สนิมในใจ วันนี้ เป็นวันพระ แรม 14 ค่ำ จาตุททสี เรามาแสวงหาพระให้จิตใจสะอาด จิตใจได้สว่าง จิตใจได้สงบ จะได้ปรารภธรรม ถ้าจิตใจเราไม่สะอาด มันก็ไม่มีอะไรสว่างประการใด มีแต่มืดมัว มืดบอด ถ้าเราสะอาดได้ สว่างได้ มันก็สงบได้ ถ้าเราทำได้ 3 ประการนี้ ได้มาจากการเจริญพระกรรมฐาน หาความสงบกับจิต เพื่อชำระจิต ชำระใจ ทำสนิมในใจให้มันออกไป ให้จิตไม่มีสนิมหรือสนิมขุม ถ้าเป็นสนิมมันก็กะเทาะออกได้ง่าย เผาไฟมันแล้วก็กะเทาะออกได้ แต่สนิมในใจ สนิมขุมมันกินเหล็กเข้าไปข้างใน เหมือน จิตใจที่ไร้สาระมืดบอด ที่เราเรียกว่า สนิมในใจ ไม่มีทางแก้ไขได้แล้ว เพราะสนิมขุมมันกินเหล็ก เหมือนต้นไม้มีกาฝากฉันนั้น ต้นมะม่วงใดมีกาฝากมาก ต้นมะม่วงนั้นจะไม่งอกไม่งาม ลูกจะไม่เจริญ เหมือนจิตใจมันมีกาฝาก มันฝากไปด้วยกิเลสในใจ ฝากไปด้วยความโลภ โกรธ หลง สนิมในใจก็เกิดขึ้น
แต่ สนิมภายนอกนี่กะเทาะมันก็ออก เหมือนเราไปชุบเหล็ก ชุบเคียวจะไปเกี่ยวข้าว ก็ต้องเผาไฟให้มันร้อน และสนิมจะออกไปได้ฉันนั้น แล้วก็ตีให้มันดี เหมือนเราทำจิตใจให้สะอาดปราศจากมลทินแล้วจิตก็ใส ใจก็สะอาด ปราศจากมลทินแล้ว จิตท่านก็จะสว่างขึ้น คือ ปัญญา คนที่จะมีปัญญานั้นต้องอยู่ด้วยความสงบ อยู่ด้วยความเรียบร้อย อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ นี่แหละคือตัวธรรมะ คือ ทาน ศีล ภาวนา ของเราก็จะได้ครบตามองค์กรและองค์การ ถ้า 3 อย่าง ไม่มีทาน ขาดเมตตา จิตท่านจะเหลวแหลกแตกลาญไร้สาระ จิตท่านจะดำจะขุ่นมัว จะมืดมนอนาทรร้อนจิต หาที่พึ่งไม่ได้แล้วนี่ประการหนึ่ง
ประการ ที่สอง รองลงไปนั้น ท่านจะมีอะไรสว่างในใจท่าน มีแต่มืดเหมือนยืนอยู่กลางป่า ไม่ทราบว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดเล่า ถ้าท่านมีความสว่าง ก็มีปัญญา ก็จะได้แก้ไขปัญหาด้วยจิตสงบ ถ้าจิตยังวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ฝากฝังไว้ในสนิมในใจเมื่อใดแล้ว จิตท่านจะไม่สงบ ในเมื่อจิตท่านไม่สงบแล้ว ท่านจะได้ผล จะแก้ปัญหาท่านจะเอาปัญญามาจากไหน พระพุทธเจ้าท่านหาปัญญาในตัวของท่าน ท่านเสด็จบรรพชาถึง 6 ปี กว่าจะได้ของดีกลับมาสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์ เพราะปัญญาตัวนี้ การเจริญกรรมฐานต้องการหาปัญญาให้เกิดขึ้นในตัวเอง ผู้ที่มีปัญญาในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า เรียบร้อยหมด ปฏิบัติกิจวัตรอย่างเคร่งครัด จะถือสัจจะ เหมือนอย่างท่านรับกรรมฐาน รับศีล ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนต่อพระคุณพระศรี รัตนตรัย เจริญกรรมฐานด้วยความจริงใจของข้าพเจ้า แล้วท่านอย่าเลือนราง เสียสัจจะที่ขอ ท่านจะเสียหาย จะทำอะไรไม่ได้ผล จะไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด ออกมาอย่างนี้ชัดแจ้งแล้ว นี่แหละ เราหาที่พึ่งกันไม่ได้แล้ว นอกเหนือจากพระรัตนตรัย ที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้ บิดามารดาท่านเลี้ยงเรามา ส่งเราเรียนหนังสือมีวิชาความรู้ เราก็ต้องพึ่งครูอาจารย์ เราเจริญได้ตำแหน่งแห่งที่ ก็ต้องพึ่งผู้บังคับบัญชาที่สูงได้อุ้มชูเราขึ้นมา ถ้าเราไร้บุญขาดวาสนาแล้วใครจะมาอุ้มเรา ก็เห็นจะไม่มีใครช่วยแน่นอนแล้ว ตัวใครตัวมัน ก็ต้องช่วยตัวเอง ปัญญาในตัวนี่ไม่มีใครมาสร้าง ไปสร้างปัญญานอกตัวหมด พระพุทธเจ้าที่ท่านมีปัญญาในตัว เอามาช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ เพราะปัญญาเกิดมาจากในตัว มีแสงสว่างในตัวเอง มีความดีในตัวเอง แต่ท่านมีกันแล้วหรือยังปัญญาในตัว มีแต่ปัญญานอกตัวทั้งนั้นเลย
ปัญญา ทางโลกที่เรียนหนังสือ แก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็ไม่มีปัญญาในตัวที่ได้จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติเจริญสมาธิ เจริญกุศลภาวนา ให้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ผลุบเข้าผลุบออก เหมือนทำบุญเอาหน้าศรัทธาหัวเต่า ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ต่อหน้าละทำดีนัก ลับหลังทำปู้ยี่ปู้ยำตลอดรายการ ไหนเลยเล่าสนิมในใจท่านจะออกไปได้อย่างไร เป็นสนิมมันก็เอาออกง่าย แต่สนิมขุม สันดอน สันดาน นิสัยไม่ดีนี้ทำยาก มันจะกินเหล็กผุไปเลยทีเดียวฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนต้นมะม่วงถ้ามีกาฝากมาก ไม่ช้าต้นนั้นก็ตาย เหมือนเรามีโรคภัยไข้เจ็บ จะเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นโรคเบาหวาน หรือจะเป็นโรคอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ถ้าโรคไม่แทรกซ้อน ท่านยังตายช้า ถ้ามีโรคนั้นมาแทรกโรคนี้มาซ้อน ท่านจะไม่อาวรณ์หลงไหล ท่านจะต้องตายแน่ๆ เหมือนต้นไม่มีกาฝากฉันนั้น ขอเจริญพรอย่างนี้ ท่านอย่าให้กาฝากมาไว้ ท่านอย่าสร้างสนิมขุมในใจ เหล็กนี่มีสนิมขุม มันจะกินทะลุเลยนะ ขอฝากไว้ นี่คืออนุสัย สันดานที่มีอยู่ในบุคคลใด จะเป็นพระเถรเณรชีเหมือนกันหมด คนประเภทนี้ขาดสัจจะ ไม่มีความจริงใจ
ความ จริงใจได้จากการเจริญพระกรรมฐานเท่านั้น ถึงจะมีความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นแจ้ง เห็นใจ เห็นของแท้ เห็นของแน่ เห็นของนอน ไม่อาวรณ์หลงไหล นิวรณ์ 5 ก็ไม่เข้ามาแทรกแซง มันจะสกัดกั้นให้เราไม่ให้ทำความดี ข้อนี้เป็นข้อคิด ว่าความดีที่จะทำก็ไม่ยาก และก็ไม่ง่าย แต่มันมีของมาสกัดกั้น กรรมมาซัด ไม่ให้เรามองเห็นของดี เหมือนนิวรณ์ 5 ประการเข้ามาแทรกอยู่ในจิตใจและสันดาน รับรองท่านจะทำอะไรไม่ได้ผลไปหมด ค้าขายก็ขาดทุน ธุรกิจก็ขาดทุน ชีวิตก็ขาดทุนไปตามวันเวลาด้วย ท่านจะเสียกาลเวลาของท่านเอง
