ประชาสัมพันธ์ > ประชาสัมพันธ์ทางธรรม
ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
sithiphong:
สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
-http://www.oknation.net/blog/ThaiTeacher/2011/07/06/entry-1-
คำว่า สำเนียง หมายถึง เสียง, น้ำเสียง, หางเสียง หรือวิธีออกเสียง. สำเนียงส่อภาษา จึงหมายถึง การออกเสียงที่ทำให้รู้ว่าเป็นคนถิ่นใดหรือมาจากถิ่นใด เช่นพูดภาษาไทยแต่ออกเสียงเป็นจีน เป็นแขก เป็นฝรั่ง หรือออกเสียงเป็นคนสุพรรณ คนเมืองเพชร คนเมืองจันท์ เป็นต้น. ส่วนคำว่า กิริยา หมายถึง มารยาท, อาการที่แสดงออกมาด้วยกายหรือการกระทำ. กิริยาส่อสกุล จึงหมายถึง มารยาทหรือการกระทำของบุคคลที่แสดงถึงระดับการศึกษาอบรมที่ได้รับมาจากครอบครัว
สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล หรือ สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อตระกูล เป็นคำพังเพยที่กล่าวเตือนให้บุคคลตระหนักถึงการใช้คำพูดและการกระทำว่าสำเนียงภาษาที่พูดและมารยาทที่แสดงออกมาสู่สาธารณชนนั้นจะทำให้ผู้อื่นวิเคราะห์ได้ถึงเชื้อชาติ สัญชาติ รวมทั้งประเมินได้ถึงการศึกษาอบรมของผู้แสดงกิริยาวาจานั้น ๆ ว่าเป็นผู้ได้รับการอบรมเลี้ยงดูหรือได้รับการศึกษามาในระดับใด มักใช้ในทางตำหนิ เมื่อผู้นั้นพูดหรือแสดงกิริยาไม่สมควร เช่น เขาพูดหยาบคายในที่สาธารณะได้อย่างไร สงสัยไม่ได้รับการอบรม สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลแท้ ๆ เชียว
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
----------------------------------------
สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล : อรรถาธิบายภายใต้ความเป็นผู้ดี
-http://www.oknation.net/blog/print.php?id=13742-
“สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” คือ หนึ่งในสำนวนไทยที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเปรยกระทบกระเทียบอยู่เป็นประจำ เพราะความหมายของสำนวนนี้จะเชื่อมโยงไปถึงการอบรมสั่งสอนของครอบครัวของคนผู้นั้นไปด้วย ความหมายของสำนวนนี้จะถูกสื่อได้เด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสังคมยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ด้วยเหตุที่การอบรมสั่งสอนภายในครอบครัวของคนสมัยนี้ช่างห่างไกลกับแบบแผน “ผู้ดี” เสียเหลือเกิน
“ผู้ดี” หมายถึง บุคคลผู้มีความประพฤติเรียบร้อยทั้งทางกาย ทางวาจา และทางความคิด ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจว่า “ผู้ดี” คือ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่แท้จริงแล้ว “ผู้ดี” ก็เป็นเพียงปุถุชน แต่เป็นมนุษย์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยกิริยามารยาทในการแสดงออกทั้งทางกาย วาจาและใจเท่านั้นเอง ดังนั้นการเป็น “ผู้ดี” จึงมิใช่เรื่องที่ต้องลำบากยากเย็นแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเท่านั้น สำหรับผู้ที่ชอบประชดประชันถึงความเป็น “ผู้ดี” สันนิษฐานได้ว่าผู้นั้นก็คงไม่แน่ใจนักว่าตนเองนั้นเป็น “ผู้ดี” หรือไม่...
“ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดชาติกำเนิดของตนเองได้” ข้อความนี้เป็นสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเรื่องหลักการกำเนิดของมนุษย์ ดังนั้นชาติกำเนิดจึงเป็นเพียงองค์ประกอบที่ส่งเสริมสถานภาพของบุคคลในสังคมเท่านั้น มิใช่ตัวชี้วัดความเป็นผู้ดี อย่างไรก็ตามหากผู้นั้นเป็นผู้ดีทั้งโดยการกระทำและชาติกำเนิดก็ย่อมมีภาษีสังคมเหนือผู้อื่น แต่ในทางกลับกันหากผู้นั้นเป็นผู้ดีแค่โดยชาติตระกูล กล่าวคือ มีชาติตระกูลดีแต่กิริยามารยาทเข้าขั้น “สถุล” คนผู้นั้นย่อมได้รับคำครหาว่าเป็น “ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน” จึงเห็นได้ชัดว่าชาติตระกูลไม่ใช่บรรทัดฐานของความเป็น “ผู้ดี” หากแต่เป็นกิริยามารยาทเท่านั้นที่จะสื่อไปถึงการอบรมสั่งสอนของ “ชาติตระกูล”
หากจะวิเคราะห์ความหมายของ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ในการอรรถาธิบาย จำเป็นจะต้องแปลความหมายของแต่ละ “อรรถ” เสียก่อน
สำเนียง น. เสียง, น้ำเสียง, หางเสียง, วิธีออกเสียง
ส่อ ก. แสดงออกมาให้เห็นเค้า
ภาษา น. เสียงสัญลักษณ์หรือกิริยาอาการที่ใช้สื่อความต่อกัน, คำพูด, ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน
กิริยา น. การกระทำ; อาการที่แสดงออกทางกายตามความหมายเรื่องมารยาท
สกุล น. ตระกูล, วงศ์, เชื้อสาย, เผ่าพันธุ์
เมื่อพิจารณาความหมายของ “อรรถ” และรวมความเป็นสำนวนแล้ว ก็น่าที่จะตีความได้ว่าหมายถึง “บุคลิก การกระทำและมารยาทจะแสดงออกมาให้ทราบว่ามาจากชาติตระกูลเช่นไร” สำนวนนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีมารยาท (กิริยาวาจาที่เรียบร้อย) เพราะสิ่งนี้จะสะท้อนไปถึง กำพืดของผู้นั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูด ซึ่งสามารถบ่งบอกระดับปัญญาของผู้นั้นได้ ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า “เมื่อไม่พูดก็ไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาด จนกว่าจะพูดออกมานั่นแหละ เขาจะหายสงสัย”
นอกจากการขยายความในเชิงอรรถสัมพันธ์แล้ว การวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เข้าใจกุศโลบายของผู้ริเริ่มใช้สำนวนนี้ได้ดียิ่งขึ้น ในประโยคแรกที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา” หากพิจารณาในหมู่คนส่วนใหญ่ ประโยคนี้จะเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด เพราะคนทั่วไปจะมีสำเนียงพูดที่ต่างกัน ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าผู้ใดใช้ภาษาใด ถึงแม้จะใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาประจำของตน สำเนียงที่ออกมาก็จะแปร่งหูในสำเนียงที่แตกต่างออกไป เช่น คนจีนที่ตั้งรกรากในไทยซึ่งพูดภาษาไทย เป็นต้น ทั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีค่านิยมการใช้ภาษาในอีกลักษณะหนึ่ง ก็จะพบว่าสำเนียงจะมิได้ส่อภาษาเสียแล้ว เพราะคนพวกนี้จะเป็น “ดัดจริตชน” ที่พยายามเปลี่ยนแปลงสำเนียงของตนให้กลายเป็นภาษาอื่นที่มิใช่ “ภาษาพ่อภาษาแม่” เพื่อตอบสนองค่านิยมของตนที่ว่าการใช้ภาษาอื่นๆ จะทำให้ให้ดู “โก้” กว่าการใช้ภาษาของตน ซึ่งจะเห็นได้ชัดในคนไทยยุค “ไอที”
