ผู้เขียน หัวข้อ: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ  (อ่าน 356320 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 19 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง) พิมพ์ไตรโลกอุดร เนื้อปัญจสิริ ผมให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์


ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง) ผมให้ร่วมทำบุญ 3,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์


ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง) ผมให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์


ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
.

สำหรับท่านใดที่ร่วมทำบุญและแจ้งรับพระแล้ว 
ผมจะแจ้งองค์ผู้อธิษฐานจิตสำหรับพระพิมพ์ที่ท่านแจ้งขอรับพระพิมพ์องค์นั้นๆให้ครับ

เพราะว่า ในแต่รุ่น องค์ผู้อธิษฐานจิตไม่เหมือนกัน  มีทั้งที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 องค์ และ/หรือ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 1 องค์ และ/หรือ  สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต และ/หรือ องค์อื่นๆ




.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ท่านที่ร่วมทำบุญและประสงค์ที่จะรับพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ  ผมรบกวนให้แจ้งจำนวนเงินที่โอนร่วมทำบุญ , วันที่โอนเงิน และ เวลาที่โอนเงินให้ผมทราบด้วย อีกทั้งให้ท่านแจ้ง ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ให้ผมทราบ เมื่อผมตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ผมจะดำเนินการจัดส่งพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆที่จะต้องการที่จะรับไปให้  ส่วนค่าจัดส่ง  ไม่ต้องจ่าย ผมออกให้เองครับ

โมทนาบุญทุกประการ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
อานิสงส์การทำบุญด้วยแสงไฟ (พระอนุรุทธ)

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา

อัตตา หิ สุทันเตนะ นาถัง ลภติ ทุลลภัง ตีติ


 
ณ โอกาสบัดนี้ อาตมาจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา ในความเป็นมาของพระอนุรุทธ เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองค์ศรัทธาบารมี แก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่มาบำเพ็ญกุศลในวันนี้

สำหรับวันนี้ ตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม 2535 เป็นวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เราก็เรียกกันว่าวันจะเข้าพรรษา บางวัดก็เข้าพรรษาวันนี้ บางวัดก็เข้าพรรษาวันพรุ่งนี้ แต่สำหรับวัดท่าซุงเข้าพรรษาวันนี้ เป็นอันว่าวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทำบุญมีอานิสงส์ 2 ประการด้วยกัน คือ

1. ถวายเทียนเข้าพรรษา

2. ถวายผ้าไตร หรือผ้าวัสสิกสา แก่บรรดาพระสงฆ์

ทั้งสองอย่างนี้มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างแรก ถวายเทียนเข้าพรรษาจะเทศน์วันนี้ สำหรับอานิสงส์ถวายผ้าไตรจะเทศน์วันพรุ่งนี้ ถ้าวันนี้ไม่จบ

พระอนุรุทธ

เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปรารภพระอนุรุทธ ความจริงพระอนุรุทธนี่เป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุชานะไม่ใช่อาชานะ อนุชานี่เขาแปลว่าน้อง อาชาแปลว่าม้า เป็นน้องพระพุทธเจ้า คือว่าเป็นลูกของอา ในตระกูลมีอยู่ 2 คน คือ ท่านมหานาม 1 สอง พระอนุรุทธ

ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ท่านท้าวมหานามก็ปรารภกับน้องชายว่า เวลานั้นท้าวมหานามเป็นพระมหากษัตริย์ ตระกูลอื่นเขาก็มีคนบวชกันหมดแล้ว ตระกูลของเรายังไม่มีใครบวช ถ้ายังงั้นขอให้น้องเป็นพระราชาต่อไป พี่จะบวช พระอนุรุทธก็บอกว่า การเป็นพระราชาทำยังไง เวลานั้นพระราชาต้องทำนาเหมือนกัน ก็ต้องเลี้ยงทหาร เขาบอกว่า ตอนต้นปีก็ไถนาแล้วก็หว่าน พอปลายปีก็เกี่ยวข้าวเอาเข้าฉาง ต้นปีไถนาแล้วก็หว่าน ปลายปีเกี่ยวข้าวเข้าฉาง แบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต พระอนุรุทธถามว่า ไอ้การทำนานี่ไม่มีการเลิกรึ ท่านมหานามบอก เลิกไม่ได้ พระอนุรุทธก็บอกว่า ถ้ายังงั้นพี่อยู่เถอะฉันบวชเอง ก็ไปชวนเพื่อนอีก 4 คนบวช


เป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ

เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ปรากฎว่า พระอนุรุทธเจริญพระกรรมฐานไม่ช้าไม่นานนัก วันเข้าพรรษาวันนี้ก็ได้บรรลุอรหัตถผลพร้อมไปด้วยทิพจักขุญาณ เป็นพระวิชชาสาม ต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งพระอนุรุทธเป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ นั่นหมายความว่า พระอรหันต์นี่มี 4 ขั้น ตัดกิเลสได้เหมือนกัน แต่ความสามารถไม่เท่ากัน คือ

1. สุกขวิปัสสโก ตัดกิเลสได้ แต่ไม่มีจิตเป็นทิพย์ ไม่สามารถเห็นผี นรก สวรรค์ ได้

2. เตวิชโช อย่างนี้สามารถมีจิตเป็นทิพย์ เห็นสวรรค์ได้ นรกได้ เปรตได้ อสุรกายได้ เห็นอะไรก็ได้ และสามารถระลึกชาติได้

3. ฉฬภิญโญ สำหรับหมวดนี้เหาะเหินเดินอากาศได้ แปลงได้ เนรมิตได้

4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต ปฏิสัมภิทาญาณ มีความฉลาดมาก

ฉะนั้น สำหรับพระอนุรุทธเป็นพระอรหันต์ขั้นวิชชาสาม แต่ความจริงพระอรหันต์ขั้นวิชชาสามนี่ความจริงต้องอ่อนกว่าทุกอย่าง อ่อนกว่าฉฬภิญโญ ฉฬภิญโญก็คืออภิญญาหก แต่ว่านี่ท่านเข้มแข็งในด้านทิพจักขุญาณ จะพิสูจน์ในสมัยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านิพพานเวลานั้น เวลาที่พระพุทธเจ้านิพพาน พระอนุรุทธเข้าฌานตาม พระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ไม่สามารถจะเข้าฌานตามได้ ไม่รู้จิตใจของพระพุทธเจ้าว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน แต่สำหรับพระอนุรุทธติดตามได้

พระอานนท์เข้าไปสะกิดถาม หลวงพี่ เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ไปนิพพานหรือยัง ในขณะที่ท่านจะเข้านิพพานท่านเข้าสมาธิเต็มที่ ไอ้การเข้าสมาธิเต็มที่นี่ บรรดาพุทธบริษัทบางทีเขานึกว่าหัวใจหยุดเต้น ความจริงไม่หยุด มันเต้นเบาลมหายใจน้อย บางคนคิดว่าไม่มีลมหายใจ ท่านก็บอกว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าอยู่ที่ฌาน 1 บ้าง ฌาน 2 บ้าง ฌาน 3 บ้าง ฌาน 4 บ้าง ในอรูปฌานบ้าง แล้วเลื่อนมาในฌาน 4 ของรูปฌาน นิพพานตอนนั้น

นี่จะเห็นว่าพระอนุรุทธชื่อว่าเป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ เลิศจริง ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า กล่าวถึงประวัตินะ ตอนนี้ยังไม่นิพพาน ท่านบอกว่า พระอนุรุทธนี่ในสมัยชาติก่อนชอบทำบุญด้วยแสงไฟ

ก็อย่างที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย บูชาเทียนเข้าพรรษานี่แหละ บูชาเทียนเข้าพรรษาบ้าง ช่วยค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ช่วยน้ำมันตะเกียงบ้าง อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องให้เกิดแสงไฟ ให้เกิดแสงสว่างขึ้น พระอนุรุทธชอบทำอย่างนี้ ทุกวาระถึงปีถึงเวลาเข้าพรรษาก็นำเทียนเข้าพรรษาถวายตามวัด วันละหลาย ๆ วัด เป็นการบูชาให้แสงสว่าง ฉะนั้น มาชาติหลังสุด อานิสงส์ถวายเทียนเข้าพรรษา แสงไฟ จึงได้ทิพจักขุญาณเป็นเลิศกว่าพระอรหันต์ทุกองค์ นี่เป็นประวัติตอนท้ายนะ ประวัติของพระอนุรุทธนี่มีหลายตอน จะขอตัดเป็นตอน ๆ

