ผู้เขียน หัวข้อ: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน  (อ่าน 20175 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 02:49:50 pm »




กุญแจเซน
โดย  ท่าน ติช นัท ฮัน
ภาค ๑ การกำหนดรู้ในสภาพปัจจุบัน
หนังสือเล่มน้อย



ข้าพเจ้าได้เริ่มเข้าไปปฏิบัติธรรมในวัดเซน เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๑๗ ปี
หลังจากใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ ในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวัน
ในวัดแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ไปกราบคารวะต่อพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ดูแล
เพื่อขอให้ท่านช่วยสอน " วิถีแห่งเซน " แก่ข้าพเจ้า
แต่ท่านกลับยื่นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ตีพิมพ์ด้วยตัวอักขระภาษาจีนให้
พร้อมกับทั้งกำชับให้ศึกษาหนังสือนั้นจนกว่าจะขึ้นใจ

หลังจากได้กล่าวคำขอบคุณต่อท่านแล้ว ข้าพเจ้าถือหนังสือเล่มนั้น
กลับมายังกุฏิ หนังสือนั้นเป็นที่รู้จักกันอยู่ทั่วไป
ในหมู่พระนิกายเซน หนังสือนี้แบ่งออกเป็นสามตอน คือ

ตอน ๑ ว่าด้วยการนำสารัตถะแห่งพระวินัยมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ตอน ๒ ว่าด้วยพระวินัยข้อที่สำคัญ ๆ สำหรับผู้บวชใหม่
ตอน ๓ ว่าด้วยเทศนาของท่านกวยซัน อาจารย์


ไม่มีปรัชญาเซนอยู่ในหนังสือเล่มนี้เลย ทั้งสามตอนมุ่งจำเพาะแต่
การปฏิบัติการโดยตรง
ภาคแรก สอนวิธีในการควบคุมจิตและการตั้งดวงจิตให้แน่วแน่
ภาคสอง กำหนดหลักวัตรปฏิบัติและพระวินัยของพระภิกษุสามเณร
ภาคสาม เป็นร้อยแก้วอันมีคุณค่าและไม่อาจปล่อยให้สูญเปล่าไปอย่างไร้ประโยชน์



ข้าพเจ้าได้รับการยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้ ( ซึ่งเรียก  ล้วตเถียว  ในภาษา
เวียดนาม อันมีความหมายว่า " คู่มือแห่งวัตรปฏิบัติเล่มน้อย " )
มิได้มีไว้เป็นคู่มือสำหรับพระเณรใหม่ ๆ ที่มีอายุขนาดข้าพเจ้าเท่านั้นเพราะแม้แต่
พระซึ่งมีอายุ ๓๐ หรือ ๔๐ แล้ว
ก็ยังต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งคณะโดยนัยนี้เช่นกัน

ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาแบบตะวันตกมาบ้างแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาในวัดแห่งนี้
และข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจ
ที่วิธีในการสั่งสอนลัทธิในวัดเป็นวิธีแบบดั้งเดิมสมัยก่อนทั้งสิ้น

ประการแรกเราจะต้องอ่านจนจำข้อความทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ให้ได้ ต่อไป
จึงนำสิ่งที่อ่านมาปฏิบัติ โดยจะไม่ได้รับการสอนในเรื่องปรัชญาพื้นฐาน
เกี่ยวกับเรื่องเซนเลย ข้าพเจ้าได้นำความสังสัยนี้ไปปรึกษากับพระฝึกหัด *
อีกรูปหนึ่ง ซึ่งได้อยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว ท่านได้บอกว่า
" นี่แหละคือมรรค ประตูแห่งมรรคเริ่มเปิดออกที่จุดนี้ ถ้าเธอปรารถนา
จะศึกษาเซนแล้วละก็ เธอจะต้องยอมรับมรรควิธีนี้ "

ซึ่งข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็ต้องยอมจำนนต่อคำตอบนั้น


* พระฝึกหัด พระที่บวชในนิกายเซน จะต้องศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นพระฝึกหัด
อยู่ระยะหนึ่งก่อน จนกว่าจะได้พิสูจน์ตนให้เห็นแล้วว่า
เป็นผู้ฝักใฝ่ธรรม จึงจะได้รับเลื่อนขึ้นเป็นพระเซนเต็มขั้น




:http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=5189

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 24, 2013, 11:59:08 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 02:55:17 pm »




" การนำสารัตถะแห่งพระวินัยมาประยุกต์ใช้
ในชีวิตประจำวัน "
 
