี้ในนามของวิหารกลางแห่งลาซา ) พระองค์ทรงส่งเสสิมให้ท่าน เสนาบดีโทมิ สัมโภตะและผู้ติดตาม ๒๔ คน เดินทางไปอินเดียเพื่อศึกษา พุทธศาสนาและประดิษฐ์ตังเขียนธิเบตขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อแปลคัมภีร์พุทธ ศาสนาจากภาษาสัสกฤต จากนั้น การแปลคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษา ธิเบตก็ดำเนินต่อมาอีกหลายยุคหลายสมัยอย่างต่อเนื่อง


พุทธศาสนาในธิเบตแบ่งออกได้เป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ยุคต้นและยุคปลายแห่ง การเผยแผ่พระธรรม ซึ่งเป็นยุคที่มีการแปลคัมภีร์และความผันผวนอยู่เกือบ ตลอดเวลาและยุคหลังจากที่พุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากอินเดีย อันเป็นยุคที่ นิกายต่าง ๆ ของธิเบตเริ่มมั่นคงขึ้น และเริ่มตั้งตัวเป็นลัทธิ ตลอดจนเป็นยุค ที่อวตารขององค์ทะไลลามะเริ่มปรากฏนิกายใหญ่ ๔ นิกายที่เกิดขึ้นในระ หว่างพัฒนาการของพุทธศาสนา ๒ ช่วงแรกในธิเบต มีรากฐานมาจากคำ สอนของปรามาจารย์ชาวอินเดียท่านใดท่านหนึ่ง กล่าวคือ นิกายนีงม่า ถือ คำสอนของท่านปัทมสมภพและท่านศานติรักษิต นิกายศากยะ ถือคำสอน ของท่านธรรมปาลและท่านวิรูปะ นิกายการ์กิวถือคำสอนของท่านนโรปะ และไมตรีปะ และนิกายกาดัม ถือตามท่านอตีษะ ประมาณปลายคริสต์ ศตวรรษที่ ๑๔ นิกายเหล่านี้ก็มั่นคงเป็นลัทธิอิสระจากกัน นิกายทั้งสี่ที่ก่อ ตั้งขึ้นระหว่างพัฒนาการ ๒ ช่วงแรกของพุทธศาสนาในธิเบตนี้ บางทีก็ เรียกกันว่า " นิกายหมวกแดง " เพราะสาวกในนิกายเหล่านี้สวมหมวกยอด แหลมสีแดงขณะประกอบพิธีในวัด เมื่อซองขะปะเปลี่ยนสีของหมวกพิธี เป็นสีเหลือง ลัทธิของเขาที่ชื่อว่า " เกลุค " หรือ " วิถีบริสุทธิ์ " จึงรู้จักกัน ในนาม " นิกายหมวกเหลือง "

แม้ว่านิกายต่าง ๆ ของพุทธศาสนาแบบธิเบตจะมีปรัชญาและหลักคำสอน แตกต่างกัน แต่สาระสำคัญของนิกายเหล่านี้เหมือนกัน นิกายทุกนิกายอาศัย แนวคำสอนของพุทธศาสนาหินยานในเรื่องอริยสัจจ์ ๔ และเรื่องไตรสิกขา อาศัยแนวคำสอนของมหายานในเรื่องการปลูกฝังปณิธานของโพธิสัตว์และ บารมี ๖ ประการ และอาศัยวิธีการของวัชรยานในเรื่องมรรควิธีของตันตระ ๔ ประการ ความแตกต่างกันอยู่ที่วิธีแสดงแนวคำสอนเหล่านั้น นิกายแต่ละ นิกายต่างก็สนับสนุนให้ใช้ยานทั้งสาม ( หินยาน มหายาน วัชรยาน ) แม้จะเน้น แง่มุมคำสอนและตีความคัมภีร์แตกต่างกันในเชิงปรัชญาไปบ้างก็ตาม

งานศึกษาวิเคราะห์ประเพณีของธิเบตในเรื่องความตาย อันเป็นที่มาของหนัง สือเล่มนี้ ส่วนมากได้มาจากข้อเขียนต่าง ๆ ของทะไลลามะหลายองค์ และ ของนักประพันธ์บางท่านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของธิเบต การเขียนหนังสือ เป็นการใช้เวลาว่างที่สำคัญยิ่งของธิเบตมานานนับศตวรรษแล้ว ในขณะที่ ชาวตะวันตกกำลังทุรนทุรายอยู่ในยุคมืด จากนั้นก็มัวแต่แข่งขันกันล่าเมือง ขึ้นไปทั่วโลก ชาวธิเบตกลับนั่งกันอยู่ในถ้ำและวัดบนหลังคาโลก จิบชาใส่ เนย หลีกเลี่ยงความยุ่งยากทั้งปวง โดยการหมกมุ่นศึกษา ปฏิบัติสมาธิ และ สร้างงานประพันธ์ ธิเบตอาจเป็นเพียงชนชาติเล็ก ๆ ถ้ามองในแง่ของจำนวน ประชากร ดินฟ้าอากาศที่แห้งแล้งหนาวเย็นไม่เอื้ออำนวยให้มีประชากรหนา แน่นได้ แต่เนื้อที่สำหรับทำมาหากินก็มีเท่าเทียมกับยุโรปตะวันตก หรือมาก เกินครึ่งของประเทศจีน ความสำคัญของธิเบตอยู่ที่ความเป็นแหล่งวัฒธรรม ให้แก่อาณาจักรต่าง ๆ ตามหุบเขาหิมาลัยหลายต่อหลายแห่งที่ล้อมรอบอยู่ทุก ด้าน แว้นแคว้นทั้งหลายอันประชิดพรมแดนตามแนวภาคเหนือของอินเดีย รวมทั้ง ลาดัค ละโฮล์ สปิตติ เนปาลภาคเหนือ สิกขิม ภูฐาน และอัสสัม ได้ ใช้ภาษาทางศาสนาและทางวิชาการมานานนับศตวรรษ นอกจากนั้น วัฒน ธรรมทางศาสนาของมองโกเลีย ไซบีเรีย และจีนภาคตะวันตก ก็มีรากเหง้า เกาะยึดอยู่กับพุทธศาสนาแบบธิเบต ในด้านวัฒนธรรม ธิเบตจึงกินอาณาเขต กว้างขวางไปทั่วภาคกลางของเอเชีย

มดเอ๊กซ:
ทัศนคติต่อเรื่องความตายที่ก่อตัวขึ้นในธิเบตมีลักษณะสำคัญเป็นแนวคิด แบบพุทธ เพื่อให้เข้าใจทัศนะดังกล่าว เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับ พุทธทัศนะว่าด้วยบทบาทของปัจเจกบุคคล ธรรมชาติของจิต และแนว ความคิดเรื่องกรรมและการกับชาติมาเกิด คำว่า " กรรม " ในภาษาธิเบต คือ " เล " แปลตามตัวว่า " การกระทำ " ทฤษฎีนี้ถือว่า การกระทำทุกอย่าง ของเรา ไม่ว่าจะเป็น กุศล อกุศล หรือเป็นกลาง ๆ ย่อมทิ้งรอยประทับ หรือสัญชาติญาณไว้บนจิต ซึ่งจะปรากฏเป็นจิตใต้สำนึกต่อไป ผู้ที่สร้าง กรรมชั่ว ย่อมทำให้จิตใจของเขาแบกรับจิตใต้สำนึกที่โน้มเอียงไปสู่ความ โหดร้าย ส่วนผู้ที่สร้างแต่กรรมดีโดยอาศัยความรัก ปัญญา และการุณย์ ย่อมทำให้จิตใจของเขาโน้มเอียงไปสู่สิ่งที่ดีงามเหล่านี้ กรรมจึงมีผลต่อ จิตใจและบุคลิกภาพของเราในชาติปัจจุบันและมีอิทธิพลต่อแบบแผนชีวิต ในอนาคตของเราด้วย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ขณะที่เรากำลังจะสิ้นลม เชื้อ กรรมที่จิตของเรานำไปย่อมจะมีผลอย่างยิ่งต่อวิวัฒนาการของเราในภพ หน้า


