ประชาสัมพันธ์ > ประชาสัมพันธ์ทางธรรม

ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ

<< < (62/114) > >>

sithiphong:
"ในหลวง" พระราชทาน ส.ค.ส. ปี 2557 แก่ประชาชนชาวไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 ธันวาคม 2556 20:20 น.

-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000160118-



 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2557 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ทรงพิมพ์ข้อความ "ขอจงมีความสุขความเจริญ Happy New Year 2014"

ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2557 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สากลสีน้ำเงินเข้ม ทรงผูกเนกไทสีเขียวอ่อน มีลวดลายเข้าชุดกับผ้าปักพระกระเป๋า ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว ฉลองพระบาทสีดำ
       
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับพระเก้าอี้สีขาว หน้าพระแกล หรือหน้าต่าง ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน ทรงฉายกับคุณทองแดง สุนัขที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีเหลือง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา
       
       ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้าย มีผอบทองประดับ ด้านล่างของผอบทอง มีตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า "ส.ค.ส.2557" และตัวอักษรสีส้ม ข้อความว่า "สวัสดีปีใหม่"
       
       ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความภาษาไทยพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีฟ้า ว่า "ขอจงมีความสุขความเจริญ" และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเขียวเข้ม ว่า "HAPPY NEW YEAR 2014"
       
       ด้านล่างของ ส.ค.ส.มีแถบสีเขียวเข้ม มุมล่างขวามีข้อความ "ก.ส.9 ปรุง 060931 ธ.ค.56 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvannachad publishing, D Bromaputra. Publisher"
       
       กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม

sithiphong:
พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12

พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12

พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12

-http://www.youtube.com/watch?v=MMkKxSCH_d0-

sithiphong:
เที่ยวกรุงส่งท้ายปี
โดย ลลิล สรรทราย

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388468700&grpid=&catid=09&subcatid=0901-



เทศกาลส่งความสุข... ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่หลายคนตั้งตารอคอย เพราะจะได้หยุดยาว นอนอยู่บ้านหลายวันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดุ

ส่วนอีกหลายคน ยังต้องใช้ชีวิตในเมืองกรุงเพื่อทำงานแทนคนที่หยุดไป เวลาของการเที่ยวท่อง พักผ่อนให้หายเครียดจึงมีน้อยกว่าคนอื่นๆ

... แต่การเที่ยวกรุงช่วงปีใหม่นี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ รถราที่น้อยว่าปกติ (นิดหนึ่ง)

เริ่มต้นวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกิจกรรม "นบพระนวรัฐพระปฏิมา 9 แผ่นดิน"

เป็นกิจกรรมพิเศษที่กรมศิลปากรจัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลในช่วงปีใหม่ อัญเชิญพระพุทธรูปวังหน้ามาให้ประชาชนได้สักการะตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2557 ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

พระพุทธรูปทั้ง 9 องค์ ประกอบด้วย "พระพุทธรูปแสดงธรรม" ศิลปะลังกาสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 เหมือนได้ขอพรพระเจ้า, "พระพุทธรูปประทานธรรม" นำความเจริญรุ่งเรืองสและสิริมงคลแก่ชีวิต, "พระธยานิพุทธไวโรจนพุทธ" ศิลปะศรีวิชัย เกิดปัญญาและทางสว่างแก่ชีวิต, "พระไภษัชยคุรุ" กำจัดและพ้นโรคภัยทั้งทางกายและทางใจ, "พระหายโศก" หมดทุกข์หมดโศก, "พระพุทธสิหิงค์" ปกป้องสิ่งไม่ดีทั้งปวง, "พระชัยเมืองนครราชสีมา" ขจัดอุปสรรคและอำนวยให้ประสบความสำเร็จ, "พระพุทธรูปมารวิชัย" ผู้บูชาจะมีชัยชนะด้วยพระบารมี และ "พระหยกรัสเซีย" ทำให้มีโชคลาภ



