ผู้เขียน หัวข้อ: ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)  (อ่าน 2654 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)

  ความรู้  ความฉลาด ไม่ใช่จะได้จากนักปราชญ์บัณฑิตเท่านั้น
   
     ความรู้  ความฉลาด ไมใช่เราจะเอานักปราชญ์บัณฑิตแต่ถ่ายเดียว ถ้าเป็นทางโลกก็เรียกว่าจบดอกเตอร์ ถ้าเป็นทางธรรม ก็เรียกว่า ผู้ศึกษาจบเปรียญเก้าประโยคเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วนี่ แม้ตั้งแต่เด็ก เราก็มีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ความดี ความชั้ว ได้สติได้เป็นครูบาอาจารย์แนะนำ   ตักเตือน   ลูกศิษย์ลูกหาศรัทธาญาติโยม มาจนทุกวันนี้ ก็เอาความรู้จากญาตโยม จากพระเณรที่ทำผิดๆถูกๆ เราก็ได้ปัญญา  ซึ่งเกิดจากสิ่งเหล่านั้นเช่นการเข้าห้องน้ำ  บางทีก็รู้ว่าห้องน้ำไม่สะอาดเนี่ย ความสกปรกมันเกิดจากอะไร  มันเกิดจากการไม่รักษาถึงแม้ว่าจะเป็นผู้รักสวยรักงามรักความสะอาด มันก็สะอาดไม่ได้ นี่แหละทำให้พวกเราได้ความรู้ สติปัญญา จากสิ่งที่ไม่สวยไม่งามไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้แหละ
   
     ฉะนั้น  สติปัญญา ความรู้ ความฉลาด ไม่ใช่จะเอาจากนักปราชญ์บัณฑิตเท่านั้นถัาหากเรามีความระแวงระวังสังวรอยู่ เราก็จะรู้ความดี ความชั่วได้ ทั้งคนโง่ ทั้งคนฉลาดจากญาติโยม พระเณร เขาสอนครูบาอาจารย์ เราอย่าไปคิดว่าเราสอนเขาอย่างเดียว เขาก็สอนเราเหมือนกัน เหมือนแมงป่องมันสอนนี้แหละ มันต่อยเอาก็รู้เอง ทีหลังจะได้รู้ว่านี่เออ...แมงป่องจะได้รู้และมีสติปัญญามากขึ้นล่ะซี่ อย่างพระเณรเข้าห้องน้ำไม่ถอดรองเท้าเราอายคนอายญาติโยมครูบาอาจารย์ ก็ทำความสะอาดซะเอง  คือเขาสอนเรา ที่นี่เราก็จะได้สอนเขา  ครูบาอาจารย์ก็เอาศรัทธาญาติโยมนั้นแหละ ได้บุญนะ ห้องน้ำไม่สะอาดก้ไปเช้ดกวาดถูเอง ศาลาไม่สะอาดก้ไปทำความสะอาดทำให้เป็นตัวอย่างของคน ก็ได้สอนคนสอนลูกศิษย์ลูกหาศรัทธาโยมไปในตัวเราเลยได้สติปัญญา ความรู้ ความฉลาด จากสิ่งที่มันไม่ดี อย่าไปคิดเอาความรู้แต่เฉพพาะกับคนฉลาดนะ แม้แต่สัตว์ลูกเล็กเด็กแดง คนโง่ๆ ก็ทำให้เราเกิดปัญญานะ  ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม มันสอนเราหมดทุกอย่าง มันไม่มีผิดถูก ไม่มีชั่วดี ไม่มีสะอาด สกปรก เราจะมีปัญญาได้ไง มีตาก็เหมือนตาไม้ไผ่ มีหูก็เหมือนหูกระทะ เห็นแล้วไม้ได้นำมาคิดพิจารณาอะไร เลยไม่รู้เรื่อง เลยไม่มีปัญญาอะไร ตาไม่บอดก็เหมือนบอด หูไม่หนวกก็เหมือนหนวกมีตาอยู่  หูก็มีอยู่แต่ไม่มีปัญญาปกป้องคุ้มครองตนเองให้พ้นจากทุกข์ได้  มีแต่จะนำเรื่องที่ก่อให้เกิดทุกข์เข้ามาสู่กายใจร่ำไปการศึกษาการเรียนรู้  ก็ต้องศึกษาไปอย่างนี้  อย่าไปคิดว่าเราเกิดมาแล้วไม่มีโอกาสนะ  ความจริงแล้วเรามีโอกาสเท่าเทียมกันทั้งนั้นเลย  ไม่ว่าจะเกิดในชาติตระกูลอะไร  แต่ความจริงแล้วเราทำให้ตัวของเราหมดโอกาสเอง  เพราะเราเข้าใจว่าเราเกิดขึ้นมาบุญน้อย  วาสนาบารมีน้อย  เกิดมาเป็นคนอาภัพอับจนก็เลยเป็นคนหมดโอกาส  อันนี้เป็นความรู้ผิดเห็นผิด  คิดผิด  สำคัญว่าเราเลวกว่าเขา  ถ้าเราสำคัญว่าเราเสมอเขาก็ผิด  ความเห็นแบบนี้เป็นความเห็นผิด  สำคัญว่าเราดีกว่าเขาอันนี้ก็เป็นความเห็นผิดเช่นเดียวกัน  เป็นมิจฉาทิฏฐิ  คือความเห็นผิดสามอย่าง  ความเห็นผิดเหล่านี้จะปิดบัง
   
     ฉะนั้นการศึกษาจะเป็นศีลสิกขา  สมาธิสิกขา  ปัญญาสิกขาก็ดี  อันนี้มันไปด้วยถ้าไม่มีศีล  สมาธิก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้  ความสงบระงับ  เยือกเย็นเป็นสุขก็ยาก  คนทำชั่วอยู่เนี่ยจะให้จิตสงบเยือกเย็นมันเป็นไปได้ยาก  ปากว่าพุทโธ  แต่ใจไปทางอื่นแล้วนะ  ยังคิดเรื่องไม่ดีอยู่นั่นเรื่องชั่วอยู่นั่น  มันจะเป็นสมาธิไม่ได้  สงบระงับความฟุ้งซ่านรำคาญก็ยังไม่ได้  แล้วจะให้มันสงบจากบาปธรรมทั้งหลายได้ยังไง  มันต้องอาศัยสมาธิปัญญาพินิจพิจารณาให้เห็นผลเห็นเหตุเห็นอรรถเห็นธรรม  จะเป็นรูปธรรมนามธรรมก็ตาม  ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วมันจะง่ายต่อการประพฤติปฏิบัติ  ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  เพื่อออกจากทุกข์ได้  เหมือนเราเห็นงูพิษ  ถ้าเรารู้ว่างูพิษ  งูนั้นก็กัดเราไม่ได้  เราจะหลีกเลี่ยงมันให้ไกล  เราเกลียดกลัวความสกปรก  เราก็จะรักษาให้เกิดความสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาได้  ฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ท้อแท้  อ่อนแอ  ดูถูกตัวเอง  ว่าเรามีบุญน้อยวาสนาน้อย  เพราะความสำคัญผิด  คิดว่าเราไม่มีวาสนา  อาภัพอับจน  ถ้าคนเราคิดงี้ก็จะเกิดความท้อแท้  ไม่มีกำลังในการสร้างความดี  ทำความดีใส่ตนเองได้  เพราะสำคัญมั่นหมายว่า  เราไม่มีบุญ
   