ขอขอบคุณ

-http://www.jetovimut.com/index.php/anisong/123-light.html-

popja ที่มา : -http://www.lomchakclub.com/v9/index.php?topic=396.0-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
พี่ท่านนึง  ได้ให้ธาตุสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กับผม

ตอนที่อัญเชิญมาที่บ้าน มีลักษณะเป็นเหมือนเม็ดทรายละเอียด(องค์เล็กมาก)

พี่ท่านนี้ให้มาน่าจะประมาณ 3 ปีแล้ว

ปัจจุบัน  แต่ละองค์  โตขึ้นมาก


หมายเหตุ  รูปที่ลง  หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิกเว็บใต้ร่มธรรม ท่านไม่สามารถที่จะเห็นได้  แจ้งเพื่อทราบครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด

             
อรรถกถาอนุรุทธเถรคาถาที่ ๙

-http://palungjit.org/tripitaka/default.php?cat=5300006-

         คาถาของท่านพระอนุรุทธเถระ   มีคำเริ่มต้นว่า   ปหาย  มาตาปิตโร
ดังนี้.   เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?                                               
         แม้พระเถระนี้        ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่
ปางก่อน    บังเกิดเป็นกุฎุมพี    ผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ.   ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ    วันหนึ่ง    เขาไปวิหารฟังธรรมในสำนัก
ของพระศาสดา     ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง     ไว้ใน
ตำแหน่งผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์     แม้ตนเองก็ปรารถนาฐานันดรนั้น
จึงยังมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗  วัน       แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีภิกษุ
บริวารแสนหนึ่ง  ในวันที่  ๗ ได้ถวายผ้าชั้นเลิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า  และ
ภิกษุสงฆ์    แล้วกระทำปณิธานความปรารถนาไว้     ฝ่ายพระศาสดาทรง
ทราบว่าความปรารถนาของเขาจะสำเร็จโดยไม่มีอันตราย   จึงทรงพยากรณ์
ว่า    ในอนาคตกาล      จักเป็นผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์ในศาสนาของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม.     แม้เขาก็ทำบุญทั้งหลายในพระ-
ศาสดานั้น  เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว  เมื่อพระเจดีย์ทองสูง  ๗  โยชน์
สำเร็จแล้ว    ก็ทำการบูชาประทีปอย่างโอฬาร    ด้วยต้นไม้ประดับประทีป
และตัวประทีปหลายพัน     โดยอธิษฐานว่า     ขอจงเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่
ทิพยจักษุญาณเถิด.
         เขากระทำบุญทั้งหลายจนตลอดชีวิตด้วยประการอย่างนี้   แล้วท่อง-
เที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสป
บังเกิดในเรือนกุฎุมพี   ในเมืองพาราณสี   ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว  เมื่อ
พระศาสดาปรินิพพานแล้ว      เมื่อสร้างพระเจดีย์ทองโยชน์หนึ่งสำเร็จแล้ว

   

หน้าที่ 159

ให้สร้างถาดสำริดเป็นจำนวนมาก   บรรจุเต็มด้วยเนยใสอย่างใส   แล้ววาง 
ก้อนงบน้ำอ้อยก้อนหนึ่ง ๆ ไว้ตรงกลาง      วางล้อมพระเจดีย์ให้ขอบปาก
กับขอบปาก (ถาด)  จดกัน ส่วนตนให้สร้างถาดสำริดใหญ่ถาดหนึ่ง  บรรจุ
เต็มด้วยเนยใสอย่างใส.  ตามไส้  ๑,๐๐๐  ไส้  ให้สว่างโพลง   แล้วทูนศีรษะ
เดินเวียนพระเจดีย์ตลอดคืนยังรุ่ง.
         ในอัตภาพแม้นั้น  เขาทำกุศลจนตลอดชีวิตด้วยประการอย่างนี้   จุติ
จากอัตภาพนั้นไปบังเกิดในเทวโลก   ดำรงอยู่ในเทวโลกนั้นจนตลอดอายุ
จุติจากเทวโลกนั้น   เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ   ได้บังเกิดในตระกูล
เข็ญใจ  ในเมืองพาราณสีนั่นแล  ได้มีชื่อว่าอันนภาระ.   นายอันนภาระนั้น
กระทำการงานในเรือนของสุมนเศรษฐีเลี้ยงชีวิตอยู่.    วันหนึ่ง     เขาเห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า    อุปริฏฐะ  ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว   เหาะ
จากภูเขาคันธมาทน์   มาลงใกล้ประตูเมืองพาราณสี     ห่มจีวรแล้วเข้าไป
บิณฑบาตในเมือง     มีจิตเลื่อมใสรับบาตร    เริ่มประสงค์จะใส่ภัตตาหาร
ที่เขาแบ่งไว้ส่วนหนึ่ง    ซึ่งเขาเก็บไว้เพื่อตน    ในบาตรถวายพระปัจเจก-
พุทธเจ้า.   ฝ่ายภรรยาของเขา   ก็ใส่ภัตตาหารอันเป็นส่วนของตนในบาตร
นั้นเหมือนกัน.   เขานำบาตรนั้นไปวางในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า.
         พระปัจเจกพุทธเจ้ารับบาตรนั้น        กระทำอนุโมทนาแล้วหลีกไป.
เพราะได้เห็นการกระทำนั้น    ตกกลางคืน    เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ฉัตรของ
สุมนเศรษฐี  ได้อนุโมทนาด้วยเสียงดัง ๆ ว่า โอ ทาน  เป็นทานอย่างเยี่ยม
นายอันนภาระประดิษฐานไว้ดีแล้วในพระอริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า.     สุมน-
เศรษฐีได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า  ทานที่เทวดาอนุโมทนาอย่างนี้นี่แหละ   เป็น
อุดมทาน   จึงขอส่วนบุญในทานนั้น.   ฝ่ายนายอันนภาระได้ให้ส่วนบุญแก่

   

หน้าที่ 160

ท่านเศรษฐีนั้น.    สุมนเศรษฐีมีจิตเลื่อมใสกับนายอันนภาระนั้น    ได้ให้
ทรัพย์พันหนึ่งแก่เขาแล้วกล่าวว่า     จำเดิมแต่นี้ไป     ท่านไม่มีกิจในการ
ทำงานด้วยมือของตน  ท่านจงสร้างบ้านให้เหมาะสมแล้วอยู่ประจำเถิด.
         เพราะเหตุที่บิณฑบาตซึ่งถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ออกจาก
นิโรธสมาบัติ ย่อมมีวิบากโอฬารมากในวันนั้นเอง เพราะฉะนั้น  ในวันนั้น
สุมนเศรษฐีเมื่อจะไปเฝ้าพระราชา       จึงได้พานายอันนภาระนั้นไปด้วย.
แม้พระราชาก็ทรงทอดพระเนตรด้วยความเอื้อเฟื้อ.      เศรษฐีกราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้นี้สมควรเป็นผู้จะพึงทอดพระเนตรทีเดียว  พระเจ้าข้า
แล้วกราบทูลถึงบุญที่เขาทำในกาลนั้น      ทั้งความที่คนได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง
แก่เขาให้ทรงทราบ.  พระราชาทรงสดับดังนั้น   ก็ทรงโปรด  ได้ประทาน
ทรัพย์พันหนึ่ง    แล้วทรงสั่งว่า เจ้าจงสร้างบ้านอยู่ในที่ชื่อโน้น.    เมื่อ
นายอันนภาระกำลังชำระสถานที่นั้นอยู่  หม้อทรัพย์ใหญ่ก็ผุดขึ้น   เขาเห็น
ดังนั้นจึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ.       พระราชารับสั่งให้ขนทรัพย์
ทั้งหมดมากองไว้แล้วตรัสถามว่า    ในนครนี้      ในเรือนของใครมีทรัพย์
ประมาณเท่านี้บ้าง.    อำมาตย์ราชบริพารพากันกราบทูลว่า    ของใครๆ
ไม่มีพระเจ้าข้า.   จึงตรัสว่า   ถ้าอย่างนั้น    อันนภาระนี้     จงเป็นผู้ชื่อว่า
อันนภารเศรษฐีในนครนี้     ดังนี้แล้ว    พระราชทานฉัตรเศรษฐีแก่เขาใน
วันนั้นเอง.
         จำเดิมแต่นั้น     เขากระทำกุศลกรรมจนตลอดอายุ    จุติจากอัตภาพ
นั้น     ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย      ในพุทธุปบาทกาลนี้
ได้ถือปฏิสนธิในพระราชมนเทียรของพระเจ้าสุกโกทนศากยะ      ในเมือง
กบิลพัสดุ์   ได้มีพระนามว่าอนุรุทธะ.    เจ้าอนุรุทธะนั้นเป็นพระกนิษฐ-