ใครที่ไม่คุ้นชินกับเส้นทาง แนะให้นั่งรถเมล์มาลงป้าย "สนามหลวง" เดินข้ามมาฝั่ง มธ.ท่าพระจันทร์ แล้วเดินต่อไปไม่ถึง 100 เมตรก็ถึง

อ่อ ลืมบอก ที่นี่เขาปิดวันที่ 3 และ 11 ม.ค. ส่วนวันที่ 7 ม.ค. 2557 นั้นเปิดครึ่งวัน

ใครกลัวจะหิวแนะให้หาอะไรรองท้องย่านท่าพระจันทร์ เพราะร้านอาหารแถวนี้หาอร่อยๆ ง่าย เคยคิดเอาเอง ว่าถ้าไม่อร่อยคงอยู่ไม่ได้เป็นแน่

หรือจะไป "ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ตลาดน้ำที่ยังคงวิถีชีวิตริมคลอง ตั้งอยู่ริมคลองละแวกสำนักงานเขตตลิ่งชัน

บรรดาพ่อค้าแม่ขายจะพายเรือออกจากบ้าน นำผลิตผลจากเรือกสวนไร่นามาขายแก่บรรดานักท่องเที่ยว บางส่วนตั้งร้านขายในโป๊ะในคลองบางกอกน้อย นอกจากนี้ยังมีร้านขายไม้ดอกไม้ประดับ ของตกแต่งบ้านและสวน

โดยจะเปิดช่วงวันหยุดราชการและเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น

ใครอยากลิ้มรสของอร่อย เคล้าลมเย็นๆ ท่ามกลางบรรยากาศแสนจะเป็นกันเอง เชิญมา



ริมคลองสายเดียวกัน ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี" ซึ่งจัดแสดงเรือพระราชพิธี 8 ลำที่ใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค

ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือครุฑเหินเห็จ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรืออสุรวายุภักษ์ และเรือเอกไชยเหินหาว

นอกจากนี้ยังมีเครื่องใช้และเครื่องประกอบที่ใช้ในพระราชพิธีจัดแสดงอยู่ด้วย ทั้งเรือพายชนิดต่างๆ เครื่องแต่งกายของฝีพาย รวมถึงบัลลังก์บุษบก บัลลังก์กัญญา

ใครที่นำรถส่วนตัวมาเองคงจะลำบากสักหน่อย แนะให้นั่งเรือไปลงที่ท่าปิ่นเกล้า จากนั้นเดินลัดเลาะไปในย่านชุมชนโดยไม่ต้องกลัวหลง เพราะมีป้ายบอกทาง หรือจะถามชาวบ้านแถวนั้นก็ได้ เพราะเขาเป็นมิตรสุดสุด

หากมองว่าพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวไร้ชีวิตชีวา แนะให้ไป "มิวเซียมสยาม" พิพิธภัณฑ์มีชีวิตภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

จุดขายของที่นี่ คือการสร้างประสบการณ์สดใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ต้องการให้ลูกหลานเกิดจิตสำนึกในการรู้จักตนเอง เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมโลก ผ่านนิทรรศการถาวร "เรียงความประเทศไทย", นิทรรศการหมุนเวียน และกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์

ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ "มิวเซียมสยาม" เปิดให้บริการตามปกติ และในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ถึง วันที่ 1 มกราคม 2557 มิวเซียมสยามเปิดให้ "เข้าชมฟรี" เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แด่ทุกท่าน (ปิดวันจันทร์ตามปกติ)

ถือเป็น "ของขวัญ" ที่เรามอบให้กับตัวเองได้ง่ายๆ

sithiphong:
วันนี้ ไปกราบพระพุทธสิหิงค์ ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ ร่วมโมทนาบุญกันครับ

sithiphong:
ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรให้ได้ผล

-http://horoscope.sanook.com/1396332/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5/-



สำหรับชาวสนุก!ดูดวง คนไหนที่ชอบการทำบุญไหว้พระ ขอพรเสริมดวง แต่การขอพรนั้นย่อมมีองค์ประกอบที่หลากหลาย โดยการเริ่มต้นบูชาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ได้ผลนั้น ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และมีสมาธิตั้งจิตให้แน่วแน่และทำร่างกายให้บริสุทธิ์โดยการชำระร่างกายให้สะอาด มีความเชื่ออย่างแรงกล้าต่อสิ่งที่ขอไว้ จึงจะได้ผลตามที่ปรารถนาไว้ ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