     ฉะนั้น  ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ  ศึกษาภาวนา  อย่าไปท้อถอย  ทำให้มากเจริญให้มาก  ไม่ต้องกลัวว่ามันผิดไม่ต้องกลัวว่ามันจะถูก  ถ้ามันไม่ผิดไม่ถูก  เราก็ไม่รู้จักความดีความชั่ว  ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม  ก็จะนำความดีมาสู่ตนและบุคคลผู้อื่นไม่ได้  สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้  ไม่ว่าอะไร  คน  สัตว์  ต้นไม้  ภูเขา  มันก็มีดีมีชั่วอยู่ในตัวของมันเอง  พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า  ผู้จะล่วงทุกข์ได้  เพราะความเพียร  ถ้าขาดความพากเพียร  ความรู้  ความฉลาด  สติปัญญา  วาสนาบารมีจะเกิดขึ้นไม่ได้  อย่าไปท้อถอยในการสร้างความดี  อันนี้เป็นการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม  เมื่อเห็นโลกก็เห็นธรรม  เมื่อเห็นธรรมก็เห็นโลก  รู้โลกรู้ธรรม  แล้วก็จะรู้จักสิ่งที่ชั่วเองแหละ
   
   แค่ลงมือทำ                                                                   

   พระอริยเจ้าท่านก็ทำแบบเรานี้แหละ   ผิดบ้างถูกบ้าง  ได้บ้างเสียบ้าง  แต่ไม่ทิ้งทางไป
   
   ลด  ละ  เลิก                                                                                 

   บุหรี่เลิกไม่ได้  ก็เสร็จหมาเท่านี้  แค่กิเลสหยาบๆ  ยังละไม่ได้ จะหากิเลส
   
   หาอยู่หากิน...หาตาย                                                                          
     การเบียดเบียนตัวเองนี่ไม่ใช่ต้องฆ่าตัวตายหรอกเพราะความโกรธความโลภความหลงของเรามันฆ่าตัวเราเอง  อย่างการทำงาน  หาเงินหาทองนี่  วุ่นทั้งวันทั้งคืน  นอนน้อยที่สุด  อายุสั้น  อุปโภค  บริโภค  โดยไม่มีประมาณ  จึงทำให้ชีวิตสั้นลง  ภาษาโลกๆ  คือมันทุกข์เพราะความไม่พอของเขาเอง  มีเท่าไรๆ  ก็ไม่พออยู่นั้นเอง  เราจะเห็นในประวัติศาสตร์ต่างๆ  มากมาย  เป็นการสร้างภัย  สร้างเวร  สร้างกรรมขึ้นมา  เมื่อรู้ก็สายเสียแล้ว  แก้ไขไม่ได้  ทำมาเยอะแล้ว   เลยไม่มีโอกาสแก้  ตายไปเปล่าๆ  ไม่ได้อะไรแม้แต่ทรัพย์สมบัติที่มีเต็มบ้านเต็มเมือง  ก็ไม่ได้อะไรซักอย่าง   เศรษฐีตายหลายคนแล้ว  เราไปทำงาน  แม้แต่ฟันทองในปากเขาก็ยังไปงัดเอา  เขาบอกพ่อแม่ให้เขาซะอีกแน่ะ
   
   ขี้โลภ                                                                                                           

   ให้ มีทาน  มีศีล  มีภาวนา  ไม่มีภาวนาก็ภาวนาสิ  ทำให้เกิดสิ  ไม่ใช่อยากได้  แต่ไม่ทำ  คนสมัยนี้ทำงานนิดหน่อย   อยากได้เงินเดือนมากๆ  นั่งสมาธิวันละ  5  นาที  10  นาที  กันยังไม่ทันอุ่น   อยากพ้นทุกข์  ให้หมั่นสะสมไว้ต่อไปจะได้มีจะได้เป็น   สะสมไว้  ไม่ได้ใช้ใน พระนิพพานนะ   ใช้ในวัฏฏะ  ให้ทำก็เพื่อจะต้องไปเกิดน่ะแหละ  เพราะยังต้องเกิดเลยต้องทำมันเกิดแน่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เกิด  ถ้าไม่เกิดแล้วก็แล้วไป
   
  รู้ก็ไม่เห็น  เห็นก็ไม่รู้                                                                                     

   การ นั่งหลับตาก็นั่งคิดปรุงแต่งไปอย่างนั้นแหละ  ไม่ต้องไปหลับตาเห็นนิมิตอะไรหรอก   ลืมตาก็เห็นแล้วเหมือนกัน   จะไปหาหลับตาทำไม   คนไม่มีปัญญาลืมตาก็ยังไม่เห็น  ไม่เห็นความดี  ความชั้ว  ความเสื่อม      ความเจริญ สุข ทุกข์ ยังไงก็ไม่รู้เรื่อง ลืมตาดูแท้ๆ
   
   มาร คือ อะไร                                                                                             

   เราไม่เคยเห็นพญามาร เคยเห็นแต่ความคิดนี่แหละมันเป็นมาร


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2010, 04:06:52 pm »

   จะเอาอะไรก่อนตาย                                                                                       
   อยู่ ไปเพื่ออะไร ต้องการอะไร ความสุขล่ะเราได้ไหม ไม่ได้เพราะเราเอาเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกวิธีไว้หลายวิธีเราไม่ทำซะที อยากรวย รวยหรือยัง  อายุมากแล้ว หรือจะเอาสวย ใกล้สวยเป็นนางสาวจักวาลหรือยัง  มีแต่ไม้เท้า 3ขา 4 ขา น่าเกลียดขึ้นทุกวัน พญามัจจุราชไม่เคยรอใคร ความตายไม่เคยบอกว่าวันไหน อย่าโอ้เอ้โลเล เสียเวลาที่ได้เป็นคน ไม่อบรมสร้างสมบารมี จะได้ มรรคผล ยังไง เหมือนอยากกินข้าวไม่ปลูกข้าว จะได้กินยังไง ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า อาจชาตินี้ก็สำเร็จก็ได้  ให้ทำเสมอ  ให้ทำเอา อย่าได้มีอกุศลในใจ เหมือนสนิมกินเหล็ก ให้ขูดขัดเกลา จนเหลือแต่เหล็กขาวๆ เหมือนจิตใจขัดเกลาเข้าตามมุ่งมาดปรารถนา ก็จะขาวสะอาดได้ ให้รู้ว่าตนเองยังจน ยังไม่พอ ยังน้อย ไห้รีบทำ ให้รู้

   ไม่แน่

   แค่ ขนเม่นก็ทำให้คนฆ่ากันได้  ปกติล่าเนื้ออะไรมาได้ก็จะแบ่งเท่าๆ  กัน  ล่าช้างมาตัวใหญ่แล่งได้เนื้อเยอะ  ขนมันนิดเดียว  นี่ขนเบ้อเริ่มแบ่งเนื้อให้นิดเดียว  นี่นะขนบังตา  ภาพลวงตานิดเดียวลวงใจไปด้วย...สร้างภาพขึ้นมาแล้วก็หลงผิดไปได้  เรื่องเล็ก  จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

   ได้เท่อที่ทำ

   ไม่ ใช่แค่หัวโล้นผ้าเหลืองจะเป็นพระนะ  ผ้าขาวก็เป็นได้ใจมันก็เป็นพระเอง  นี่เราอยากได้เป็นพระอรหันต์  อยากนิพพานแต่ไม่ทำเอา  มันก็ไม่ได้  มันได้เท่าที่มันเป็นนั่นแหละ  คือเป็นทุกข์  ไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น