ชาวพุทธในธิเบตเชื่อกันว่า เมื่อร่างกายตายแล้ว จิตจะเข้าสู่ " บาร์โด " หรือภาวะระหว่างความตายกับการเกิดใหม่ พร้อมกับนำเอารอยกรรม ของตนตามไปด้วย รอยกรรมจะกำหนดสภาวะการเกิดใหม่ ผู้สร้างแต่ กรรมชั่ว จะตายไปในกระแสกรรมชั่ว ผู้สร้างแต่กรรมดีจะตายไปโดย มีรอยกรรมดีติดตัว ส่วนผู้ที่สร้างกรรมดีและกรรมชั่วไว้เท่า ๆ กัน อาจ ตายในภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ถ้าเราผ่านเข้าบาร์โดพร้อมกับภาวะ จิตที่ชั่ว เราก็จะไปเกิดใหม่ในทุคติภพ แต่ถ้าเราผ่านเข้าบาร์โดไปพร้อม กับกุศลจิต เราจะไปเกิดใหม่ในสุคติภพ พุทธศาสนาแบบธิเบตมีคำสอน เกี่ยวกับภูมิทั้งหก คือ นรกภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ มนุษยภูมิ อสูรภูมิ และเทวภูมิ ภูมิแต่ละภูมิมีส่วนเสียที่สอดคล้องกับความหลงผิด ๖ ประ การ ซึ่งกำหนดวาระจิตก่อนตายว่าผู้นั้นจะไปเกิดใหม่ในภูมิใด ตัวอย่าง เช่น ธรรมชาติของนรกคือความโหดร้ายรุนแรง ซึ่งสอดคล้องกับโทส จริตของจิต เมื่อผู้นั้นสิ้นชีวิตขณะกำลังโกรธความโกรธจะสร้างภาวะ ของจิตที่คล้ายคลึงกับสภาพในนรก ทำให้ผู้นั้นไปเกิดใหม่ในนรก ใน ทำนองเดียวกัน ภูมิของเปรตก็มีสภาวะเป็นความกระหายทะยานอยาก อันสอดคล้องกับความยึดมั่นถือมั่นของจิต และภูมิของสัตว์เดรัจฉานก็ เต็มไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาซึ่งสอดคล้องกับอวิชชาของจิต จึงทำ ให้ผู้ที่ตายขณะโง่เขลาเบาปัญญา ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

พระไตรปิฎกกล่าวถึงกรรมในลักษณะต่าง ๆ วิธีหนึ่ง แบ่งกรรมออกได้ เป็นกรรมที่ให้ผล และกรรมที่ไม่ให้ผล กรรมที่ให้ผลเป็นกรรมที่ประทับ รอยในจิตเป็นกุศลและอกุศลตามที่คนทั่วไปกระทำ ส่วนกรรมที่ไม่ให้ผล เป็นกรรมของพระอรหันต์ ซึ่งไม่ทิ้งรอยของสังสารวัฏไว้ในจิตอีกต่อไป เพราะพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากอำนาจของกรรมและความหลงผิด ทั้งมวลแล้ว และดำรงอยู่อย่างเพียบพร้อมด้วยปัญญาคุณ การเวียนว่าย ตายเกิดไม่ว่าจะในภพภูมิที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามย่อมไม่เกิดประโยชน์ อย่างสมบูรณ์ ตามหลักพุทธศาสนาเป้าหมายขั้นสุดยอดคือการบรรลุ ปัญญารู้แจ้งเป็นอิสระจากชีวิตทางโลกทั้งปวง หากยังไม่บรรลุความรู้ แจ้ง เมื่อถูกกรรมอันให้ผลชักนำไปก็ย่อมต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่ สิ้นสุดตามกฏปฏิจจสมุปบาท เป้าหมายทฤษฏีเรื่องกรรมคือ การกระตุ้น ให้เรามีความรับผิดชอบต่อการกระทำของเราเอง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เป็นพาหนะสำคัญที่นำเราไปสัมพันธ์กับภพภูมิอื่น และ แปรสภาพเราให้เป็นสิ่งอื่น หากเราไม่มีความรับผิดชอบต่อตนเอง เรา ย่อมไม่อาจก้าวหน้าไปตามพุทธวิถีได้ พุทธยานทั้งสาม คือ หินยาน มหา ยาน และวัชรยาน ต่างก็สอนให้เรามีความรับผิดชอบต่อกระแสกรรมของ เรา ดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า " เราเป็นศัตรูที่ร้ายที่สุดของตัวเราเอง แต่ เราก็เป็นผู้ช่วยตัวเองให้รอดด้วย "

ทัศนะเรื่องความตายและการเกิดใหม่ มิได้หมายถึงขณะสิ้นชีวิตและหลัง การสิ้นชีวิตเท่านั้น ตามแนวคิดแบบพุทธ ความตายและการเกิดใหม่เกิด ขึ้นทุกขณะในชีวิตของเรา และวัฏจักรชีวิตประจำวัน ธาตุรู้ในแต่ละขณะ เกิดจากความเสื่อมและการเกิดใหม่ของธาตุรู้ในชั่วขณะก่อน จิตดวงปัจจุ บันเป็นสิ่งที่เกิดจากความดับของจิตในขณะก่อน แนวคิดนี้เป็นสิ่งสำคัญ ในพุทธศาสนาและทำให้เกิดการรู้แจ้งได้ ทำให้ความดับและการเกิดใหม่ ของจิตจากขณะต่อขณะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเรา ทำให้ จิตเสื่อมถอยและพัฒนาขึ้นได้ ธาตุรู้ของเราอาจประณีตและเบาบางมาก ขึ้น หรืออาจหยาบกระด้างและหนักอึ้งยิ่งขึ้นก็ได้ นอกจากนั้น ช่วงขณะ ที่แยกความคิด ๒ เรื่องออกจากกันก็สำคัญมาก เพราะเป็นธรรมชาติเบื้อง แรกสุดที่รองรับกิจกรรมทางจิตทุกอย่าง การรู้เท่าทันสิ่งนี้จึงกลายเป็นยา แก้ความหลงผิด อันได้ผลชะงัด


วัฏจักรในชีวิตประจำวันแต่ละช่วงทำให้เรามีประสบการณ์เรื่องความตาย บาร์โด และการเกิดใหม่ ช่วงที่เราผล็อยหลับช่วยให้เรามีปะสบการณ์เรื่อง แสงสว่างวาบขณะที่สิ้นชีวิต ภาวะความฝันมีลักษณะคล้ายบาร์โดและนิมิต เกี่ยวกับมัน ความฝันมีลักษณะคล้ายกับตัวตนของบาร์โด ฉะนั้น โยคนิมิต จึงเป็นสิ่งสำคัญของการฝึกแบบตันตระ เมื่อเราควบคุมความคิดและภาพ นิมิตในฝันได้ เราก็เกือบจะสามารถควบคุมจิตที่มีประสบการณ์ต่อบาร์โด ได้เช่นกัน การตื่นจากฝันย่อมเหมือนการเกิดใหม่ กล่าวคือตัวตนความฝัน สลายไป และเราตื่นขึ้นมาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากสภาพที่ปรากฏใน ความฝัน การศึกษาเรื่องจิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในพุทธศาสนา พระ พุทธเจ้าเคยตรัสว่า " จิตเป็นผู้ชักนำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหลาย อาชา นำทางเกวียน ฉันใด จิตของเราก็ชี้นำ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมทั้ง มวลของเรา ฉันนั้น " เป้าหมายหลักการศึกษาพุทธศาสนาจึงไม่มีอะไร มากไปกว่าการศึกษาเรื่องจิตและวิธีการพัฒนาคุณสมบัติภายในจิต

ความตายเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในพุทธศาสน์ศึกษา เป็นเรื่องจำเป็นต่อ การเรียนรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับความตายเป็นปรากฏการณ์ทางจิตอย่าง หนึ่ง ในขณะที่ร่างกายอ่อนแอลง เราจะมีจิตสำนึกในขั้นละเอียดอ่อนยิ่ง ขึ้นตามระดับที่เราเคยฝึกตนเองมาวรรณกรรมธิเบตเกี่ยวกับความตายจึงเป็น แรงบันดาลใจและเป็นแนวทางได้อย่างสำคัญ วรรณกรรมเหล่านี้มีหลักการ ที่จะสนับสนุนให้ผู้ใฝ่รู้ได้ทำการแสวงหาทางจิตอย่างจริงจัง และทำให้เรา รู้ว่าจะค้นหาให้พบได้อย่างไร

วิธีบรรลุมรรควิถีแบบพุทธมีอยู่ ๓ วิธี คือ หินยาน มหายาน และวัชรยาน ทั้ง ๓ วิธีต่างก็มีการฝึกฝนให้มีมรณสติ เพียงแต่มีวิธีการปลีกย่อยต่างกัน เท่านั้น หลักสำคัญในการฝึกแบบหินยาน ประการแรกคือ การพัฒนาความ สำนึกในเรื่องทางสายกลาง การสละโลกียสุข และไม่ยึดมั่นถือมั่น มรณสติ เป็นสิ่งสำคัญต่อเรื่องเหล่านี้ เพราะทำให้เรามีทัศนะต่อตนเองและต่อกิจ กรรมของเราเองได้อย่างถูกต้อง และถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว จิตที่ไม่ ได้รับการฝึกฝนอบรมมาก่อน ย่อมแปลความหมายเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เราเลยเถิดไป อะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุข ย่อมดูเหมือนดีสำหรับเรา เป็นพิเศษ ส่วนพวกที่ทำอันตรายเราหรือทำให้เราอึดอัด จะดูเหมือนไม่น่า รื่นรมย์ จึงทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่น และเกิดความขุ่นเคือง ซึ่งเป็น กรรมชั่วต่อไป การฝึกฝนให้มีมรณสติทำให้เรามองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ด้วย ความสงบและไม่หวั่นไหว ทำให้เรามีปฏิกิริยาตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม ยิ่งขึ้น

