ประชาสัมพันธ์ > ประชาสัมพันธ์ทางธรรม

ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ

<< < (58/114) > >>

sithiphong:
"อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร"ผู้ทำนาย 14 ตุลามหาวิปโยค และ สมัคร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353052819&grpid=01&catid=&subcatid=-

ส.สีมา  ศิลปวัฒนธรรม พ.ย. ๒๕๕๕

 


“เวทย์มนต์ย่อมเป็นที่สักการะของชนชาวไทยมาแต่ครั้งบรรพกาล จนเป็นที่เชื่อถือและฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของคนไทยแทบทุกคนจนกระทั่งปัจจุบันนี้
แต่ปรากฏว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มีความข้องใจในเคล็ดบางประการที่ใช้เป็นหลักในเวทย์มนต์คาถา ซึ่งจะหาศึกษาเล่าเรียนจากตำหรับต่างๆ ก็หาไม่ได้”

เทพย์ สาริกบุตร

จากหนังสือเคล็ดลับไสยศาสตร์
 
ชื่อ “เทพย์” เป็นนามมงคล หลวงวิศาลดรุณกร ผู้เป็นอาตั้งให้ ซึ่งมีความหมายว่าสูงส่งในความรู้ ความสามารถ ส่วนนามสกุล “สาริกบุตร” (Sarikaputra)
เป็นนามสกุลพระราชทานลำดับที่ ๑๒๔๗ โดยในหลวงรัชกาลที่ ๖ พระราชทานแก่ขุนพิทักษ์นาวา (ขุนทอง) ผู้เป็นต้นตระกูล “สาริกบุตร”

 

อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญสายไสยศาสตร์และพุทธาคม ระดับต้นๆ ของเมืองไทย
รวมทั้งเป็นนักโหราศาสตร์ชั้นเยี่ยมที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง เป็นชาวกรุงเทพฯ เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๒
และตายเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมอายุ ๗๔ ปี วงการศึกษาไสยศาสตร์ พุทธาคม
และโหราศาสตร์ถือว่าได้สูญเสียบุคคลสำคัญที่หาใครทดแทนได้ยาก
เพราะตลอดชีวิตของท่านได้ทุ่มเทให้กับการศึกษาค้นคว้าศาสตร์ดังกล่าวอย่างเต็มที่

 

มีบางคนเปรียบเทียบท่านกับ คาร์ล กุสตาฟ จุง  จิตแพทย์ชาวสวิสที่อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาค้นคว้าอนาไลติกไซโคโลยี (Analytic Psychology)
หรือวิชาจิตวิทยาวิเคราะห์อย่างจริงจัง สาเหตุเสริมส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร มีเศรษฐานะดี
ตระกูลขุนนาง มีเงินทองสมบูรณ์ ไม่ต้องปลีกเวลาส่วนหนึ่งไปประกอบการงานหาเลี้ยงชีพ

 

บิดาของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร รับราชการ แม้มิได้ระบุนาม สายงาน และบรรดาศักดิ์ ก็เชื่อว่ามีตำแหน่งค่อนข้างใหญ่
โดยรับราชการทั้งในกรุงเทพฯ และในส่วนภูมิภาค มีประวัติว่า บิดาเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท
กับเป็นศิษย์หลวงปู่สี วัดมณีชลขัณฑ์ จังหวัดลพบุรี อีกด้วย

 

ฝ่ายมารดาของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตรเอง ก็เป็นญาติสนิทกับ พันเอก หลวงธรณีนิติญาณ ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์และดาราศาสตร์เช่นกัน

 

ส่วนอาคือ หลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) เคยเป็นอดีตอาจารย์คนแรกของโรงเรียนพลศึกษาก่อนจะมา
ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการปกครองโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หลวงวิศาลฯ ผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ พุทธาคม
กับวิชากรรมฐานแห่งสำนักวัดสิทธาราม ซึ่งมีพระสังวราราม (ชุ่ม) เป็นเจ้าสำนัก
พระอาจารย์ชุ่มองค์นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่งองค์หนึ่งในสมัยนั้น

 

จึงเห็นได้ว่า อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เติบโตมาจากสภาพแวดล้อมแห่งพุทธาคม ไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์มาตั้งแต่ต้น
ชวนให้เข้าใจว่าท่านได้ถูกจูงใจหล่อหลอมอย่างสำคัญให้สนใจศึกษาอย่างลึกซึ้งในด้านนี้

 