   

หน้าที่ 161

ภาดาของเจ้ามหานามศากยะ        เป็นโอรสของพระเจ้าอาของพระศาสดา
เป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง  มีบุญมาก  อันพวกหญิงนักฟ้อนผู้ประดับประดา
แวดล้อมอยู่ในปราสาท  ๓  หลังอันเหมาะสมแก่ฤดูทั้ง  ๓    เสวยสมบัติดุจ-
เทวดา  เข้าไปเฝ้าพระศาสดาผู้เสด็จประทับอยู่ในอนุปิยอัมพวัน   กับกุมาร
ทั้งหลายมีภัททิยกุมารเป็นต้น   ผู้อันเจ้าศากยะทั้งหลาย   ซึ่งพระเจ้าสุทโธ-
ทนมหาราชให้กำลังใจสั่งไปเพื่อเป็นบริวารของพระศาสดา       จึงบวชใน
สำนักของพระศาสดา       ก็ในภายในพรรษานั่นเอง       ทำทิพยจักษุให้
บังเกิด  แล้วเรียนเอากรรมฐานในสำนักของพระธรรมเสนาบดี  แล้วไปยัง
ปาจีนวังสทายวัน  ในเจติยรัฐ    กระทำสมณธรรมอยู่    ตรึกถึงมหาปุริสวิตก
ได้  ๗  ประการ  ไม่อาจรู้ประการที่    ๘.  พระศาสดาทรงทราบความเป็นไป
ของเธอ   จึงตรัสมหาปุริสวิตกข้อที่  ๘  แล้วทรงแสดงมหาอริยวังสปฏิปทา
อันประดับด้วยความยินดีในการเจริญสันโดษด้วยปัจจัย  ๔.
         ท่านพระอนุรุทธะนั้น  เจริญวิปัสสนาตามแนวแห่งพระธรรมเทศนา
นั้น      ได้ทำให้แจ้งพระอรหัตมีอภิญญาและปฏิสัมภิทาเป็นองค์ประกอบ.
ด้วยเหตุนั้น  ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑
                     เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า       พระนามว่าสุเมธ
         เชษฐบุรุษของโลก    เป็นนระผู้องอาจ    ผู้นายกของโลก
         เสด็จหลีกเร้นอยู่   จึงได้เข้าไปเฝ้าพระสุเมธสัมพุทธเจ้า
         ผู้เป็นนายกของโลก   แล้วได้ประคองอัญชลี   ทูลอ้อนวอน
         พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดว่า          ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้

๑.  ขุ.    อ.  ๓๒/ข้อ   ๖.

   

หน้าที่ 162

   เชษฐบุรุษของโลกเป็นนระผู้องอาจ   ขอจงทรงอนุเคราะห์
   เถิด  ข้าพระองค์ขอถวายประทีป  แก่พระองค์ผู้เข้าณานอยู่
   ที่ควงไม้   พระสยัมภูผู้ประเสริฐ   ธีรเจ้านั้น   ทรงรับแล้ว
   จึงห้อยไว้ที่ต้นไม้   ประกอบยนต์ในกาลนั้น  เราได้ถวาย
   ไส้ตะเกียงน้ำมันพันหนึ่ง   แก่พระพุทธเจ้าผู้เผาพันธุ์ของ
   โลก  ประทีปลุกโพลงอยู่ ๗   วันแล้วดับไปเอง  ด้วยจิตอัน
    เลื่อมใสนั้น   และด้วยการตั้งเจตนาไว้   เราละกายมนุษย์
   แล้วได้เข้าถึงวิมาน  เมื่อเราเข้าถึงความเป็นเทวดา  วิมาน
   อันบุญกุศลนิรมิตไว้เรียบร้อย    ย่อมรุ่งโรจน์โดยรอบ  นี้
   เป็นผลแห่งการถวายประทีป  เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
   ๒๘  ครั้ง   เวลานั้น   เรามองเห็นได้ตลอดโยชน์หนึ่งโดย
   รอบทั้งกลางวันกลางคืน    เราย่อมไพโรจน์ทั่วโยชน์หนึ่ง
   โดยรอบ  ในกาลนั้น ย่อมครอบงำเทวดาทั้งปวงได้  นี้เป็น
   ผลแห่งการถวายประทีป   เราได้เป็นจอมเทวดาเสวยราช
   สมบัติในเทวโลก  ๓๐  กัป   ใคร  ๆ  ย่อมไม่ดูหมิ่นเราได้
   นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป   เราได้บรรลุทิพยจักษุมอง
   เห็นได้ตลอดพันโลกด้วยญาณในศาสนาของพระศาสดา
   นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป   พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
   สุเมธ    เสด็จอุบัติในกัปที่  ๓๐,๐๐๐   นับแต่กัปนี้   เรามีจิต
   ผ่องใสได้ถวายประทีปแก่พระองค์     คุณวิเศษเหล่านี้คือ
   ปฏิสัมภิทา  ๔ ...ฯ ลฯ...   คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้
   ทำเสร็จแล้ว.

   

หน้าที่ 163

         ครั้นในกาลต่อมา   พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริย- 
เจ้า   ในพระเชตวันมหาวิหาร    ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่ง
ภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    อนุรุทธะนี้เป็นเลิศ
แห่งภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้มีจักษุทิพย์.
         ท่านเสวยวิมุตติสุขอยู่  วันหนึ่ง   พิจารณาข้อปฏิบัติของตนแล้วเกิด
ปีติโสมนัส     ได้กล่าวคาถาด้วยสามารถอุทานมีอาทิว่า     เราละพระชนก
และพระชนนี   ดังนี้.    ฝ่าอาจารย์บางพวกกล่าวว่า     พระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลาย      เมื่อจะประกาศการบรรพชาและการบรรลุพระอรหัตของพระ-
เถระ  ได้กล่าวคาถา  ๔  คาถาข้างต้น   คาถาต่อจากนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีพระทัยโปรดปรานอริยวังสปฏิบัติของพระเถระ    จึงตรัสไว้.   คาถา
นอกนี้แม้ทั้งหมด   พระเถระเท่านั้นกล่าวไว้ตามเหตุการณ์นั้น  ๆ.   ดังนั้น
คาถาเหล่านี้ทั้งที่พระเถระกล่าวไว้   ทั้งที่ตรัสไว้โดยเฉพาะพระเถระ   ก็พึง
ทราบว่า     เป็นคาถาของพระเถระแม้โดยประการทั้งปวง,    คือท่านกล่าว
คาถาเหล่านี้ไว้ว่า                                                   
                      พระอนุรุทธะละพระชนกชนนี   ละพระประยูรญาติ
         ละเบญจกามคุณได้แล้ว  เพ่งฌานอยู่  บุคคลผู้เพียบพร้อม
         ด้วยการฟ้อนรำขับร้อง   มีดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจ
         อยู่ทุกเช้าค่ำ   ก็ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์ด้วยการฟ้อนรำ
         ขับร้องนั้นได้   เพราะยังเป็นผู้ยินดีในกามคุณอันเป็นวิสัย
         แห่งมาร.       พระอนุรุทธะก้าวล่วงเบญจกามคุณนั้นแล้ว
         ยินดีในพระพุทธศาสนา  ก้าวล่วงโอฆะทั้งปวงแล้ว   เพ่ง
         ฌานอยู่.    พระอนุรุทธะได้ก้าวล่วงกามคุณเหล่านี้    คือ

   