ประการที่สอง มรณสติเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในการฝึกฝนทั่วไปของฝ่าย มหายาน หัวใจของมหายานคือการมีการุณยธรรมอันยิ่งใหญ่ และเมื่อผู้ ฝึกมีมรณสติอันมั่นคงแล้ว เมื่อประสบเคราะห์กรรมที่ผู้อื่นสร้างให้ เขา ย่อมมีขันติได้โดยง่าย นอกจากนั้น ยังมีความเมตตากรุณาต่อคนเหล่านั้น ด้วย เมื่อมองเห็นธรรมชาติอันไม่เที่ยงของคนทั้งหลายแล้ว เขาย่อมสนอง ตอบการกระทำตามอวิชชาเหล่านั้นด้วยความกรุณา การระลึกถึงความไม่ เที่ยง ความอ่อนแอต่อความตายและความประมาทต่อความตายของผู้อื่น ทำให้พระโพธิสัตว์มีปณิธานที่แน่วแน่ยิ่งขึ้น

ประการสาม ในนิกายวัชรยานโดยเฉพาะอย่างยิ่งนลัทธิบรมโยคะ ผู้ฝึก สามารถใช้อำนาจสมาธิเข้าสัมผัสความตายในขั้นต่าง ๆ ได้ เช่นเดียวกับ ขณะที่สิ้นชีวิตจริง ๆ นี่เป็นการฝึกขั้นสุดยอดในมรณสติ ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติ สามารถมีประสบการณ์มรณะได้ในสมาธิและรู้ได้แน่ชัดว่าจะมีอะไรเกิด ขึ้นบ้างหลังความตาย ในที่นี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ช่องทางพลังชีวิตต่าง ๆ อันประ ณีต พลังงานและจุดประสงค์ของกายทิพย์ การปรับมวลสารทางเพศ ตลอด จนการกระตุ้นพลังงานทางร่างกายที่ละเอียดอ่อนที่สุด และระดับความสำ นึกรู้ นี่คือมรรควิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติมีพลังอำนาจอันสามารถบรรลุพุทธภูมิ ได้ในหนึ่งชั่วอายุขัยเท่านั้น
 
หนังสือเรื่อง มรณสติแบบธิเบต ฉบับนี้ เป็นการพยายามสำรวจข้อมูลต่างๆ ของธิเบต ว่าด้วยความตาย โดยมุ่งหมายจะสำรวจบรรณานุกรมของข้อมูล ดังกล่าวแต่จะนำเอางานด้านวรรณกรรมและคำอธิบายเกี่ยวกับทัศนคติ และ การปฏิบัติที่เป็นแบบแผนของธิเบตมาเสนอต่อผู้อ่าน นอกจากนี้ ก็มิได้มุ่ง หวังจะสร้างทฤษฎีและการตีความหมายทางปรัชญาแต่อย่างใด หากเพียง ต้องการแสดงให้เห็นว่าประเพณีเรื่องความตายมีบทบาทอย่างไรต่อวิถีชีวิต โดยทั่วไปของชาวธิเบต

พุทธศาสนาเป็นศาสนาของชนชาติต่าง ๆ เกือบครึ่งโลก และธิเบตก็เป็น คลังแห่งพุทธศาสนาจากอินเดียที่ไม่มีชาติใดเที่ยบได้ ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยที่ ผลิตผลจากคำสอนโบราณนี้จะไปกันได้กันสมัยใหม่ เนื่องจากธรรมชาติ ดั้งเดิมของร่างกายและความคิดของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับแต่ พุทธกาล ธรรมชาติของจิตยังคงมีลักษณะเช่นเดิม เราอาจมีอายุยืนมากกว่า ผู้คนในสมัยพุทธกาลถึง ๑o ปี หรือมากกว่านั้น แต่เราก็ยังต้องพบความ ตายซึ่งเป็นจริงไม่น้อยไปกว่าความตายของคนโบราณ ยุคปัจจุบันเป็นยุค ที่โลกมีขนาดเล็กลงทุกที ศูนย์กลางวัฒนธรรมต่าง ๆ ของโลกกำลังแลก เปลี่ยนความรู้กันเป็นการใหญ่ ธิเบตเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมเอเชียที่ยิ่ง ใหญ่แห่งหนึ่งในจำนวน ๔ แห่ง แต่เพาะสภาพภูมิศาสตร์ที่หลบเร้นไป จากโลกตะวันตกจึงเป็นดินแดนที่ชาวโลกไม่สู้รู้จักกัน ความโดดเดี่ยวดัง กล่าวนับว่ามีส่วนดีประการหนึ่งที่ทำให้ชาวธิเบตก้าวเข้าสู่ยุคปัจจุบันได้ อย่างมีความบริสุทธิ์ทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องพึ่งตนเองในการ พิจารณาคำสอนของปรัชญาเมธีและนักพรตแห่งธิเบต เราต้องแสวงหา และแยกแยะเอาเองว่า วัฒนธรรมธิเบตจะมีอะไรบ้างที่ช่วยให้มนุษยชาติ มีความเข้าใจชีวิตได้อย่างถูกต้อง กุญแจที่ไขไปสู่การเรียนรู้และพัฒนา การดังกล่าวก็คือความใจกว้างและความใฝ่รู้ทางปัญญา ประเพณีของ ธิเบตได้ค้ำจุนวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณมานานนับศตวรรษแล้ว เปรียบ ไปก็เหมือนครเมกกะแห่งชาวพุทธมหายานมานานก่อนที่คนเริ่มรู้จักทวีป อเมริกาเสียอีก เราเป็นหนี้ความรุ่งโรจน์ของธิเบตที่เกิดจากการค้นพบสิ่ง ต่าง ๆ ของท่านเหล่านั้นโดยอาศัยความรู้ความเข้าใจแบบตะวันตกก็ตาม

มดเอ๊กซ:

 
 
บทที่หนึ่ง
 



บทนำ
 
เนื้อหาของบทที่หนึ่งนี้ได้มาจากประมวลพระธรรมเทศนาของ คยาล-วา -ตุปเต็น-คยา-โซ ทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ ของธิเบต อันทรงแสดงไว้ใน วันเพ็ญปีใหม่ของชาวธิเบตในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. ๑๙๒๑ องค์ทะไลลามะ ได้ทรงเลือกมรณสติแบบนิกายกาดัมมาเป็นประเด็นเทศนาของพระองค์ ซึ่งนับว่ามีคุณค่าที่สมควรใช้เป็นบทแรกของหนนังสือเรื่องนี้ได้ เพราะ ทำให้เราเข้าใจมรณสติซึ่งเป็นพื้นฐานของพุทธศาสนาธิเบตทุกนิกาย ตลอดจนวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติแบบพุทธ อันมีอยู่ทั่วไปตาม ประเพณีธิเบต เราจึงมองเห็นการปฏิบัติแบบพุทธทั้งในการปฏิบัติทาง จิตอย่างโดดเดี่ยวและการปฏิบัติเป็นส่วนหนึ่งของจารีตประเพณีของ ธิเบต ทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ เป็นทะไลลามะองค์แรกที่ชาวตะวันตกรู้ จักกันอย่างดี รัชสมัยของพะองค์ดำเนินไปด้วยไม่ราบรื่นนัก เนื่องจาก ธิเบตเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจทั้สามคืออังกฤษ รัสเซียและจีน คิดช่วงชิงอยู่ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙o๔ อังกฤษตัดสินใจบุกธิเบตจากด้าน อินเดีย และสามารถขยายอำนาจไปได้ตลอดภาคกลางของเอเชีย ทำให้ ธิเบตต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ซึ่งอยู่ในอำนาจของอังกฤษ ที่น่าแปลกก็คือ นายพันโทยังฮัสแบนด์ผู้นำกองทัพของอังกฤษ ได้เกิด บรรลุฌานลี้ลับขึ้นขณะที่อยู่ในธิเบต ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ชีวิตของ เขาเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่เดินทางกลับประเทศอังกฤษได้ไม่นาน เขาก็ลาออกจากราชการทหารและอุทิศเวลาที่เหลืออยู่ตลอดชีวิตเพื่อ เขียนเรื่องจิตวิญญาณ


ทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ ประสูติเมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๖ ในครอบครัวชาวนา อาจ เป็นเพราะทรงมีชาติกำเนิดอันต่ำต้อย จึงทรงสามารถเป็น " องค์ทะไลลามะ ของประชาชน " อยู่ได้ตลอดกาล ธรรมเทศนาหลายบทของพระองค์ เป็น ธรมะที่ทรงแสดงต่อสาธารณชน สาวกของพระองค์มาจากชนทุกประเภท ธรรมเทศนาที่นำมาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับบทนี้ เป็นธรรมะที่ทรงแสดงต่อ สาวกของพระองค์จำนวนมากกว่า ๒o , ooo คน เนื่องจากธรรมเทศนามุ่ง แสดงต่อนักวิชาการหรือโยคีผู้รอบรู้ และชาวบ้านทั่วไปในขณะเดียวกัน จึงมีลักษณะผสมผสานระหว่างความลุ่มลึกกับความเรียบง่าย จนเกิดความ งดงามที่เราเข้าใจได้ ดังปรากฏอยู่ในงานหลายชิ้นของพระองค์ นอกจาก นั้นยังทำให้ผู้อ่านเข้าถึงประเพณีธิเบตว่าด้วยมรณสติ ตลอดจนเข้าใจความ เชื่อมโยงที่ประเพณีดังกล่าวมีต่อระบบการฝึกฝนตามแนวพุทธได้โดยง่าย

 
ความตายกับการฝึกฝนของพระโพธิสัตว์
 
ท่านโจโว อติษะ ผู้เป็นจุฑามณีแห่งปราชญ์ชาวพุทธในอินเดียและเป็นต้น ตำรับมุขปาฐบท (เรื่องราวที่เล่ากันมาจากปากสู่ปาก) ทั้งมวลของนิกายกาดัม ได้เคยกล่าวไว้ว่า
 
ชีวิตนี้สั้นนัก
และมีเรื่องควรรู้อยู่มากหลาย
แต่เมื่อใดจะถึงเวลาตาย
เราย่อมไม่อาจรู้อยู่นั่นเอง
จึงควรทำตัวเยี่ยงหงส์
ที่คงแยกนมจากน้ำได้
 
 
สิ่งมีชีวิตเช่นเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะถูกครอบงำด้วย โลภะ โทสะ และโมหะ ยิ่งเราพยายามไขว่คว้าหาโลกียสุขในวัฏจักรแห่ง การเวียนว่ายตายเกิดมากเพียงใดเราก็ยิ่งผิดหวังขมขื่น และทุกข์ทรมาณมาก ขึ้นเพียงนั้น เราต้องดเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้อวิชชาและกฏ ปฏิจจสมุปบาท แม้ว่าเราจะทุกข์ทรมาณอย่างไรก็ตาม เราก็ยังทำกรรมดีอยู่ บ้าง จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทำให้มีโอกาสพากเพียรพัฒนาจิตวิญญาณ จนใน ที่สุดก็สามารถรู้แจ้งและบรรลุอนันตสุขได้ แต่ร่างมนุษย์อัประเสริฐของเรา นั้นไม่มีความจีรังยั่งยืน แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่อาจพยากรณ์ได้ว่า มนุษย์ แต่ละคนจะมีอายุยืนยาวอยู่ได้มากน้อยเพียงใด อีกไม่นานชีวิตของเราจะต้อง ดับสูญ เราจึงควรทำตัวเช่นหงส์ซึ่งหากจำต้องดื่มมผสมน้ำ ก็จะสามารถแยก ดื่มแต่นม โดยบ้วนน้ำทิ้งออกมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราเรียนรู้วิธีปฏิบัติ ทางจิต การฝึกฝนแต่ละวันจะทำให้เราสามารถแยกเอาแต่น้ำนมแห่งคุณความ และความสุขสันต์ไว้ และบ้วนวิถีความชั่วอันนำเราไปสู่ความกลัดกลุ้มทรมาณ ทิ้งไป
 

ในขณะนี้ เรามีสภาวะทั้งภายนอกและภายในที่สามารถบรรลุความรู้แจ้งและ ความสุขนิรันดร์ได้ เราไม่ควรปล่อยโอกาสนี้ผ่านเลยไปโดยคิดว่า " ฉันจะ ฝึกตนพรุ่งนี้หรือวันต่อไป " ไม่ควรหลงผิดแม้เพียงชั่วขณะไปกับความเกียจ คร้าน ซึ่งจะทำให้เราเคลิบเคลิ้มหมกหมุ่นกับการแสวงหาสิ่งที่ให้ประโยชน์ ชั่วคราวต่อชีวิตปัจจุบัน จนมองข้ามการบำเพ็ญเพียรทางจิต เราควรตั้งสมาธิ จิตแน่วแน่เพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์อันล้ำค่านี้ โดยการพยายาม บรรลุวิถีแห่งความรู้แจ้ง และภพภูมิอันสูงยิ่งขึ้น เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เรา ย่อมเผชิญความตายได้อย่างสงบมั่นคงแทนที่จะเสียอกเสียใจ ทุรนทุราย และ เราจะสามารถหาทางไปสู่การเกิดใหม่ที่มุ่งไว้ได้ เราควรถือว่าการบำเพ็ญ เพียรทางจิตให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และต้องพากเพียรพยายาม ปฏิบัติธรรมให้จริงจังและบริสุทธิ์ให้มากที่สุด เพื่อบรรลุผลดังกล่าว


กล่าวกันว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายได้ถูกเบียดเบียนจากมายา และอุปกิเลสวมถึง ๘๔, ooo ประเภท จึงทรงแสดงธรรม ๘๔, ooo หมวด เพื่อต่อต้านมายาและอุปกิเลสเหล่านั้น พระธรรมทั้ง ๘๔, ooo หมวด ประ มวลได้เป็นพระไตรปิฎก อันประกอบด้วย พระวินัย พระสูตร และพระอภิ ธรรมตามลำดับ โดยเนื้อหาแล้ว พระไตรปิฏกอาจสรุปลงได้เป็นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา นอกจากนั้น หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็อาจ จัดแบ่งออกได้เป็นฝ่ายหินยานและฝ่ายมหายาน คำสอนของฝ่ายมหายาน มีเนื้อหารวมถึงคำสอนของปารมิตายานและวัชรยานอีกด้วย คำสอนของ ปารมิตายานและวัชรยานถือว่าโพธิจิตที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น เป็นประ ตูไปสู่ความรู้แจ้งและเป็นมรรควิถีอันประเสริฐสุดในการช่วยโลก สำหรับ ชาวพุทธมหายานทุกคน โพธิจิตคือกุญแจสำคัญในการปฎิบัติ


เมื่อมีผู้ถามท่านโจโว อตีษะ ถึงคุรุของท่านคือ เซอร์ลิงปะ ( คุรุชาวอินโด นิเซียผู้มีนามว่า ธรรมกีรติ ) ท่านก็จะประนมมือบูชา น้ำตาไหลพราก และ ตอบว่า " จิตสำนึกแบบมหายานใดใดก็ตามที่ฉันได้บรรลุมาแล้ว ล้วนแต่เป็น เพราะเมตตากรุณาของท่านคุรุผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น แม้ฉันจะพบท่านถึงวันละ ๑o ครั้ง ทุกครั้งท่านก็จะถามว่า ' จิตสำนึกแห่งความรู้แจ้งหรือโพธิจิตนั้น หล่อหลอมเข้าไปนความคิดของเจ้าหรือยัง ' สิ่งที่ท่านเน้นความสำคัญเป็น เบื้องแรกและมากที่สุดเสมอก็คือเรื่องการพัฒนาโพธิจิต "
 
 
ดังนั้น แม้พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่องการปฏิบัติ ๘๔, ooo ประการก็ ตาม ในฐานะที่เาเป็นชาวพุทธมหายาน เราจึงควรใฝ่ใจเรื่องการพัฒนา โพธิจิต จิตสำนึกของพระโพธิสัตว์ในการรู้แจ้ง การวางอุเบกขา ความ เมตตากรุณา และความเข้าใจถึงใเขาใจเรา ซึ่งทำให้เป็นสัพพัญญูโดยสม บูรณ์ เพื่อประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง คัมภีร์ เคล็ดวิชาการฝึกจิต ๗ ประการ ซึ่งรวบรวมคำสอนปากเปล่าของท่านคุรุเซอร์ลิงปะที่มีต่อท่าน อตีษะ ได้กล่าวถึงธรรมชาติของโพธิจิตไว้ว่า
 