เพราะฉะนั้นคราวหนึ่งเมื่อบิดาย้ายไปรับราชการในต่างจังหวัด อาจารย์เทพย์ก็มิได้ติดตามบิดาไปด้วย คือยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ
ศึกษาแสวงหาวิชาที่อาจเรียกรวมๆ ว่าไสยเวทพุทธาคม อันเป็นความรู้ชั้นยอดทั้งทางพราหมณ์และทางพุทธ ตามสำนักและวัดต่างๆ ในเบื้องต้น
เช่น วัดสามปลื้ม วัดปทุมคงคา และวัดสามจีน เป็นต้น สามวัดนี้มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญวิชาไสยเวทพุทธาคม เชี่ยวชาญการสัก-สักยันต์
ผู้มีชื่อเสียงอันเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้นหลายท่านอีกด้วย

 

จากนั้นจึงไปศึกษาในสำนักพระมหาโต๊ะ วัดราชบูรณะ ด้านการสักยันต์และวิชากรรมฐาน และกับท่านพระครูใบฎีกาเทพย์ สิงหรักษ์ วัดระฆัง
ก่อนจะศึกษาไสยศาสตร์กับท่านเจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ ศึกษาวิชาพระยันต์ ๑๐๘, นะ ๑๔ ตำรับพระพนรัต วัดป่าแก้ว
รวมทั้งวิชาหล่อพระชัยวัฒน์และพระกริ่งด้วย ทำให้อาจารย์เทพย์เชี่ยวชาญการหล่อพระกริ่งในเวลาต่อมา
ที่รู้จักกันดีก็คือ พระกริ่งปวเรศน้อย ที่กระทำการหล่อขึ้นครั้งอุปสมบทที่วัดสีหไกรสร (วัดช่องลม) เขตบางกอกน้อย
การอุปสมบทของท่านครั้งนั้นนัยว่ามีปัญหาการให้ฤกษ์กับคณะรัฐประหารคณะหนึ่ง ต่อเมื่อปัญหาได้รับการคลี่คลายแล้วจึงได้ลาสิกขา

 

หลังจากศึกษาวิชาในสำนักต่างๆ เขตกรุงเทพฯ ธนบุรี ระยะหนึ่ง จึงได้ศึกษาต่อสำนักต่างๆ ในส่วนภูมิภาค
เช่น สำนักอาจารย์สี วัดมณีชลขัณฑ์ จังหวัดลพบุรี สำนักหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว สำนักวัดประดู่โรงธรรม
สำนักหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช และสำนักหลวงพ่ออั๋น วัดพระญาติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้รวมทั้งสำนักหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน วัดน้อยทองอยู่กับวัดภุมรินทร์ราชปักษา (วัดทั้งสองวัดนี้ได้ร้างไปแล้วเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒)

 

เมื่ออาจารย์เทพย์ได้ไปศึกษาวิชาจากสำนักต่างๆ ที่ลพบุรีและอยุธยาแล้วระยะหนึ่ง ก็กลับมาศึกษาต่อกับสำนักต่างๆ ในกรุงเทพมหานครอีก
เช่น กับพระครูสมุห์โต๊ด วัดชนะสงคราม และอาจารย์พรหม สำนักวัดพระเชตุพน เป็นต้น

 

แท้จริงแล้วอาจารย์เทพย์จะเดินสายศึกษาวิชาไสยเวทพุทธาคมระหว่างกรุงเทพฯ อยุธยา และลพบุรี จนเกือบตลอดชีวิต
สำหรับผลงานของอาจารย์เทพย์พอที่จะจำแนกได้ มีดังต่อไปนี้ ยกเว้นความเชี่ยวชาญเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งจะพูดถึงในตอนต่อไป คือ

 

เรื่องการสร้างพระกริ่ง มีพระกริ่งหลายชนิดอันเป็นที่นิยมที่อาจารย์เทพย์ได้จัดทำขึ้น เช่น พระกริ่งปวเรศน้อย พระกริ่งจอมสุรินทร์
พระกริ่งเอกาทศรถ พระกริ่งจิตคุโต พระกริ่งดาวเจ็ดดวง และพระกริ่งนวโกฏิ

 

เครื่องรางของขลัง ตะกรุด และยันต์ในตะกรุด เช่น ตะกรุดมหาจักรพรรดิ ตะกรุดคงกระพัน ตะกรุดดวงพิชัยสงคราม และตะกรุดคู่ชีวิต
ทั้งนี้รวมทั้งการลงยันต์และการทำผง เช่น ผงปถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห หัวใจ ๑๐๘ และมหาราชาด้วย
เป็นเจ้าพิธีสำคัญ เช่น พิธีมหาจักรพรรดิกษัตราธิราช

 

ความสามารถในการแกะไม้โพธิ์ พุทธมนต์ปางห้ามญาติ แกะไม้โพธิ์นิพพาน กับการแกะไม้ภควัมบดีจากไม้รักซ้อนและไม้หิ่งหายผี
สร้างเสื้อยันต์ผ้ายันต์ เชือกคาดเอว ซึ่งนิยมมากสมัยสงครามอินโดจีน เป็นเครื่องรางยอดนิยมอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ยังทำประคำเจ้าตรึงไตรภพ มีดเทพศาสตร์ (ขณะประกอบพิธีมีฟ้าผ่าลงมาเป็นที่อัศจรรย์)
นอกจากนั้นยังทำสีผึ้งเสน่หา และพิธีทำสีผึ้งสามไฟ ซึ่งดีทางเมตตามหานิยม มีคารมคมคายน่าเชื่อถือ
พิธีสุดท้ายทำที่วัดเสน่หา นอกจากนั้นมีการทำเหรียญนารายณ์แปลงรูป และเหรียญพุทธนิมิต

 

แต่ความขลังที่อาจารย์เทพย์ถูกกล่าวขานอยู่เสมอก็คือ ความสามารถในการสะเดาะกุญแจ
ความสามารถในการเสกดอกจำปาให้เป็นแมลงภู่
และเสกสีผึ้งเสน่หาให้คนเมตตารักใคร่

 

ความสามารถของอาจารย์เทพย์ตั้งแต่พิธีทำพระกริ่ง จนถึงสีผึ้งเสน่หานั้น ย่อมต้องเป็นผู้ผ่านการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
การเจริญกสิน และเจริญพุทธมนต์บทต่างๆ มาอย่างยาวนานและอย่างแคล่วคล่อง ช่ำชอง

 

สำหรับความเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ อาจารย์เทพย์ย่อมอยู่ในแถวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย จะเห็นได้จากปฏิทินโหราศาสตร์ที่อาจารย์จัดทำขึ้น
มีความละเอียดประณีตอย่างยิ่ง และเป็นปฏิทินที่สัมพันธ์กับปฏิทินดาราศาสตร์สากลด้วย (ท่านที่สนใจ ศึกษาได้ที่หอสมุดแห่งชาติ แผนกปรัชญาและศาสนา)

 

ความเชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ของอาจารย์เทพย์น่าจะได้รับแรงจูงใจส่วนหนึ่งมาจากหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) ผู้เป็นอา
ซึ่งเป็นผู้แต่งคัมภีร์โหราศาสตร์ไทย ที่ถือกันว่าเป็นตำราชั้นครูในหมู่โหรเล่มหนึ่ง

 

 

อนึ่งหลวงวิศาลดรุณกร เคยเป็นครูมวยและเป็นอาจารย์คนแรกของโรงเรียนพลศึกษากลางก่อนจะไปเป็นอาจารย์ปกครองของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ครูมวยทั้งหลายย่อมสัมพันธ์กับคาถาอาคมและเวทมนตร์อยู่แล้ว เช่น วิษณุเวทย์ (วิชาพระนารายณ์ปราบหมู่พาล)
เป็นที่แน่นอนว่าเวทมนตร์คาถาเหล่านี้ย่อมส่งต่อถึงอาจารย์เทพย์ด้วยเช่นกัน

 

จากคำบอกเล่าของลูกสาวอาจารย์เทพย์คือ คุณพรทิพย์ สาริกบุตร ที่ให้สัมภาษณ์ คุณชัยวัฒน์ ตรีวิทยา เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ได้ความว่า อาจารย์เทพย์เคยพยากรณ์ จอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ ครั้งมียศเป็นเพียงพันตรี เป็นนายทหารจนๆ บ้านนอก จะได้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง
ซึ่งคงจะเป็นที่ถูกใจท่านจอมพล หลังจากท่านจอมพลได้กระทำรัฐประหารสำเร็จเมื่อปี ๒๕๐๒
อันน่าจะส่งผลให้อาจารย์เทพย์ได้เป็น ส.ส. ประเภท ๒ ในทันที ขณะนั้นอายุ ๔๐ ปี

 

ก่อนหน้านั้น เคยมีข่าวว่า ครั้งหนึ่งอาจารย์เทพย์เคยมีปัญหาเรื่องการให้ฤกษ์ยามแก่คณะรัฐประหารคณะหนึ่งจนต้องไปบวชอาศัยร่มเงาสมณเพศ
ณ วัดสีหไกรสร บางกอกน้อยนั้นและจำพรรษาอยู่ที่นั่นนานพอควร จนสถานการณ์บ้านเมืองเป็นปกติจึงลาสิกขาในที่สุด
(คณะรัฐประหารคณะนั้น อาจเป็นคณะเมื่อปี ๒๔๙๒ ซึ่งอาจารย์เทพย์มีอายุโดยประมาณ ๓๐ ปีเท่านั้น)

 