1. การตั้งจิตให้มีสมาธิ มีพลังแข็งแกร่งตั้งมั่นด้วยแรงศรัทธาอธิษฐานอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ปรารถนาไว้ จะส่งผลให้มีพลังมหาศาลทำให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง เนื่องจากจิตใจที่ตั้งมั่นจะเป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังขั้นแรกในการส่งไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พลังจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละบุคคล จะมีมากหรือน้อยจะส่งผลกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขอไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และฐานกำลังจิตที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาในอดีตชาติ หรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ การทำสมาธิที่เป็นการตั้งจิตให้แน่วแน่และมีความปลอดภัยที่สุดคือการทำสมาธิแบบ "อานาปานสติ" โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก โดยการภาวนาตามลมหายใจ เมื่อจิตนิ่งไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น จิตก็มีความบริสุทธิ์

2. การทำร่างกายให้บริสุทธิ์ ผู้บูชาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้อยู่ในทาน ศีลและภาวนา นึกถึงบุญคุณความดีที่ได้กระทำมา ถึงจะเริ่มจะบูชาหรือสวดคาถาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีบุญของตัวเองเป็นที่ตั้ง บุญจากที่อื่นก็ไม่สามารถช่วยได้ ควรต้องรักษาศีลอย่างน้อยสุดคือศีล 5 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเรื่องของกรรมวาจา ซึ่งหมายถึง ต้องเป็นคนที่พูดจาเป็นมงคล เพราะการพูดมงคลนั้นเป็นการนำสิ่งที่ดีเข้าใส่ตัว แต่การพูดไม่ดีนั้นจะขัดแย้งกับมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมา

การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด เพราะกรรมนั้นจะขัดแย้งกันกับสิ่งที่เราปรารถนาจะได้มา การขอพรต้องขออย่างมีสติ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรา มีศีลอะไรบ้าง มีความดีอะไรบ้าง เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

3. เหตุจากกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ ต้องสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ ต้องทำให้สม่ำเสมอมากพอและนานพอ เป็นบุญใหม่เพื่อนำไปชดเชยหรือลดกรรมเก่าเพราะถ้าหากมีกรรมเก่ามากและเป็นวิบากกรรมหนักนั้นจะส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบัน ทำให้การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมงคล ส่งผลกับแรงอธิษฐานได้น้อยมาก

จึงจะต้องขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นยกโทษให้ และมาอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ไปให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน เพื่อคลายวิบากกรรมไม่ดีออกไป เมื่อรู้จักการบูชาอนุโมทนาน้อมนำพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลังอำนาจเหล่านั้นก็จะหลั่งไหลรวมกันเข้าหาตัว ทำให้เกิดโชคลาภโดยเร็ว

4. การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง การที่จะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยดลบันดาลให้มีอานุภาพสูงสุดนั้น จะต้องรู้จักวิธีการบูชาที่ถูกต้องเสียก่อน เพราะดวงจิตวิญญาณที่สถิตย์หรือรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีเจตจำนงในความต้องการแตกต่างกัน แล้วแต่พลังจิตวิญญาณนั้นๆ ว่าท่านอยู่ในระดับชั้นใด แต่ที่เหมือนกันก็คือท่านทรงไว้ด้วยคุณความดีและมีพลังบุญ บางองค์นั้นท่านเป็นพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พรหมเทพเทวา หรือ เทพเจ้าต่างๆ วิญญาณบรรพบุรุษ หรือผู้ที่เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน

ก่อนการบูชาต้องจัดวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม อยู่ในทิศทางที่เป็นมงคลถูกต้อง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางครั้ง การถือศีล หรือเจริญภาวนา ทำสมาธิ ก็เพียงพอในการส่งบุญบารมี แต่ในบางครั้ง อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้บูชาประกอบด้วย