หน้าที่ 164

   รูป    เสียง   กลิ่น   รส   โผฏฐัพพะอันรื่นรมย์ใจ   เพ่ง 
   ฌานอยู่.   พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์    หาอาสวะมิได้
   ผู้เดียวไม่มีเพื่อน  กลับจากบิณฑบาตแล้ว  เที่ยวแสวงหา
   ผ้าบังสุกุลอยู่.     พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์    มีปรีชา
   หาอาสวะมิได้   เที่ยวเลือกหาเอาแต่ผ้าบังสุกุล    ครั้นได้
   มาแล้ว    ก็มาซักย่อมเอาเองแล้วนุ่งห่ม.      บาปธรรมอัน
   เศร้าหมองเหล่านี้   ย่อมมีแก่ภิกษุผู้มักมาก   ไม่สันโดษ
   ระคนด้วยหมู่   มีจิตฟุ้งซ่าน.   อนึ่ง   ภิกษุใดเป็นผู้มีสติ
   มักน้อย  สันโดษ   ไม่มีความขัดเคือง  ยินดีในวิเวก  ชอบ
   สงัด  ปรารภความเพียรเป็นนิตย์   กุศลธรรมซึ่งเป็นฝ่าย
   ให้ตรัสรู้เหล่านี้    ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น   ทั้งพระสัมมาสัม-
   พุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่     ก็ตรัสสรรเสริญ
   ภิกษุนั้นว่า  เป็นผู้หมดอาสวะ.  พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมใน
   โลก  ทรงทราบความดำริของเราแล้ว  เสด็จมาหาเราด้วย
    มโนมยิทธิทางกาย   เมื่อใดความดำริได้มีแก่เรา  เมื่อนั้น
   พระพุทธเจ้าทรงทราบความดำริของเราแล้ว       ได้เสด็จ
    เข้ามาหาเราด้วยพระฤทธิ์         แล้วทรงแสดงธรรมอันยิ่ง
   แก่เรา    พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า
    ได้ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าแก่เรา        เรารู้ทั่วถึง
   พระธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว      เป็นผู้ยินดีในพระ-
    ศาสนา    ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนอยู่     เราบรรลุวิชชา  ๓
   โดยลำดับ   ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว.

   

หน้าที่ 165

     เราถือการไม่นอนเป็นวัตรมาเป็นเวลา  ๕๕  ปี    เรากำจัด
   ความง่วงเหงาหาวนอนมาแล้วเป็นเวลา   ๒๕  ปี       ในเวลา
   ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน     ภิกษุ
   ทั้งหลายถามเราว่า     พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว
    หรือยัง    เราได้ตอบว่า     ลมหายใจออกและหายใจเข้า
   มิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น     ผู้คงที่
    แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพานก่อน  พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มี
   พระจักษุ  ผู้ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องทำใจให้หวั่นไหว    ทรง
   ทำนิพพานให้เป็นอารมณ์    คือเสด็จออกจากจตุตถฌาน
   แล้ว    จึงจะเสด็จปรินิพพาน     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
   อดกลั้นเวทนาด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน   ก็เมื่อพระผู้มี-
   พระภาคเจ้า  ผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกพร้อมเทวโลก
   เสด็จดับขันธปรินิพพาน   ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัย
   ได้มีขึ้นแล้ว  บัดนี้   ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่  ๕  ของ
   พระมหามุนี    ได้สิ้นสุดลงแล้ว   ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธ-
    เจ้า  เสด็จปรินิพพานแล้ว   จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่น
   จักไม่มีอีกต่อไป.   ดูก่อนเทวดา   บัดนี้การอยู่อีกต่อไป
   ด้วยอำนาจการอุบัติในเทพนิกายย่อมไม่มี       ชาติสงสาร
   สิ้นไปแล้ว   บัดนี้การเกิดในภพใหม่มิได้มี.  ภิกษุใดรู้แจ้ง
   มนุษยโลก   เทวโลกพร้อมทั้งพรหมโลก   อันมีประเภท
   ตั้งพันได้ในเวลาครู่เดียว   ทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณ   คือ
   อิทธิฤทธิ์      และในการจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

   

หน้าที่ 166

   ภิกษุรูปนั้นย่อมเห็นเทพเจ้าทั้งหลายได้ตามความประสงค์.   
   เมื่อก่อนเรามีนามว่า   อันนภาระ      เป็นคนยากจนเที่ยว
    รับจ้างหาเลี้ยงชีพ    ได้ถวายอาหารแก่พระอุปริฏฐปัจเจก-
   พุทธเจ้า  ผู้เป็นสมณะผู้เรื่องยศ.  เพราะบุญกรรมที่ได้ทำ
    มาแล้ว  เราจึงได้มาเกิดในศากยตระกูล  พระประยูรญาติ
   ได้ขนานนามให้เราว่า   อนุรุทธะ   เป็นผู้เพียบพร้อมด้วย
   การฟ้อนรำและขับร้อง        มีเครื่องดนตรีบรรเลงปลุกให้
    รื่นเริงใจอยู่ทุกค่ำเช้า     ต่อมาเราได้เห็นพระบรมศาสดา
   สัมมาสัมพุทธเจ้า     ผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ    ได้ยังจิตให้
    เลื่อมใสในพระองค์ท่านแล้ว        ออกบวชเป็นบรรพชิต
   เราระลึกถึงชาติก่อน ๆ ได้   เราได้เคยเป็นท้าวสักกรินทร์
     เทวราช  อยู่ดาวดึงส์เทพพิภพมาแล้ว   เราได้ปราบปราม
   ไพรีพ่ายแพ้แล้ว      ขึ้นผ่านสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
    จอมมนุษย์นิกรในชมพูทวีป     มีสมุทรสาครทั้ง  ๔  เป็น
   ขอบเขต  ๗  ครั้ง       ได้ปกครองปวงประชานิกรโดยธรรม
    ด้วยไม่ต้องใช้อาชญาหรือศาสตราใด ๆ  เราระลึกชาติหน
   หลังในคราวที่อยู่ในมนุษยโลกได้   ดังนี้   คือเป็นพระเจ้า
    จักรพรรดิ  ๗  ชาติ     เป็นพระอินทร์  ๗   ชาติ     รวมการ
   ท่องเที่ยวอยู่เป็น  ๑๔  ชาติด้วยกัน.    ในเมื่อสมาธิอันประ-
   กอบด้วยองค์เป็นธรรมอันเอกปรากฏขึ้น   ที่เราได้ความ
     สงบระงับกิเลส ทิพยจักษุของเราจึงบริสุทธิ์.  เราดำรงอยู่
   ในฌานอันประกอบด้วยองค์  ๕  ประการ    รู้จุติและอุปบัติ

   

หน้าที่ 167

            การมา   การไป  ความเป็นอย่างนี้  แลความเป็นอย่างอื่น
         ของสัตว์ทั้งหลาย     เรามีความคุ้นเคยกับพระบรมศาสดา
         เป็นอย่างดี        เราได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
         เสร็จแล้ว  ปลงภาระอันหนักลงได้แล้ว  ถอนตัณหาเครื่อง
         นำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว   เป็นผู้ไม่มีอาสวะ  จักนิพพานด้วย
         อนุปาที่เสสนิพพานธาตุ    ภายใต้พุ่มกอไผ่    ใกล้บ้าน
         เวฬุวคาม   แคว้นวัชชี.
         บรรดาบทเหล่านั้น    บทว่า  ปหาย   แปลว่า  ละแล้ว.    บทว่า
มาตาปิตโร  แปลว่า  พระชนนีและพระชนก.
         จริงอยู่    ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ :-   ใคร ๆ   อื่นถูกความเสื่อมญาติ
และความเสื่อมโภคทรัพย์ครอบงำ    จึงบวช   และบวชแล้วก็ขวนขวายกิจ
อื่นอยู่ฉันใด    เราฉันนั้นหามิได้   ก็เราละวงญาติใหญ่และกองโภคทรัพย์
มาก  ไม่อาลัยในกามทั้งหลายบวชแล้ว.
         บทว่า ฌายติ  ได้แก่ เป็นผู้ขวนขวายฌานแม้ทั้งสอง   คืออารัมมณู-
ปนิชฌาน  และลักขณูปนิชฌานอยู่.                                     
         บทว่า    สเมโต   นจฺจคีเตหิ    ได้แก่   เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยการ
ฟ้อนและการขับ  อธิบายว่า   ดูการฟ้อน   ฟังการขับร้องอยู่.  บางอาจารย์
กล่าวว่า  สมฺมโต   ดังนี้ก็มี  อธิบายว่า  อันเขาบูชาแล้วด้วยการฟ้อนและ
การขับร้อง.                                         
         บทว่า  สมฺมตาฬปฺปโพธโน  ความว่า  เป็นผู้อันเขาพึงปลุกให้ตื่น
ในเวลาใกล้รุ่งด้วยเสียงดนตรีทั้งหลาย.
         บทว่า  น  เตน  สุทฺธิมชฺฌคํ   ความว่า  เราไม่ได้บรรลุถึงความ