อันเป็นตอนแรกของคู่มือเล่มเล็กนั้น

กล่าวถึงกฏเกณฑ์อันมุ่งที่จะก่อให้เกิดสัมมาสติ หรือการกำหนดรู้ในปัจจุบันสภาพ
ทุก ๆ อากัปกิริยาของพระฝึกหัดจะต้องเกิดขึ้นไปกับความคิด

อันประกอบขึ้นร่วมเฉพาะในอากัปกิริยานั้น ๆ เช่นว่าเมื่อข้าพเจ้าล้างมือ
ข้าพเจ้าก็จะต้องกระตุ้นให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า

" ด้วยมือที่กำลังล้างอยู่นี้ ข้าพเจ้าหวังว่าคนทั้งโลกจะมีมือที่สะอาดบริสุทธิ์
อันสามารถจับถือสัจภาวะแห่งพระนิพพานได้ "

เมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องโถงสำหรับฝึกสมาธิ ข้าพเจ้าจะคิดว่า
" ด้วยอิริยาบทแห่งกายอันตั้งตรงขึ้นนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย

จะสามารถดำรงตนอยู่บนบัลลังก์แห่งตรัสรู้ ดวงจิตของเหล่าสัตว์
ได้ขจัดเสียแล้วซึ่งมายา
และบาปโทษทั้งปวง "
แม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในห้องน้ำ

ข้าพเจ้าก็จะพูดกับตนเองว่า " ขณะกำลังอยู่ในห้องน้ำนี้ ข้าพเจ้าหวังว่า
สรรพสัตว์ทั้งหลายจะสามารถขจัดเสีย
ซึ่งความโลภ ความโกรธ ความหลง และสรรพกิเลสทั้งปวง "



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2012, 02:08:11 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 02:59:04 pm »



" การนำสารัตถะแห่งพระวินัยมาประยุกต์ใช้
ในชีวิตประจำวัน "
บรรยายถึง ความคิด

ในทำนองเดียวกันนี้ด้วยตัวอย่างอันมีจำกัด ซึ่งผู้มีเชาวน์ย่อมสร้าง "ความคิด"
ขึ้นในการกระทำชนิดอื่นที่ไม่ได้มีอยู่ในหนังสือ อันเกิดขึ้นในโอกาสต่าง ๆ กัน
ส่วนที่มีเขียนไว้ในคู่มือเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น

ซึ่งผู้ฝึกหัดสามารถดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อนำเอาไปใช้ให้เหมาะ
กับความต้องการได้
ให้เหมาะกับเงื่อนไขทางจิตและทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล

ยกตัวอย่างว่าข้าพเจ้ากำลังจะใช้เครื่องโทรศัพท์และกำลังจะปลุกสำนึกแห่งจิต
เพื่อให้เกิดความคิดอันช่วยควบคุมข้าพเจ้า
ไว้ในภาวะแห่งการกำหนดรู้ ความคิดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อจะใช้โทรศัพท์นี้

ย่อมไม่มีอยู่ในคู่มือเล่มเล็ก ด้วยในสมัยที่เขียนหนังสือคู่มือนี้ยังหามี
เครื่องใช้สื่อสารชนิดนี้ไม่ ข้าพเจ้าจึงต้องสร้างความคิดขึ้นดังต่อไปนี้
" ด้วยการใช้โทรศัพท์นี้ จะหลุดพ้นจากอคติและวิจิกิจฉา ( ความลังเลสงสัย )
เพื่อที่จะมาติดต่อสัมพันธ์กันด้วยดี "


เมื่อข้าพเจ้ามีอายุ ๑๗ ปี ข้าพเจ้าคิดว่าคู่มือเล่มเล็กนี้มีขึ้นสำหรับเด็ก ๆ
และบุคคลผู้เริ่มแสวงหา และยังอยู่ห่างไกลจากเซน
ข้าพเจ้าไม่ได้ศรัทธาและเห็นความสำคัญของวิธีการเหล่านี้มากไปกว่าที่เห็นว่า
เป็นการเตรียมตัวเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ ๒๙ ปีให้หลัง ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า
คู่มือเล่มเล็กนั้น
คือแก่นอันสำคัญยิ่งของเซนเป็นสาระสำคัญยิ่งแห่งพระพุทธศาสนา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 27, 2011, 10:28:42 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 03:01:19 pm »



สติเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง

ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงการสนทนาสั้น ๆ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับนักปราชญ์ผู้หนึ่ง
ในสมัยพุทธกาล
" ดังที่ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พุทธศาสนาเป็นหลักลัทธิอันนำไปสู่การตรัสรู้
ดังนี้ ในการไปสุ่จุดหมายนั้นจะดำเนินไปตามมรรคคือหนทางใด กล่าวคือ
ทุก ๆ วี่วัน พระองค์ทรงประกอบกิจใดเล่าอันอาจอนุโลมให้เป็นไปตามมรรคนั้น "



" เราย่อมเดินบ้าง ฉันอาหารบ้าง สรงน้ำบ้าง นั่งลงบ้าง ... "
" มีอะไรพิเศษแฝงอยู่ในอริยาบทเหล่านั้นด้วยเล่า ในเมื่อทุกคนต่างก็เดินบ้าง
กินบ้าง ชำระล้างร่างกายบ้าง นั่งลงบ้าง ประพฤติอยู่โดยสามัญแล้ว "

" ดูกร ท่านผู้เจริญ สิ่งนั้นย่อมมีความแตกต่างอยู่ ด้วยยามเราเดิน เราย่อม
มีสติอยู่โดยสัจภาวะว่า
เราเดินอยู่ เมื่อยามเราฉันอาหาร เราย่อมมีสติ
รู้โดยสัจภาวะว่าเราฉันอาหารอยู่ เป็นไปดังนี้ ก็แหละ
ยามเมื่อบุคคลอื่น เดิน กิน ชำระกาย นั่งลง
บุคคลเหล่านั้นหาได้มีสติสำนึกรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ไม่ "

การสนทนาในครั้งกระนั้น ย่อมแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงเรื่อง สัมมาสติ
ซึ่งในทาง พุทธศาสนา ถือว่าเป็น สิ่งเร้นลับมหัศจรรย์
อันจะเป็น เครื่องส่องแสงสว่าง ในชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ เป็นการ
สร้างพลังแห่งการตั้งดวงจิตไว้มั่น และประการสุดท้ายเป็นการนำให้เกิด
ปัญญาญาณ อันจะยังให้บรรลุมรรคผลในบั้นปลายอีกด้วย ดังนั้น สัมมาสติ
จึงอาจนับได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในพระพุทธศาสนานั่นเทียว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 27, 2011, 01:08:27 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 03:05:13 pm »




เป็นการจุดไฟให้แก่ความเป็นอยู่กระนั้นหรือ แน่นอน นี่แหละคือจุดเริ่มต้น
แห่งการเดินทาง หากข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่โดยปราศจากสติ
อันเป็นเครื่องกำหนดรู้
ในความเป็นไปแห่งชีวิต
ก็เท่ากับว่า
ตนเองมิได้มีชีวิตอยู่
 หากเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าก็ควรจะพูดเหมือนดังที่อัลแบร์ กามู ได้เขียนไว้
ในนวนิยายเรื่อง "คนนอก" ของเขาว่า "ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ประดุจกับคนที่ตายไปแล้ว"

และดังคำพังเพยโบราณที่ว่า " ใครมีชีวิตอยู่อย่างหลง ๆ ลืม ๆ ผู้นั้นแหละ
ได้ตายไปแล้วในความหลับ
" คิดดูสิว่า
มีคนจำนวนมากมายเพียงใดรอบ ๆ ตัวเราที่ " มีชีวิตอยู่ดังคนที่ตายไปแล้ว "
ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือการหวนกลับมามีชีวิต ตื่นขึ้นจากความหลับ
รับรู้อยู่ว่าเป็นอะไร ทำอะไร คนที่กำลังกินอาหารอยู่นั่นน่ะใคร ผู้ที่กำลังดื่มน้ำอยู่
นั่นน่ะใคร และที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้นล่ะ...
และใครเสียอีกล่ะที่ใช้ชีวิตให้หมดสูญไป
ในความหลง ๆ ลืม ๆ และความละเลย




เป็นการสร้างพลังแห่งการดำรงจิตมั่นกระนั้นหรือ แน่ะล่ะด้วยอาศัยสัมมาสติ
เป็นหลักการที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุถึงการรู้แจ้งในตน ด้วยมนุษย์เป็นนักโทษ
ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม ถูกบังคับบัญชาด้วยเหตุการณ์ในสังคมให้ฟุ้งซ่าน
ให้ขาดสติ
โดยไม่อาจกลับสู่สถานะอันเต็มเปี่ยมได้อีก

