ประชาสัมพันธ์ > ประชาสัมพันธ์ทางธรรม
ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
sithiphong:
ปริเฉทสาม
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระครูเทพผู้วิเศษ
พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระครูเทพ ผู้วิเศษในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ประมาณปี พ.ศ.2127 ระยะเวลาห่างจากสมัยสุโขทัยประมาณ 227 ปี คันคว้าจากตำราไสยศาสตร์ ประกอบความรู้อันบังเกิดจากญาณหรือสิ่งบันดาลใจ จากคำที่ว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองลพบุรี ข้ายังได้เห็น หมายถึง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิใช่สมัยลพบุรี (ขอม) และยังมีคำว่า “เทพ” (มาจากคำเทพโลกอุดร) ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นับจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง 9 รัชกาลด้วยกัน แต่ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์คำนวณอายุได้ประมาณ 53 ปี เท่านั้น กล่าวคือ
พระเอกาทศรถ 16 ปี
พระศรีเสาวภาคย์ ไม่ถึงปี
พระเจ้าทรงธรรม 8 ปี
พระเชษฐาธิราช 3 ปี
พระอาทิตย์วงศ์ 37 วัน
พระเจ้าปราสาททอง 25 ปี
เจ้าฟ้าลั่น 1 ปี
พระศรีสุธรรมราชา 3 เดือน
พระนารายณ์มหาราช 32 ปี (คิดเพียงด้านรัชกาลขณะสร้างกำแพงเมืองให้เวลา 3 ปี)
รวมรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงไม่ถึง 100 ปี และองค์พระครูเทพ ผู้วิเศษน่าจะมีอายุยืนยาวเป็นกรณีพิเศษ
มีบันทึกว่าพระครูเทพ ผู้วิเศษเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระโพ ปางยืนห้ามสมุทร (โพ เป็นชื่อต้นไม้ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อต้นไม้) และพระควัมปติ (ไม่ใช่พระควัมบดี) แต่จะเป็นพระควัมปติ หรือพระมหากัจจายนะเถระเจ้าปางยกหัตถ์ปิดพระพักตร์อธิษฐานวรกาย ยังเป็นปัญหา เพราะเป็นคนละองค์ตามรายพระนามสาวกผู้ทรงเอกะทัคคะ 80 รูป แต่เมื่อสร้างเป็นพระพิมพ์แล้วมีลักษณะอย่างเดียวกัน จงเข้าใจเสียใหม่ว่าพระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เป็นคนละองค์แน่นอน และพระพิมพ์โลกอุดรส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรูปพระปิดตา (ยกหัตถ์ปิดพระพักตร์)
เจดีย์บรรจุพระองค์เดียว
พระครูเทพ ผู้วิเศษ ได้สร้างพระพิมพ์ไว้เพียงองค์เดียว บรรจุเจดีย์ไว้ที่วัดพุทไธศวรรค์ จังหวัดอยุธยา สมัยสงครามมหาบูรพาเอเชีย พระเจดีย์เกิดเอนทำท่าจะล้มมิล้มแหล่ คาดคะเนกันว่าจ่าจะมีทองคำบรรจุอยู่ ครั้งเจาะที่คอระฆังพบเพียงพระพิมพ์องเดียว บรรจุใส่ผอบไว้ สร้างเป็นรูปพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เนื้อผงมหาราชล้วน ๆ ผสมตัวยาสีออกเทาไม่ผสมปูน เนื้อจึงค่อนข้างอ่อน ขนาดแท่งผง ครั้งนำพระออกแล้วเจดีย์กลับตั้งตรงตามเดิม พระอาจารย์ช้อย วัดบ้านแป้ง จังหวัดอยุธยาเป็นนักนิยมพระเครื่องท่านหนึ่ง ยินดีนำพระบูชาสมัยสุโขทัยขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว แลกไว้เป็นพระสุดยอดทางเมตตา และมหานิยม ตามอานุภาพของผงมหาราช ศิษย์ท่านอาจารย์ช้อยขอยืมไปใช้ แล้วขูดผงใส่ให้หญิงสาวกินได้เป็นภรรยา ยังกำเริบขูดใส่แม่ยายคิดจะเทครัว อาจารย์ช้อยโกรธมากเรียกพระคืนมาเก็บรักษาไว้ หวงแหนที่สุด รักษาได้เพียง 9 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 ถึง 2493 ต้องเดินทางจากจังหวัดอยุธยาไปถึงอำเภอท่าอุเทน โดยที่ไม่เคยรู้จักกับผมมาก่อน ได้รับการแนะนำโดย คุณหมอเฉลียว ภู่มาลา ชาวจังหวัดอยุธยา ไปเปิดคลินิกที่อำเภอท่าอุเทน ผลที่สุดพระองค์นั่นก็ตกเป็นสมบัติของผม ปรากฏในด้านโชคลาภดีมาก ไม่เคยให้อาจารย์ประจำตัวตรวจอานุภาพ ปี พ.ศ.2500 ย้ายมาอยู่อำเภอบ้านนา ทำการตรวจสองทางใน 2 ครั้ง อาจารย์ท่าน แรกเห็นนิมิตปรากฏชัดเจน กลุ่มปืนกลเงียบเสียง นิมิตเห็นพระพุทธองค์กำลังประชุมแสดงพระโอวาทะปาฏิโมกข์ ในวันจาตุรงคสันนิบาต กล่าวว่ามหานิยมขนาดสมัครผู้แทนทีเดียว ขอชมบารมีเพียงสองด้าน และนิมิตบอกว่า ผู้ไม่มีศีลห้ารับรองรักษาไม่ได้เด็ดขาด จากท่าอุเทนได้ 7 ปี อาจารย์ช้อยเที่ยวตามหาทั่วประเทศ มาพบผมที่อำเภอบ้านนา บอกว่าตั้งแต่หมดพระองค์นี้แล้วตกมากแทบไม่มีคนจองกฐิน ขอขูดผงไปใช้ก็ยังดี ผมก็ยอมให้ขูด เรื่องการตรวจพระคราวที่แล้วก็เพียงพิสูจน์ว่าองค์ใดเป็นเลิศในปฐพี มีพระพิมพ์โลกอุดร 3 องค์ พระสมเด็จวัดระฆัง 1 องค์ ผมยังไม่ทราบว่าเป็นพระโลกอุดร