ขอ ฝากไว้ในวันธรรมสวนะ สิ้นเดือนแล้วเดือนขาดด้วย ขอให้มันขาดออกไปด้วยความชั่วร้ายในจิต ขอให้เพิ่มบารมีจิต เพิ่มขันติบารมี เป็นต้น ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี สร้างกุศลบุญราศีด้วยขันติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านจะได้ผลอย่างสมคาดปรารถนาทุกประการ คนที่ไม่มีสนิมในใจ จะมีสัจจะ จะมีแต่เมตตา มีแต่ความเอื้อเฟื้อ ความสามัคคีปรองดอง ญาติพี่น้องไม่ทะเลาะกัน จะมีแต่ระบบ มีแต่ระเบียบ เพียบด้วยวินัย จะต้องตั้งใจศึกษานำมาพ้นทุกข์ เป็นสุขอนันต์ เป็นหลักสำคัญ จำใส่ใจไว้เป็นกำหนดจิต ชีวิตจะได้ไม่เป็นขี้สนิมในใจ นี่แหละอย่าให้มีกาฝากเข้ามานะ ที่วัดเรามันก็มีกาฝาก ต้นไม้มันก็จะแย่ลงไป กาฝากนี่มันกินนะ ขอฝากเข้าไว้ มันทำลายต้นไม้นั้น ต้องเอากาฝากออกซะ ต้นไม้นั้นถึงจะงอกงาม เหมือนจิตใจของเราเป็นสนิม เอาสนิมมันออกไปเสีย จิตใจท่านจะได้สว่าง จิตใจท่านจะได้สงบ ท่านได้ปรารภธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นแน่นอนที่สุด ขอฝากไว้อย่างนี้
คน ที่ไร้บุญวาสนามักจะมีแต่สนิมขุม ไม่มีบุญกุศลกับเขาเลย ถ้าท่านตั้งใจดี เอาสนิมออกไป รักษาเหล็กเข้าไว้ เหมือนรักษาจิตให้มั่นคงดำรงศาสตร์ มีศีล สมาธิ ปัญญา ไว้ในจิตใจของท่านทั้งหลาย ท่านจะมีความหมายที่ดีขึ้น ชีวิตท่านจะเป็นแก่นสาร ชีวิตท่านจะมีค่า เวลาของท่านจะมีประโยชน์ต่อไป นี่แหละท่านทั้งหลายที่มาปฏิบัติธรรมกันนี้นั้น มีแต่สนิมขุม ไม่เข้าใจ 3 วันไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอก แล้วก็กลับไปบอกกันว่า ไม่ได้ผล ไม่ได้ผล อย่าไปเลยวัดอัมพวัน ไม่รู้เรื่อง ถูกต้องของท่านผู้นั้น เพราะไม่เอาเรื่องไม่เอาราว แล้วไม่ตั้งใจปฏิบัติ ไม่สนใจ ไม่ได้ตั้งใจจริงเลย แล้วชีวิตท่านก็เป็นหมัน ทรัพยากรก็ไร้สาระ ไหนเลยท่านจะเอาดีได้ประการใด พูดมานานแล้ว ทำดีแค่ 3 วัน ทำชั่วกี่วัน ทำชั่วตั้ง 4 วัน เดือนหนึ่งมี 4 วันพระ เราเอาเฉพาะแต่วันพระ เราก็ขาดทุน เดือนหนึ่งมีอยู่ 30 วัน มีวันพระอยู่ 4 วัน สัปดาห์ละวันพระ มันก็ยังขาดทุนอยู่นั่นแหละ ปีหนึ่งมี 365 วัน มันก็ขาดทุนอยู่นั่นแหละ ทำดีแค่ชั่วโมงเดียว วันหนึ่งคืนหนึ่งในเวลาวันนี้ วันอุโบสถ กำหนด 8 ประการ กรรมบถ 10 ครบ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 ก็ครบ แต่ทำกันไม่ค่อยจะได้ แค่ชั่วโมงเดียวก็จะแย่แล้ว แล้วท่านจะไปเอาดีได้ตรงไหนเล่า
อย่า สร้างสนิม อย่างสนิมนี่ มันก็เอาไปกะเทาะได้ หมั่นเจริญกรรมฐาน มันก็ออกได้ แต่สนิมขุมกินเหล็ก จะผุแล้ว กินมีดโกนที่จะปลงผมตรา 3 ตาของเยอรมันก็ยังใช้ไม่ได้ เหล็กดียังไงก็ยังอยู่ไม่ได้ เพราะคนรักษาเหล็กไม่ดี เหล็กจึงเป็นสนิมขุม ถ้าเป็นสนิมขุมแล้วสันดานร้ายมาก คนนั้นจะนั่งเจริญกรรมฐานไม่ได้เลย จะเห็นกรรมฐานเป็นเรื่องร้อนอกร้อนใจ กลุ้มอกกลุ้มใจแล้วก็เลิกทำ แต่กลุ้มอกกลุ้มใจ ร้อนอกร้อนใจ จะเสียใจจนจิตใจไม่มีมากหลาย ก็ควรจะขัดสนิมด้วยการเจริญพระกรรมฐาน บำเพ็ญจิตภาวนาให้มากที่สุด ท่านจึงจะรู้ตัวว่าท่านมีสนิมในใจ