   วายวอด

   กิเลส กินได้ทุกอย่าง  มีเงิน 100  ล้านก็ยังทุกข์  น่าอนาถนะคนนี่  กิน 24 ชั่วโมงก็ได้  ขอแต่อยาก  กินได้ตลอด  มันเป็นทุกข์ตัวเองน่ะแหละไม่ใช่คนอื่น  ให้มีกินตลอดชีพ  มีกายวาจา  ทำดี  ใจคิดดีก็พอแล้ว  กว่านั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส  กิเลสเป็นโรคที่ไม่มีปริมาณเหมือนไฟที่ไม่เบื่อเชื้อ  ท่านจึงให้รู้จักปริมาณ
   
   หนีไม่พ้น

   เรา มานั่งให้เป็นนอนให้เป็น  มันเป็นไม่ได้  ดีไม่ได้แน่ๆ  พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติ  จึงเป็น  ยิ่งกลัวทุกข์ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก  กลัวตายก็ไม่พ้นตาย  กลัวเจ็บไม่พ้นเจ็บ  ยิ่งกลัวแก่ยิ่งแก่ง่าย  ให้ตั้งใจภาวนาอย่าท้อแท้  กลัวล้มกลัวตาย  ต้องปฏิบัติ

   เมื่อรู้จริงก็ทิ้งทุกข์ไปได้

   เมื่อ รู้จริงแล้วไม่ทำอะไรก็หายกลัวเอง  เหมือนกลัวผีหลอก  ก็ให้ฝึก  เหมือนโดนเขาด่าเมื่อเรารู้แล้วว่าเขานิสัยอย่างนี้  ก็ไม่ต้องว่าอะไร

   รู้จักเก็บ

   จิตใจเหมือนตะกร้า  ให้เลือกเฟ้นแต่สิ่งดีๆ  ใส่  อย่าหาขี้หมู  ขี้หมา  ขี้โกรธ  ขี้โลภใส่  ขึ้นชื่อว่าขี้นี่ไม่ดีนะ
   
   ตัวกูของกู

   แม่ ที่ลูกตายก็ครวญครางเพราะเห็นว่าเป็นลูกเรา  อันที่จริงมันไม่ได้เป็นลูกใครหรอก  หนอนอยู่ในตัวเราเป็นร้อยเป็นพัน  มันก็ว่าของมัน  ยุงมากินเรามันว่าว่าลาภมัน  เราก็ว่าของของเรา  จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นของใคร  มันเป็นสมบัติโลก
   
   หูกระทะ

   ฟังธรรมแล้ว  ให้ฝึกภาวนาไปด้วยไม่งั้นหูก็เหมือนหูกระทะ  เอาไม้ขัดไว้  หามของหนักๆ  เท่านั้น
   
   หมดอายุสังหาร

   เขา ทุกข์  บินมาหา  เขาคิดแต่ว่าของเขาคนเดียว  ที่จริงแล้วมันทุกบ้านทุกประเทศ  ทุกที่เขาตายกัน  นอนอยู่ดีๆ  ก็ตาย  เขียนหนังสือก็ตาย  ขับรถมาประจวบเข้ากันพอดีก็เลยตาย  มันหมดบุญ  หมดเวลา  เรียกว่ากรรมน่ะแหละ  ใครจะไปตั้งใจตาย  มันไปตายเอง  ขึ้นเครื่องบินก็ตก  บก-น้ำก็ตาย  เรือชนก้อนหินก็ตายอีก  ท่านว่าหมดบุญ  หมดแล้วนะ  ถึงเวลานั้นตายแน่ๆ  หมอนั่งเฝ้าอยู่ยังตาย  พ่อหมอ  แม่หมอก็ตาย  ใครจะรักษาได้  ความตายเป็นสัจธรรม  แต่เราไม่รู้ว่าใครสร้างวาสนาบารมีมาแค่ไหน  เราไม่รู้จริง  เรื่องสังขารร่างกายมันหมดบุญแล้วก็ต้องแตกดับ  จะว่า  โอ้ย  ขอให้อยู่ไปก่อน  เออ !เวลามันไม่ตายก็อยู่ได้หรอก ขึ้นเครื่องบินลำเดียวกันตก ยังไม่ตายก็มี กรรมมันรักษาไว้  ให้รู้แล้วจะเข้าใจว่าควรจะปฏิบัติยังไงกับตนและผู้อื่น
   
   อย่าสู้เพียงแค่เป็นอาหารหนอน                                                                   

   ให้ เอาตายสู้เลยบางครั้ง  นั่งนอนอยู่เฉย ๆมันก็ต้องตาย  เมื่อไหร่จะทำความดีล่ะ  ไหนๆก็จะตายแล้ว  ถ้ามันมีเหตุควรตายก็เอาตายสู้ให้ใช้ปัญญา  นักปฏิบัติ…ไม่ใช่ฆ่าตัวตายสู้แบบโง่ๆ ให้สู้ด้วยความฉลาด  อย่าไปตายโง่ๆ คำว่าสู้ตาย  สู้ตาย  ต้องสู้แบบมันไป  ไม่มี  ทางหลบหลีกแล้วก็สู้อย่างนั้น  บางคนครูอาจารย์ดุด่าว่ากล่าวก็น้อยใจ  กินยา  หรือหลบ  ไปอดอาหารตายในถ้ำ  ตายไปไม่เห็นน่าอัศจรรย์อะไรเป็นประโยชน์ก็แค่อาหารหนอน
   
   หาจนตายไม่มีวันเจอ                                                   

   สิ่ง ที่เขามี...เขาเป็น  เพราะเขาทำมา  ไม่ใช่แค่ปรารถนาแล้วจะได้  ท่านจึงให้สร้างไว้พึ่งพาอาศัย  เกิดมาได้เป็นคนสวยงาม  ร่ำรวย  ให้คิดนี่แหละคือบุญที่ทำไว้  ให้ระลึกถึงบุญเป็นอารมณ์  ให้รู้ตัวเลยว่า  เราได้ทำบุญไว้  รักษาศีลไว้  เจริญภาวนาไว้  ผลที่เว้นบาปทำบุญสร้างสมความดีบารมีจนแก่กล้า   ถ้ามิได้ทำไว้หรือทำชั่วไว้เกิดมาก็ทุกข์ก็ยากจนพยายามขวนขวายหาเงินหาทอง  หาเท่าไหร่ก็ไม่ได้หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ  เหมือนเราหาของที่ไม่มี  หาอะไรก็ไม่เจอ  เพราะไม่ได้ทำไว้  หาเท่าไหร่จึงไม่มี
   
  เลือกเป็นได้                                                                       

   อยาก ร่ำ  อยากรวย  อยากสวย  อยากงาม  ต้องทำยังไง  ให้รู้จักเหตุของมัน  รู้แล้วก็ปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านว่าคนจะเกิดในตระกูลสูง  ต้องมีกิริยาอ่อนน้อมไม่กระด้าง  มีระเบียบวินัยเป็นวัตร  ทำอะไรเป็นระเบียบเรียบร้อย  รักความสะอาด  หายก็รู้อยู่ก็งามตา  จะทำให้เกิดในตระกูลสูง
   
   ใครทำใครได้                                                                     

   อย่า ไปคอยให้คนนั้นคนนี้ทำให้นะ  อย่าไปคอยเวลานั้นเวลานี้  ชีวิตมีอยู่โอกาสมีอยู่ให้รีบทำความดีเลย  ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เกิดนะ  ยังไงก็เกิด...ในภพในชาตินี้เพราะมันไปยืดถือขอให้เกิดเป็นงั้นงี้  เออ...อ   ถ้ามันขอได้คงมีแต่คนรวย  ไม่ทุกข์  ไม่ยาก  ไม่ขี้เหร่   ไม่จนมีแต่ฉลาด  ถ้ารอวันนั้นวันนี้เวลานั้นเวลานี้  มันจะไม่ได้ทำนะ  กิเลสมันหลอกไปเรื่อย  เลยไม่ได้ปฏิบัติมีแต่เวลาของกิเลส