คำให้สัมภาษณ์ของคุณพรทิพย์อีกเช่นกันที่บอกว่า อาจารย์เทพย์เคยทำนายเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสำคัญ
กับเคยทำนายว่า นายสมัคร สุนทรเวช จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นไม่นานนายสมัครก็ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.
ซึ่งเป็นตำแหน่งบริหารที่ใหญ่มาก น้องๆ นายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ถือว่าทำนายได้ใกล้เคียง เสียดายที่อาจารย์เทพย์ตายก่อน
หาไม่ก็จะได้รู้ว่านายสมัครผู้นั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ ในอีกหลายปีต่อมา

 

 

อาจารย์เทพย์เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๓๖ ด้วยโรคเบาหวาน ต้องตัดขาทั้ง ๒ ข้าง แต่อาจารย์ก็มีกำลังใจดีเป็นเลิศ
ด้วยมีธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ได้รับพระราชเพลิงที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
 

ผู้เขียนขอขอบพระคุณ ดร. สันติพงศ์ บริบาล แห่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กรุณาให้ข้อมูล

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353052819&grpid=01&catid=&subcatid=-
.

sithiphong:
เซียนสู พรหมเชยธีระ



ท่านอาจารย์เชย


อาจารย์สู พรหมเชยธีระ



อาจารย์สู พรหมเชยธีระ เกิดในบ้านตระกูลชื้อ ที่ตำบลโปชั้งเฮี้ยว อำเภอเก็กเอี๊ยว จังหวัดแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
เมื่อปีมะแม เดือนสี่ วันที่สิบสองของจีน ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๕๐ มีชื่อเดิมว่า สูเชียง แซ่ชื้อ

อาจารย์สู ได้จากบ้านเดิมมาเมื่อยังหนุ่ม เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมและหมอโบราณตามสำนักเต๋าขงจื๊อและศาสนาพุทธ
จากประเทศจีนได้เดินทางต่อมาในอินโดจีน ท่องเที่ยวหาความรู้ไปในประเทศเวียตนามและเขมร
สุดท้ายได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่ออายุได้ ๒๑ ปี โดยใช้ชื่อว่า นายเสียง แซ่ชื้อ
ได้มาพำนักที่วัดจีนแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อมาได้บวชเป็นเณร มีฉายาว่า “เสี่ยงลก”
ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสวดมนต์ ภาวนา มานานนักได้ย้ายมาอยู่ที่วัดเซียนฮุดยี่ จังหวัดชลบุรี

เมื่อมาอยู่เมืองไทยได้ ๓ ปี ก็เดินทางไปสิงคโปร์และสึกที่นั่น ท่องเที่ยวอยู่พักหนึ่ง ก็เดินทางกลับประเทศจีน อยู่ได้เดือนกว่า
ก็เดินทางกลับมาเมืองไทยอีก โดยมอบสมบัติทั้งหมดให้น้องชายช่วยดูแลแม่ให้ดี เมื่อเข้ามาอยู่ในเมืองไทย
ได้ไปทำงานอยู่กับคนขายก๋วยเตี๋ยวที่หัวหิน ได้ค่าจ้างเดือนละ ๑๕ บาท พอเก็บเงินได้ ๕๐ บาท
ก็เข้าหุ้นกับคนจีนไหหลำคนหนึ่ง ทำขนมปังขาย โดยในขณะเดียวกัน ก็รับจ้างทำงานกับคนขายก๋วยเตี๋ยวไปด้วย
ทำงานอยู่หัวหินได้ ๖ – ๗ เดือน ก็มอบกิจการทำขนมปังให้เพื่อนร่วมงานทั้งหมด แล้วเดินทางมาจังหวัดชลบุรี
และอยู่ที่นี่ จวบจนบั้นปลายของชีวิต ท่านอาจารย์ได้ประกอบอาชีพทอดปาท่องโก๋และขายขนปังเป็นอาชีพหลัก
ในบางครั้ง ก็เดินทางไปค้าขายตามภาคเหนือ แถวจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก
เมื่ออายุ 34 ปี ได้แต่งงานกับ คุณสุนันท์ บุญประเวศ จึงได้ภรรยามาแบ่งเบาภาระ ทำให้ท่านมีเวลาฝึกกรรมฐาน
และช่วยเหลือผู้อื่นได้เต็มที่



ครั้นท่านมีอายุ 41 ปีก็ได้พบพระรูปหนึ่งอยู่วัดราษฏร์บำรุง ชื่ออาจารย์เชย ซึ่งมากำกับท่านขณะนั่งกรรมฐานในนิมิตอยู่เสมอมิเคยขาด
เมื่ออาจารย์สูได้พบกับท่านอาจารย์เชยที่ตรงกับที่ท่านฝันเห็นในนิมิต จึงเกิดความเลื่อมใสได้เข้ามอบตัวเป็นศิษย์แต่นั้นมา