รู้จักแต่พระวังหน้า พระหลวงปู่ดำ ครั้นให้อาจารย์ท่านหนึ่งตรวจท่านว่ารังสีทอง ก็ยังไม่รู้ประสาอีก ท่านว่านิมิตเห็นพระพุทธรูปทองคำลอยลงมาจากฟากฟ้า มีพระยาช้างเผือกเชือกหนึ่งคุกเข่าใช้งวงรับแล้วบรรจุลงในพระเจดีย์ ท่านว่าพระนี้มีองค์เดียวในโลก อาจารย์ท่านนี้ชอบดูการสร้างพระ ไม่ค่อยชอบดูการเสกพระ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด จะไม่เจริญในการศึกษาเรื่องพระเครื่องเด็ดขาด ท่านเห็นพระภิกษุผู้เฒ่ารูปหนึ่งกำลังนอกเสกพระและเป็นพระองค์เดียว มีอะไรที่วิเศษท่านนำมาผสมหมด เขาว่าสมบัติผลัดกันชมหลวงปู่คง เปลี่ยนเวรมาให้ผมลองรักษาดูบ้าง ผมก็รักษาได้โดยตลอดมา เพียงไม่เลี่ยมแขวนคอ เพราะรู้สึกว่าเป็นพระเนื้ออ่อนตามที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้น อยู่มาวันหนึ่งบุตรชายซึ่งเป็นนายตำรวจ อยากได้พระดีที่สุดในโลกไปใช้ ปรากฏว่าอาทิตย์เดียวจบ ซักไซ้ก็ไม่ได้ความ คือ เขาไม่มีศีล อยู่ได้ 7 วัน ก็บุญแล้ว ผมเสียดายมากแปลว่าผมหมดบุญ แต่ผมก็มีพระโลกอุดรหลายยุคสมัยที่คนหาไม่ได้หลายองค์เกินพอ หลวงปู่พระครูเทพผู้วิเศษ อยู่ที่วัดพุทไธศวรรย์นี่เองครับ พระวิเศษองค์ดังกล่าวนี้ไม่ทราบไปตกกับผู้ใด ผมสู้ราคาไม่อั้นหากพบเห็น
sithiphong:
ปริเฉทสี่
คณะพระธรรมฑูต
เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอด หรือพระองค์เจ้ายอดยศบวรราโชราสราชกุมาร ประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำ ปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธศักราช 2381 ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ นับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษา ปี 2395 เป็นการปรากฏทั้งคณะพระธรรมทูต มี
1.พระอุตรเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร หลวงปู่ใหญ่ หลวงพ่อดำ เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เรียกท่านว่า “พระโลกอุดร”
2.พระโสณเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร เช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโต เจ้าประคุณสมเด็จฯ เรียกท่านว่า “พระโสอุดร”
3.พระมูนียะ เรียกกันว่า หลวงปู่โพรงโพ ท่านอิเกสาโร หลวงปู่เดินหน
4.พระฌานียะ เรียกกันว่า หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า
5.พระภูมิยะ เรียกกันว่า หลวงปู่หน้าปาน
ทราบโดยญาณของผมเอง พระอิเกสาโร เป็นศิษย์พระโสณเถระ ส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระ หรือพระโสณเถระ ยังไม่แจ้งชัด เพียงอาจารย์ผมบอกว่า ท่านฌานียะยังมีอายุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไป หลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปาน จะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้ เพียงท่านหายไป ตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหันต์ (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น) จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่ม ในรูปของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ก็คือท่านขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรท่านเผาหมด เป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า “ตูนี่แหละคือครัวขี้เถ้า” ท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดร เสกใบมะม่วงเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์ จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบ กล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้วนำใส่โลงศพ ได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอย ก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไร ที่เห็นนั่นเป็นเพียงกายธรรมเท่านั้น ส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสี หรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมด ท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้ว ท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อ ปริศนาธรรมของท่านก็คือ มีพระบรมสาทิสลักษณ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 คนก็ตีความไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 บ้าง รัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้าง ก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปี พ.ศ.2453 ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้ว ความจริงก็คือ “ตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5” ก็เท่านั้น
พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ น่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัย นอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ การช่าง ช่างฝีมือ ยุทธศาสตร์ จนถึงวิชาการฟ้อนรำ ทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัย ขณะที่พระชนมายุเพียง 14 พรรษา ฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควร บรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตรเถระ) เห็นว่า เจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมา จึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐาน โดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์ (มองเห็นได้ด้วยตาใน) จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักษุแล้ว จึงปรากฏเป็นกายธรรม มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถผัสสะจับต้องได้ โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อย นั่นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้ สำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้า ก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนัก เพียงแต่กล่าวกันกว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปจากพระราชวังหน้าบ่อยครั้งในระยะหลัง ก็ไม่ทราบว่าเสด็จไปทางไหน และมิได้บอกกล่าวให้ผู้ใดทราบ หายไปคราวหนึ่ง ๆ ประมาณ 15 – 20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอม ซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ เสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปี พ.ศ.2428 นั่นมิได้ทิวงคตจริง แต่บรมครูพระเทพโลกอุดร หรือหลวงปู่ดำ พาไปอยู่ด้วย และเสกใบพลูแทนตัวไว้ เรื่องออกจะเหลือเชื่อ แต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ หรือท่านอภิชิโตภิกขุ ได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดร แต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดง อย่างที่เล่าลือกัน ท่านวังหน้ากับท่านอาจารย์แจ้งฌาน 2 รูป เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ ท่านอภิชิโต มักเรียกว่า “ครูฝึก” โดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรง ต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่ง ๆ แล้วท่านจะต้องทดสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไป ปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดี เรียกว่า “โยมประถม” ท่านอภิชิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่ เพราะเป็นภาพของบรรชิต แต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้า ส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชม ท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า “ไตรโลกอุดร” หมายความถึงพระโลกอุดรองค์ที่สาม ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในขณะที่อธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรก ซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุทธาวาส หลวงปู่เสด็จมาในสภาพกายทิพย์หรือกายธรรม ท่านตอบว่ามาในรูปแห่งกายธรรม ถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใดจึงไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมในการอธิษฐานจิตอีก ท่านหัวเราะตอบว่า คนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน
sithiphong:
บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร
พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ ท่านไม่ใช่คนไทย เป็นชาวเนปาล แต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกัน ผู้ที่อวดรู้อวดเห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหน ดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้ หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์ และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง นอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้ว ยากที่ผู้อื่นจะดูออก ท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่า “นี่คนหรือผีกันแน่ เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน” สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคย เคยถามท่านอภิชิโตว่า ตามที่เขาลือกันว่า หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดร ไม่มรณภาพจริง อาจารย์เคยพบบ้างไหม ท่านตอบว่าไม่เคยพบ เป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดร มีอยู่หลายสายด้วยกัน และยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดง สายในดง คือ ไปศึกษาความรู้จากองค์ท่าน สายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจจะเป็นทั้งฆราวาสและบรรชิต เช่น อาจารย์พัว แก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชม สุคันธรัต เป็นต้น พยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับ อย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาป หลวงปู่ท่านเคยตำหนิ บ่นว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขาย ถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว
องค์ที่หนึ่ง พระอุตรเถระ หรือ หลวงปู่ใหญ่ คือ บรมครูเทพโลกอุดร ลักษณะรูปร่างสันทัด ผิวกายค่อนข้างดำคล้ำ จึงมีฉายาว่า “หลวงพ่อดำ” มีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้า บรรลุอภิญญาหก แต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโช คือวิชาสาม ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณ แต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาฌาน เช่นกัน ท่านวางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่า “วิทยาศาสตร์ทางใจ” มิใช่วิชาไสยศาสตร์ และมิใช่มายากล ศิษย์ในดงนอกดง สามารถแปรธาตุได้ เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อภิชิโตภิกขุ อาจารย์พัว แก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ฯลฯ เป็นต้น ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรม ใจดีประกอบด้วยเมตตา มีอารมณ์ขัน หากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมทูต ซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิ แหลมทอง คงได้แก่ พระโสณเถระ ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตร แต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชาย บทบาทของพระอุตรเถระ จึงไม่ค่อยมีปรากฏ และพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ เช่นกัน มิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไร ปฏิสัมภิทาณสี่มี ดังนี้:-
1.อัตถปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในอรรถ เข้าใจอธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และเข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมี เข้าใจผล
2.รามปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในธรรม เข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆ ตั้งเป็นกระทู้ หรือหัวข้อขึ้นได้ สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ
3.นิรุตติปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในภาษา และรู้จักใช้ถ้อยคำ ตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ
4.ปฏิภาณสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันที หรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉิน หรือกล่าวตอบโตได้ทันท่วงที
ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมาก เพียงนึกถึงท่าน ท่านจะบอกให้นิมิต “เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มา เรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่ง”
ในการตรวจพระพิมพ์ของท่าน ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอภิชิโตภิกขุมอบให้เป็นสมบัติ บอกว่าอาจารย์ท่านคือ หลวงปู่ดำเสกให้ เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียร คำไสสว่าง ชีประขาวผู้ทรงคุณ กำหนดจิตดู ท่านอาจารย์บอกว่า พระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่ง ต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบ ได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้า ปรากฏว่าเหมือนกันทุกประการ
องค์ที่สอง พระโสณเถระ หรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำ ทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่ง เว้นวิชาแพทย์ ใจดีเยือกเย็น ประกอบด้วยเมตตาธรรม ชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัย โขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร
องค์ที่สาม พระมูนียะ หรือ พระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพ หลวงปู่เดินหน ล้วนเป็นองค์เดียวกัน มีบุคลิกภาพอันสง่างาม ปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบัน เชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบเจริญอสุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูก พูดน้อย ค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุ แต่ก็ไม่ดุ เป็นอาจารย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ห่มจีวรสีหมองคล้ำ หากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกศายาวจรดเอวทีเดียว แสดงว่า “อิเกสาโร” (เกศา แปลงว่า เส้นผม) ท่านมีบทบาทไม่น้อย ตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่น ๆ ด้วยซ้ำไป
องค์ที่สี่ พระฌานียะ ฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จังหวัดนครปฐม รูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่น มีอำนาจ แต่ขี้เล่น ใจดี นิมิตไม่แน่นอน อาจเป็นรูปพระภิกษุชราถือไม้เท้า อาจเป็นพระภิกษุในวัยกลางคน เคยมาโปรดในร่างของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อำเภอบางหมี่ จังหวัดลพบุรี ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบ แต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำมาพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์ เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบ ท่านมาสร้างบารมีต่อ ปริศนาธรรม คือ ขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเฒ่าสู่เถ้า ผลคลีดินสู่ผงคลีดิน จะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอก ที่สุดก็มรณภาพ และศิษย์นำใส่โลกศพรอวันเผา หลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอย เลยไม่มีการฌาปนกิจศพ
องค์ที่ห้า พระภูริยะ หลวงปู่หน้าปาน บางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้วแดง เคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกขุ ท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอท ล่องหนย่นทางเก่ง ถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซีกซ้าย สหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า มาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกัน โดยอาศัยร่างท่านมหาชวน หรือ หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด ท่านเป็นภิกษุทรงศีล เมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่า พระมหาชวนได้ตายไปแล้ว อาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ
sithiphong:
คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
นโม ๓ จบ
อะหัง วันทามิ อะธะ ปะติฏฐิตา พุทธะธาตุโย ตัสสานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เม.
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้ พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ ด้วยอานุภาพแห่งกุศลผลบุญนี้ ขอให้ข้าพเจ้าประสพแต่ความสุขสวัสดีตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ
คาถาบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า
สัพเพ ปัจเจกะสัมพุทธา นิโรธะฌานะโกวิทา นิราละยา นิราสังกา อัปปะเมยยา มะเหสะโย ทูเรปิ วิเนยเย ทิสสะวา สัมปัตตา ตังขะเณนะ เต สันทิฏฐิกะผะเล กัตตะวา สะทา สันติง กะโรนตุ โน
การทำบุญประจำวัน
1.ให้อธิษฐานเลยว่าเดือนนี้จะทำ 30 บาท ตั้งเป็นสัจจะเอาไว้เลย
2.นำเหรียญ 1 หรือ 5 หรือ เหรียญ 10 ยกขึ้นมาอธิษฐาน ว่าข้าพเจ้าขอนำเงินที่ได้มาเหนื่อยยากนี้ เพื่อทำบุญ
1.ทำบุญที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ในทุกกรณี
2..ทำบุญกับมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับในหลวงหรือพระเทพฯ
3.ชำระหนี้สงฆ์
4.ทำบุญเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์
แล้วสวดต่อด้วย
“คาถาเรียกทรัพย์” (หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา)
พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม"
sithiphong:
.
คนเราทุกวันนี้
ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้า
แต่เพียงด้านเดียว
ให้เอากระจกหกด้าน
มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version