แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน
ฐิตา:
" เสียงของการตบมือข้างเดียวเป็นอย่างไร "
คำถามเช่นนี้ เหมือนกับขวานซึ่งตัดรางที่อยู่เบื้องหน้ารถไฟออก
ทำลายนิสัยชอบคิดชอบค้นคว้าในตัวเรา และถ้าหากว่าผลไม้สุกงอมพอแล้ว
หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าจิตของเราได้ตระเตรียมไว้ดีแล้ว คมขวานที่ฟาดฟัน
ลงไปนี้ก็จะช่วยให้เรา หลุดพ้นจากพันธนาการ ซึ่งได้ผูกมัดเราให้อยู่ในโลกซึ่ง
" มีชีวิตอยู่ดังคนที่ตายแล้ว " มาเป็นเวลาหลายปี และช่วยนำเรากลับมาสููู่่่
การมีชีวิตอยู่ในความเป็นจริง แต่หากเราไม่พร้อมที่จะรับความจริง เราก็ท่องเที่ยว
" แสวงบุญ " อย่างไร้สาระต่อไป ในโลกของการ " นึกคิด "
" เสียงของการตบมือข้างเดียวเป็นอย่างไร "
คำถามท้าทายอยู่เบื้องหน้าของเราแล้ว และเราก็พากันขบคิดอย่างเคร่งเครียด
เราสร้างภาพพจน์ของ " เสียงตบมือข้างเดียว " ตั้งร้อยตั้งพันแบบต่าง ๆ กัน
แต่อาจารย์ ก็บอกกลับมาว่า " ไม่ใช่ " อยู่เสมอ เมื่อหมดหนทางเข้า เราก็ชัก
จะบ้าคลั่ง ขาดสติสัมปชัญญะ ด้วยเหตุมาจาก " กุงอัน " อันน่าสาปแช่งนี้
และในช่วงเวลาอันเป็นจุดวิกฤติอย่างร้ายแรงนี้เอง แน่นอนอย่างยิ่งว่าหนทาง
กลับไปสู่ตนเองก็ได้เริ่ม ดังนั้น " เสียงของการตบมือข้างเดียว "อาจจะ
กลายเป็นดวงอาทิตย์ซึ่งฉายลงมายังความเป็นอยู่ของเราก็อาจจะเป็นได้
เสียงเหย็น เป็นศิษย์ของอาจารย์โปจัง เสียงเหย็นเป็นคนเอาใจใส่ ขยันขันแข็ง
แม้เมื่ออาจารย์ของท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านก็ยังมิได้ตรัสรู้ ท่านจึงได้ไป
ฝากตัวอยู่กับอาจารย์ไหว่ซัน
และปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน วันหนึ่งอาจารย์ไหว่ซันถามเสียงเหย็นว่า
" เธอลองพูดให้ฟีงเรื่องการเกิดและการตายซิ บอกว่าใบหน้าและดวงตาของเธอ
ก่อนที่เธอจะถือกำเนิดขึ้นมานั้นเป็นอย่างไร "
เสียงเหย็นได้พยายามตอบไปต่าง ๆ นานา แต่ก็ไร้ประโยชน์ ท่านจึงกลับมายังกุฏิ
ใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนในการอ่านพระสูตรที่ท่านได้ศึกษามา
ค้นหาบันทึกที่ท่านได้ทำไว้สมัยอยู่กับอาจารย์โปจัง แต่ท่านก็ยังมิอาจหาคำตอบได้
ครั้นเมื่อท่านกลับไปหาอาจารย์ไหว่ซัน อาจารย์ก็ได้บอกท่านว่า
" ฉันไม่ได้ต้องการจะรู้ว่าเธอมีความรู้อยู่มากน้อยเพียงใด ฉันเพียงแต่ต้องการ
จะรู้ถึงความล้ำลึกแห่งจิตของเธอเท่านั้น ดีละ ลองบอกอะไรมาซักทีซิ "
" กระผมไม่รู้ที่จะพูดประการใด ขอให้อาจารย์ได้กรุณาสั่งสอนกระผมด้วย "
เสียงเหย็นตอบ แต่ท่านไหว่ซันกลับพูดว่า