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2010, 04:58:29 pm »


   กัดแหลก                                                                          

   หมา กัดเรา  เราจะไปกัดหมาเหรอ  ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบใคร  วิ่งตามมันทันเหรอ  กัดสู้มันได้เหรอ  มันก็มีแต่เสียเปรียบมันวันยังค่ำ
   
   ยังไงก็ตาย                                                                       

   สังขาร มีแต่เสื่อม หาเสื้อมาห่ม  คลุมหัวกลัวหวัด  ถูสบู่ให้  หาอาหารดีๆ ให้  สบู่ไม่หอมก็ไม่เอา  ดูสิ  ดูแลดีขนาดไหนก็ยังแกยังเจ็บ  ก็ตายอยู่ดี  เดือดร้อนทุกข์ไม่สบายกาย  ใจอยู่ดี  จึงให้มีปัญญา
   
  เสียชาติเกิด                                                                       

   ตำรวจ ผู้หนึ่งจี้ปล้น  ข่มขืน  ใช้อำนาจในทางที่ผิด  ความโง่ทำลายตนเอง  สุดท้ายจนมุมยิงตัวตาย  หนีทุกข์  ลงนรกยิ่งทุกข์กว่านี้ด้วยซ้ำ  อุตส่าห์เกิดเป็นมนุษย์
   
   เหตุเกิด                                                                 

   ข้องอยู่ตรงไหนก็เกิดตรงนั้น  ติด( ตา )  อะไรก็เกิดที่นั่น
   
   ไม่มีอะไรก็ไม่ทุกข์สิ่งนั้น

   หมั่น พิจารณาดูคุณโทษมันจึงจะละได้ ตาก็มีคุณมีโทษ หูมีคุณมีโทษ ฟันก็มีคุณมีโทษ(เทศน์ขณะปวดฟัน ) ทุกอย่างมีคุณมีโทษทั้งนั้นในโลกนี้ ถ้าเข้าใจแล้วก็ปล่อยมันเถอะเรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา พิจารณาดูว่าถ้าเราเกิดอีก ฟันต้องมาหลุดอีก  ตามาฝ้าฟางอีก พิจารณาดูแล้วมันจะไม่อยากเกิด สารพัดจะเป็น โอ๊ย  ร้อน-หนาว  โอ๊ย รวย-จน ก็เป็นแบบนี้แหละในสงสารนี้
   
   ไฟไม่เบื่อเชื้อ

   ให้ พิจารณาอย่าให้อารมณ์แก้ปัญหา เอาอารมณ์เข้าแก้คือเอาเชื้อเพลิงโยนเข้ากองไฟยิ่งไหม้หนัก จึงต้องหาวิธีลดละ ปล่อยวาง ไม่โยนเชื้อเข้าไป ไฟมันก็ดับเองเย็นลงเอง ให้มีปัญญาวิธีแก้ความโกรธ หลง ราคะ โทสะ มีสติกลั่นกรอง มันร้อนเพราะมีเชื้ออยู่ เชื้อไฟเหมือนถ่านนะ ถ้าเราวางปล่อยไป ความร้อนจะลดลง
   
   ความหลุดพ้น

   หลุด พ้น คำนี้คือหลุดพ้นจากความชั่วน่ะแหละ ทุกข์มันจะหายไปสุขมันจะเกิดมาแทนที่จนสุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา มันจะเป็นไงก็ช่างมัน แต่ว่าไม่ใช่มันไม่รู้หรือไม่มีนะ มันเกิดจากร่างกายนี้ มันเกิดมาเราไม่เอา มันก็จบเท่านั้นเอง มันเห็นธรรมดาจริงๆ ไม่ใช่แค่ตามอารมณ์(สัญญา) นะ ต้องรู้ถึงจิตใจจริงๆ สุขมันก็ยังเป็นทุกข์ ทุกข์มันก็ยังเป็นสุข มันไม่หนีไปไหน
   
   (ไม่) ฝืนกระแส

   เรื่อง ต่ำๆ เลวๆ นี่มันจะง่ายนะ หล่นลงไปง่าย เรื่องดีๆ นี่มันต้องฝืนประพฤติปฏิบัติ ความพากเพียรอดทนไม่มี ขยันหมั่นเพียรไม่มี สติไม่มี  สมาธิไม่มี ปัญญาก็ไม่มี มันขาดไปหมดนะ ไม่ต้องฝึกหัด มันไหลลงที่ต่ำที่เลว ความสุขมันเกิดขึ้นแวบเดียวช่วงนั้น ความสุขที่เกิดจากความยินดีแป๊ปเดียวก็จบ เช่น ดูหนังเดี๋ยวก็จบ เงินหมด กลับบ้าน เมียด่า
   
   ไม่เที่ยง

   อย่าจริงจังอะไรเลยในโลกนี้ เราเคยเห็นคนจนมากกลับรายขึ้นมามาก คนรวยมากเสื่อมจนลงมากก็มี...
   
   (ผม) คากิน (ครับ)

   ทำไม คิดว่าบวชแล้วมันทุกข์ยากหลาย เพราะมันต้องกินมื้อเดียว ไม่ได้กินตามใจอยาก หรือ กินมาก ต้องหามาก หานี่ลำบากนะเวลาหามา เหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงให้กินมื้อเดียวแค่กันตาย กินมากก็ตายนะ กินอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม ก็ป่วยแก่นะ ไม่เลือกหรอก
   
   บารมี

   บาง คนให้ทาน แต่ไม่ชอบบอกคนอื่นให้ทาน จึงมีโภคทรัพย์แต่ไม่มีบริวาร บางคนไม่มีโภคทรัพย์ แต่มีบริวาร เคยไปงานศพ คนตายไปจ๊น...จน แต่มีคนมาช่วยมากมาย มาทานให้หลาย ๆ ก็มี
   
   หาดีตรงไหน

   ทำไม สิ่งเลว ๆ ทำง่ายเหลือเกิน สิ่งดี ๆ ไม่รู้จักทำ มีธรรมะ ไม่รู้จักใช้ธรรมะ น่าศรัทธาเลื่อมใสไหม การปฏิบัติต้องพิจารณาอย่างนั้น จึงจะมีปัญญาเห็นธรรมะ เห็นตัวเองก็ได้ คนอื่นก็ได้ เออ...มันไม่เหมาะ ไม่ควรนะ ถ้าทำแบบนี้มันเป็นเรื่องฆราวาส ก็สึกไปเป็นฆราวาลสิง่ายที่สุด ถ้าเป็นนักบวชต้องระวัง สมณสารูปของตนให้อยู่ในกรอบก็จะดีนะ เป็นฆราวาส อยากเป็นพระ เอาผ้ามาห่มโกนหัว แล้วทำตัวแบบฆราวาส ทำอยู่ทำกินฆ่าสัตว์ไม่เลือกกาลเวลา อย่างนี้ศิลธรรมอยู่ไหน ดิบดีอยู่ไหน ผิดประเภท เวลาเป็นโยมอยากเป็นพระ เวลาเป็นพระอยากเป็นโยม เลยเป็นผีบ้า
   