ชีวิต ของท่านมีกาฝากไว้ในจิต มันฝากให้จิตท่านคิดแต่เรื่องเลวๆ เห็นตัวดีคนเดียว คนอื่นชั่วหมด ประเภทนี้เจริญกรรมฐานไม่ได้หรอก เป็นคนมีเวรมีกรรม ท่านไม่ต้องมาเจริญกรรมฐานหรอก จะไปอีก 100 วัด ท่านก็แค่นั้น เสียเงินค่ายานพาหนะ ไปเสียเวลาตามวัดต่างๆ ขอฝากให้ท่านคิดให้มากที่สุดว่า ท่านมีสนิมในใจไหม ท่านมีสนิมขุมไหม ถ้ามีสนิมขุมกัดกินเหล็กทะลุแล้ว ก็ไม่ต้องเจริญกรรมฐาน ชาตินี้ท่านก็ไม่ได้อะไร เป็นคนไร้สาระ เป็นคนเกิดมาเสียชาติเกิด ไม่ประเสริฐอะไรกับเขา แค่ดีทำไม่ได้ ดีแค่ 3 วัน ทำได้อย่างไร ว่าไม่ว่าง พูดแก้ตัวว่าไม่ว่างทั้งนั้น งานมากมายจริงๆ สร้างความดีไม่ว่าง แต่สร้างความชั่วน่ะว่างกันนัก สร้างโดยไม่รู้ตัว ความชั่วในจิตใจ สนิมในใจมีมาก คิดไม่ออก บอกไม่ได้ ใช้ไม่เป็น ชีวิตจะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย ชีวิตท่านจะไร้ความหมาย
ถ้า ชีวิตนี้ ตั้งแต่หนุ่มสาวขาดทุน ออกแขกบอกเรื่องไม่ดีแล้ว มีสนิมในใจ ท่านจะเล่นละครชีวิตต่อไปแสนจะยากลำเค็ญใจ ทำมาหากินก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราว ไม่ได้ผล เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองแน่นอน คนก็เช่นเดียวกับต้นไม้ มีกาฝากนี่ มันจะไม่งอกไม่งาม มันจะไม่ออกพืชออกพันธุ์ ออกผล แน่นอน ท่านอย่าเอากาฝากมาไว้ในจิตใจนะ อย่างสร้างสนิมขุมให้มันลุ่มลึก จิตใจของท่านจะไม่สามารถสร้างความดีกับเขาได้เลย จะเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ตามก็แค่นี้แหละ แก่ไปมันก็จะแย่ลงไป มันก็จะแย่ลงไปทุกวัน มีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่น ขมก็จะกลืนหรือ จะกลืนอย่างไร ขื่นก็จะอม ขมก็ต้องกลืน กลางคืนก็ฝันหวานไปตามสนิมขุม ชีวิตจะไร้ค่า ชีวิตจะไม่มีเวลาที่มีประโยชน์เลย ผู้ที่มาเจริญกรรมฐาน เท่าที่อาตมาสอบสวนทวนถามแล้ว ไม่ได้ผล พองหนอ... ยุบหนอ... ก็ไม่ได้ ยืนหนอ... ก็ไม่ได้อีก กำหนดก็ไม่ได้อีก แล้วก็ไม่กำหนด นั่นแหละพวกกาฝาก ต้นไม้มีกาฝากเยอะ มันจึงไม่กำหนด ทำให้ขี้เกียจ ทำให้ของนั้นมาสกัดกั้นไม่ให้สร้างความดีได้ แน่นอนที่สุด อย่างนี้มีมาก
ขอ ฝากท่านทั้งหลาย ไม่ใช่ง่ายและไม่ใช่ยากนัก ถ้าท่านตั้งใจจริงแล้วได้ผล ทำด้วยความตั้งใจ อย่าท้อแท้ใจ ต้องขันติ ความอดทน ต้องสู้ตาย ถ้าท่านสู้ตายเมื่อใดท่านได้ผลเมื่อนั้น ถ้าท่านไม่สู้ความรู้ก็เป็นหมัน ถ้าเป็นหมัน ความดีก็ไม่มีทรัพยากร ชีวิตท่านจะไม่มีทรัพย์ ชีวิตท่านไม่มีโภคะ ชีวิตท่านจะไร้สาระ ไม่มีประโยชน์เกิดผลแต่ประการใด ขอฝากไว้ในวันนี้
www.jarun.orghttp://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=827.0