ประชาสัมพันธ์ > ประชาสัมพันธ์ทางธรรม

ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ

<< < (63/114) > >>

sithiphong:

--- อ้างจาก: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 09:48:37 am ---ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรให้ได้ผล

-http://horoscope.sanook.com/1396332/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5/-



สำหรับชาวสนุก!ดูดวง คนไหนที่ชอบการทำบุญไหว้พระ ขอพรเสริมดวง แต่การขอพรนั้นย่อมมีองค์ประกอบที่หลากหลาย โดยการเริ่มต้นบูชาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ได้ผลนั้น ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และมีสมาธิตั้งจิตให้แน่วแน่และทำร่างกายให้บริสุทธิ์โดยการชำระร่างกายให้สะอาด มีความเชื่ออย่างแรงกล้าต่อสิ่งที่ขอไว้ จึงจะได้ผลตามที่ปรารถนาไว้ ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

1. การตั้งจิตให้มีสมาธิ มีพลังแข็งแกร่งตั้งมั่นด้วยแรงศรัทธาอธิษฐานอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ปรารถนาไว้ จะส่งผลให้มีพลังมหาศาลทำให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง เนื่องจากจิตใจที่ตั้งมั่นจะเป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังขั้นแรกในการส่งไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พลังจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละบุคคล จะมีมากหรือน้อยจะส่งผลกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขอไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และฐานกำลังจิตที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาในอดีตชาติ หรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ การทำสมาธิที่เป็นการตั้งจิตให้แน่วแน่และมีความปลอดภัยที่สุดคือการทำสมาธิแบบ "อานาปานสติ" โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก โดยการภาวนาตามลมหายใจ เมื่อจิตนิ่งไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น จิตก็มีความบริสุทธิ์

2. การทำร่างกายให้บริสุทธิ์ ผู้บูชาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้อยู่ในทาน ศีลและภาวนา นึกถึงบุญคุณความดีที่ได้กระทำมา ถึงจะเริ่มจะบูชาหรือสวดคาถาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีบุญของตัวเองเป็นที่ตั้ง บุญจากที่อื่นก็ไม่สามารถช่วยได้ ควรต้องรักษาศีลอย่างน้อยสุดคือศีล 5 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเรื่องของกรรมวาจา ซึ่งหมายถึง ต้องเป็นคนที่พูดจาเป็นมงคล เพราะการพูดมงคลนั้นเป็นการนำสิ่งที่ดีเข้าใส่ตัว แต่การพูดไม่ดีนั้นจะขัดแย้งกับมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมา

การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด เพราะกรรมนั้นจะขัดแย้งกันกับสิ่งที่เราปรารถนาจะได้มา การขอพรต้องขออย่างมีสติ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรา มีศีลอะไรบ้าง มีความดีอะไรบ้าง เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

3. เหตุจากกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ ต้องสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ ต้องทำให้สม่ำเสมอมากพอและนานพอ เป็นบุญใหม่เพื่อนำไปชดเชยหรือลดกรรมเก่าเพราะถ้าหากมีกรรมเก่ามากและเป็นวิบากกรรมหนักนั้นจะส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบัน ทำให้การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมงคล ส่งผลกับแรงอธิษฐานได้น้อยมาก

จึงจะต้องขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นยกโทษให้ และมาอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ไปให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน เพื่อคลายวิบากกรรมไม่ดีออกไป เมื่อรู้จักการบูชาอนุโมทนาน้อมนำพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลังอำนาจเหล่านั้นก็จะหลั่งไหลรวมกันเข้าหาตัว ทำให้เกิดโชคลาภโดยเร็ว

4. การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง การที่จะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยดลบันดาลให้มีอานุภาพสูงสุดนั้น จะต้องรู้จักวิธีการบูชาที่ถูกต้องเสียก่อน เพราะดวงจิตวิญญาณที่สถิตย์หรือรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีเจตจำนงในความต้องการแตกต่างกัน แล้วแต่พลังจิตวิญญาณนั้นๆ ว่าท่านอยู่ในระดับชั้นใด แต่ที่เหมือนกันก็คือท่านทรงไว้ด้วยคุณความดีและมีพลังบุญ บางองค์นั้นท่านเป็นพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พรหมเทพเทวา หรือ เทพเจ้าต่างๆ วิญญาณบรรพบุรุษ หรือผู้ที่เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน

ก่อนการบูชาต้องจัดวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม อยู่ในทิศทางที่เป็นมงคลถูกต้อง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางครั้ง การถือศีล หรือเจริญภาวนา ทำสมาธิ ก็เพียงพอในการส่งบุญบารมี แต่ในบางครั้ง อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้บูชาประกอบด้วย

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซ่นไหว้ใด ก็จะต้องเป็นสิ่งของที่บริสุทธิ์ ซื้อมาจากเงินที่บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ด้วยจิตใจที่พากเพียรน้อมนำในการจัดหา ในเวลาที่กำลังขอพรอยู่นั้นจะต้องรวมจิตให้แน่วแน่กับสิ่งที่ขอพรเพื่อให้มีพลังเชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้รับรู้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งจะส่งผลให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

5. อำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละท่านแต่ละองค์มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน จึงไม่สามารถช่วยบันดาลสิ่งที่ขอพรได้ในทุกด้าน จึงควรระลึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังสูงเป็นพิเศษในด้านที่ขอ แต่สิ่งที่มีพลังอานุภาพสูงสุดในภูมิโลกนี้ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด เกินคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

จึงควรตั้งนะโมฯ ขอกำลังคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ให้เป็นองค์ประธานในการอธิษฐานจิตขอพรใดๆ แล้วจึงต่อด้วยการขอบารมีพระสยามเทวาธิราช เทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั่วสากลโลกที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ระลึกถึงอานุภาพพระคุณของท่านทั้งหลาย

6. สิ่งที่ขอ การที่จะขอพรให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ดีไม่เบียดเบียนหรือเป็นเรื่องที่เอาเปรียบใคร กุศลกรรมดีที่ทำไว้จะหนุนนำให้เกิดผลโดยเร็ววัน หากขอในช่วงเวลาที่เหมาะสมและดวงขึ้นก็จะส่งผลให้พรประสบผลสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้น หากขอพรในสิ่งใดต้องขยันทำกรรมดีในเรื่องนั้นๆ ด้วย และการอธิษฐานในด้านกิจธุระต่างๆ ถ้าทำในจังหวะเวลาที่คนหมู่มากร่วมด้วย ก็จะยิ่งบังเกิดผลสำเร็จได้ง่าย

7. อธิษฐานเผื่อแผ่ แรงอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่มุ่งเน้นประโยชน์ความต้องการของตนเองเพียงอย่างเดียว เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วควรจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นไปด้วยเพื่อให้คนที่เรารักและมีความปรารถนาดีมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าเป็นพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนกับที่ตนได้รับการอธิษฐานเพื่อหวังผลประโยชน์สุขของผู้อื่นด้วยจะยังก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริงด้วย

ดังนั้นผู้หวังผลเลิศจากการอธิษฐาน จึงควรชำระจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ ดังนี้

ทานบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรให้ทานแบบไม่หวังผลตอบแทน
ศีลบารมี : ก่อนอธิษฐานจิต สำหรับฆราวาสควรสมาทานศีล 8 แบบ 3 ชั้นคือจะไม่ทำลายศีล 8 ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีที่ผู้อื่นได้ทำลายศีลของเขาแล้ว
เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรขจัดนิวรณ์ 5 ประการออกจากใจ โดยการสวดมนต์ แผ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อให้เป็นจิตของผู้ถือบวชที่เรียกว่าเนกขัมมะ
ปัญญาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรพิจารณาปลดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อ เพื่อให้จิตบริสุทธิ์เทียบเคียงพระโสดาบันคือ

- คิดว่าวันนี้เราอาจจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานจุดเดียว (ตัดสักกายทิฏฐิ)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราขอเคารพจริงใจในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่ยอมปล่อย (ตัดวิจิกิจฉา)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราจะยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด (ตัดสีลัพพตปรามาส)

วิริยะบารมี : ให้ตั้งใจว่าเราจะเพียรคิดดี พูดดี ทำดี ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้เต็มความสามารถที่เรามี
ขันติบารมี : ให้ตั้งใจว่า อะไรที่จะมาขวางให้เราทรงอารมณ์พระโสดาบันไม่ได้ เราจับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างเต็มความสามารถที่เรามี
สัจจะบารมี : ให้ตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมให้จิตละไปจากอารมณ์พระโสดาบันเด็ดขาด
อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี : ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพาน


ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail

--- End quote ---



ขอเพิ่ม ผมว่า สำคัญที่สุด
ถ้าไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่เคยทำ ก็ไม่ได้

ถ้าใช่ของเรา ถ้าเคยทำไว้ ก็ได้รับ




.

sithiphong:
.






.

sithiphong:
.


.

sithiphong:
.


.

sithiphong:
เตือนถูกหลอกเช่า “พระเครื่อง” ด้วยใบตรวจอายุคาร์บอนปลอม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 กุมภาพันธ์ 2557 08:42 น.