   ปัญญาที่แท้จริง

   อย่า ไปดูถูกใคร เห็นคนวิกลวิกาล โง่เขลา เบาปัญญา พิการยังไงก็ไปดูถูกเขาไม่ได้ มันมีเวรกรรม ให้ทุกข์ให้โทษกับเราเหมือนกัน การดูแลใครนั้นคนมีปัญญาจะคิดว่า ยกให้เป็นเรื่องของกรรมไปเสีย ให้เห็นเป็นสัจธรรม ถ้าเรามีปัญญากว่าเขาจริง ๆ แล้ว ให้วางเสีย ต้องวางให้เป็นซิ
   
   ว่าง วาง ปล่อย

   พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ถ้ายังยินดีในสุข ยินร้ายในทุกข์ ก็ยังไม่พ้นทุกข์นะ ผู้ที่ได้นิพพานท่านจะเห็นธรรมดาว่าขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์ มันมีอุปาทาน สุขก็ยึด ทุกข์ก็ยึด จึงยังไม่พ้นทุกข์ ผู้ที่ได้สมบัติก็สุขกับการไร้ตัวตนที่เงียบ ๆ พอออกมามีตัวตน วิญญาณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตใจ ก็ไม่อยากมี เบื่อหน่ายอยากนั่งเงียบ ๆ ที่ว่ามันสุข มันสุขอยู่ที่ความยินดีนั่นเอง ก็ยินดีในขันธ์ 5 นี้เอง เรายังมาสุข-ทุกข์ ไม่เสียใจ ไม่ยินดีจะว่า ว่าง วาง ปล่อยไม่ปรากฏก็ได้ อะไรมันปรากฏ! ก็สุขกับทุกข์น่ะแหละ แต่อันนี้มันไม่ปรากฏอย่างนั้น มันเห็นธรรมดาธรรมชาติของมันจริง ๆ แล้ว มันก็เปลืองทุกข์เปลืองสุขได้
   
   เชื่อบ่ได้

   กิเลส มันหลอกต่าง ๆ หลอกเจ้าของไปเรื่อย ๆ แต่งงานแล้วคงดีนะ ก็เลยแต่งงาน พอมีครอบครัวแล้วก็คิดว่า ต้องหาเงินสร้างครอบครัว ก็เหนื่อยหาเงินอีก อยู่ไปก็คิดว่า ถ้าเรามีลูกซะก็คงจะดี อ้าว! มีลูกออกมา คิดเอาว่าเราอุ้มลูกเอาไว้ ให้พ่อออกไปทำงานครอบครัวคงมีความสุขดี ลูกโตหน่อยให้เรียนคงดี ไปหาเงินให้เรียนอีก โตอีกหน่อยเราคงจะสบาย ส่งให้เขาเรียนต่ออีกสักหน่อย ก็หาเงินส่งอีก ถ้าเข้าวิทยาลัยแล้วก็สบาย หาอีก...ค่าเทอมหมดไปเป็นล้าน...หลอกไปยังงั้นแหละ หลอกไปเรื่อยนะ กิเลส เออออ! มีหลานคงสบายเลี้ยงหลานอีก ตายไปเปล่า ๆ ไม่สิ้นสุด กิเลสมันหลอกให้วนอยู่ในวัฏฏะสงสาร แล้วเมื่อไหร่...เราจะภาวนากัน นี่เป็นเวลาที่เราจะแก้ตัว ทำสิ่งผิดให้ถูก ที่ดีให้ดีขึ้น


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2010, 07:20:33 pm »
     

   ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

   มี คนมาขอยามะเร็ง หลวงพ่อเลยให้ไป เอาไม้ไปต้มกิน หายก็เอา ตายก็ตายไป โยมเอ๋ยไม่มีใครไม่ตายหรอก หมอก็ตาย ญาติหมอก็ตาย อายุสังขารหมด อบรมมาแค่นั้นก็ตายเท่านั้นแหละ อาตมาก็คือกัน บุญวาสนามีก็ไม่ตาย ชีวิตมันน้อย ไม่พอแก่ความปรารถนา จะรอวันก่อนไม่ได้ มีชีวิตอยู่ให้รีบทำความดีให้เป็นอุปนิสัย ต่อไปบุญที่ได้สั่งสมอบรมไว้ดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ แก่กว่านี้ก็ลำบากกว่านี้ เจ็บก็ลำบาก ตายยิ่งแย่ใหญ่ พวกเราจะไปภาวนาเวลาไหน ถ้าไม่เอาเวลาที่มันสบายอยู่ตอนนี้ ตายไปก็หมดสิทธิ์ในสมบัติโลก อย่าโอ้เอ้ลังเล...คิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง ?
   
   ละวางอย่างเข้าใจ

   ถึง กาลถึงเวลา เมื่อธรรมชาติมันบริบูรณ์ มันก็ละได้วางได้ หมดปัญหา ไม่มีปัญหา ไม่ใช้แค่คิดจะปล่อยจะวางก็ปล่อยเลย ไม่ได้นะ เช่นเห็นไฟแล้วคิดจะปล่อยทิ้งเลยก็ไหม้ได้นะต้องเลือกสถานที่ทิ้งไฟจึงจะดับ ลงได้ บางแห่งทิ้งแล้วอาจจะลุกลามพินาศวอดวายไหม้ไปกว่าเดิม การทิ้งกิเลสก็เหมือนกัน เมื่อไม่รู้โทษแล้วมันจะละได้ การวางความชั่วความเลวก็ต้องเข้าใจมัน
   
   เห็นคุณเห็นโทษ

   ทุก วันนี้ เราก็ต้องอาศัยกิเลสอยู่ทั้งนั้นแหละ อัตภาพร่างกายนี้ ก็ได้จากบิดามารดา ให้เห็นว่ามันเป็นกิเลส ไม่ใช่แค่ไม่กินข้าวกินปลา อย่างนี้โง่เต็มที เพราะเราเห็นแต่ทุกข์ เช่น อัตภาพร่างกายนี้ เป็นที่เกิดของโรคทั้งนั้น ทั้ง ตา หู จมูก มองมุมเดียวนี้ก็เห็นแต่โทษอย่างนี้จึงให้มันตายดีกว่า มีแต่เรื่องทุกข์ มันผิดไม่มีธรรมะ ไม่มีปัญญา ให้พิจารณาคุณด้วย เช่น ถ้าไม่มีอายตนะนี้ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) มันก็ผี...เป็นคนไม่ได้ ถ้าแยกออกมาแล้ว จะเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ทุกข์เลยนะ ที่ทุกข์ก็จิตมันยึด ถ้ามีปัญญานะ ต่อไปเราจะจับไฟก็ได้จับเสือก็ได้
   
   สู้ไม่ถอย

   การประกอบความดีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่าท้อถอย ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ให้ทำพระพุทธเจ้าท่านก็ทำแบบนี้
   
   เจ้าคนนายใคร

   มัว แต่เอ็นดูสงสารไม่ฝึกหัดลูก จบปริญญาแล้ว แม่ยังต้องปูที่นอนให้ แต่งงานแล้วนะ ทำอาหารก็ไม่เป็น อาหารธรรมดาเหมือนกันก็ไม่กิน ต้องไปกินภัตตาคาร จานเท่าไร 500 บาท  ก็กิน ว่ากล่าวก็ไม่ได้ ต้องฝึกกันตั้งแต่เล็ก พอโตก็ฝึกไม่ได้แล้ว ส่งให้เรียนสูงๆมันจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นได้แต่นายพ่อนายแม่มันน่ะซี แล้วก็เอาแต่คนเสียๆมีดีมาให้ฝึกหัดพระจะทำอะไรให้บอกแล้วไม่ทำก็แล้วไปต้อง พาไปให้ทหารฝึกโน่น บอกให้นั่งต้องนั่งไม่งั้น เตะ แล้วเอาพานปืน(ด้ามปืน) ตี เอาแต่ฝึกไม่ได้มาวัด เอาของไม่ดีมา เอาของดีมาสิวัดนี่ อยู่วัดก็ดี พอออกจากวัดก็ไม่ดี
   