พระอาจารย์เชยมีวัตรปฏิบัติแปลกกว่าภิกษุอื่นๆ ปกติ ท่านไม่ค่อยพูด ในบางครั้งขุดดินอยู่ใต้พื้นดินขังตัวเอง
ทำแต่ปล่องอากาศสำหรับหายใจเหมือนเรือดำน้ำ ท่านจะครองแต่จีวรเก่าๆ
จำวัดอยู่ในโกดังเก็บศพและชอบนอนในโลงศพเป็นนิจศีล บางทีก็ออกไปนั่งอยู่กลางทุ่งนา ฝนจะตก แดดจะออกขนาดไหน
ท่านก็นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งเด็กเลี้ยงควายไปเห็นพื้นที่ที่อาจารย์นั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดกลับร่มเป็นวงกลมคล้ายมีกลดมาบัง
ครั้นถึงคราวฝนตกเด็กก็ไปเห็นฝนไม่ตกเฉพาะพื้นที่ที่พระอาจารย์เชยนั่ง เด็กๆจึงโวยวายเอาไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง
เลยมีผู้คนแห่ไปขอหวยเป็นการใหญ่ จนโดนท่านด่าเปิงไปตามๆกัน

เมื่อท่านอาจารย์สูไปขอมอบตัวเป็นศิษย์นั้น พระอาจารย์เชยสั่งให้นำดอกไม้ 5 ชนิดไปถวาย
แล้วท่านได้สอนวิชากำหนดลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติ แล้วไล่ให้อาจารย์สูไปปฏิบัติเอง

ท่านอาจารย์สูเคยเล่าว่า พระอาจารย์เชยชอบทำอะไรแผลงๆ เช่น คราวหนึ่งท่านปืนขึ้นไปบนยอดตาลแล้วเอาใบตาลเสียบแขน 2 ข้าง
เป็นปีกกระพือขึ้นลง พลางตะโกนว่า "กูจะเหาะแล้วโว้ย ! กูจะเหาะแล้วโว้ย!"

ทันใดนั้นก็กระโดลงมาจากยอดตาลถึงพื้นดินเดินขึ้นกุฏิหน้าตาเฉย ถ้าเป็นคนธรรมดาขาคงหักป่นปี้กองอยู่ตรงนั้น

มีอยู่อีกคราวหนึ่งอาจารย์สูไปเห็นพระอาจารย์เชยนั่งตกปลาอยู่ พอได้ปลาก็เอาขึ้นมาทุบหัว เลือดสาดกระจาย
แล้วขอดเกล็ดหั่นลงหม้อทั้งๆ ที่ปลายังดิ้นกระแด่วๆอยู่ พอแกงสุกก็ตักฉัน ปากก็บอกว่า "อร่อยๆ" แล้วเรียกอาจารย์สูให้ไปกิน
อาจารย์สูชิมดูรู้สึกมีรสฝาด พอพระอาจารย์เชยไปแล้วจึงเข้าไปเปิดฝาหม้อดู เห็นมีแต่ใบไม้ลอยเต็มไปหมด!

วันหนึ่งอาจารย์สูเที่ยวตามหาอาจารย์เชยทั่ววัดก็ไม่พบ ไปเจอท่านกำลังยืนพิงเจดีย์ หัวเราะอยู่คนเดียว
อาจารย์สูเข้าไปถามว่ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ พระอาจารย์ตอบว่ากำลังดูละครสนุก สนุก
อาจารย์สูสงสัยถามว่าละครที่ไหน ท่านบอกว่าละครที่กรุงเทพฯ อยากดูไหม

ว่าแล้วพระอาจารย์ก็ชี้ให้อาจารย์สูดูที่กำแพง ปรากฏว่าท่านยกละครมาทั้งโรงมาแสดงให้ดูจริงๆ
เป็นภาพปรากฏออกมาเหมือนเขาถ่าย ทีวีกระนั้น

ครั้งท่านอาจารย์สูไปค้างกับพระอาจารย์เชยบนเขาปากแรดนั้น ท่านเล่าว่าเมื่อพระอาจารย์เชยฉันข้าวเสร็จ
ท่านจะเอาข้าวสุกกองไว้กลางแจ้งปากก็เรียก "หนูจ๋า มากินข้าว" สักครู่เห็นหนูนับร้อยๆตัวออกมาแย่งกินข้าวกันให้เจี๊ยวจ๊าวไปหมด
พระอาจารย์เชยเห็นดังนั้นก็สั่ง "เข้าแถวเรียงหนึ่งกินทีละตัว" พวกหนูก็จะเข้าแถวกินทีละตัวจนอิ่ม ฯลฯ