 
โพธิจิตเป็นประดุจวัชระ ( คทาเพชร )
ดวงอาทิตย์และต้นสมุนไพร
 
 
ในการฝึกจิต โพธิจิตย่อมเป็นเสมือนเพชร เพชรสามารถทำลายความยาก จน และตอบสนองความจำเป็นทุกอย่างได้ฉันใด โพธิจิตก็สามารถทำลาย ความยากจนทางจิตวิญญาณและตอบสนองความต้องการทางจิตได้ฉันนั้น สะเก็ดเพชรชิ้นน้อยนิดย่อมมีค่าเหนือกว่าพลอยเม็ดใหญ่มากนัก
 
 
โพธิจิตเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่กำลังขับไล่ความมืด ยามอาทิตย์อุทัย รัตติกาลจะอยู่อย่างไร ดวงอาทิตย์โผล่พ้นเหนือโลกและสาดแสงไปทั่ว ปฐพีฉันใด จิตแห่งโพธิสัตว์ในกายเราก็เป็นอาทิตย์อุทัยภายในฉันนั้น


โพธิจิตยังอาจเปรียบได้กับต้นสมุนไพรที่สามารถต้านทานพิษของโรคภัย ไข้เจ็บได้ถึง ๔o๔ ชนิด องค์ประกอบของมันเช่น ใบและผลสามารถรักษา โรคบางชนิดได้ด้วย ถ้าเราพัฒนาโพธิจิตภายในตัวของเราแล้ว เราย่อมหาย ขาดจากโรคทางใจทุกชนิด และสามารถบรรลุความรู้แจ้งได้ในที่สุด แม้ แต่การพัฒนาจิตของพระโพธิสัตว์เพียงไม่กี่แขนง ก็อาจทำให้เราหายป่วย จากโรคทางใจได้เช่นกัน

การสร้างสรรค์พื้นฐานของโพธิจิตอันเอื้ออาทรต่อผู้อื่น หมายถึงการได้ รับฉายาเป็นพระโพธิสัตว์ เราอาจฝึกฝนคุณธรรมอื่น ๆ มานานหนักหนา เช่น ปฏิบัติสมาธิและทำจิตว่าง อันเป็นผลจากการฝึกฝนให้เกิดปัญญา ชั้นสูง การปฏิบัติเหล่านี้อาจทำให้บรรลุความเป็นพระอรหัตสาวกหรือ ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ผู้ที่ได้ฝึกฝนจิตสำนึกของพระโพธิสัตว์ ย่อมก้าวพ้นความชำนาญในขั้นต่ำกว่าเหล่านี้โดยอาศัยธรรมชาติอันแท้ จริงของตน โพธิจิตมีอำนาจแฝงที่สามารถรักษาความกลัดกลุ้มหลงผิด ของจิต เช่น ความยึดมั่นในตัวตนและในปรากฏการต่าง ๆ ให้หายได้ เนื่องจากโพธิจิตสามารถรักษาจิตให้รอดพ้นจากรากเหง้าของความทุกข์ ในวัฏสงสาร โพธิจิตจึงเป็นโอสถอันวิเศษที่สามารถถอนพิษความเดือด ร้อนตามปกติในสังคมมนุษย์และสามารถแก้ไขปัญหาทางจิตที่ลึกล้ำยิ่ง กว่านั้นได้


การฝึกฝนจิตตามจารีตนิยม ได้แก่ การมีความอดทนและความเมตตา กรุณาเป็นต้น และการฝึกฝนโพธิจิตในขั้นปรมัตถ์ ได้แก่ การพยายาม ให้เกิดปัญญาล่วงรู้ความว่าง ( ศูนยตา ) ซึ่งเป็นการมองเห็นธรรมชาติ อันแท้จริงและลึกซึ้งที่สุดของจิต กาย และโลกภายนอก เมื่อเราบรรลุ โพธิจิตขั้นปรมัตถ์แล้ว เราย่อมหลุดพ้นจากโลกแห่งความทุกข์และ ความสับสบวุ่นวายนี้ได้อย่างสิ้นเชิง เราจะกลายเป็นพระอริยะผู้อยู่เหนือ โลก และเป็นอิสระจากกรงเล็บแห่งสังสาระ และเมื่อเราฝึกฝนโพธิจิต ตามจารีตนิยมได้สำเร็จ เราก็จะกลายเป็นสัพพัญญู มีอำนาจของพระ พุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ในกาย วาจา ใจ วิธีการบรรลุโพธิจิตจึงมีคุณค่า อย่างที่สุด และเราควรพากเพียรทุกวิถีทางให้บรรลุโพธิจิตทั้งในแง่ จารีตนิยมและในแง่ปรมัตถ์


คัมภีร์ เคล็ดวิชาการฝึกจิต ๗ ประการ กล่าวถึงการฝึกฝนให้บรรลุ โพธิจิตทั้งในแง่จารีตนิยมและในแง่ปรมัตถ์ ดังต่อไปนี้


ในเบื้องต้น เราต้องแสวงหาครูผู้ฝึกที่มีคุณสมบัติพร้อม และสืบทอด ความรู้มาจากคุรุดั้งเดิม เราควรเลือกครูผู้ฝึกอย่างพิถีพิถัน เมื่อเริ่มฝึก ก็ควรพยายามสร้างทัศนคติที่ถือว่าครูหรือคุรุท่านนั้นเป็นองค์รวมของ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะต้องถือว่าคุรุ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง คือองค์พุทธะผู้ปรากฏเป็นคนธรรมดาเพื่อฝึกฝนมนุษย์ให้บรรลุตาม ให้ เอาใจใส่ต่อสิ่งที่ท่านสั่งสอนโดยเคร่งครัด พยายามปรนนิบัติท่าน ๓ วิธี คือ อุทิศตนเพื่อท่าน เอาใจใส่ท่าน และปฏิบัติตามคำสอนของท่าน อย่างจริงใจ การสร้างความสัมพันธ์ด้วยการทำงานร่วมกับครูผู้ฝึก เป็น พื้นฐานของการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งหมด ความสัมพันธ์จากการทำงานด้วย กันนี้เป็นหัวใจของวิธีบรรลุความรู้แจ้ง ถ้าเราต้องการจะเป็นโพธิสัตว์ ผู้ยิ่งใหญ่ ในเบื้องแรกเราต้องเรียนรู้วิธีต่าง ๆ ในการบรรลุขั้นตอนของ พระโพธิสัตว์ จากนั้นเราต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะที่มีประสิทธิภาพ ถ้า เรามีทัศนคติไม่สอดคล้องกับการฝึกย่อมเกิดผลคืบหน้าได้ยาก ในขั้น สุดท้าย ผู้ฝึกจะต้องถือว่าครูผู้สอนคือองค์ปรากฏของพระพุทธเจ้าทุก พระองค์ด้วย


ประการต่อไป ได้แก่การทำสมาธิแน่วแน่อยู่ที่ธรรมชาติอันมีค่ายิ่งของ ชีวิตมนุษย์ เราต้องเรียนรู้ที่จะชื่นชมลักษณะพิเศษของการดำรงชีวิต และโอกาสในการฝึกฝนจิตที่เราได้จากการดำรงชีวิตนี้ คัมภีร์เรื่อง ประ มวลสิ่งมีค่า กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
 
 
โดยอาศัยการฝึกจิต
เราย่อมสลัดทิ้งพันธนาการทั้งแปด
อันเป็นธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลาย
และเราย่อมบรรลุความหลุดพ้นทั้งแปดกับพรทั้งสิบ
 
 
ความหลุดพ้น ๘ ประการที่มนุษย์ต้องการ เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับพันธนา การทั้งแปด พันธนาการ ๔ ประการ เปรียบได้กับสภาวะทั้งสี่ของอมนุษย์ อันได้แก่ ความทุกข์ของสัตว์นรก ความอยากกระหายของเปรต ความโง่ เขลาเบาปัญญาของสัตว์เดรัจฉาน และความไม่อิ่มในกามกับความเฉื่อยชา ของทวยเทพในสังสารวัฏที่บริบูรณ์ไปด้วยโลกียสุข ส่วนพันธนาการอีก ๔ ประเภทคือ สภาวะของมนุษย์อันไม่ปรารถนา อันได้แก่ การเกิดเป็นคนป่า เถื่อนในดินแดนที่ปราศจากความรู้เรื่องจิต ความพิกลพิการไม่สมประกอบ ต่าง ๆ เช่น เป็นคนปัญญาอ่อนหรือวิกลจริต การเกิดในยุคที่ปราศจากคำ สอนเรื่องจิต และการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ กับธรรมชาติของจิตวิญญาณ ถ้าเราเป็นอิสระจากพันธนาการเหล่านี้ได้ ก็ นับว่ามีโชคดีอยู่มาก
 
 
ส่วนพร ๑o ประการอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ หมวด คือ หมวดส่วนบุคคล และหมวดสิ่งแวดล้อม สำหรับหมวดแรก ท่านนาคารชุนได้บรรยายไว้เป็น ร้อยกรองว่า
 