  เรื่องบ้าบ้า

   ใคร มาติเตือนก็ไม่อยาก มันเป็นธรรมะ คนหนึ่งมันเป็นผีบ้า เราก็เป็นบ้าต่อ เป็นผีบ้าคนที่สอง เดี๋ยวก็บ้าต่อไปอีกเป็นคนที่ 3 อีก ยินดีก็ไฟยินร้ายก็ไฟ ไฟแท้ๆ  พระอริยเจ้าท่านจะเห็นรูปรสกลิ่นเสียงเป็นธรรมดาของมัน ผีบ้านี่ วันหนึ่งก็เป็นอย่างอีกวันก็อีกอย่าง จริงๆมันก็ผีบ้าทุกคนแหละ ยินดีในสิ่งที่ชำรุดไม่เที่ยงไม่จีรังก็บ้าน่ะสิ อยากให้มันเที่ยงถาวรตามมุ่งมาด มันเป็นไปไม่ได้มันเป็นสัจธรรม มันมีหน้าที่อย่างนี้ เขาด่าก็ไม่อยากให้เขาด่า เขาว่าก็ไม่อยาก เขาทำเราก็ไม่อยากให้เขาทำ เขาทำก็เดือดร้อน เขาไม่ทำก็เดือดร้อน มันเป็นอะไรบ้าหรืออะไร ดูตัวเองสิ  พระอริยเจ้าท่านไม่เป็นบ้า เพราะท่านรู้เรื่องบ้าๆ เหล่านี้ไงเล่า เขาติ เขาชม ก็เรื่องของเขา ถูกใจ เขาก็ว่าดี ไม่ถูกใจเขาก็ว่าร้าย เข้าใจธรรมก็หมดปัญหาไม่เดือดร้อน ติชมแล้วก็ดีไปหาติชมกันเอาสิ ติก็เท่าเดิม ชมก็เท่าเดิมมันไม่เป็นไปตามความพอใจใครทั้งนั้น เราจะตายก่อนนะสิ
   
   มีปัญหาแล้วทิ้ง

   ความทุกข์นะ ถ้าเราคอยปัดทิ้งไป ทิ้งไป ที่มากมันก็น้อยลงๆๆ เหมือนเราหาบไว้ ค่อยๆหยิบทิ้งไปๆๆมันก็จะเบาลง
   
   ให้รู้

   ทุกข์ เมื่อเกิดขึ้นมาให้กำหนดรู้ว่า อนิจจาไม่แน่นะ...ไม่ใช่ละทุกข์นะ ละไม่ได้ง่ายๆ ถ้ากำหนดรู้แล้ว เห็นโทษเห็นภัยมันแล้ว มันจะละเอง  วางเอง ให้กำหนดรู้ไว้มันจะลดลงเอง
   
   ทำเอง

   พูด ถึงการทำบุญว่า  กว่าจะหาเงินมาทาน กว่าจะทำมา มันยากนะ หวังจะเอาบุญกับพระ ให้คิดซะใหม่ว่า ทำเอาเองซิบุญนะ พระทำไม่ดีไม่งาม เราจะทำให้งามเอาบุญเองสิ ไม่ใช่ไปหวังบุญจากคนอื่น
   
   ของคู่กัน

   ความ เสื่อมกับความเจริญมาคู่กัน ดูกรุงเทพสิ ตึกสูง ตึกสวยงามมีความเจริญ แต่ที่ราชบุรีภูเขาโดนระเบิดหมดแล้ว มันเจริญขึ้นที่หนึ่งอีกที่หนึ่งมันก็เสื่อมลง ให้พิจารณาว่ามัน เป็นเช่นนั้น อธรรมก็มาคู่กับธรรมเช่นกัน
   
   กระแสกิเลส

   ยินดี ยินร้าย เพราะเราไม่รู้ความเป็นจริง เมื่อไม่รู้จึงเรียกว่า ผีบ้า จิตเป็นพาล วิญญาณ(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นบ้า ขันธ์ห้าเป็นไฟ มันลุกอยู่ตลอดเวลา ใจเป็นเปรต กิเลสเป็นผี มันบ้า ไม่ชอบทุกข์ตนเองแหละคิดขึ้นมา เลยไปหาทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยนะ หาโฆษณาไปเรื่อย คนนี้อย่างงี้ มีแต่ผลเสียอย่างเดียว จับไปพูดคนนั้นว่างั้นคนนี้ว่างี้ ดีก็ตื่น ไม่ดีก็ตื่น ตื่นกระแส จนลืมตนเองว่า เรามันเป็นอะไร มันถูก  หรือผิดนี่ ไม่ได้กลั่นกรองตนเอง หาดี..อยากได้ความดีแต่หาดีไม่ได้ เพราะคิดว่า ตนดีตลอด มันไม่มีก็ว่ามี ไม่เป็นก็ว่าเป็น ไม่ถูกก็ว่าถูก เขาไม่พูดก็ว่าเขาไม่พูด เลยไปกันใหญ่ เราไม่มีหลักฐานจัง เอามาพูดนี่มันเสียคนนะ เสียใจ เสียชื่อเสียง เกียรติยศ เสียศีล เสียธรรม ความอยากดี อยากเด่น เลยดับไปเลย ดับไปจากความสุข ภิกษุทั้งหลาย มีตาก็ให้ทำเหมือนตาบอด มีหูก็เหมือนหูดับ ร่างกายแข็งแรงก็ให้ทำเป็นอ่อนแอ มีสติปัญญาก็ให้ทำเหมือนคนโง่ คือ ทำใจให้หนักแน่นไว้ก่อน ถ้าสมควรพูดสมควรทำ ก็ทำได้พูดได้ มิใช่เห็นแล้วมันผิดหรือถูกไม่รู้..ก็พูดเลย
   
   มันดีตรงไหน                                                                             

   ของ ในตลาดมีมากมาย ถ้าเราไม่มีอะไร (คุณค่า) เท่ากับสิ่งนั้นก็ไม่มีวันได้มา เช่น เพชรเขาเชิญให้เอาก็เอาไม่ได้ ถ้าไม่มีเงิน ธรรมะก็เช่นกัน ถ้าคุณธรรมไม่คู่ควรกันแล้ว จะเอาธรรมะไปไม่ได้เด็ดขาด มันจะเป็นไฟร้อนเผาตัวเราเองเลย อยากได้ธรรม อยากสุข แต่ก็ขี้เกียจไม่ประพฤติปฏิบัติมันจะคู่ควรกันอย่างไร

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 09, 2010, 07:42:25 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2010, 10:10:06 pm »


   ภาวนาเพื่ออะไร                                                                         

   ปฏิบัติ ภาวนาเพื่ออะไร ดำดิน บินวนวิเศษนักหรือ เห็นโน่นเห็นนี่หรือ อ้าว ลืมตานี่ยังไม่เห็นเหมือนคนตาบอดนั่นแหละ เห็นความบกพร่องของตนเองแล้วรีบปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ
       
   ใช้ปัญญาป้องกันตัว                                                                       

   คน เขาโยนขี้มา ก็เอาหัวเข้ารับ มีแต่เหม็นไปทั้งตัวคนเขาก็ไม่อยากเข้าใกล้ เขายังไม่โยนทำท่าจะโยน ก็โดดเข้ารับก่อน ขี้หมูขี้หมาอะไรก็เอาหัวเข้ารับ  ก็มีแต่ตาย ไม่ตายก็เน่า ฉลาดหรือเปล่านี่ คนไม่มีปัญญาก็เลยโดนขี้อาบตัวไปหมด กลายเป็นคนมีบาป มีกรรม มีภัยมีเวร คนมีขี้ติดตัวนี่ไม่ดี ขี้ของเราก็มีพอแรงแล้ว ยังเอาขี้ของคนอื่นมาติดตัวอีก เลยกลายเป็นคนน่าเกลียดน่ากลัว โอ๊ย..ไม่เข้าท่าเล้ย..อย่าเอาขี้หมูขี้หมามาใส่หัวตัวเอง ขึ้นว่าขี้นี่สกปรกทั้งนั้นนะ ความทุกข์ความเดือดร้อนจะเกิดแก่ตนเอง ท่านให้มีปัญญา ทำยังไงน้อ..เราจึงจะสบาย..
   