ในกรณีเช่นนี้ การกำหนดรู้ว่าตนทำอะไร พูดอะไรคิดอะไร คือการเริ่มต้นขัดขืน
ต่อการรุกรานจากสภาพแวดล้อม และเริ่มแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งความหลงลืมก่อให้เกิดขึ้น
เมื่อจุดดวงไฟแห่งสติขึ้น ก็เท่ากับเป็นการจุด ความมีศีลธรรมขึ้นด้วย


ความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดก็ย่อมกระจ่างชัด ย่อมเกิดความเคารพต่อผู้อื่นขึ้นมาด้วย
เงาแห่งมายาซึ่งคุกคามมนุษย์อยู่ก็ถูกขจัดออกไป จากสิ่งเหล่านี้เอง ที่พลังจิตวิญญาณ
จะเข้มข้นยิ่งขึ้นและสูงส่งขึ้นไปทุกที ๆ เดี๋ยวนี้ท่านมีสติอยู่ในความ
เป็นไปทุกอิริยาบถ มีสติอยู่ในคำพูดทุกคำพูด และมีสติอยู่ในความคิดทุกความคิด



หลักแห่งการกำหนดรู้นี้ มิได้คิดค้นขึ้นสำหรับพระฝึกหัดเท่านั้น แต่หลักการนี้
มีขึ้นเพื่อทุก ๆ คนรวมทั้งผู้สำเร็จธรรมขั้นอรหันต์แล้วด้วย
หรือแม้แต่พระพุทธองค์ก็ตาม พระองค์ทรงดำรงมั่นอยู่ในสัมมาสติตลอดเวลา
และด้วยพลังแห่งสมาธิจิตและพลังแห่งจิตวิญญาณนี้หรือมิใช่ ที่เป็นลักษณะ
ของอริยบุคคลผู้เป็นที่ยิ่งในมวลหมู่มนุษย์


ที่ว่านี้เป็นการทำให้ปัญญาญาณแผ่ขยายงอกงามนั้น หมายความว่าอย่างไร
ด้วยจุดมุ่งหมายอันสูงสุดของเซน ก็คือการเข้าถึงทัศนะแห่งสัจภาวะ หรือสัมมาทิฏฐิ อัน
อาจตรึงไว้ได้ด้วยพลังอำนาจแห่งสมาธิจิตและปัญญาญาณ นั่นคือการตรัสรู้
หรือการหยั่งรู้ถึงอริยสัจ อันเป็นการรู้แจ้งเห็นจริง
ซึ่งสภาวะธรรมทั้งหลาย
นี่แหละคือจุดมุ่งหมายที่ผู้ฝึกเซนทุกคนปรารถนาจะบรรลุถึง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 21, 2012, 01:59:37 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 03:08:16 pm »




  ต้องประกอบไปด้วยสติ

ขั้นตอนในการจุดแสงสว่างให้แก่ชีวิตความเป็นอยู่ ในการสร้างพลัง
แห่งการตั้งดวงจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ในการทำให้ปัญญาญาณแผ่ขยายงอกงามนั้น ขั้นตอนเหล่านี้ในทางพุทธศาสนา
เรียกว่า " ไตรสิกขา " อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
คำว่าศีลอันได้แก่ข้อบัญญัติอันพึงปฏิบัตินั้นย่อมเป็นเครื่องอุดหนุนสัมมาสติ
ศีลมิได้หมายถึงข้อบัญญัติที่ห้ามการกระทำอันเป็นอกุศลด้วยการยึดมั่น
อยู่กับข้อบัญญัติ โดยมิได้รู้ความหมายของข้อบัญญัตินี้ เท่ากับการถือเอา
มรรคเป็นผล
นับเป็นความหลงผิด ซึ่งทางพุทธศาสนา
เรียกว่า " การยึดมั่นถือมั่นในข้อบัญญัติ " ซึ่งเป็นข้ออุปสรรคอย่างใหญ่อันเป็น
เครื่องกีดขวางต่อวิชชาคือความรู้ที่แท้


การเป็นผู้อยู่ในทำนองคลองธรรม เป็นผู้มีกุศลเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้
บุคคลเกิดปัญญาอันแท้จริงได้
หากจำต้องอาศัยสติในการดำรงกายและจิตไว้อย่างแน่วแน่ด้วย นี่จึงเป็นเหตุผล
ที่อธิบายว่า เหตุใดการกำหนดดวงจิตให้มีสติรับรู้ในสภาพความเป็นอยู่นี้
จึงถือได้
ว่าเป็น " สารัตถะ ( แก่น ) แห่งข้อวัตรปฏิบัติ "



เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำงานนห้องทดลอง เขาจะไม่ยอมสูบบุหรี่ ไม่กินขนม
ไม่ฟังวิทยุ เขายอมงดสิ่งเหล่านี้ มิใช่เพราะคิดว่ามันเป็น
ของเลวหรือเป็นบาปกรรม แต่เป็นเพราะเขารู้ว่านี่เป็นเครื่องทำจิตใจให้วอกแวก
ออกไปจากสิ่งที่กำลังค้นคว้าอยู่ นี้ก็เช่นเดียวกับ บทบัญญัติแห่งเซน
โดยที่บทบัญญัตินี้มิได้มีจุดมุ่งอยู่ที่การเป็นผู้มีศีลธรรม แต่ผู้ที่ตรวจตราดูแล
บทบัญญัติแห่งเซนจะต้องช่วยผู้ฝึกหัดให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความมีสติเป็นประการสำคัญ

ปัญญาญาณแห่งเซนมิอาจเกิดขึ้นด้วยสติปัญญาอย่างสามัญ ไม่อาจเกิดขึ้น
จากการศึกษาเล่าเรียน พระปริยัติธรรม จากการวิเคราะห์ทฤษฎี
แต่ผู้ฝึกเซน จะต้องใช้ภาวะแห่งอัตถิภาวะ ( ภาวะสิ่งต่าง ๆ มีอยู่ ดำรงอยู่ ) ของตน

ทั้งหมดเป็นเครื่องมืออันจักนำมาซึ่งความรู้แจ้ง สติปัญญาเองก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง
ของภาวะแห่งการดำรงอยู่ในปัจจุบัน
ของคนเท่านั้น
และบ่อยครั้งที่สติปัญญาดึงมนุษย์ให้ห่างเหินออกไปจากชีวิตที่เป็นจริง

ซึ่งเป็นจุดหมายอันยิ่งของเซน
ด้วยเหตุนี้แหละที่ในหนังสือคู่มือเล่มเล็ก มิได้ถือเอา
การศึกษาทางด้านทฤษฎี เป็นวัตถุประสงค์
แต่มุ่งไปที่การชี้นำให้ผู้ฝึก
ดำเนินตามวิธีแห่งเซนโดยตรงเลยทีเดียว




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 24, 2013, 12:13:19 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 03:16:31 pm »




ภายในวัดเซนนั้น สมณะผู้ปฏิบัติธรรมจะประกอบการงานทุกชนิด
ท่านจะไปตักน้ำ ผ่าฟืน หุงต้มอาหาร เพาะปลูกพืชผัก

ถึงแม้พระทุกรูปจะได้เรียนการนั่งสมาธิแบบเซน และปฏิบัติสมาธิในท่านั่งนั้นแล้ว
แต่ทุกท่าน จะต้องพยายาม  มีสติในกิจที่ตนทำ  อยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าขณะกำลังตักน้ำ ปรุงอาหาร หรือปลูกผัก แต่ละคนย่อมรู้ว่าการตักน้ำ
มิได้เป็นเพียงการงานอันมีประโยชน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการ ปฏิบัติเฝึกฝนซนอีกด้วย
และหากบุคคลใดไม่รู้จักฝึกฝนเซน
ขณะที่กำลังตักน้ำอยู่ ก็นับว่าการมาอาศัยอยู่ในวัดเป็นการเปล่าประโยชน์สิ้นเชิง

ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่า หนังสือคู่มือเล่มเล็กนั้นช่วยชี้แนะให้ผู้ปฏิบัติธรรม
ได้เข้าไปในโลกของเซนโดยตรง แม้ว่าการงานที่ผู้ฝึกหัดทำนั้น
ดูเผิน ๆ แล้วคล้ายกับ การงานที่  คนผู้ไม่รู้จักมรรควิถี  โดยทั่ว ๆ ไปเขาทำกัน

อาจารย์เซนมักจะเฝ้าสังเกตศิษย์ของตนอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ศิษย์
พยายามจะจุดไฟแห่งชีวิตขึ้น ในความดำรงอยู่แห่งตน
ศิษย์เอง อาจจะคิดไปว่าอาจารย์ขาดความเอาใจใส่ในตน