" จะมีประโยชน์อะไรเล่า หากฉันจะบอกทัศนะของฉันแก่เธอ "
เสียงเหย็นรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก คิดว่าอาจารย์คงไม่เต็มใจที่จะช่วย จึงเผา
หนังสือที่มีอยู่ทั้งหมดทิ้ง และปลีกตัวไปอาศัยอยู่ในที่อันห่างไกล รำพึงกับ
ตนเองว่า " เรื่องอะไรจะต้องไปศึกษาพุทธศาสนาให้ยากเย็น
ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปเป็นผู้รู้ในหลักลัทธิ ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่เฉกเช่น
พระภิกษุอันธรรมดาสามัญมากกว่า "
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังเตรียมพื้นดินเพื่อที่จะปลูกถั่วคราดเหล็กที่ท่านถือ
อยู่ฟันไปกระทบก้อนกรวด ทำให้ก้อนกรวดนี้กระเด็นไปกระทบกับกิ่งไผ่
เกิดเสียงดัง " แกร็ก " ขึ้น เสียง " แกร็ก " นี้เองทำให้ท่านได้ตรัสรู้ สิ่งที่
อาจารย์ไหว่ซันเรียกว่า " ใบหน้าและดวงตาของเธอก่อนที่จะถือกำเนิดขึ้นมา "
ทันใดนั้นก็ฉายแสงอยู่ในดวงจิต และท่านก็ได้เข้าถึงความ ตรัสรู้ ในขณะนั้น
อาจารย์ไหว่ซันไม่ต้องการจะนำเสียงเหย็นเข้าไปใน โลกแห่งปัญญา ท่านต้องการให้
เสียงเหย็นกลับไปสู่ ธรรมชาติที่แท้ของตน และแท้จริงแล้วเสียงเหย็นอาจ ตรัสรู้ ได้
ก็โดยที่ท่านได้ " ละ " ความมานะบากบั่น ในการสั่งสมปัญญาทางวิชาการ
ในกรณีนี้แหละที่ กุงอัน ได้กระทำหน้าที่เป็นอย่างดี นับว่ามีประสิทธิภาพ
อย่างสูงในการนำผู้ฝึกฝนให้กลับไปสู่เส้นทางแห่ง
ความชัดเจนทางด้านจิต และช่วยสร้างจุดวิกฤติเพื่อมุ่งที่จะให้เกิด การ ตรัสรู้ ขึ้น
ฐิตา:
คำว่า " ไม่ใช่ " ของอาจารย์เจาจู
ภิกษุรูปหนึ่งถามอาจารย์เจาจูว่า " แม้ว่าสุนัขก็มีธรรมชาติแห่งการ ตรัสรู้ อยู่
ใช่หรือไม่ " อาจารย์ตอบว่า " ไม่ใช่ " อยู่ต่อมาภิกษุอีกรูปหนึ่ง
ก็ถามอาจารย์ว่า " แม้สุนัขก็มีธรรมชาติแห่งการตรัสรู้อยู่ใช่หรือไม่ " เจาจูตอบว่า " ใช่ "
เหตุใดคำตอบทั้งสองจึงตรงกันข้าม ทั้งที่คำถามนั้นเป็นคำถามเดียวกัน อาจอธิบายได้ว่า
เป็นเพราะพระภิกษุผู้ถามคำนามมีสภาพจิตที่แตกต่างกัน
คำตอบว่า " ใช่ "และ " ไม่ใช่ " อาจถือได้ว่าเป็นอุบายที่มุ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบ
อันมีคุณค่าต่อผู้ฝึกฝนเซน ทั้งสองคำนั้นมิอาจถือว่าเป็นสัจจะที่มุ่งมาดได้
แต่ในแง่ของสัญลักขณภาพแล้ว ถือได้ว่าคำตอบที่ว่า " ใช่ " เป็นคำตอบที่ถูก
ดังที่ศาสนาพุทธฝ่ายมหายานถือว่า สัตว์ทุกชนิดมีธรรมชาติแห่งการตรัสรู้อยู่ในตัว
แต่ในแง่ของอสัญลักขณภาพหรือในโลกแห่งความเป็นจริง โลกแห่งสัจจะนั้น คำพูดที่ว่า