   

หน้าที่ 168

บริสุทธิ์ในสงสาร  เพราะการบริโภคกามนั้น. 
         บทว่า   มารสฺส    วิสเย   รโต   ได้แก่  เป็นผู้ยินดีในกามคุณอัน
เป็นอารมณ์ของกิเลสมาร   อธิบายว่า   ไม่เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า   สังสาร-
สุทธิ    ความบริสุทธิ์ในสงสาร     ย่อมมีเพราะการบริโภคกามคุณอันเป็น
อารมณ์ของกิเลสมาร.    ด้วยเหตุนั้น    ท่านจึงกล่าวว่า     ก้าวล่วงเบญจ-
กามคุณนั้น  ดังนี้เป็นต้น.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  เอตํ   ได้แก่  กามคุณทั้ง ๕ ประการ
นั้น.  บทว่า  สมติกฺกมฺม  แปลว่า  ก้าวล่วงพ้นไปแล้ว   อธิบายว่า   เป็น
ผู้ไม่ห่วงใยละทิ้งไป.
         บทว่า  สพฺโพฆํ  ได้แก่  โอฆะทั้งปวง  มีโอฆะคือกามเป็นต้น.
         เพื่อจะแสดงกามคุณ  ๕  โดยสรุป   จึงกล่าวคำมีอาทิว่า   รูป   เสียง
ดังนี้.   บรรดาบทเหล่านั้น    บทว่า  มโนรมา   มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ :-   
กามคุณมีอาทิว่า  เสียง   ชื่อว่า  เป็นที่รื่นรมย์ใจ  คือเป็นที่ทำใจให้เอิบอาบ
เพราะทำใจให้ยินดี  โดยอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ.
           บทว่า   ปิณฺฑปาตมติกฺกนฺโต   ได้แก่  ผู้ล่วงพ้นการรับบิณฑบาต
อธิบายว่า  กลับจากการรับบิณฑบาต.
         บทว่า   เอโก  ได้แก่   เป็นผู้เดียวไม่มีปัจฉาสมณะ.
         บทว่า  อหุติโย  ได้แก่   ผู้หมดตัณหา.   จริงอยู่  ตัณหาชื่อว่าเป็น
เพื่อนสองของตน.    เหมือนดังที่ตรัสไว้ว่า    บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง.
บทว่า   เอสติ   แปลว่า   แสวงหา.
         บทว่า    วิจินิ    ความว่า    เมื่อแสวงหา    ได้เลือกหาในที่ที่เกิดผ้า
บังสุกุล  มีกองหยากเยื่อเป็นต้นในที่นั้น ๆ.

   

หน้าที่ 169

         บทว่า  อคฺคหิ   ความว่า  ครั้นเลือกหาแล้ว  ไม่เกลียดแม้ผ้าที่เปื้อน
ของไม่สะอาด   จึงถือเอา.   บทว่า   โธวิ   แปลว่า   ทำให้สะอาดแล้ว.
         บทว่า   รชยิ   ได้แก่   ซักแล้วเย็บให้ติดกัน    แล้วย้อมด้วยการย้อม
อันเป็นกัปปิยะของสมควร.
         บทว่า   ธารยิ   ได้แก่    ครั้นย้อมแล้ว    ทำพินทุกัปแล้วใช้ครอง,
คือนุ่งและห่ม.
         บัดนี้  พระเถระเมื่อแสดงโอวาทที่พระศาสดาทรงประทานในปาจีน-
วังสทายวัน  และความที่ตนถึงที่สุดแห่งโอวาทนั้น  จึงได้กล่าวคาถามีอาทิ
ว่า  ผู้มักมาก  ไม่สันโดษ.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  มหิจฺโฉ  ได้แก่  ผู้ประกอบด้วยความ
อยากได้ปัจจัยมาก   อธิบายว่า   ปรารถนาปัจจัยอันยิ่งใหญ่และมาก.
         บทว่า   อสนฺตุฏฺโ€    ได้แก่   ผู้ไม่สันโดษ   คือเว้นจากสันโดษมี
ยถาลาภสันโดษเป็นต้น.
         บทว่า  สํสฏฺโ€   ได้แก่   ผู้ระคนด้วยคฤหัสถ์และบรรพชิต   ด้วย
การระคนอันไม่ควร.
         บทว่า  อุทฺธโต   แปลว่า  ผู้ฟุ้งซ่าน.
         บทว่า   ตสฺส   ได้แก่   บุคคลที่กล่าวโดยนัยมีอาทิว่า   ผู้มักมาก.
         บทว่า    ธมฺมา    ได้แก่    ธรรมทั้งหลายเช่นนี้     คือความมักมาก
ความไม่สันโดษ    ความเป็นผู้ระคนด้วยหมู่    ความฟุ้งซ่าน.   ชื่อว่าบาป
เพราะอรรถว่าลามก.
         บทว่า  สงฺกิเลสา   ได้แก่  ธรรมทั้งหลาย  ชื่อว่าเศร้าหมอง   เพราะ
กระทำความเศร้าหมองให้แก่จิตนั้น.

   

หน้าที่ 170

         บทว่า  สโต  จ   โหติ   อปฺปิจฺโฉ  ความว่า  ก็ในกาลใด   บุคคล 
นี้    เสพ   คบ   เข้าไปนั่งใกล้กัลยาณมิตร   ฟังสัทธรรม  ใส่ใจโดยแยบคาย
เป็นผู้มีสติ   และละความมักมากเสีย   เป็นผู้มักน้อย.   ในกาลนั้น    ชื่อว่า
เป็นผู้สันโดษ   เพราะละความไม่สันโดษ.   ชื่อว่าผู้ไม่ขัดเคือง   เพราะละ
ความฟุ้งซ่านอันกระทำความขัดเคืองจิต.     ผู้ไม่ฟุ้งซ่าน     มีจิตเป็นสมาธิ
ชื่อว่าผู้ยินดีในควานสงัด  เพราะละการคลุกคลีกับหมู่  ชื่อว่า เป็นผู้สงัดแล้ว
เพราะยินดียิ่งในความวิเวก    ด้วยความหน่าย   ( และ ) ด้วยความเอิบอิ่มใน
ธรรม    คือมีใจดี    มีจิตยินดี    ชื่อว่าปรารภความเพียร    เพราะละความ
เกียจคร้าน.
         บุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยคุณ   มีความมักน้อยเป็นต้นอย่างนี้  ย่อมมี
โพธิปักขิยธรรมอันนับเนื่องในมรรค  มี   ๓๗   ประเภทมีสติปัฏฐานเป็นต้น
อันสงเคราะห์เอาวิปัสสนา  ๓  อย่าง    ชื่อว่าเป็นกุศล    เพราะอรรถว่าเกิด
จากความฉลาด.
         บุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น   ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มี
อาสวะ   จำเดิมแต่ขณะแห่งอรหัตมรรค   เพราะทำอาสวะทั้งหลายให้สิ้นไป
ด้วยประการทั้งปวง   อธิบายว่า  ด้วยอำนาจการให้ถึงที่สุดในมหาปุริสวิตก
ในป่าปาจีนวังสทายวัน  อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ตรัสไว้
ดังนี้    คือด้วยประการอย่างนี้.                                           
         บทว่า   มม   สงฺกปฺปมญฺ?าย   ความว่า  ทรงรู้ความดำริของเรา
ผู้ปรารภมหาปุริสวิตกโดยนัยมีอาทิว่า     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     ธรรมนี้
สำหรับผู้มักน้อย      ธรรมนี้ไม่ใช่สำหรับผู้มักมาก    และซึ่งตั้งอยู่โดยภาวะ
ไม่สามารถเพื่อจะให้มหาปุริสวิตกเหล่านั้นถึงที่สุดลงได้.