เมื่ออาจารย์สูปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จแล้ว เช้าวันหนึ่งพระอาจารย์เชยก็เรียกเข้าไปหาแล้วบอกว่า "ภารกิจของอาตมาเสร็จสิ้นแล้ว"
พลางชูนิ้ว 3 นิ้วให้ดู

ท่านอาจารย์สูได้ฟังดังนั้นก็ก้มลงกราบ แล้วรีบลงจากภูเขาเป็นการด่วน เที่ยวไปซื้อจีวรครองทั้งชุดมาเปลี่ยนให้พระอาจารย์ของตน
พอครบ 3 วันตามที่ท่านบอก พระอาจารย์เชยก็ถึงแก่มรณภาพในท่านั่งสมาธิ ป่าทั้งป่าที่เคยมีสัตว์ร้องวุ่นวายไปทั้งดงก็เงียบกริบ
เหมือนไม่มีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่ แม้แต่ใบไม้ก็ไม่ไหวติง

หลังจากเผาศพท่านแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุหมด มีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสามกษัตริย์ คือ เงิน นาค ทองทั้งแท่ง

เมื่ออาจารย์สูฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์เชยแล้ว ท่านก็หมั่นกระทำความเพียรโดยมานะ ครั้นมีอายุ 44 ปี
ก็เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยการแยกที่นอนกับภรรยาอย่างเด็ดขาด เพื่อประพฤติพรหมจรรย์แต่นั้นมา

ต่อมาท่านอายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ หลังจากระอาจารย์เชยมรณภาพไม่นานนัก อาจารย์สูได้พาครอบครัวย้ายมาอยู่บ้านที่สร้างขึ้นใหม่
ในที่ดินที่เช่าจากวัดกำแพง ทั้งเลิกประกอบอาชีพทำขนมปัง และเริ่มให้การรักษาโรคแก่คนทั่วไปตามตำรายาจีน
ซึ่งถ่ายทอดมาจากตระกูล ประกอบกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
นอกจากนั้นยังได้สอนธรรมะและวิธีปฏิบัติกรรมฐานแก่ผู้ที่สนใจ ทั้งยังแนะนำช่วยเหลือผู้อื่นที่แบกทุกข์มาหาท่าน
นับเป็นที่พึ่งแก่คนทั้งปวงแต่บัดนั้น

ซึ่งเรื่องนี้ คุณวิมล ศิริไพบูลย์ เจ้าของนามปากกา "ทมยันตี" ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า

"อาเตีย" เป็นอาจารย์คนแรกที่สอนอี๊ดให้ปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง เพราะเดิมอี๊ดชอบเล่นกสิณ
แต่อาเตียสอนให้อี๊ดจับลมหายใจเข้าออก อันเป็นแบบอานาปานสติกำหนดจิตดูลมหายใจของตนเอง"

คำว่า "อาเตีย" นี้เป็นสรรพนามที่คุณวิมลเรียกท่านอาจารย์สูด้วยความเคารพรักอย่างลึกซึ้ง
ทั้งนี้เพราะในบั้นปลายชีวิตของท่านอาจารย์สูได้ใช้เวลาอบรมสั่งสอนลูกหลาน และบรรดาศิษย์เป็นส่วนใหญ่
และในบรรดาศิษย์ทั้งหมดนั้น คุณวิมลเป็นศิษย์ที่ท่านยอมรับเป็นลูกสาวของท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น

คุณวิมลได้เล่าให้ฟังว่า ท่านอาจารย์สูได้สงเคราะห์ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นด้วยดีเสมอมา
โดยไม่ต้องการชื่อเสียงเกียรติยศหรืออามิสใดๆ ท่านปฏิบัติเช่นนี้จนกระทั่งท่านจากไป

"ทมยันตี"ได้เล่าถึงเรื่องของเธอที่อาจารย์สูเคยช่วยเหลือว่า วันหนึ่ง ติ๊ก ลูกสาวคนเล็กของท่าน
นั่งสมาธิตรวจอาการปวดศีรษะของเธอซึ่งเป็นมานาน แล้วก็หันไปพูดกับท่านด้วยภาษาจีนอยู่นาน
พอจับใจความได้ว่าเธอกำลังเป็นเนื้องอกในสมอง