ส่วนในประโยคหลังที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” ประโยคนี้ก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ในเรื่อง “การขัดเกลาทางสังคม (Socialization)” ที่หมายถึง กระบวนการทางสังคมและจิตวิทยาซึ่งมีผลทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการ เป็นที่ยอมรับกันว่ากระบวนการขัดเกลาทางสังคมนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่บุคคลถือกำเนิดมาในโลก ซึ่งตัวขับเคลื่อนกลไกการขัดเกลาทางสังคมเป็นกลุ่มแรกและสำคัญที่สุดก็คือ “สถาบันครอบครัว” ซึ่งมีหน้าที่ปลูกฝังแนวทางการดำเนินชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือ การที่พ่อแม่ผู้ปกครองสั่งสอนบุตรจัดเป็นการขัดเกลาทางสังคมทางตรง และการกระทำตนเป็นแบบอย่างให้กับลูกก็เป็นการขัดเกลาทางอ้อม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าครอบครัวจึงมีอิทธิพลในการหล่อหลอมกิริยามารยาทของบุคคลแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ประโยคที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” จึงสมเหตุสมผลไปโดยนิปริยาย
ทั้งนี้การขัดเกลาทางสังคมจากครอบครัวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่สร้างพฤติกรรมของคนเพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่สร้างบุคลิกภาพของบุคคลได้เช่นเดียวกัน ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทว่าปัจจัยอื่นนั้นจะลึกซึ้งกว่าปัจจัยด้านครอบครัว ด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงมองว่ากิริยามารยาทของแต่ละคนจะมาจากครอบครัว เช่น มีเด็กชอบฉกชิงวิ่งราวทรัพย์สินผู้คนตามท้องถนน คนอื่นที่พบก็จะสรุปในทันทีเลยว่าครอบครัวนี้คงยากจน ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูก หรือถึงขั้นกล่าวว่าคงเป็นโจรทั้งครอบครัว ซึ่งในความจริงอาจจะเป็นลูกของครอบครัวฐานะดีที่มีความอบอุ่นสมบูรณ์พร้อมก็ได้ แต่สาเหตุมาจากการได้รับอิทธิพลทางความคิดที่ผิดมาจากที่อื่น เป็นต้น ในบางครั้งสำนวนนี้จึงอาจไม่ยุติธรรมสำหรับวงศ์ตระกูลสักเท่าไร จากการวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายจึงสรุปได้ว่า สำนวนนี้มุ่งที่จะใช้กับผู้ที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมให้รู้จักปรับปรุงตนเพื่อมิให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัว คล้ายๆ กับการกล่าวว่า “พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน” นั่นเอง
เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนวนนี้กับเรื่องของ “ผู้ดี” ก็จะพบว่ามีความเกี่ยวข้องกัน เพราะผู้ดีคือผู้ที่ระมัดระวังกิริยามารยาทของตนเอง ดังนั้นผู้ดีก็จะแสดงออกให้เห็นถึงลักษณะการอบรมสั่งสอนที่ดีของครอบครัว ซึ่งก็สามารถอธิบายได้ด้วยความหมายสำนวนได้ว่า การเป็นผู้ดีเป็นผลลัพธ์จากการขัดเกลาทางสังคมในวิถีที่ถูกต้องของครอบครัว และความเป็นผู้ดีก็จะส่อให้เห็นถึงความมี “สกุลสูง” ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นความสูงส่งทางจริยธรรมมิใช่ทางด้านฐานะ จึงอาจกล่าวได้ว่าลักษณะความเป็น “ผู้ดี” สอดคล้องและสนับสนุนความหมายของสำนวน “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใดที่ใช้สำนวนนี้กับผู้ดี นัยของความหมายจึงมิใช่การเสียดสีประชดประชันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชื่นชมถึงครอบครัวนั้นอย่างจริงใจ ดังนั้นหากต้องการจะเป็น “ผู้ดี” ก็ต้องเข้าใจความหมายสำนวนนี้ที่อธิบายด้วยความเป็นผู้ดี เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในขณะที่จะทำพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมด้วย
ในอดีตสำนวนนี้คงจะก่อสำนึกให้กับผู้ฟังได้มาก แต่ปัจจุบันไม่ว่าใครจะด่าว่าถึงวงศ์ตระกูลอย่างไร จะกล่าวถึงสำนวนนี้เป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้ เพราะ “อัตตา” ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ได้ปิดกั้นไว้ กอปรกับการที่ครอบครัวในปัจจุบันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่สถาบันครอบครัวพึงกระทำ คือ สั่งสอนให้คนในครอบครัวเป็นคนดี แต่กลับให้ความสำคัญกับเงินตรามากกว่า เหล่านี้คือผลของการพัฒนาในระบอบทุนนิยมโดยไม่ทำไปควบคู่กับจริยธรรมนั่นเอง เราจึงควรให้ความสำคัญกับความหมายของสำนวนนี้ในเชิง “ผู้ดี” บ้าง มิฉะนั้นในอนาคตสำนวนนี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็น “สำเนียงส่อภาษา เงินตราส่อสกุล” ก็ได้
หมายเหตุ เรียงความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ เพื่อส่งงานในรายวิชา “ภาษาไทยพื้นฐาน (ท ๔๑๑๐๒)” กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยกำหนดให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับสำนวน สุภาษิต คำพังเพย
โดย แว่น
----------------------------------------
สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
แอ็คไหน หมายความว่าอย่างไร ต้องรู้!
-http://www.dek-d.com/studyabroad/13846/-
สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com ใครได้อ่านชื่อบทความแล้วอย่าเพิ่งตกใจนะครับ แม้ตอนนี้ละครเรื่องเมียหลวงจะมาแรง แต่พี่ยีนคงไม่มีเวลาไปต่อกรกับคุณอรหรือน้องนวลหรอกครับ (เพราะเวลามอบให้กับน้องๆ จนหมด...อิอิ)
มาคราวนี้พี่ยีนได้มีโอกาสแปลบทความที่เป็นประโยชน์มาให้น้องๆ ได้อ่านกัน หลายคนที่คิดไว้ว่าอยากไปเมืองนอก คงกังวลไม่น้อยกับการวางตัวให้เป็นที่รักของชาวต่างชาติใช่ไหมครับ และความหมายของอากัปกิริยาหรือลักษณะท่าทางต่างๆ ที่แสดงออกมานั้น ก็สามารถสื่อความหมายได้หลายแง่ บวกบ้างลบบ้าง พี่ยีนจึงอยากจะให้น้องๆ รู้กันไว้บ้าง จะเป็นอย่างไร ไปดูกันทีละแอ๊คเลยครับ
สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
1. การชี้นิ้ว
ในอเมริกาและยุโรปตะวันตกนั้น การชี้นิ้วถือเป็นกิริยาจิ๊บๆ ที่ยอมรับกันได้และใช้กันทั่วๆ ไป แต่สำหรับชาวเอเชียแล้ว ถือเป็นเรื่องที่หยาบคาย ซึ่งควรใช้มือทั้งมือในการสื่อสาร แทนที่จะใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียว
2. การโชว์แก้มก้น
นอกจากจะเผยให้เห็นความอุจาดตานานาประการแล้ว บางประเทศยังใช้วิธีนี้เพื่อการลบหลู่ ต่อต้าน และกระตุ้น เพื่อให้ผู้คนเกิดความสนใจ ซึ่งเป็นไม้ตายสำคัญในการประท้วงของกลุ่มต่างๆ
3. การถกกระโปรง
นอกจากความเซ็กซี่ที่เผยไต๋ให้เห็นเรียวขาแล้ว ในประเทศแถบยุโรปยังนิยมใช้เป็นมุกตลกลามกอีกด้วย
4. การกลอกตา
จะมีความหมายในทำนอง "ฉันไม่ชอบ" หรือ "ฉันคิดว่ามันงี่เง่ามาก" หรือ "ฉันไม่เชื่อหรอก" และบางครั้งก็ใช้ในภาวะจำยอม ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ในใจค้านนิดๆ
5. การผงกหัว
ในประเทศบัลแกเรียและศรีลังกานั้น การผงกหัวเป็นสัญญาณอย่างเป็นทางการว่า น้องๆ ยอมรับหรือตกลง แต่ในประเทศเอเชียบางประเทศใช้คำพูดควบคู่จะดูสุภาพกว่า เช่น ครับ/ ค่ะ ขืนผงกหัวให้กับพ่อแม่ ระวังจะหัวขาดไม่รู้ตัว ฮ่าๆๆ
6. การส่ายหัว
แปลว่า "ไม่" ในทุกกรณีครับ
7. การแลบลิ้น
หากเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงและรวมถึงเมืองไทยบ้านเราคงโดดตัดลิ้นขาดแน่ๆ แต่สำหรับชาวเอสกิโมแล้ว เขาใช้การแลบลิ้นแทนคำว่า "สวัสดี" ครับ
8. การเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
ถ้ามือน้องๆ กำลังวุ่นกับการบ้าน และเป็นเวลาเดียวกับที่เพื่อนของน้องเอามาขอยืมการบ้านไปลอก (ไม่ทำนะครับ ไม่ดีๆ) น้องก็จะเชิดหน้าใช้คางและหางตาชี้บอกใช่ไหมครับ ลักษณะท่าทางแบบนี้แหละครับที่หนุ่มๆ ชาวมะกันใช้ทักทายเพื่อนๆ เมื่อพบกัน แต่ต้องรู้จักสนิทกันแล้วเท่านั้นนะครับ ขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้าอาจเจอดี
9. การโค้งคำนับ
เป็นภาษาสากลที่ใช้ในการทำความเคารพหรือแสดงความนับถืออีกฝ่าย และสำหรับชาวญี่ปุ่นจะใช้ในการทักทายและอำลาครับ ท่านี้ดูอ่อนน้อมมาก จึงสารพัดประโยชน์ ท่าเดียวรอดตายทุกประเทศทั่วโลกครับ
10. การใช้นิ้วโป้งสะกิดปลายจมูก
แม้ในหนังจะดูเท่สำหรับบ่าว และดูแก่นแก้วสำหรับสาว แต่อีกความหมายที่สามารถแปลได้ก็คือ ใครที่ทำท่าทางแบบนี้กำลังกระตุกหนวดเสืออยู่นะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ ข้อมูลไหนที่เป็นประโยชน์ก็จำๆ และนำไปใช้กันบ้างนะครับ และหากใครอยากพูดคุย แนะนำ หรืออยากเล่าประสบการณ์การเรียนต่อต่างประเทศ ก็อีเมลมาคุยกันได้ครับที่ gin@dek-d.com นะครับ ไว้เจอกันคราวหน้าครับ...
sithiphong:
หลังจากนี้ไป (ยกเว้น ท่านเดียวที่ทางชมรมพระวังหน้า กำัลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้) สำหรับท่านใดที่สนใจสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ผมจะมีรายละเอียดให้ท่านได้กรอกข้อมูลของท่าน ซึ่้งมีบางคำถามที่ผมระบุให้ต้องเขียนหรือพิมพ์อธิบายไม่น้อยกว่า 5 บรรทัด
และ ต้องมีสมาชิกชมรมพระวังหน้า รับรองด้วยครับ
ในรายละเอียด ต้องมีการส่งรูปมาให้ผมด้วย ต้องส่ง 2 รูป
1.รูปตนเอง
2.รูปที่ถ่ายคู่กับสมาชิกชมรมพระวังหน้าครับ
จึงเรียนมาเพื่อทราบกันครับ
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2175.html
.