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซ่นไหว้ใด ก็จะต้องเป็นสิ่งของที่บริสุทธิ์ ซื้อมาจากเงินที่บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ด้วยจิตใจที่พากเพียรน้อมนำในการจัดหา ในเวลาที่กำลังขอพรอยู่นั้นจะต้องรวมจิตให้แน่วแน่กับสิ่งที่ขอพรเพื่อให้มีพลังเชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้รับรู้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งจะส่งผลให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

5. อำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละท่านแต่ละองค์มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน จึงไม่สามารถช่วยบันดาลสิ่งที่ขอพรได้ในทุกด้าน จึงควรระลึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังสูงเป็นพิเศษในด้านที่ขอ แต่สิ่งที่มีพลังอานุภาพสูงสุดในภูมิโลกนี้ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด เกินคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

จึงควรตั้งนะโมฯ ขอกำลังคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ให้เป็นองค์ประธานในการอธิษฐานจิตขอพรใดๆ แล้วจึงต่อด้วยการขอบารมีพระสยามเทวาธิราช เทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั่วสากลโลกที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ระลึกถึงอานุภาพพระคุณของท่านทั้งหลาย

6. สิ่งที่ขอ การที่จะขอพรให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ดีไม่เบียดเบียนหรือเป็นเรื่องที่เอาเปรียบใคร กุศลกรรมดีที่ทำไว้จะหนุนนำให้เกิดผลโดยเร็ววัน หากขอในช่วงเวลาที่เหมาะสมและดวงขึ้นก็จะส่งผลให้พรประสบผลสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้น หากขอพรในสิ่งใดต้องขยันทำกรรมดีในเรื่องนั้นๆ ด้วย และการอธิษฐานในด้านกิจธุระต่างๆ ถ้าทำในจังหวะเวลาที่คนหมู่มากร่วมด้วย ก็จะยิ่งบังเกิดผลสำเร็จได้ง่าย

7. อธิษฐานเผื่อแผ่ แรงอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่มุ่งเน้นประโยชน์ความต้องการของตนเองเพียงอย่างเดียว เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วควรจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นไปด้วยเพื่อให้คนที่เรารักและมีความปรารถนาดีมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าเป็นพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนกับที่ตนได้รับการอธิษฐานเพื่อหวังผลประโยชน์สุขของผู้อื่นด้วยจะยังก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริงด้วย

ดังนั้นผู้หวังผลเลิศจากการอธิษฐาน จึงควรชำระจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ ดังนี้

ทานบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรให้ทานแบบไม่หวังผลตอบแทน
ศีลบารมี : ก่อนอธิษฐานจิต สำหรับฆราวาสควรสมาทานศีล 8 แบบ 3 ชั้นคือจะไม่ทำลายศีล 8 ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีที่ผู้อื่นได้ทำลายศีลของเขาแล้ว
เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรขจัดนิวรณ์ 5 ประการออกจากใจ โดยการสวดมนต์ แผ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อให้เป็นจิตของผู้ถือบวชที่เรียกว่าเนกขัมมะ
ปัญญาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรพิจารณาปลดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อ เพื่อให้จิตบริสุทธิ์เทียบเคียงพระโสดาบันคือ

- คิดว่าวันนี้เราอาจจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานจุดเดียว (ตัดสักกายทิฏฐิ)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราขอเคารพจริงใจในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่ยอมปล่อย (ตัดวิจิกิจฉา)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราจะยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด (ตัดสีลัพพตปรามาส)

วิริยะบารมี : ให้ตั้งใจว่าเราจะเพียรคิดดี พูดดี ทำดี ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้เต็มความสามารถที่เรามี
ขันติบารมี : ให้ตั้งใจว่า อะไรที่จะมาขวางให้เราทรงอารมณ์พระโสดาบันไม่ได้ เราจับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างเต็มความสามารถที่เรามี
สัจจะบารมี : ให้ตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมให้จิตละไปจากอารมณ์พระโสดาบันเด็ดขาด
อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี : ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพาน


ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version