   รู้ธรรมดา  เห็นธรรมดา                                                                 

   ให้ มีปัญญาคือไม่ทุกข์ คือให้จิตมันอยู่ในนี้คือกรรมฐานมีอารมณ์วิปัสสนาภาวนา ปัญญาคอยประคองจิตใจไว้แล้วมันจะไม่หลงผิด หลงผิดเช่นไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากทุกข์ร้อน อ้าว! เขาเป็นกันมาเท่าไหร่แล้ว ทำไมไปร้องไห้ ร้องแล้วมันจะคืน (ฟื้น) มาหรือ มันจะหมดกิเลสหรือถ้าโลภมากๆ โกรธให้มากๆ หลงมากๆ แล้วจะหมดกิเลสหรือ ถ้างั้นก็ไปหาโกรธให้มากๆ สิ ดูซิว่าเขาจะยกย่องว่าวิเศษวิโสไหม
   
   ผู้ตื่น                                                                                         

   มาอยู่ในที่ที่เหมาะสมแล้วเช่นในศาลานี้ จะนอนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ อยู่ในที่ที่ดีแล้ว ให้ทำงานให้รีบทำงาน
   (เพียร ภาวนา) อย่าถือว่ามันสบายดีแล้ว นอนเฉยๆ มันไม่สบายอย่างที่คิดอย่างที่เราชอบ ใครๆ ก็ชอบสบายทั้งนั้น ทำงานสบายทำน้อยเงินเดือนเยอะๆ เมื่ออยู่ที่เหมาะสมแล้ว หายหนาว หายร้อนแล้ว ให้รีบทำธุรกิจให้สำเร็จสิ จะได้สบายตลอดไป..
   
  พระอรหัน                                                                                   

   มี ฝรั่งมา อดนอน ไม่กินข้าว ธาตุขันธ์วิปริต มันอยากเกินไป ไม่รู้จักอะไรๆ จะให้เป็นอรหันต์ชาตินี้ บางทีพากันนั่งกราบ ถามว่ากราบอะไร กราบพระพุทธเจ้า ท่านมาหา.. บางทีสิ่งที่เคยได้เคยมี เกิดไม่ได้ไม่มี  สุดท้ายสึกไปเลย.. ทำขนาดนี้ยังไม่ได้ สึกเลยกิเลสนี่มันฉลาดมากนะ ต่อยข้างหลัง ล้มหมอบกระต่ายกระแต อยาก ต้องการ ยิ่งทำยิ่งไม่เห็นยิ่งไม่มี  ถ้าปล่อยนั่งสบาย มึง..มึงอยากมีก็มี อยากเป็นก็เป็นนะ เช่น ปลูกมะระ เออ! มึงจะเกิดก็เกิดนะ ไม่เกิดก็ช่างหัวมัน สุดท้าย พระองค์นั้นได้เป็นพระอรหันเลย หันกลับบ้านไปนุ่งกางเกง!
   
   กลั่นกรองจิต

   อย่า ไปสำคัญคนอื่นเลย เรื่องของหมาของแมว เราสนแต่ตัวเรา ไม่ทุกข์ สบายใจ เราทำดีแล้ว เป็นพยานตัวเอง อยู่ไหน ไปไหนก็มีหมดเรื่องแบบนี้ เออ! ตรงนี้มันมีไฟนะอย่าไปต่อมา ต่อมามันก็เป็นของร้อน ไปรับมามันจะฉลาดเป็นบัณฑิตได้หรือ ไปที่ไหนก็ต้องพบความจริงแบบนี้ ถ้ายังมีจิตใจ อาศัยธาตุขันธ์นี้ไต่แผ่นดินนี้อยู่ต้องเจอแน่ๆ จะหลบหลีกไปทางไหนก็ไม่พ้นล่ะ ต้องยอมรับความจริงของสัจธรรม สิ่งนี้ถ้าพิจารณาดีแล้วมันจะหายสงสัยหายข้องใจว่า เออ! ไปโน่น น่าจะสงบดี เออ! สงบก็ที่จิตเรานี่ ถ้าไม่สงบในถ้ำรูมืดๆ ขังไว้กิเลสมันก็ยังไปได้ ปิดประตูใส่กลอนไว้ก็ไปได้ อยู่ป่าอยู่บ้านก็ไม่สงบ ป่าก็ไม่สงบ มีคนก็ไม่สงบ เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเราเอง...
   
   แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

   มัน ต้องตั้งใจนะ ต้องพากเพียรเอาจริงเอาจังกับตนเองอย่าไปเอาจริงเอาจังกับคนนั้นคนนี้ไม่ได้ ต้องตนเองจึงจะรู้เห็นธรรม มันจะเห็นแต่กิเลสนั้นแหละถ้าดูคนอื่น จะโกรธ โลภ หลง ไม่รู้เท่าทันกิเลสนั่นแหละการปฏิบัติภาวนาต้องเป็นแบบนี้ จึงจะเห็นว่ามันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนยังไงให้ดูตนเองว่านี่เราเกิดมาทำไมจะเอาอะไร.... เอาแก่ เอาเจ็บ เอาตายนี่หรือ รึว่ามาหาเอาเงินทอง แล้วมีแค่ไหนได้กี่ล้านแล้วล่ะ แก่ขนาดนี้แล้ว!
   
   รู้ธรรมดา

   มัน ไม่อยากเป็นแหละจึงทุกข์ ให้เห็นเป็นธรรมดานะ มันเป็นไปแล้วก็เรื่องของมันล่ะ เกิดมาดำแล้วก็ดำล่ะ ขาวก็ขาวล่ะ ถ้าเราไปฝืนปกติธรรมดาของมัน มันก็ทุกข์ล่ะ กรรมมันตกแต่งมาแล้ว ก็เราทำกรรมมาไว้ไม่ดีนี่ ท่านให้วาง ปล่อย เลิกมัน อย่าไปยึดถือมันมันก็สงบ รู้อย่างนี้แล้วจะไม่เดือดร้อนนะ เพราะอดีตดีก็ดีไปแล้ว ชั่วก็ชั่วไปแล้ว อนาคตมันก็ยังไม่มีไม่เป็น  ปัจจุบันนี้เป็นเวลาที่ประเสริฐสุด  ท่านจึงไม่ให้ทำการชั่วเพราะเวลามันให้ผลแล้ว  น่าสลดสังเวช..
   