กำเนิดเป็นมนุษย์
สุดประเสริฐในแดนอารยะ
มีอวัยวะครบถ้วน
ล้วนปลอดพ้นอกุศลกรรม
ใฝ่ธรรมฝึกจิต
คือสัมฤทธิ์พรทั้งห้าประการ

มดเอ๊กซ:
ปัจจัยส่วนบุคคลทั้ง ๕ ประการนี้ ช่วยให้เรามีพื้นฐานภายในพร้อมที่จะพาก เพียรเพื่อความรู้แจ้งได้ และท่านนาคารชุนได้กล่าวถึงพรหมวดสิ่งแวดล้อม ไว้ว่า

กำเนิดในยุคอันปรากฏองค์พุทธะ
ได้สดับธรรมะที่ทรงแสดงไว้
พุทธธรรมยังคงสว่างไสว
พรั่งพร้อมไปด้วยผู้ถือปฏิบัติ
หมู่เวไนยสัตว์ต่างเอื้ออาทรกัน
คือปัญจพรต่อสิ่งแวดล้อมของเรา


ใครก็ตามที่มีความหลุดพ้น ๘ ประการและพร ๑o ประการย่อมพร้อมที่จะ รู้แจ้งได้ในชีวิตนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่นับสิ่งมีชีวิตกำเนิดต่ำกว่ามนุษย์ ถ้าเรา อุทิศชีวิตมุ่งฝึกฝนอย่างจริงจัง เราย่อมสามารถบรรลุความสมบูรณ์ทางจิต ขั้นสูงสุดได้ ไม่เพียงแต่สามารถบรรลุเป้าหมายตามจารีตนิยมเท่านั้น ชีวิต มนุษย์มีคุณค่ายิ่งนัก เมื่อเรามีชีวิตแล้ว เราจึงควรพากเพียรให้ได้มาซึ่งแก่น แท่ของมัน เราต้องหมั่นสำรวมจิตถึงความหลุดพ้น ๘ ประการกับพร ๑o ประการ จนกระทั่งความชื่นชมคุณสมบัติแฝงของมนุษย์อย่างดื่มด่ำนี้ สามา รถหล่อหลอมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้กับชีวิตของเรา ให้เราพิจารณา ดูว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากนัก เมื่อเทียบกับพวกที่เกิดเป็นสัตว์ เป็นแมลง และอื่น ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เรามีโอกาสที่จะใช้ชีวิตได้ตามใจชอบ แต่ถ้า เรามัวแต่แสวงหาความสุขทางโลกอันไม่ยั่งยืน เราย่อมหวังไม่ได้ว่า เมื่อ เราสิ้นชีวิตแล้ว เราจะไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่สุขสบาย ผู้ที่ตายโดยไม่เคย ฝึกจิตมาก่อน ย่อมมีความหวังเพียงริบหรี่กับความสุขในภพหน้า


เมื่อเราพัฒนาความชื่นชมใคุรสมบัติแฝงของมนุษย์ให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคง แล้ว ก็ให้เริ่มตั้งมรณสติพิจารณาความไม่เที่ยงและความตาย ตามวิธีการ ของท่านอตีษะที่รับสืบทอดมาจากคุรุเซอร์ลิงปะ แห่งอินโดนิเซีย มรณ สติ หมายถึงการพิจารณาสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ธรรมชาติอันแท้จริงของความตาย ความไม่แน่นอนของเวลาตาย และข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อถึงเวลาตายไม่มี อะไรเลยที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงนอกจากการฝึกจิต สิ่งทั้งสามนี้เรียกว่า " ตรีมูล "


ในการพิจารณาธรรมชาติที่แท้จริงของความตายให้ไตร่ตรองถึงเหตุผล สนับสนุน ๓ ประการ คือ
 
๑. พระยามัจจุราชย่อมมาหาเราไม่ช้าก็เร็ว และเมื่อถึงเวลานั้นย่อมไม่มีสิ่ง ใดขับไล่พระองค์ไปได้
๒. ไม่มีทางที่เราจะต่ออายุไปได้เรื่อย ๆ กาลเวลาของเราได้เคลื่อนคล้อย ไปโดยไม่ขาดสาย
๓. แม้ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราก็มีเวลาน้อยมากที่จะอุทิศให้แก่การฝึกจิต
 
เหตุผลทั้งสามมีรายละเอียดดังนี้


๑. พระยามัจจุราชจะมาทำลายเราวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะมี ร่างกายแข็งแกร่งปานใดก็ตาม ก็ไม่มีวันพ้นเงื้อมมือของความตาย ในคัมภีร์ ธรรมบทของธิเบต มีอยู่บทหนึ่งที่กล่าวถึงความไม่เที่ยงว่า
 
หากนับองค์พุทธะพระสาวก ทั้งหยิบยกพระปัจเจกและอรหันต์ ต่างละกายเนื้อเมื่อดับชีวัน ใยกล่าวกันถึงเราผู้รู้ตาย


ก่อนที่จะดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสงฆ์สาวก " ท่าน ทั้งหลายผู้พากเพียรในจิต ขอจงเอาใจใส่ให้ดี การจะพบผู้ตรัสรู้ธรรมนั้น เป็นเรื่องยากนัก และปรากฏการณ์ทั้งก็ล้วนเป็นอนิจจัง นี่คือปัจฉิมโอวาท ของตถาคต "
 
 
ในอินเดีย คุรุโยคี ธรรมราชา นักบุญผู้รอบรู้และท่านอื่นๆ หลายต่อหลาย ท่านในประวัติศาสตร์ ต่างก็ได้ตายไปแล้วทั้งสิ้น แล้วเราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ ธรรมดาผู้ยังคงยึดมั่นกับขันธ์ห้าอันเน่าเปื่อยผุพังได้ จะหวังอยู่เหนือกฏไตร ลักษณ์ และความตายได้อย่างไร ตั้งแต่เกิดโลกขึ้นมา ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใด มีชีวิตอยู่อย่างต่อเนื่องถาวรโดยไม่เคยเวียนว่ายตายเกิด


พระสูตรถวายโอวาท ตอนหนึ่งได้กล่าวว่า " ความทุกข์ทั้งสี่อันประกอบ ด้วย เกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมทำลายผลสำเร็จทั้งปวงเช่นเดียวกับ ภูเขาทั้งสี่ กระแทกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และบดขยี้ต้นไม้ใบหญ้าที่ขวางเสียสิ้น ย่อม ไม่ง่ายเลยที่จะหลบเลี่ยงโดยการวิ่งหนี ใช้กำลังต่อต้าน ติดสินบน ใช้เวท มนต์คาถา ประกอบพิธีกรรมหรือเยียวยาใดใด " เมื่อความตายมาถึง เรา อาจกินยาที่มีราคาแพงที่สุด หรือเซ่นสรวงบูชาเทพเจ้าผู้คุ้มครองกันอย่าง มโหฬาร แต่ก็หลีกเลี่ยงความตายไปได้ไม่นาน


๒. ไม่มีทางที่เราจะต่ออายุไปได้เรื่อย ๆ และเวลาของเราก็ล่วงพ้นไปทุก ที เวลาที่ล่วงพ้นไปตั้งแต่เราเกิด ส่วนใหญ่ก็หมดไปกับกิจกรรมอันไร้ สาระ กว่าเราจะรู้ตัว ความตายก็มาถึงเสียแล้ว น้ำหยดลงจากกระบอก ทีละหยดไปเรื่อย ๆ ฉันใด และไหมพรมถูกดึงออกจากไจไหมทีละน้อย ฉันใดก็ดี ชีวิตของเราย่อมก้าวเข้าสู่จุดจบของมันทุกขณะ ฉันนั้น


๓. ในชั่วชีวิตของเรา เราให้เวลากับความเพียรทางจิตน้อยมาก พระสูตร ว่าด้วยการกลับสู่ครรภ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า " วัยเด็กกินเวลา ๑o ปี และ ในช่วง ๒o ปี สุดท้ายของชีวิต ร่างกายและจิตของเราก็ไม่แข็งแกร่งพอ ที่จะทำความเพียรทางจิตให้ได้ผลสำเร็จมากนัก " ครึ่งหนึ่งของชีวิต เรา ใช้ไปสำหรับการนอน การกิน การแสวงหาปัจจัยสี่และอื่น ๆ ครั้งหนึ่ง ท่านคุรุเซเซขะวาแห่งนิกายกาดัมได้กล่าว " ผู้ที่มีอายุอยู่ถึง ๖o ปี หลัง จากที่หักลบเวลานอน เวลากิน เวลาแสวงหาปัจจัยสี่และอื่น ๆ เช่น กิจ กรรมบันเทิงต่าง ๆ ออกไปแล้ว จะมีเวลาเหลือเพียง ๕ ปีสำหรับการบำ เพ็ญเพียรทางจิต เวลาส่วนนี้อาจสูญไปกับการปฏิบัติที่ผิดพลาดอีกด้วย " ดังนั้น เราจึงควรเริ่มต้นฝึกจิตเสียขณะนี้โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง


เมื่อเราวางแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ ก่อนอื่นเราต้องจัดเตรียมสัม ภาระที่จำเป็นต่อการเดินทาง ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราจะต้องเดินทาง ไปสู่มรณภูมิเราก็ต้องเตรียมพร้อมโดยการศึกษาไตร่ตรองและสำรวมจิต ถึงเส้นทางนั้น เราต้องมุ่งมั่นและแน่วแน่ในการพากเพียรทางจิต เพื่อให้ เกิดคุณสมบัติภายในที่สร้างพลังอำนาจให้เราตายได้อย่างไม่หวั่นไหว


ประการที่สอง มรณกาลมีธรรมชาติที่ไม่แน่นอน จะเห็นได้จากเหตุผล ๓ ข้อดังต่อไปนี้
 
๑. อายุขัยของชาวโลกไม่แน่นอนตายตัว เล่ากันว่าอายุขัยของมนุษย์ที่ อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดรามิเยนในนิยายปรรัมปรายืนยาวถึง ๑, ooo ปี แต่พวกเราชาวโลกมนุษย์ไม่มีอายุขัยที่แน่นอนเช่นนั้น
 
คัมภีร์ อภิธรรมโกศ ของท่านวสุพันธุ์กล่าวไว้ว่า " ชีวิตมนุษย์ไม่มีช่วง กำหนดแน่นอนตายตัว ในช่วงสุดท้ายของกัปป์ อายุเฉลี่ยของมนุษย์จะ เท่ากับ ๑o ปี และในตอนต้นของกัปป์ อายุของมนุษย์ยืนยาวถึง ๑, ooo ปี " ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว แก่เฒ่า หรืออยู่ในวัยกลางคนก็ตาม ความตาย ย่อมมาเยือนได้เสมอ ดังที่คัมภีร์ ธรรมบทของธิเบต กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
 
ชนผู้เราพบเห็นเมื่อยามเช้า
ต่างก็ตายจากเราในยามค่ำ
ยามราตรียังเห็นอยู่ไรรำ
อาจมาจำจากไปใปทิวา
 
เด็กชายหญิงต่างพบมัจจุราช
หนุ่มสาวอาจมอดม้วยสังขาร
คนเหล่านี้จะกล่าวอย่างไรว่า
มรณาไม่เคลื่อนคลายกรายถึงตน
 
บ้างก็ตายในครรภ์มารดา
คลอดออกมาแล้วตายจากมากเหลือล้น
เด็กทารกสิ้นใจไปหลายคน
บ้างก็เติบโตจนทุกข์ยากจึงจากไป
 
คนตายทั้งเมื่อเยาว์และเฒ่าชรา
เติบใหญ่ขึ้นมาก็ตายได้
มรณะมิเคยจำกัดวัย
ถึงเวลาของใครก็พบเอง


ในเมื่อความตายมาถึงได้ทุกขณะ เราจึงต้องระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราอาจ ตายเมื่อใดก็ได้

มดเอ๊กซ:
๒. สาเหตุของความตายมีอยู่มากมาย แต่เครื่องยังชีพมีอยู่น้อยมาก สา เหตุของความตายที่นับไม่ถ้วนนี้อาจระบุได้ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ ภัยจากคนร้ายและสัตว์ร้าย เป็นต้น ส่วนเครื่องยังชีพ เช่น อาหาร ที่อยู่ อาศัย ทรัพย์สิน เป็นต้น ก็อาจเป็นสาเหตุให้เราตายได้ กล่าวคือ อาหาร อาจเป็นพิษ บ้านอาจถล่ม เป็นต้น นอกจากนั้น เราอาจต้องเสียชีวิตใน ระหว่างการแสวงหาปัจจัยสี่ หรือระหว่างการปกป้องทรัพย์สินของเรา ดังที่ท่านนาคารชุนได้เคยกล่าวไว้ในคัมภีร์ รัตนาวลี ว่า


เราอาศัยอยู่ใต้เงื้อมมรณะ
ดุจตะเกียงน้อยคอยโต้พายุใหญ่

 
๓. ร่างกายของเราล้วนเปราะบาง สิ่งทีแข็งแกร่งที่สุดในโลกภายนอกก็ ล้วนไม่เที่ยง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนมีธรรมชาติเช่นนี้ ความเปลี่ยนแปลง เพียงเล็กน้อยในสิ่งแวดล้อมของเราหรือในระบบภายในร่างกายของเราก็ อาจทำให้เราตายได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรฝึกฝนธรรมะให้บริสุทธิ์ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง และไม่เผลอใจหมกมุ่นกับเรื่องทางโลกขณะฝึกฝน ปฏิบัติธรรม


หัวข้อที่สามที่ต้องไต่ตรองให้ดี คือข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ย่อมไม่มีสิ่งอื่นใดมีคุณค่านอกจากการฝึกจิต ขอให้เราใคร่ครวญถึงเหตุผล ๓ ข้อดังต่อไปนี้


๑. แม้ว่าเราจะแวดล้อมอบอุ่นไปด้วยมิตรสหายนับร้อย แต่ย่อมไม่มีใคร สักคนติดตามเราไปได้ในมรณภูมิ
 
๒. แม้ว่าเราจะมีทรัพย์สินมากมายก่ายกองปานขุนเขาพระสุเมรุ เมื่อตาย แล้วก็เอาไปไม่ได้สักเศษธุลี เราต้องก้าวสู่มรภูมิอย่างเปล่าเปลือยและโดด เดี่ยว
 
๓. ร่างกายที่เราเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่คลอดพ้นครรภ์มารดาก็จะถูกทอด ทิ้งไว้เบื้องหลัง ไม่มีสิ่งใดสืบเนื่อง ยกเว้นกระแสจิตสำนึกและกรรมดี กรรมชั่วที่จิตพาไปเท่านั้น ในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่ หากเราผูกพันอยู่กับ มิตรสหาย ญาติพี่น้อง ทรัพย์สมบัติ และร่างกายของตนเอง เราย่อมใช้ ชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่าและสร้างแต่กรรมชั่ว จิตของเราจะมีแต่ความทุกข์ โทมนัส ราวกับบุคคลที่เพิ่งรู้ตัวว่าได้ดื่มยาพิษเข้าไปนานจนสายเกินแก้ เราจึงควรตั้งใจมั่นแต่บัดนี้ แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตามว่า เราจะไม่ยอมตก อยู่ใต้อิทธิพลของโลกธรรมทั้งแปด เช่น ความสุข ความทุกข์ ยศ ความ เสื่อมยศ เป็นต้น เราต้องหลีกเลี่ยงประโยชน์สุขทางโลก เช่นเดียวกับ หลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย


คุรุองค์แรก ๆ นิกายกาดัม มักฝึกฝนปฏิบัติฌานเบื้องต้น ๕ ประการ คือ กำหนดจิตถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ความตายและความไม่เที่ยง กฏแห่ง กรรม ความบกพร่องของชีวิตที่ไม่รู้แจ้ง และธรรมชาติตลอดจนขั้นตอน ต่าง ๆ ในการเข้าสู่มรรค ผล นิพพาน การฝึกฝนขั้นต้นนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการเตรียมเราให้พร้อมสำหรับการฝึกขั้นสูงต่อไป คนบางคนก็ ละเลยการฝึกขั้นต้น แต่มองการฝึกขั้นสูงด้วยความเคารพเลื่อมใส อย่างไร ก็ตาม แม้คนทั่วไปจะเห็นว่าทองมีค่ามากกว่าน้ำ แต่คนที่กำลังจะตายเพราะ การกระหายน้ำ ย่อมเห็นว่าน้ำมีคุณประโยชน์มากกว่านัก เมื่อเขาได้ดื่มน้ำ จนอิ่มแล้วเขาจึงจะเริ่มสนใจทอง ถ้าเรายังปฏิบัติขั้นพื้นฐานไม่ได้ ก็ขอให้ ลืมเรื่องการปฏิบัติขั้นสูงเช่นวิธีแบบตันตระไว้เสียก่อน เพราะวิธีนี้ยังไกล เกินเอื้อม เมื่อเราฝึกขั้นพื้นฐานได้มั่นคงแล้ว คำสอนในพระสูตรและใน นิกายตันตระจึงจะเริ่มมีความหมายสำหรับเรา