" ใช่ "ไม่แตกต่างอะไรไปจากคำพูดที่ว่า " ไม่ใช่ " อีกต่อไป คำว่าใช่จึงดำเนิน
บทบาทที่แตกต่างกันออกไป
มีแต่เพียงจิตใจของผู้ฝึกฝนเท่านั้นที่อาจรับรู้ความหมายจากคำพูดนั้นได้โดยตรง
คำว่า " ใช่ " ของอาจารย์เจาจู ได้มีอาจารย์เซนคนอื่น ๆ นำไปใช้เป็นกุงอัน
สำหรับศิษย์ของตน ขอให้ลองมาดู
ข้อเขียนของอาจารย์วูเมน ซึ่งได้เขียนไว้ในเรื่องวูเมนก๋วน เป็นตัวอย่าง
" เพื่อที่จะเข้ามาสู่เซน จำเป็นที่จะต้องผ่านประตูของพระสังฆราช เพื่อที่จะตรัสรู้
จำเป็นที่จะต้องไปถึงก้นบึ้งแห่งจิต ถ้าเธอไม่อาจผ่านประตูของสังฆราช
ไม่อาจไปถึงก้นบึ้งแห่งจิต เธอก็จะเป็นเพียงวิญญาณอันแฝงเร้น อยู่ตามพุ่มไม้ใบหญ้า
อยู่ตลอดไปแต่อะไรเล่าคือประตูของสังฆราช คำว่า ' ไม่ใช่ ' เพียงคำเดียวนี้แหละ
คือประตูของนิกายเซนทั้งหมด ผู้ซึ่งสามารถผ่านประตูนี้ได้
ย่อมไม่เพียงแต่ได้พบกับตัวอาจารย์เจาจูเท่านั้น แต่ยังจะได้ร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่
ไปกับบรรดาพระมหาสังฆราชองค์อื่น ๆ ด้วย เขาจะได้แลเห็นสรรพสิ่งด้วยสายตา
แบบเดียวกันได้ยินเสียงด้วยหูอย่างเดียวกันนี่มิใช่เป็นความเบิกบานอันใหญ่ยิ่งหรอกหรือ
ฐิตา:
ในพวกเธอ จะมีใครบ้างใหมที่ปรารถนาจะ ผ่าน ประตูนี้
ถ้ามีละก็ ฉันจะขอเชื้อเชิญให้เขาลองใช้กายสังขารอันน่าทึ่ง ซึ่งประกอบด้วย
กระดูก ๓๖o ชิ้น ขุมขนทั้ง ๘๔,ooo
เพื่อพิจารณาในถ้อยคำที่ว่า " ไม่ใช่ " เพียรพยายามอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
โดยไม่พักผ่อนอย่าเข้าใจเอาว่า
' ไม่ใช่ ' หมายถึง ' ความไม่มี ไม่เป็น อะไรเลย ' อย่าเข้าใจว่า
เป็น สัญลักษณ์ อันตรงกันข้ามกับคำว่า ' ใช่ ' เธอจำเป็นที่จะต้องกล้ำกลืนคำคำนี้ลงไป
เหมือนกับเธอกำลังกลืนกินลูกเหล็กที่ร้อนแดงอยู่ และไม่อาจจะเอากลับออกมาได้
จำเป็นที่เธอจะต้องขจัดความรู้ ความรู้ทั้งหมดที่เธอได้สะสมเอาไว้เป็นเวลานาน
จิตใจของเธอก็จะเริ่มสุกงอมอย่างช้า ๆ สักวันหนึ่งโลกภายในและภายนอก
ก็จะมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว และเธอก็จะตื่นขึ้นคล้ายกับการตื่นขึ้น
จากความฝันของคนผู้นอนซบเซา เธอก็จะเก็บรักษาสิ่งที่เธอได้ครอบครองไว้ในตัว
โดยไม่สามารถจะอธิบายถึง สิ่งที่เธอเป็นอยู่ให้ใครเข้าใจได้ การตรัสรู้นั้นจะทำให้
ทั่วพิภพและสรวงสวรรค์สะเทือนสะท้าน เหมือนกับเธอได้ถือดาบอันสูงค่าไว้ในมือ
เมื่อเธอพบพระพุทธองค์ จงสังหารพระพุทธองค์เสีย เมื่อเธอได้พบพระสังฆราช
จงสังหารพระสังฆราชเสีย เธอจะไปถึง อิสรภาพ อันสมบูรณ์