   

หน้าที่ 171

         บทว่า  มโนมเยน  ได้แก่   ดุจสำเร็จด้วยใจ   อธิบายว่า  เปลี่ยน
แปลงไปได้เหมือนกับเนรมิตด้วยใจ.
         บทว่า    อิทฺธิยา     ได้แก่    ด้วยอธิษฐานฤทธิ์ซึ่งเป็นไปอย่างนี้ว่า
กายนี้จงเป็นเหมือนจิตนี้.
         บทว่า   ยทา  เม  อหุ  สงฺกปฺโป   มีวาจาประกอบความว่า   ใน
กาลใด   เราได้มีความปริวิตกว่า   มหาปุริสวิตกข้อที่  ๘ เป็นเช่นไรหนอแล
ในกาลนั้น  ทรงทราบความดำริของเรา  ได้เสด็จเข้าไปหาเราด้วยพระฤทธิ์. 
         บทว่า   อุตฺตริ   เทสยิ   ความว่า   ทรงแสดงสูงขึ้นให้มหาปุริสวิตก
ข้อที่  ๘  ครบบริบูรณ์ว่า  ภิกษุทั้งหลาย  ธรรมนี้สำหรับผู้ไม่มีธรรมเครื่อง
เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี    ผู้ยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า   ไม่ใช่สำหรับผู้มี
ธรรมเครื่องเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี    ผู้ยินดีในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า.      ก็
พระเถระเมื่อจะแสดงธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น   จึงกล่าวว่า  พระพุทธเจ้า
ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า   ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า.
         อธิบายว่า  กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น    ชื่อว่า ปปัญจธรรม  ธรรม
เครื่องเนิ่นช้า   โลกุตรธรรมทั้งหลายชื่อว่า  นิปปปัญจธรรม   ธรรมเครื่อง
ไม่เนิ่นช้า   เพราะเข้าไปสงบระงับกิเลสเหล่านั้น   และเพราะกิเลสเหล่านั้น
ไม่มี,    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยินดี    คือทรงยินดียิ่งในธรรมเครื่องไม่
เนิ่นช้านั้น   ได้ทรงแสดงธรรมตามที่ทรงบรรลุเช่นนั้น   คือทรงประกาศ
พระธรรมเทศนาว่าด้วยสัจจะทั้ง ๔   ที่พระองค์ทรงยกขึ้นแสดงเอง.
         บทว่า  ตสฺสาหํ     ธมฺมมญฺ?าย  ความว่า  เรารู้พระธรรมเทศนา
ของพระศาสดานั้นแล้ว    ปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอนอยู่  เป็นผู้ยินดี   คือ
ยินดียิ่งในคำสอนอันสงเคราะห์ด้วยสิกขา  ๓.

   

หน้าที่ 172

         พระเถระครั้นแสดงการสมาคมการอยู่ร่วมของตน  ซึ่งเป็นประโยชน์ 
อันพระศาสดาทรงให้สำเร็จแล้วด้วยการสมาคมนั้น         บัดนี้เมื่อจะแสดง
ความเป็นผู้ปรารภความเพียร     จำเดิมแต่กาลที่คนบวชแล้ว    และการเสีย
สละความสุขในการนอน   และความสุขในการนอนข้าง   เพราะความเป็น
ผู้ไม่ห่วงในร่างกาย    และความเป็นผู้ปรารภความเพียร   จำเดิมแต่กาลที่มี
มิทธะน้อย  จึงกล่าวคาถาว่า  ปญฺจปญฺ?าสวสฺสานิ   ดังนี้.
         บรรดาบทเหล่านั้น      บทว่า   ยโต   เนสชฺชิโก   อหํ    ความว่า
จำเดิมแต่กาลที่เราได้เห็นคุณมีอาทิอย่างนี้ว่า   ความเกื้อกูลแก่การประกอบ
ความเพียร   ความประพฤติของสัปบุรุษอันเกี่ยวเนื่องด้วยกรรมฐาน   และ
ความประพฤติขัดเกลากิเลส        แล้วเป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตรนั้นเป็นเวลา
๕๕ ปี.
         บทว่า   ยโต    มิทฺธํ   สมูหตํ    ความว่า   จำเดิมแต่กาลที่เราเสีย
สละการนอนหลับนั้นเป็นเวลา  ๒๕ ปี.    บางอาจารย์กล่าวว่า    พระเถระ
เป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตร  ๕๕  ปี   เบื้องต้นไม่ได้หลับ  ๒๕  ปี   ต่อแต่นั้น
จึงได้หลับในเวลาปัจฉิมยาม   เพราะร่างกายอ่อนเปลี้ย.
         คาถา ๓  คาถามีอาทิว่า  นาหุ   อสฺสาสปสฺสาสา นี้   พระเถระถูก
ภิกษุทั้งหลายถามในเวลาที่พระศาสดาเสด็จปรินิพพานว่า     พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จปรินิพานแล้วหรือ  เมื่อจะประกาศภาวะคือการปรินิพพาน
จึงกล่าวไว้.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  นาหุ  อสฺสาสปสฺสาสา   €ิตจิตฺตสฺส
ตาทิโน    ความว่า    ลมอัสสาสปัสสาสะมิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ผู้คงที่   ผู้เข้าสมาบัติทุกอย่างอื่นเกลื่อนกล่นด้วยอาการต่าง ๆ  โดยอนุโลม

   

หน้าที่ 173

และปฏิโลม    แล้วออกจากสมาบัติในตอนหลังสุด    มีพระหฤทัยตั้งมั่นอยู่
ในจตุตถฌาน.
         ด้วยคำนั้น   ท่านแสดงว่า  กายสังขารของท่านผู้เข้าจตุตถฌาน  ย่อม
ดับไป    และลมอัสสาสปัสสาสะ    ท่านเรียกว่ากายสังขาร    เพราะเหตุนั้น
จำเดิมแต่ขณะอยู่ในจตุตถฌาน   ลมอัสสาสปัสสาสะจึงไม่มี.
         ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว    เพราะไม่มีความหวั่นไหวกล่าวคือตัณหา   อีก
อย่างหนึ่ง   ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว   เพราะเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ.
         บทว่า   สนฺติมารพฺภ   ได้แก่   ปรารภ     คืออาศัย   หมายเอาอนุ-
ปาทิเสสนิพพาน.
         บทว่า   จกฺขุมา   ได้แก่  ผู้มีจักษุด้วยจักษุ  ๕.   บทว่า ปรินิพฺพุโต
แปลว่า   ปรินิพพานแล้ว.
         จริงอยู่     ในคำนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ :-      พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เข้าผลสมาบัติในจตุตถฌานอันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์    แล้วเสด็จปริ-
นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ       ในลำดับแห่งจตุตถฌานนั้นนั่น-
แหละ.
         บทว่า  อสลฺลีเนน  ได้แก่  มีพระหฤทัยไม่หดหู่   คือเบิกบานดีแท้.
บทว่า   เวทนํ  อชฺฌวาสยิ   ความว่า  เป็นผู้มีสัมปชัญญะ    ทรงอดกลั้น
เวทนาอันเกิดในเวลาใกล้มรณะ.    คือไม่เป็นไปตามเวทนาดิ้นรนไปรอบๆ.
         ด้วยบทว่า   ปชฺโชตสฺเสว  นิพฺพานํ  วิโมกฺโข  เจตโส  อหุ  ท่าน
แสดงว่า   ประทีปที่ลุกโพลง   อาศัยน้ำมัน   อาศัยไส้  จึงโพลงอยู่    เมื่อ
น้ำมันและไส้หมด   ย่อมดับไป  และดับแล้ว  ย่อมไม่ไปอยู่ที่ไหน ๆ  ย่อม
หายไปโดยแท้ ย่อมถึงการมองไม่เห็นฉันใด  ขันธสันดานก็ฉันนั้น  อาศัย

   