ในขั้นแรกเราต้องสร้างความมั่นใจในวิธีการฝึกให้ได้ เช่น วิธีฝึกมรณสติ และการพัฒนาโพธิจิตว่าด้วยความเมตตากรุณา และความปรารถนาที่จะ ตรัสรู้ธรรมอันช่วยโลกได้ จากนั้นก็ฝึกฝนปัญญาให้รู้แจ้งในเรื่องธรรมชาติ ของตัวตน จิตและปรากฏการณ์ ต้องสร้างรากฐานขั้นต้นให้มั่นคงเสียก่อน แล้วจึงก้าวไปสู่การฝึกขั้นสูงขึ้น มีวิธีฝึกฝนโพธิจิตอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่ วิธีที่เป็นพื้นฐานมากที่สุดคือการฝึกฝนให้เกิดความเมตตากรุณา ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงเสวยพระชาติในอดีตเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ ได้ทรงรอนแรมไปในป่าใหญ่พร้อมกับพระสาวก และได้ทรงพบแม่เสือที่ หิวโหยพร้อมกับลูกเสือเกิดใหม่อีก ๕ ตัว แม่เสืออดอยากจนหมดแรง เคลื่อนไหวไปไหนได้ยาก และกำลังจะกินลูกของตนเป็นอาหาร พระโพ ธิสัตว์ทรงเห็นว่าแม่เสือจะก่อกรรมจากการกินลูกของตน จึงทรงไล่พระ สาวกออกไปเสียและทรงสละเลือดเนื้อของพระองค์ให้เป็นทาน แม่เสือ และลูกเสือจึงรอดชีวิตได้ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นวิธีที่พระพุทธ เจ้าทรงบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติด้วยการพัฒนาความเมตตากรุณาและโพธิ จิตจนตรัสรู้ในที่สุด


พวกเราที่เรียกตนเองกันว่าพุทธศาสนิก มักไม่ชอบปฏิบัติธรรมตามแนวทาง ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ เราชอบเสียเวลาไปกับการสุมหัวนินทาหรือเที่ยว ตะลอน ๆ ไปรอบเมือง นาทีทุกนาทีของชีวิตล้วนมีคุณค่า ถ้าเรามัวแต่เสีย นิสัยไปกับโลกธรรมทั้งแปดแล้ว เราย่อมจะกลายเป็นคนโง่เง่าที่หาได้แต่สิ่ง ไร้ค่าในหมู่ของชาวพุทธผู้ปฏิบัติธรรม พระสงฆ์ผู้อุทิศทั้งชีวิตฝึกฝนปฏิบัติ และศึกษาพระไตรปิฎกกับวิถีตันตระทั้ง ๒ ขั้น ย่อมมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อธรรมะ พระธรรมจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมทรามก็ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของสงฆ์ ผู้ที่ เป็นพระสงฆ์ควรตระหนักถึงข้อนี้ให้มาก ในหมู่พระสงฆ์ ย่อมมีผู้เรียกตน เองว่าอาจารย์ เจ้าอาวาส ลามะองค์อวตาร และอื่น ๆ แต่แทนที่จะปฏิบัติ ตามความการุณย์และปัญญา กลับหลงใหลไปกับชื่อเสียงเกียรติยศลาภสัก การะและอื่น ๆ ไม่ยอมฝึกฝนคุณธรรมภายในให้สำเร็จ จนทำให้ตนเองหมด ความสุขทั้งในภพนี้และภพหน้า
 
 
กล่าวกันว่าการปฏิบัติศีลแม้เพียงวันเดียว ย่อมเกิดผลมากกว่าการให้ทาน ตลอดชีวิต ถ้าทานนั้นปราศจากศีล ข้อแตกต่างดังกล่าวเปรียบเสมือนน้ำ ที่ขังในรอยเท้าม้าเมื่อเทียบกับน้ำในทะเลสาบการกระทำใดที่ปราศจากศีล การกระทำนั้นย่อมหลงออกนอกแนวทางพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี ๖ ประการ คือ ทาน บารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี ฌานบารมี และ ปัญญาบารมี บารมีทั้งหกนี้ต้องอิงอาศัยกันโดยมีศีลเป็นพื้นฐานให้เกิดความ ก้าวหน้าในบารมีอื่น ๆ ทั้งห้า ไม่ว่าเราจะถือปฏิบัติแบบหินยานหรือมหา ยานก็ตาม ศีลบ่อมเป็นสิ่งจำเป็นต่อการฝึกจิตในนิกายหินยาน วิธีการที่สำ คัญคือการใช้หลักไตรสิกขาอันได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา หากปราศจาก ศีลอันเป็นสิกขาเบื้องแรก การก้าวไปสู่สมาธิและปัญญาย่อมเป็นไปไม่ได้ ในนิกายมหายานก็เช่นกัน หลักสำคัญคือการปฏิบัติเพื่อบรรลุบารมีทั้งหก หากปราศจากศีลบังคับตนแล้ว บารมีทั้งหลายนั้นก็เป็นเพียงสิ่งเพ้อฝัน พื้นฐานกรปฏิบัติของเราจึงได้แก่การมีศีลควบคุมตนเอง จากนั้นจึงปรับ ตนไปสู่การศึกษาและการบำเพ็ญเพียรทางจิตในขั้นต่าง ๆ จนกว่าจะบรรลุ แก่นแท้ของพระธรรม คนบางคนคิดว่าหากจะปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องสม บูรณ์แล้ว จะต้องบวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย สิ่งสำ คัญในการปฏิบัติธรรมก็คือ ความมีสติและการควบคุมกิจกรรมทางกาย วาจา และใจของเรา ทั้งนักบวชและฆราวาสสามารถปฏิบัติธรรมได้เช่น เดียวกัน ทะไลลามะองค์ที่ห้า คือ คยาล-วา งาวัง โลซัง คยา-โซ บันทึก ไว้ว่า


ไม่จริงเลยที่ชนทั้งหลาย
ผู้อุทิศแรงกายเพื่อสร้างสรรค์
ให้สังคมเป็นสุขทุกคืนวัน
จะพลันพลาดโอกาสฝึกหัดธรรม

เมื่อคนเรามีสติปฏิบัติ
ย่อมจัดการงานได้ทุกเช้าค่ำ
จิตใจได้รับผลที่กายทำ
ดังหยาดน้ำทิพย์แปรเหล็กเป็นทอง


จากข้อความนี้จะเห็นได้ว่า ฐานะของคนเราไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆรา วาส มีตำแหน่งสูงหรือต่ำในสังคม รวยหรือจน ไม่มีส่วนกำหนดความสำเร็จ ในการปฏิบัติธรรม ผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้สำเร็จหลายคนมิได้เป็นนักบวช ขึ้นอยู่ กับว่า พวกเขาอุทิศตนเพื่อการปฏิบัติอย่างถูกต้องหรือไม่ เมื่อมรณกาลมาถึง จะเป็นนักบวช ฆราวาส จนหรือรวย ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือสภาวะจิตของ เรา หากขณะจะสิ้นชีวิตนั้น เรามีจิตที่แจ่มใส ควบคุมได้ไม่ฟุ้งซ่าน มีความ เมตตาและมีปัญญาเป็นต้น ย่อมแสดงว่าเราได้ใช้ชีวิตมาแล้วอย่างดีงาม หาก วาระจิตขณะนั้นมีความสับสน ยึดมั่นถือมั่น ไร้ที่พึ่งพิง หวาดกลัว ขุ่นข้อง และมืดทึบ ก็แสดงว่าชั่วชีวิตของเราหาสาระอะไรไม่ได้ ผู้ที่ตายในขณะจิต มีสภาวะถดถอยและโง่เขลา ไม่ว่าจะมีฐานะทางสังคมอย่างใดก็ตาม เขาย่อม ไปเกิดในภพภูมิอันต่ำทราม


เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาอันสมบูรณ์สถิตอยู่ในกายเราเสมอ เมื่อได้รับการหล่อ เลี้ยงจากการศึกษาอบรมและการปฏิบัติสมาธิภาวนา กฎธรมชาติก็จะส่งเสริม ให้เมล็ดพันธุ์นั้นเจริญงอกงามขึ้นมาได้ เราควรดำรงชีวิตอยู่ในจิตสำนึกแบบ พระโพธิสัตว์ ที่มีแต่ความเมตตากรุณาและความปรารถนาในโพธิญาณ เพื่อ ประโยชน์สุขของชาวโลกในเมื่อเราโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จงใช้โอกาส นี้ทำความเพียรเพื่อความรู้แจ้งเถิด การผัดวันประกันพรุ่งไม่ก่อให้เกิดประ โยชน์แต่อย่างใด เพราะเมื่อความตายมาถึง เราจะมีแต่มือเปล่า ถ้าเราฉวย โอกาสเริ่มต้นฝึกฝนปฏิบัติเสียแต่เนิ่น แก่นแท้ของชีวิตอันประเสริฐย่อมต้อง ตกเป็นของเราอย่างแน่นอน
 
 
- จาก มรณสติแบบธิเบต พุทธวิธีเพื่อต้อนรับความตาย -

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version