sithiphong:
--- อ้างจาก: sithiphong ที่ มกราคม 08, 2011, 07:31:24 am ---หลังจากนี้ไป (ยกเว้น ท่านเดียวที่ทางชมรมพระวังหน้า กำัลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้) สำหรับท่านใดที่สนใจสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ผมจะมีรายละเอียดให้ท่านได้กรอกข้อมูลของท่าน ซึ่้งมีบางคำถามที่ผมระบุให้ต้องเขียนหรือพิมพ์อธิบายไม่น้อยกว่า 5 บรรทัด
และ ต้องมีสมาชิกชมรมพระวังหน้า รับรองด้วยครับ
ในรายละเอียด ต้องมีการส่งรูปมาให้ผมด้วย ต้องส่ง 2 รูป
1.รูปตนเอง
2.รูปที่ถ่ายคู่กับสมาชิกชมรมพระวังหน้าครับ
จึงเรียนมาเพื่อทราบกันครับ
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2175.html
.
--- End quote ---
สำหรับการรับ หรือ ไม่รับ ขึ้นอยู่กับ การลงมติ ของ ประธาน , รองประธาน และเลขานุการ เป็นการลงมติ 2 ใน 3 เสียง
และผมเองจะส่งเรื่องการรับสมัครสมาชิกใหม่ ให้สมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่านได้ทราบและแสดงความคิดเห็นกัน เนื่องจาก เราอยู่บ้านหลังเดียวกัน ต้องช่วยเหลือและดูแลกันครับ
.
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
sithiphong:
ชาวชมรมพระวังหน้า ไปสักการะพระพุทธรูป ที่วังหน้า
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2174.html
.-----------------------------------------------------------------------------------------
ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน
แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
(จุฬาลงกรณ์ ปร.)
-http://larndham.org/index.php?/topic/14644-%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88/-
โอวาท สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)
-http://supissara.myreadyweb.com/article/category-36362.html-
ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ต้นทุนบุญกุศล
ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ปวงชน แม้ร่างตนเขายังเอาไปเผาไฟ
เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เจ้ามามือเปล่าเจ้าจะเอาอะไรไป เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา...
๐ ๐ ๐ ๐
บุญเราไม่เคยสร้างใครที่ไหนจะมาช่วยเรา...
ลูกเอ๋ย....ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นต้ว เมื่อทำบุญกุศลได้บารมีมาก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ (สร้างความดีไว้) แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดคิดช่วยก็ไม่ได้ แต่ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจรดดินอะไรก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า
ความจริงพอกิน พอใช้ พออยู่ รู้พอ ย่อมสงบ มนุษย์หยุดนิ่งไซร้ความจริงย่อมเกิด ถ้าท่านยังไม่หยุด....ท่านยังไม่มีโอกาสพบความจริง....
๐ ๐ ๐ ๐
หัวใจการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น
ต้องละจนถึงที่สุดมิใช่ไปยึด
------------------------------------------------
อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน
เมื่อมีร้อนมีเย็นเป็นเครื่องแก้ เมื่อมืดแท้แล้วก็มีสว่าง
ถึงครึ้มฟ้ามัวฝนทุกทิศทาง เมื่อเมฆจางก็จะกลับเห็นแสงจันทร์
คิดก่อนจึงค่อยทำจงจำไว้ ทำอะไรต้องคิดทั้งหน้าหลัง
อย่าปล่อยตัวให้ทำตามลำพัง ต้องเอาใจเหนี่ยวรั้งเสมอไป
ก่อนจะทำสิ่งใดใจต้องคิด ถูกหรือผิดทำอย่างนี้ดีหรือไม่
ถ้าหากเห็นว่าไม่ดีมีโทษภัย จงหาทางทำใหม่ทำให้ดี
งานยิ่งมีมากจริงยิ่งเป็นสุข งานยิ่งชุกมันสมองยิ่งผ่องใส
เมื่องานทำได้เสร็จสำเร็จไป ก็สุขใจปลาบปลื้มลืมทุกข์ร้อน
เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา
หลวงวิจิตรวาทการ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version