ครั้นท่านอาจารย์สูทราบจากลูกสาวแล้วก็เรียก "ทมยันตี" ให้ออกไปกลางแจ้งกับท่านเพียง 2 คน สั่งให้เธอนั่งคุกเข่า
ตัวท่านอาจารย์เองยืนเพ่งดวงอาทิตย์จนนัยน์ตาแดงดังนกกรดแล้วก้มลงใช้สายตาของท่านเพ่งที่หน้าผากของเธอครู่ใหญ่
เสร็จแล้วบอกว่าท่านช่วยได้แต่เพียงแค่นี้ คือหมายถึงเนื้องงอกที่กำลังจะเป็นในสมองไม่มีโอกาสจะงอกอีก
หากทว่าโรคปวดศีรษะยังคงมีต่อไป แต่ไม่มากเหมือนก่อน
"ทุกวันนี้อี๊ดปวดหัวเกือบทุกวัน แต่ไม่ค่อยรุนแรงพอทนได้" เธอบอก

ท่านอาจารย์สูได้ให้ความรักและความเมตตาแก่ "ทมยันตี" เหมือนลูกในไส้ ขนาดถ่ายทอดวิชาให้แก่เธอ
แต่มีข้อแม้ว่า ถึงจะมีใครมาปลุกในเวลาตี 1 ตี 2 เพื่อขอความช่วยเหลือก็จะต้องตื่นไปช่วยเหลือเขา

"อี๊ดตื่นไม่ไหวจ๊ะ เลยไม่ขอรับวิชานั้น แต่ท่านก็ให้วิชาแก่อื๊ดมาพอสมควร"

ด้วยความเคารพรักอย่างสุดใจที่"ทมยันตี"มีต่อ "อาเตีย" ของเธอนั้น ทำให้เธอทนดูสภาวการณ์บางอย่างไม่ไหว

เพราะผู้ที่ไปพึ่งท่านอาจารย์สูนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าท่านต้องการจะพักผ่อนบ้าง
โดยเฉพาะต้องรับประทานอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงต้องรับแขกตั้งเช้าจนถึงบ่าย
โดยไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด ในขณะที่แขกหมุนเวียนเปลี่ยนกับไปออกหาอาหารรับประทานกันได้ตลอดเวลา

เมื่อ "ทมยันตี" เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้อยู่เนื่องๆ วันหนึ่งเธอหมดความอดทน จึงเดินขึ้นบันไดปังๆไปหา"อาเตีย"ของเธอ
แล้วบอกด้วยสำเนียงที่เฉียบขาดว่า

"อาเตีย ไปทานข้าว! ตั้งแต่เข้าจนถึงบ่าย อาเตียไม่ได้หยุดเลย แต่พวกคุณๆ ผลัดกันลงไปทานกันทุกคน ฉะนั้นขอหยุดให้อาเตียได้พักผ่อนบ้าง"

แขกทุกคนที่นั่งอยู่ถึงแก่ตะลึง ส่วน"อาเตีย" ก็ยอมลุกเดินตาม "ทมยันตี" ไปรับประทานข้าวแต่โดยดี

และแล้ววันหนึ่งหัวใจของ"ทมยันตี" นักเขียนสตรีนามอุโฆษก็แทบจะแตกสลาย
เมื่อทราบว่า "อาเตีย" ที่เคารพรักประดุจบิดาบังเกิดเกล้าของเธอ ถึงแก่กรรมด้วยการนั่งสมาธิแล้วถอดจิตออกจากสังขาร
เช่นเดียวกับท่ามรณภาพของพระอาจารย์ท่าน ในคืนวันที่ 17 เมษายน 2522 เวลาประมาณ 20.45 น.

โดยมีคำกลอนที่เขียนบนกระดาษชิ้นน้อยติดไว้ใต้เสื่อที่ท่านนั่งเพียง 4 ประโยคว่า
ละครปิดฉาก
ลงเรือข้ามฟาก
ที่นี่เรียบเรียบ
ฝากให้รู้ข่าว
สู พรหมเชยธีระ



ที่มา -http://forums.apinya.com/อภิญญา/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0
%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0
%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0
%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87/372-อภิญญา-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9-%E0%B8%9E%
E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%
B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0.html-

เซียนสู พรหมเชยธีระ - อภิญญา อภิญญาใหญ่ คณะตามรอยพระพุทธบาทแก้วมณีโชติ
คณะพระธาตุแก้วมณีโชติ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา - อภิญญา.คอม : Apinya.com

.

หากไม่เห็นรูป  ไปดูรูปตามลิงค์ด้านบน หรือ ผมลงไว้ตามลิงค์นี้ -http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2569.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2569.html

.

sithiphong:
[SIZE="1"].[/SIZE]



ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
เหล่าข้าพระพุทธเจ้า ชมรมพระวังหน้า

sithiphong:
กรมศิลป์ขุดพระราชวังหน้า พบกำแพง-โบราณวัตถุอายุ 230 ปี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 ธันวาคม 2555 18:15 น.