หน้าที่ 174

กิเลสและอภิสังขารเป็นไปอยู่   เมื่อกิเลสและอภิสังขารเหล่านั้นสิ้นไป   ย่อม
ดับไป   และดับไปแล้วย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ๆ   ย่อมอันตรธานไปโดยแท้
ย่อมถึงการมองไม่เห็นเลย     ด้วยเหตุนั้น    ท่านจึงกล่าวว่า    นักปราชญ์
ทั้งหลายย่อมดับไป      เหมือนดวงประทีปนี้ดับไปฉะนั้น     และมีอาทิว่า
เหมือนเปลวไฟถูกกำลังลมเป่าฉะนั้น.
         บทว่า   เอเต  นี้    ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายอันเป็นไปใน
พระสันดารของพระศาสดา  ในขณะเวลาจะปรินิพพาน     ได้ประจักษ์แก่
ตน.    ชื่อว่ามีครั้งสุดท้าย    เพราะเบื้องหน้าแต่นั้นไม่มีการเกิดขึ้นแห่งจิต.
บทว่า   ทานิ   แปลว่า  บัดนี้.
         บทว่า    ผสฺสปญฺจมา  นี้      ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายมี
ผัสสะเป็นที่  ๕  ปรากฏขึ้น.     จริงอย่างนั้น     แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท
ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่  ๕ ไว้ข้างต้น.
         บทว่า   อญฺเ?   ธมฺมา   ได้แก่   ธรรม   คือจิตและเจตสิกเหล่าอื่น
พร้อมด้วยที่อาศัย  ไม่ใช่จิตและเจตสิกในเวลาปรินิพพาน.  ถามว่า   แม้จิต
และเจตสิกในเวลาปรินิพพาน   ก็จักไม่มีเลยมิใช่หรือ ?   ตอบว่า   จักไม่มี
ก็จริง      แต่เพราะไม่มีความกินแหนงใจ      ไม่ควรกล่าวหมายเอาจิตและ
เจตสิกธรรมเหล่านั้นว่า   จักไม่มี.   หากจะพึงมีความหนึ่งใจว่า   ก็ธรรม
อื่นจักมี     ดุจมีแก่พระเสขะและปุถุชนไหม     ดังนั้น     เพื่อจะห้ามความ
แหนงใจข้อนั้น   ท่านจึงกล่าวว่า   ธรรมเหล่าอื่นจักไม่มี   ดังนี้.
         พระเถระเรียกเทวดาว่า ชาลินิ   ในคำว่า   นตฺถิ   ทานิ   ปุนาวาโส
เทวกายสฺมึ    ชาลินิ    นี้    อธิบายว่า   บัดนี้เราไม่มีการอยู่อีกต่อไป   ด้วย
อำนาจการเกิดในเทวดา    คือในเทพนิกาย   ได้แก่ในหมู่เทพ.   ท่านกล่าว

   

หน้าที่ 175

เหตุในข้อนั้นด้วยบทมีอาทิว่า   วิกฺขีโณ  หมดสิ้นแล้ว. 
         ได้ยินว่า       เทวดานั้นเป็นหญิงบำเรอของพระเถระในชาติก่อน
เพราะฉะนั้น   บัดนี้    เทวดานั้นเห็นพระเถระแก่เฒ่าแล้ว   จึงมาด้วยความ
สิเนหาอันมีในก่อน   อ้อนวอนขอให้อุปบัติในเทวดาว่า   ท่านจงตั้งจิตไว้
ในเทพนิกายที่ท่านเคยอยู่ในกาลก่อน.  ลำดับนั้น   พระเถระได้ให้คำตอบ
แก่เทวดานั้น  ด้วยคำมีอาทิว่า  บัดนี้  (การอยู่ในภพใหม่ ) ไม่มี.   เทวดา
ได้ฟังดังนั้น  หมดความหวัง  ได้หายไปในที่นั้นเอง.
         ลำดับนั้น   พระเถระเหาะขึ้นสู่เวหาส   เมื่อจะประกาศอานุภาพของ
ตน   แก่เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย    จึงกล่าวคาถาว่า    ยสฺส    มุหุตฺเตน
ดังนี้.
         ความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า  ภิกษุขีณาสพใดรู้แจ้ง  คือรู้ได้โดย
ชอบ  ได้แก่ กระทำให้ประจักษ์ซึ่งโลกพร้อมกับพรหมโลกตั้งพันประเภท
คือพันประการ     ได้แก่     ประเภทโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฎิ.
จักรวาล๑  โดยกาลเพียงครู่เดียวเท่านั้น   ภิกษุนั้นเป็นผู้ถึงความชำนาญในคุณ
คืออิทธิฤทธิ์     คือในความถึงพร้อมด้วยฤทธิ์และในจุติและอุปบัติ   ด้วย
ประการอย่างนี้    ย่อมเห็นเทวดาในเวลาเข้าไป    คือพระเถระนั้นไม่เสื่อม
ในการเห็นเทวดาทั้งหลาย.    ได้ยินว่า   เมื่อพระเถระกล่าวคาถาว่า   บัดนี้
(ภพใหม่) ไม่มี  ดังนี้  ด้วยการให้คำตอบแก่เทวดาชาลินี  ภิกษุทั้งหลาย
ไม่เห็นเทวดาชาลินี     จึงคิดว่า   พระเถระร้องเรียกอะไร ๆ  ด้วยการเรียก
ธรรมหรือหนอ.    พระเถระรู้อาจาระแห่งจิตของภิกษุเหล่านั้น    จึงกล่าว
คาถานี้ว่า  ยสฺส  มุหุตฺเตน  ดังนี้.

๑.  อัง.   ติก.  ๒๐/ ข้อ  ๕๒๐.

   

หน้าที่ 176

         บทว่า    อนฺนภาโร    ปุเร    ได้แก่   ผู้มีนามอย่างนี้ในชาติก่อน. 
บทว่า  ฆาสหารโก   ได้แก่    ผู้การทำการรับจ้างเพื่อต้องการเพียงอาหาร
เลี้ยงชีวีต.                                                                             
         บทว่า  สมณํ  ได้แก่  ผู้มีบาปสงบแล้ว.
         บทว่า   ปฏิปาเหสิ    ได้แก่    มอบถวายเฉพาะหน้า,    อธิบายว่า
เป็นผู้มีหน้าเฉพาะะด้วยความเลื่อมใส  ได้ให้ทานอาหาร.
         บทว่า    อุปริฏฺ€ํ    ได้แก่    พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีนามอย่างนั้น.
บทว่า  ยสสฺสินํ  ได้แก่   ผู้มีเกียรติ  คือมียศปรากฏ.   ด้วยคาถานี้   พระ-
เถระแสดงถึงบุรพกรรมของตน   ซึ่งเป็นเหตุให้ได้สมบัติอันยิ่งใหญ่   จน
กระทั่งอัตภาพสุดท้าย .   ด้วยเหตุนั้น  ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า  เรานั้นเกิด
ในศากยตระกูล.
         บทว่า  อิโต  สตฺต   ความว่า  จุติจากมนุษยโลกนี้   แล้วเป็นเทพ
๗   ครั้ง  ด้วยความเป็นใหญ่อันเป็นทิพย์ในเทวโลก.
         บทว่า   ตโต   สตฺต   ความว่า   จุติจากเทวโลกนั้นแล้วเป็น  ๗  ครั้ง
โดยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก.
         บทว่า   สํสารานิ   จตุทฺทส   ได้แก่   ท่องเที่ยวไปในระหว่างภพ
๑๔  ครั้ง.
         บทว่า  นิวาสมภิชานิสฺสํ   แปลว่า  ได้รู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในชาติ
ก่อน.
         บทว่า   เทวโลเก  €ิโต   ตทา   ความว่า  ก็เราได้รู้ขันธ์ที่เคยอาศัย
อยู่ในกาลก่อนนั้น    ในอัตภาพนี้เท่านั้นก็หามิได้   โดยที่แท้    ในคราวที่
ดำรงอยู่ในเทวโลก   ในอัตภาพที่ล่วงมาติดต่อกับอัตภาพนี้   เราก็ได้รู้.