   กิเลสคือกัน

   พระองค์ ใช้กระบอกไม้ไผ่ฉันน้ำและว่าผู้ใช้แก้งฉันน้ำร้อนน้ำเย็นนี่เป็นกิเลส  เรามามองดุแล้วมันก็เป็นกิเลสพอๆ  กันแหละลองเอาค้อนทับกระบอกไม้ไผ่แกแตกซิ  ดูซิจะไม่วุ่นวายหงุดหงิดหรือ  ใช้แก้วก็เป็นไรแตกแล้วก็โยนเข้าป่าไปสิ.....มันก็กิเลสนั่นแหละ  คนมีเงินมีทองมีวาสนามีบารมีจะเอาทองคำมาทำแล้วก็ได้จะเป็นไรไปล่ะ  หายไปแล้วก็แล้วไปหาเอาใหม่ได้นี่  กิเลสมันไม่ใช่อยู่ที่ว่ามันมากหรือน้อยหยาบหรือละเอียด  มันอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งทุกสิ่งทุกอย่าง
   
   สัจธรรมของโลก

   ไม่ใช่ทำอะไรอย่างหนึ่งแล้วจะรวยจะเจริญไปได้ตลอดนะ  ดูสมัยหนึ่งทำบ้านจัดสรรแล้วเจริญดี  มาอีกยุคหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งอีกยุคหนึ่งนิยมอีกอย่างหนึ่ง  ระยะหนึ่งก็เจริญระยะหนึ่งก็เสื่อมลง  คนที่ตามหลังเขาก็ไม่ทันเขาอยู่ตลอดนั่นแหละ จึงต้องรู้จักดูคิดค้นต้องวางโครงการระยะสั้นระยะยาว  วางแผนหลายๆอย่างสำรองไว้  เพราะเดี๋ยวมันเจริญ เดี๋ยวมันดับ  ต้องมองลู่ทางตัวอื่นเอาไว้ด้วย  บางที่เริ่มจากเราแต่ไปเจริญที่ชั่วลูกชั่วหลานก็มี  เพราะมันเป็นวิวัฒนาการของโลก  เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในโลกนี้ เพราะโลกนี้มันอยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลง
   
  รู้ไม่จริง

   ธรรมชาติ นี้เป็นไปตามหน้าที่ของมัน  ไม่เป็นไปตามปรารถนาใคร  พูดเรื่องแก่  เจ็บ  ตาย  ไม่มีใครชอบฟัง  พูดเรื่องทำยังไงจะไม่แก่อย่างนี้ชอบ  ทำยังไงไม่เจ็บ  ชอบทำยังไงจะไม่ตายชอบฟัง  ชอบแล้วมันสมหวังไหม  ผิดหวังหมดเลย       ใช้อุเบกขาบ้างสิความสงสารก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง  ปลิโพธกังวลก็เสียอยู่อย่างหนึ่ง  คิดซะว่า  กรรมใครกรรมมัน  ตายใคร- ตายมัน  เกิดใคร- เกิดมันซะก็จบ  เอวัง!  สัตว์โลกเกิดมาก็ยังงั้นแหละ  มันน่าสงสารทั้งนั้น  แล้วไปไหนไม่ได้หรอก  คามันอย่างงั้นหมด  ปลวกฉันก็สงสาร  ทิ้งไว้งั้นแหละหาเสื่อมาให้มันกิน!  ควรเลือกเฟ้นในการปฏิบัติคือธัมมวิจยะ  หรือการสอดส่องธรรมสงสารโลกทั้งโลกก็   ต๊าย...แค่คิดถึงก็ตายเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 09, 2010, 10:13:36 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2010, 06:09:18 am »


   รับรองตนเอง

   คิด ว่าเอ๊อ...   ไม่รู้จะสอบทำไมแค่ใบประกาศ  เขาประกาศว่าดี  เราไม่ทำดีก็ไม่ได้คนมีใบประกาศแล้วไม่เห็นมันดีอะไรขึ้นมาก็มี  มันไม่ขึ้นอยู่ที่ใบประกาศนะ  คนทำดีแล้วมันประกาศด้วยตัวมันเอง  เราคิดไปอย่างนั้น  เรื่องความรู้ความเข้าใจในธรรมวินัยนี่  จึงไม่ไปสอบนักธรรมเอก  เอามันก็ได้อยู่หรอก...แต่ขี้เกียจเก็บมัน  แล้วเราก็ไม่ได้เก็บไว้จริง ๆ นะ  เห็นหลวงพ่อ  เขาเก็บกัน... นักธรรมตรี/โท  นี่  คงผุพังไปหมดแล้ว
   
   อย่าตื่นสมมติบัญญัติ

   ไป อบรมคอร์สนั้นคอร์สนี้  เป็นคอร์ส  คอร์ส  จบแล้วจะได้เป็นพระโสดา  จบคอร์สนี้เป็นพระอนาคา  คอร์สนี้  อรหันต์  เออ..อ..อ!  โสดาไฟล่ะสิ  อนาคาก็คาลูกคาเมีย  อรหันต์ก็หันซ้ายหันขวาอยู่นั้นแหละ
   
   ต้องมีปัญญา

   มัน ก็น่าเสียดายนะบางคน  ตั้งอกตั้งใจทำความเพียร  พอครูบาอาจารย์ตำหนิว่าโง่  เสียใจจะหนีไปตาย  หนีไปผูกคอตายบ้าง  อดข้าวตายในถ้ำบ้าง  เอ๊ะแล้วมันพ้นโง่รึเปล่าวะเนี่ย
   
   ฝึกตนหัดตน

   วัว กินหญ้า  มันคุ้นเคย  ณ  ที่ใดมันก็จะไป ณ ที่นั้น  นิสัยคนก็เหมือนกันมันสั่งสมมาทางไหนก็จะไปทางนั้น  จึงให้คิดดี  ทำดี  พูดดี  เพื่อสร้างสมอุปนิสัยตนเอง
   
   ถูก (กิเลส) หลอก

   แม่ ครัวไม่เห็นธรรม  เพราะมันมองแต่ความอร่อยในรส  เห็นแต่จะเลี้ยงดูผู้อื่นและตนเองให้ได้ความสำราญ  คนพวกนี้เลยกลัวผีอยู่ภายนอกจะมาหลอก  ไม่กลัวผีภายในที่กินเข้าไป  ป่าช้าที่น่ากลัวที่สุด  คือป่าช้าในท้องคน  เราควรกลัวป่าช้าในท้องมากกว่า  ทำไมไม่กลัวผีหมูหลอก  กินเลือดกินเนื้อเขาอยู่
   
   อยู่ที่ใจ

   กิเลสมันหลอกเรามาหลายภพหลายชาติแล้วนะ  ให้เป็นไปตามสัญญาอารมณ์  จิตเรานี่แหละสร้างให้เรากลัว  จิตเรานี่แหละสร้างให้เรากล้า
   
  เพลินจนตาย

   ทำ อะไรก็ยังไม่เสร็จจะตายอีกแล้ว  มันไม่ยาวพอปรารถนาหรอกชีวิตนี้  เบื่อทุกข์ทำไมแสวงหาทุกข์  ภาวนาดู  พ่อแม่เราเป็นไง...เอามาคิดดู  อย่าหลงตามกระแสโลก  เขาร้องรำกระโดดโลดเต้น  เออ..อ..อ!  ก็ระยะเดียวเท่านั้นอีกพักหนึ่งก็หยุดแล้ว  มันจะมีอะไร....



Credit by : http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=1735.msg6814;topicseen#msg6814
miracle of love
Pics by : Google  * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 10, 2010, 06:23:50 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ฐิตปญฺโญวาท (พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปญฺโญ)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2010, 12:28:35 pm »
 :45: ขอบคุณครับพี่แป๋ม อนุโมทนาครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~