   ‘กรมศิลป์’ ขุดพระราชวังหน้าครั้งแรก ตลึงพบแนวกำแพงโบราณ-โบราณวัตถุอายุกว่า 230 ปีต้นรัตนโกสินทร์ เร่งเก็บข้อมูลเปรียบเทียบหลักฐานเดิม
       
       นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ โรงละครหอศิลป์วังหน้า และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์ พัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่พระราชวังบวรสถานมงคล ให้เหมาะสมกับความสำคัญการเป็นวังหน้าในอดีต จึงต้องรวบรวมและเก็บกู้หลักฐานทางโบราณคดี ข้อมูลทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม รวมถึงความเปลี่ยนแปลงในการใช้พื้นที่บริเวณวังหน้า ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันใหม่อีกครั้ง เนื่องจากพื้นที่วังหน้า คือพระราชวังที่ประทับของพระมหาอุปราช เรียกทางการว่า พระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง


       ทั้งนี้ จากการขุดค้นในระยะที่ 1 พื้นที่ด้านทิศใต้หมู่พระวิมาน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร จำนวน 2 หลุม ขนาดพื้นที่ 330 ตารางเมตร พบแนวอิฐส่วนฐานรากอาคารก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งทักษิณาภิมุข ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นอาคารยุคแรกๆ ของวังหน้า และพบเป็นแนวกำแพงล้อมพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยด้านทิศใต้ รวมถึงพบร่องรอบธรณีประตูจากแผ่นหินดาดปูด้านข้างด้วย ที่สำคัญยังพบโบราณวัตถุในดินจำนวนหนึ่งเป็นวัตถุประเภทเศษภาชนะ เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องประกอบสถาปัตยกรรมและเครื่องอาวุธปืน เครื่องประกอบเครื่องแต่งกายทหาร ทั้งนี้ได้ตรวจสอบข้อมูลของโบราณวัตถุจำนวนดังกล่าวคาดว่าน่าจะอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 1-5 มีอายุตั้งแต่ 150-230 ปี เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเคยเป๋นพระราชวังมาก่อน แต่ละรัชสมัยได้มีการรื้อถอนและปรับโครงสร้างของพระราชวังจึงทำให้โบราณวัตถุถูกฝังไว้ในดิน อย่างไรก็ตาม การขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมามีการขุดค้นเฉพาะพื้นที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และสนามหลวงเท่านั้น
       
       นายสหวัฒน์กล่าวว่า หลังจากขุดแล้วจะต้องนำหลักฐานและข้อมูลที่ได้จากการขุดค้นทั้งหมดกลับไปวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่าเป็นโบราณสถานในรัชสมัยใดของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สำคัญต้องศึกษารายละเอียดว่าเป็นไปตามบันทึกเอกสารประวัติศาสตร์ของแต่ยุคแต่ละสมัยว่าตรงกันหรือไม่ หากเห็นตรงกับหลักฐานที่จารึกไว้ก็จะมีการบันทึกจัดทำเป็นรายละเอียดความเป็นมาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่ถ้าไม่ตรงก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเพื่อนำไปบันทึกให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ในระยะที่ 2 ยังต้องดำเนินการต่อไปโดยจะดำเนินการขุดค้นในบริเวณด้านหน้าโรงราชรถ โรงละครแห่งชาติ โรงละครหอศิลป์วังหน้า และ สบศ.ต่อด้วย



-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000151465-

sithiphong:
เรียน ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

ผมได้แจ้งเรื่องท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเสียชิวิตแล้วเมื่อวานนี้ (28 ธ.ค.2555) เวลา 18.32 น. ให้ทุกๆท่านทราบทางEmail แล้ว

วันนี้ผม , สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ หลายๆท่าน ได้ไปร่วมในงานศพ

ผมเองก็ได้สั่งพวงหรีดมา 2 พวง พวงแรกในนามของคณะลูกศิษย์พระอาจารย์นิล พวงที่สองในนามของชมรมพระวังหน้า โดยผมและคุณแด๋นได้ร่วมกันจ่ายเงินไป

ส่วนในงานศพฯ ผมกับคุณแด๋น ได้ไปซื้อชุดผ้าไตร มา 1 ชุด และ เครื่องไทยธรรมมาเพื่อถวายพระภิกษุที่ท่านมาสวดในงานสวดพระอภิธรรม และคุณแด๋นได้เช่าพระพุทธรูปทรงเครื่อง หน้าตัก 5 นิ้ว จำนวน 1 องค์มาถวายพระภิกษุที่มาสวดพระอภิธรรมด้วย

ขอโมทนาบุญกับคุณแด๋นทุกประการ

มาร่วมโมทนาบุญกับคุณแด๋นและผมและทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญทุกๆบุญกันครับ

สาธุครับ

sithiphong
29/12/2555

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version