   

หน้าที่ 177

         บัดนี้     พระเถระเมื่อจะแสดงอาการที่ตนได้ทิพจักษุญาณและจุตูป-
ปาตญาณ   จึงได้กล่าวคาถา  ๒   คาถาโดยนัยมีอาทิว่า  ปญฺจงฺคิเก   สมาธิ
ประกอบด้วยองค์  ๕.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ปญฺจงฺคิเก  สมาธิมฺหิ  ได้แก่  สมาธิ
ในจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา,     จริงอยู่     จตุตถฌานสมาธินั้น
ท่านเรียกว่า  สมาธิประกอบด้วยองค์  ๕  เพราะประกอบด้วยองค์ ๕ เหล่านี้
คือความแผ่ไปแห่งปีติ    ความแผ่ไปแห่งสุข    ความแผ่ไปแห่งใจ    ความ
แผ่ไปแห่งอาโลกแสงสว่าง  และปัจจเวกขณนิมิต   นิมิตสำหรับเป็นเครื่อง
พิจารณา.
         บทว่า  สนฺเต   ความว่า  ชื่อว่าสงบ  เพราะสงบระงับข้าศึก   และ
เพราะมีองค์สงบแล้ว.
         บทว่า  เอโกทิภาวิเต   ได้แก่  ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  อธิบาย
ว่า   ถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธรรมที่พระพฤติดีแล้ว.
         บทว่า   ปฏิปฺปสฺสทฺธิลทฺธมฺหิ   แปลว่า   ได้ความสงบระงับกิเลส
ทั้งหลาย.
         บทว่า   ทิพฺพจกฺขุ   วิสุชฺฌิ   เม   ความว่า   เมื่อสมาธิมีประการ
อย่างนี้พรั่งพร้อมแล้ว    ทิพจักษุญาณของเราจึงบริสุทธิ์    คือได้เป็นทิพ-
จักษุญาณอันหมดจด  โดยความหลุดพ้นจากอุปกิเลส  ๑๑ ประการ.       
         บทว่า  จุตูปปาตํ   ชานานิ   ความว่า   เรารู้จุติและอุปบัติแห่งสัตว์
ทั้งหลาย,   ก็เมื่อรู้ย่อมรู้การมาและการไปของสัตว์ทั้งหลายว่า   สัตว์เหล่านี้
มาจากโลกโน้นแล้วอุปบัติในโลกนี้      และไปจากโลกนี้แล้วอุปบัติในโลก
โน้น     และเมื่อรู้นั่นแหละ    ย่อมรู้ได้ก่อนกว่าอุปบัติถึงความเป็นอย่างนี้

   

หน้าที่ 178

คือความเป็นมนุษย์ของสัตว์เหล่านั้น    และความเป็นประการอื่นจากความ 
เป็นมนุษย์นั้น    และความเป็นเดียรัจฉานโดยประการอื่น.    พระเถระเมื่อ
จะแสดงว่า   ความรู้นี้นั้นแม้ทั้งหมดย่อมมี   ในเมื่อสมาธิอันประกอบด้วย
องค์  ๕ ถึงพร้อม   จึงกล่าวว่า  ดำรงอยู่ในฌานอันประกอบด้วยองค์  ๕.
ในคำนั้นมีอธิบายว่า  เราเป็นผู้ดำรงคือประดิษฐานอยู่ในฌานอันประกอบ
ด้วยองค์  ๕ นั้น   จึงรู้อย่างนี้.                         
         พระเถระครั้นแสดงวิชชา  ๓  อย่างนี้แล้ว      เมื่อจะแสดงวิชชาที่  ๓
พร้อมทั้งความสำเร็จแห่งกิจ       แม้ที่ได้แสดงไว้แล้วในครั้งก่อน      โดย
ประสงค์เอาวิชชา  ๓ นั้น    จงกล่าวคาถา  ๒  คาถาโดยนัยมีอาทิว่า   พระ-
ศาสดาเราคุ้นเคยแล้ว.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  วชฺชีนํ   เวฬุวคาเม   ได้แก่  ในเวฬุว-
คามแห่งแคว้นวัชชี        คือในเวฬุวคามซึ่งเป็นที่เข้าจำพรรษาครั้งสุดท้าย
ในแคว้นวัชชี.   บทว่า  เหฏฺ€โต   เวฬุคุมฺพสฺมึ    ได้แก่   ในภายใต้พุ่มไผ่
พุ่มหนึ่งในเวฬุวคามนั้น.   บทว่า  นิพฺพายิสฺสํ  แปลว่า  เราจักนิพพาน
อธิบายว่า  เราจักปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
        จบอรรถกถาอนุรุทธเถรคาถาที่  ๙

   

หน้าที่ 179

                
๑๐. ปาราสริยเถรคาถา
 
           
ว่าด้วยความประพฤติของภิกษุเมื่อก่อนอย่างหนึ่งขณะนี้อย่างหนึ่ง
   
       [๓๙๔]    พระปาราสริยเถระผู้เป็นสมณะ    ผู้มีจิตแน่วแน่เป็น
    อารมณ์เดียว   ชอบสงัด   เจริญฌาน    นั่งอยู่ในป่าใหญ่
    มีดอกไม้บานสะพรั่ง  ได้มีความคิดว่า เมื่อพระผู้เป็นอุดม
    บุรุษเป็นนาถะของโลก  ยังทรงพระชนม์อยู่   ความประ-
    พฤติของภิกษุทั้งหลายเป็นอย่างหนึ่ง    เมื่อพระองค์เสด็จ
    ปรินิพพานไปแล้ว  เดี๋ยวนี้ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง  คือภิกษุ
    ทั้งหลายแต่ปางก่อน   เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้
    นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล  ก็เพียงเพื่อจะป้องกันความหนาว
    และลม และปกปิดความละอายเท่านั้น.  ภิกษุทั้งหลายแต่
    ปางก่อน   ขบฉันอาหารประณีตก็ตาม   เศร้าหมองก็ตาม
    น้อยก็ตาม  มากก็ตาม    ก็เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น
    ไม่ติดไม่พัวพันเลย.  ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน  (แม้จะถูก
    ความเจ็บไข้ครอบงำ)  ไม่ขวนขวายหาเภสัชปัจจัยอันเป็น
         บริขารแห่งชีวิต  เหมือนการขวนขวายหาความสิ้นไปแห่ง
    อาสวะทั้งหลาย  ท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนวิเวก   มุ่ง
          แต่เรื่องวิเวก   อยู่ในป่า   โคนไม้  ซอกเขาและถ้ำเท่านั้น
    ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนเป็นผู้อ่อนน้อม   มีศรัทธาตั้งมั่น
    เลี้ยงง่าย    อ่อนโยน   มีน้ำใจไม่กระด้าง     ไม่ถูกกิเลส
     รั่วรด     ปากไม่ร้าย     เปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็น



-----------------------------------------



พระคาถาพระอนุรุธเถรเจ้า

-http://www.dhamdee.com/board/index.php?act=ST&f=1&t=199-

มัยหังปุตโต ปุญญะวากะตา
ภินิหาโร ภะวิสสะติ เทวะตะหิ ปาติง
ปูเรตวา ปูวาปะหิตา ภะวิสสะตีติ

พระคาถาบทนี้เป็นพระคาถาของพระอนุรุธะเถระเจ้า เป็น
พระคาถาที่ท่านโบราณาจาริย์หวงแหนปิดบังกันมาก อำนาจ
ของมนต์พระคาถาบทนี้ผู้ใดได้เล่าบ่นจำเริญไว้ประจำหมั่นทำบุญ
ตักบาตร์เป็นนิจสินแล้วสวดพระคาถานี้อธิษฐาน ปรารถนา เอาสิ่ง
ซึ่งตน พึ่งประสงค์ สิ่งนั้น จะพลัน อุบัติให้ได้ด้วย อำนาจเทพยดา
บรรดาลให้เป็นไปภาวนาพระคาถาบทนี้แล้วไซร้จะคิดทำอย่างไร
อย่าพูดคำว่า "ไม่มี-ไม่ได้" เพราะอำนาจของพระคาถานี้จะดล
บรรดาลให้ได้สำเร็จดุจเยี่ยงเดียวกับอนุรุทธะ กุมาร ซึ่งท่านไม่เคย
รู้จักคำว่า "ไม่มี" เลยตลอดชนมายุของท่านแล



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10






องค์พระภิกษุที่ท่านจะมาเป็นประธานของคณะสงฆ์ในการรับมอบระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งระบบ  ที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

พระครูวิมลภาวนาคุณ
(หลวงพ่อจื่อ พันธมุตโต )
วัดเขาตาเงาะอุดมพร
ตำบลหนองบัวระเหว อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ

ผมเคยกราบแล้วเมื่องานฉลองพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง  จริยาวัตรงดงามครับ

กราบหลวงปู่จื่อครับ


ที่มาของรูป -http://www.kaentong.com/index.php?topic=4612.0-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)