แต่ความจริงแล้ว การกระทำของศิษย์ทั้งหมด ต่างไม่อาจรอดพ้น
จากสายตาของอาจารย์ไปได้
อาจารย์ย่อมจะรู้ว่าศิษย์ของตนเป็น " ผู้ตื่นขึ้น " แล้วหรือยัง



ในอารามนั้น แต่ละคนจะต้องมีสติในสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่เสมอ
ยกตัวอย่างเช่น หากมีศิษย์ปิดประตูห้องด้วยเสียงอันดัง
นี่เป็นการพิสูจน์ว่า  เขาขาดสติ   รู้ในกิจ   ที่กำลังทำอยู่

คุณความดีนั้นมิได้อยู่ที่การบรรจงปิดประตูอย่างปราศจากเสียง
แต่อยู่ที่การรับรู้ความจริงที่ว่า ตนกำลังอยู่ในกิจแห่ง..
..การปิดประตู นั่นต่างหาก ในกรณีเช่นนี้ อาจารย์ก็อบรมและตักเตือน
ให้ศิษย์รู้จักปิดประตูอย่างนุ่มนวลขึ้น

ซึ่งเป็นข้อจำเป็นสำหรับศิษย์ที่จะต้อง " มีสติ " อยู่ตลอดเวลา
ที่อาจารย์ต้องทำดังนี้ มิใช่เพียงเพื่อให้เคารพต่อ ความสงบเงียบในวัดเท่านั้น
หากแต่เพื่อแสดงให้ศิษย์รู้ตนว่าการกระทำเช่นนั้น




ส่อว่าเขามิได้ดำเนินตามหนทางแห่งเซน เป็นเครื่องอธิบายถึงการขาด
" กรณียะอันประเสริฐ " และขาดสุขุมจริยา ( วิญญัติ ) " กิริยาอันละเอียดอ่อนนุ่มนวล "

กล่าวกันว่าในพุทธศาสนามี " สุขุมจริยา " ถึงเก้าหมื่นแบบซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องฝึกฝน
กิริยาอาการต่าง ๆ เหล่านี้คือการแสดงออก

ด้วยอาการแห่งความมีสตินั่นเอง ทุกสิ่งที่บุคคลได้พูด ได้คิด ได้กระทำไปในขณะที่มีดวงจิต
อันประกอบด้วยสติ อาจเรียกได้ว่าบุคคลเหล่านั้นได้ " ลิ้มรสแห่งเซน " แล้ว


หากผู้ฝึกหัดรู้สึกว่าตนได้ขาดการ " ลิ้มรสแห่งเซน " ในขณะที่ตน
กำลังพูดกำลังทำการงานแล้วละก็ ผู้ฝึกหัดควรจะตระหนักไว้ด้วยว่า
ตนได้ใช้ชีวิต   ให้ผ่านไปโดยขาดสติ   เสียแล้ว



http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=truthoflife&month=07-02-2011&group=9&gblog=51

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 24, 2013, 01:59:12 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 03:20:07 pm »



ภาค ๒ น้ำชาถ้วยหนึ่ง
จงมองลึกลงไปในธรรมชาติของตน

วัดที่ข้าพเจ้าพำนักอยู่ก็ดุจเดียวกับวัดเซนแบบดั้งเดิมทั้งหลาย
กล่าวคือมีภาพเขียนอันงดงามของท่านโพธิธรรม
เป็นภาพวาดด้วยหมึกฝีมือพู่กันจีน แสดงให้เห็นถึงพระภิกษุชาวอินเดียผู้มีพักตร์อันสุขุม

และมีแววแห่งความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง ม่านตา ดวงตาและคางของท่าน
ล้วนแสดงให้เห็นสถานะแห่งดวงจิตอันมิรู้จักโยกคลอน
เล่ากันว่า ท่านโพธิธรรมมีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธสตวรรษที่ ๑๑

ลงความเห็นว่า ท่านเป็นมหาสังฆปรินายกองค์แรกแห่ง
พุทธศาสนานิกายเซนในประเทศจีน
ถึงแม้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติของท่าน
จะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แน่นอน แต่บุคลิกลักษณะ
และจิตใจของท่าน ตามที่ได้ยินได้ฟังถ่ายทอดลงมาแต่โบราณ
ได้ทำให้ท่านกลายเป็นบุคคลในอุดมคติ
ของผู้ที่ปรารถนาจะเข้าให้ถึงการตรัสรู้ โดยมรรคแห่งเซน