-http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000017700-







สทน.เตือนผู้นิยมพระเครื่อง เสี่ยงถูกหลอกขายพระ อ้างส่งสถาบันตรวจคาร์บอน-14 วัดอายุว่า “เก่าจริง” แต่ความจริงไม่ได้ส่ง และแสดงใบตรวจปลอม
       
       สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เตือน ผู้นิยมเช่าพระเครื่อง หรือ ผู้สนใจพระเก่าระวังถูกหลอกขายพระราคาแพง โดยอ้างว่า นำมาตรวจอายุกับสถาบันแล้วเก่าจริง พร้อมทั้งแสดงใบรับรองปลอมหรือตัดต่อใหม่ เพื่อหลอกขายพระแก่ผู้ซื้อในราคาเกินจริง
       
       ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือ สทน.เปิดเผยว่า สทน.ให้บริการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุ โดยใช้เทคนิคเชิงนิวเคลียร์ที่เรียกว่า การวัดอายุคาร์บอน (Carbon Dating) ซึ่งเป็นการวัดปริมาณการสลายตัวของธาตุคาร์บอน -14 ในวัตถุที่เป็นส่วนประกอบของโบราณวัตถุชิ้นนั้นๆ เพื่อกำหนดอายุ และออกใบรับรองให้
       
       นอกจากกรมศิลปากรที่นำตัวอย่างโบราณวัตถุมาให้ สทน.ในการหาค่าอายุแล้ว ดร.สมพร ระบุว่า ยังมีกลุ่มบุคคลที่เป็นเจ้าของพระเครื่อง หรือเป็นเจ้าของโบราณวัตถุชนิดต่างๆ มักนำโบราณวัตถุจำนวนมากมาตรวจ เพื่อให้ได้ใบรับรองอายุ หลังจากนั้นก็นำกลับไปขายให้ผู้สนใจในราคาสูง
       
       “ปัจจุบันมีผู้สนใจเช่าพระแต่ดูพระไม่เป็นจำนวนมากกว่า ที่ถูกหลอกหรือเสียเงินไปแต่ได้พระที่ไม่สมกับเงินที่เสียไป ยิ่งปัจจุบันมีคนหัวใสนำพระเครื่องมาตรวจหาอายุ เพื่อให้ สทน.ออกเอกสารรับรองให้ และเดือนที่ผ่านมามีผู้นำไบรับรองของ สทน.ไปปลอมแปลง หรือทำสำเนา เพื่อประโยชน์ในการให้เช่าพระหลายราย จึงอยากเตือนผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง แต่ต้องการเช่า หรือเชื่อในเอกสารปลอม ท่านอาจจะได้พระปลอมไปโดยไม่รู้ตัว จากมูลค่าของตลาดพระที่แต่ละปีมีเงินหมุนเวียนกว่า 20,000 ล้านบาท ผมเชื่อว่าอาจจะมีผู้ให้เช่าบางรายดำเนินการในลักษณะนี้บ้าง” ดร.สมพรกล่าว
       
       ด้าน น.ส.นิภาวรรณ ปรมาธิกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สทน. ผู้ดูแลการออกใบรับรอง เผยถึงขั้นตอนการให้บริการหาค่าอายุโบราณวัตถุว่า สทน.จะรับตรวจวัตถุที่เชื่อว่าจะมีอายุมากกว่า 200 ปี เพราะหากต่ำกว่าเทคนิคนี้จะใช้ไม่ได้ผล
       
       “ผู้ที่มารับบริการต้องยอมให้ สทน.ทำลายตัวอย่างนั้น เพราะขั้นตอนคือ ต้องบดวัตถุให้ละเอียดจนเป็นผง แล้วไปผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปวัดค่าการสลายตัวของธาตุคาร์บอน-14 ผลการรับรองที่ปรากฏในเอกสารที่ส่งกับไปให้ผู้บริการ คือ ค่าอายุของเนื้อวัสดุที่นำมาทำเป็นพระ ไม่ใช่อายุพระ และเป็นเวลาของการสลายตัวของคาร์บอน-14 ไม่ใช่ปีปฏิทิน” น.ส.นิภาวรรณกล่าว
       
       น.ส.นิภาวรรณ อธิบายอีกว่า ใบรับรองดังกล่าวจะเป็นการรับรองตัวอย่างที่นำมาตรวจเท่านั้น ซึ่งได้ถูกทำลายไปในขั้นตอนการตรวจเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นผู้เห็นใบรับรองที่ออกจาก สทน.อาจต้องใช้วิจารณญาณ ในการเช่าพระเครื่อง เพื่อจะไม่เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ในส่วนใบรับรองที่มีผู้นำไปปลอมแปลงขึ้น สทน.จะปรับปรุงให้ใบรองรองมีรูปแบบเฉพาะมากขึ้น เพื่อให้ยากต่อการปลอมแปลงหรือนำไปตัดต่อ
       
       หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจอายุโบราณวัตถุ พระเครื่อง หรือสงสัยว่าเอกสารที่รับรองเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ สามารถติดต่อที่ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 02 401 9885 ได้ทุกวันเวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ 8.30-16.30 น.


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version