ภาพนั้นเป็นภาพของพระอริยบุคคลผู้สามารถผู้สามารถควบคุมตนเอง
ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นผู้พ้นไปสู่..
..ความไม่มีอุปสรรคกีดขวางตนเองและสิ่งแวดล้อม
เป็นอริยบุคคล ผู้ซึ่งมีพลังแห่งจิตอันสูงส่ง




ซึ่งช่วยทำให้ดำรงความสงบราบคาบแห่งจิตไว้ได้
ไม่ว่าจะพบกับความสุข ความทุกข์หรือความเป็นอนิจจัง
ของชีวิต สิ่งที่เป็น แก่น สำคัญแห่งบุคลิกของท่านผู้นี้
มิได้เกิดจาก การค้นพบสัจจะอันสูงสุด
และมิได้เกิดจากจิตใจอันเข้มแข็งของท่าน
แต่เกิดมาจากทัศนะอันสุดแสนลึกซึ้งแห่งจิตใจของท่านเอง
รวมทั้งการดำเนินชีวิตอยู่ ในความเป็นจริง ด้วย
จากจุดนี้เองที่เกิดคำพูดแบบเซนที่ว่า
" จงมองให้ลึกลงในธรรมชาติแห่งตน "

ครั้นเมื่อบุคคลใดได้เข้าถึงสถานะแห่งการตรัสรู้เช่นนี้แล้ว
บุคคลนั้น จะรู้สึกว่ากระบวนการทางความคิด
อันผิดพลาดทั้งหมดที่อยู่ภายในตน ได้หักแหลกละเอียดลงอย่างสิ้นเชิง


ทัศนะและความคิดใหม่ของผู้ซึ่งได้ตรัสรู้นั้น ย่อมเต็มไปด้วย
สันติสุขอันล้ำลึก เป็นความสงบอันมิอาจหยั่งคาดได้
มีดวงจิตอันนิราศจากความกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น

" ดังนั้น การมองให้ลึกลงใน..
..ธรรมชาติแห่งตน "จึงเป็นจุดหมายปลายทางของเซน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2014, 07:47:23 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 03:32:20 pm »




วาทะของท่านโพธิธรรม

แต่การมองให้ลึกลงในธรรมชาติแห่งตนมิใช่ผลอันเกิดมาจาก
การศึกษาเล่าเรียนและทำการค้นคว้า ปัญญาญาณ
จะเกิดขึ้นก็แต่โดยการใช้ชีวิตที่ลงลึกถึงแก่นแห่งความเป็นจริงเท่านั้น

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า เซนนั้นคัดค้านต่อข้อคิดและข้อเขียนทั้งหมด
ด้วยถ้อยคำนั้น
ไม่อาจจะก่อให้เกิดปัญญาที่แท้จริงได้ ตามที่ท่านโพธิธรรมได้กล่าวไว้ เซนก็คือ

" การถ่ายทอดโดยเฉพาะเจาะจง    อันเป็นไปนอกพระสูตร
มิได้ถือตามถ้อยคำและตัวอักษร    แต่ชี้ตรงจี้ลงสู่ใจของมนุษย์
เพื่อให้เขาอาจแลเห็นธรรมชาติของตน    และบรรลุถึงภาวะแห่งการตรัสรู้ "


เมื่อท่านโพธิธรรมเดินทางมาเมืองจีนในศตวรรษที่ ๑๐ นั้น
พระพุทธศาสนาในเมืองจีน
กำลังย่างเข้าสู่
ยุคแห่งการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก โดยอาศัยพระสูตรต่าง ๆ

และวุ่นวายอยู่ด้วยการตั้งนิกายใหม่ ๆ ขึ้น วงการพุทธศาสนาสนใจอยู่
ด้วยสิ่งเหล่านี้ มากกว่าที่จะหันมาสนใจฝึกหัดการทำสมาธิ
วาทะการพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าของท่านโพธิธรรมนั้นมิใช่อะไรอื่น

 

นอกจากเสียงสะเทือนเลือนลั่นจากสายอสนีบาตที่ปลุกคน
ในวงการพุทธศาสนาให้ตื่นขึ้น และช่วยให้กลับมาสนใจฝึกหัดปฏิบัติธรรม
และหันเข้าหาหัวใจของพุทธศาสนานั่นเอง

เพราะเหตุที่ว่าวาทะของท่านโพธิธรรมก้องไปประดุจเสียงของสายฟ้า
จึงดูเหมือนว่าวาทะของท่านออกจะกล่าวเกินเลยไปบ้าง
แต่ขอให้เราพิจารณาอย่างรอบคอบ ถึงลักษณะความสัมพันธ์
ระหว่างเซนกับพุทธศาสนาดั้งเดิมของอินเดีย และเราจะทราบได้ว่า
เซนนั้นมิใช่อะไรอื่น มิใช่นิกาย มิใช่ลัทธิที่เสริมแต่งดัดแปลง
และแตกแยกออกมาจากพระพุทธศาสนา หากคือสาระแห่งพุทธศาสนานั่นเอง

ท่านโพธิธรรมได้กล่าวว่า
" เซนได้รับการถ่ายทอดมาจาก พุทธองค์ โดยมิได้เกี่ยวพัน
กับพระสูตรและพระพุทธดำรัส ซึ่งพวกท่านกำลังศึกษากันอยู่ 
( เซนคือการถ่ายทอดโดยเฉพาะเจาะจง อันเป็นไปนอกพระสูตร ) "




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2012, 02:26:25 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 04:05:39 pm »




จากทัศนะแรกนี้จึงดูคล้ายกับว่า เซนจะต้องมีวิธีการสอนอันลึกลับ
มีการถ่ายทอดจากอาจารย์มาสู่ศิษย์ผ่านมาหลายชั่วอายุคน
มีแก่นแท้เนื้อความซึ่งไม่อาจนำมาเขียนถกเถียงหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้
หรือถ้าจะขยายความให้ชัดขึ้น เซนก็คือ
มรดกตกทอดทางจิต ซึ่งไม่มีใครจะเข้าใจได้นอกจากผู้ตรัสรู้เท่านั้น

ไม่มีใครสามารถนำไปสอนโดยใช้สัญลักษณ์เท่าที่มีใช้อยู่ คือ
ภาษาพูดและภาษาเขียน ระบบเหตุผลตรรกะวิทยา
ด้วยเซนนั้นไม่อาจนำไปสั่งสอนกันได้ เพราะเซนสืบผ่านโดยตรง
จากอาจารย์มาสู่ศิษย์ จาก " จิตสู่จิต " เป็นตราประทับที่ใช้ประทับลงบนดวงจิต

เซนมิใช่ตราที่ทำด้วยไม้ทองแดงหรืองาช้าง แต่เป็น " ตราแห่งจิต " คำว่า
" การถ่ายทอด " ที่เอ่ยถึงนั้นหมายถึง
การถ่ายทอดจากตราแห่งจิตนี้เอง เซนนี่แหละคือตราแห่งจิต


       

สิ่งต่าง ๆ มากมายที่อาจค้นพบได้ในวรรณคดีและในพระสูตรของพระพุทธศาสนานั้น
อาจเรียกได้ว่าเป็นพุทธศาสนา แต่ก็หาใช่พระพุทธศาสนานิกายเซนไม่
ด้วยเซนนั้นไม่ อาจหาพบได้ในพระสูตร เพราะเซนนั้น
" ไม่อาจหาได้ในข้อเขียนใด ๆ เลย และนี่คือคำประกาศจากวาทะ
ของท่านโพธิธรรม ซึ่งอาจารย์เซนส่วนใหญ่ได้แสดงธรรมกถาเล่าสืบต่อกันมา


ตามความเป็นจริงแล้ว หลักการที่ว่า " ไม่ขึ้นอยู่กับข้อเขียน ทำให้เซน
แตกต่างไปจากพุทธศาสนานิกายอื่น ๆ นั้น หลักการนี้ได้มีมานานแล้ว
โดยเฉพาะเป็นหลักการในพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม รวมทั้งฝ่ายมหายานด้วย

การอภิปรายโต้แย้งการบรรยายถึง สัจภาวะอันสูงสุด ด้วยถ้อยคำนั้น
เป็นหลักการที่ทางพุทธศาสนาปฏิเสธและไม่นิยมให้กระทำ
ดังนั้นวาทะของท่านโพธิธรรมจึงมิได้เป็นสิ่งใหม่ นอกจากเป็นการย้ำ
อย่างหนักแน่นและรุนแรงในหลักการเดิม
ซึ่งให้คุณค่าต่อการปฏิบัติฝึกฝน ทางจิต โดยตรงและละเว้นการไตร่ตรอง
หาเหตุผลตามระบบความคิดแบบต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่ในโลก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 21, 2012, 02:13:25 pm โดย ฐิตา »