ที่ริมขอบของ ชะตาและมรณะ เธอจะเดินฝ่าไปในภูมิทั้งหก *และโยนิทั้งสี่
**ในขณะที่ดำรงอยู่ในสมาธิ
* ภูมิหก นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา
** โยนิสี่ ชลาพุชะ อัณฑชะ สังเสทชะ โอปปาติกะ
เราจะถึงสภาวะนี้ได้ก็เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คืออุทิศแรงพลังทั้งหมดเท่าที่มี
ในการพิจารณาคำว่า " ไม่ใช่ " โดยไม่หยุดยั้งอยู่แม้แต่วินาทีเดียว
การ ตรัสรู้ ย่อมเป็นของแน่
เหมือนไส้ตะเกียงซึ่งลุกวาบขึ้นในขณะที่อยู่ไกล้กับเปลวไฟฉันนั้น จงดูสิ
' ธรรมชาติแห่ง พุทธะ ของสุนัขนั้น เป็นประกาศิตจากเบื้องบน
มีอยู่แน่แท้ ด้วยความคิดว่า " มีหรือไม่มี " ชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเสีย ' "
กลอนบทนี้ของท่านวูเมนก็เป็น กุงอัน อันยิ่งใหญ่อันหนึ่ง วูเมนหมายความว่าอะไร
เมื่อท่านพูดว่า " ... ใช้กายสังขารอันน่าทึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกระดูก ๓๖o ชิ้น
ขุมขนทั้ง ๘๔, ooo เพื่อพิจารณาในถ้อยคำ " ไม่ใช่ "
เพียรพยายามอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่พักผ่อน " ซึ่งเป็นคำพูดธรรมดาอย่างยิ่ง
ท่านหมายถึงว่า ให้เราจุดแสงสว่างให้แก่ชีวิตการดำรงอยู่ของตนเอง
เราจะไม่ยอมให้ความมืดเข้ามาครอบงำ เราจะต้องไม่จมอยู่กับจิตใต้สำนึกและความหลงลืม
เราจะต้องมีชีวิตอยู่ทุกวินาที กระดูกทั้ง ๓๖o ชิ้น และขุมขนทั้ง ๘๔, ooo จะต้องตื่นตัวอยู่่
เหมือนกับแสงเทียน ท่ามกลางแสงเทียนนี้เองที่โฉมหน้าของ" ไม่ใช่ "จักเผยตัวออกมา
นี่เป็นชีวิตจริงที่ไม่เกี่ยวกับความนึกคิดหรือการเล่นคำ การตีฝีปาก ปัญหาเกี่ยวกับ
ชีวิตและความตาย คือลูกเหล็กแดงร้อนก็ถูกกลืนเข้าไป จะคายออกก็ไม่ได้
ด้วยชีวิตเป็นบางสิ่งบางอย่าง
ที่อยู่เหนือกว่าเหตุผล ความคิดคำนึง จงอย่าเข้าใจว่า ไม่ใช่ นั้นคือความเป็นอะไรเลย
อย่าคิดว่าการ ไม่มีอยู่ นั้นตรงกันข้ามกับความ มีอยู่ ด้วยว่า
" หากยังวุ่นวายอยู่ด้วยความคิดว่า " มีหรือไม่มี " ชีวิตก็จะสุญเปล่าไปเสีย "
แน่นอนชีวิตของเราจะสูญเปล่าไป หากเราหลีกหนีการใช้ชีวิตตามความเป็นจริง
เมื่อไปอยู่ในโลกแห่งความคิดอันล้ำลึกแล้ว เราก็จะเป็นเพียงวิญญาณพเนจร
ไร้ทั้งเลือดเนื้อและกระดูกอันได้ประกอบขึ้นเป็นชีวิตจริงของเรา
ฐิตา:
เข้าสู่วัฏฏะคือวงกลม
อาจารย์ฮวงโป ได้กล่าวไว้ถึงคำว่า " ไม่ใช่ " ของท่านเจาจูว่า
" ทุกผู้คนที่ถือว่าตัวเองเป็นอัศวิน จะต้องเพียรใคร่ครวญต่อกุงอันนี้ จงอยู่กับคำว่า
" ไม่ใช่ " นี้ตลอดทั้ง ๒๔ ชั่วโมง ไม่ว่าเธอจะนั่ง นอน ยืน ไม่ว่ากำลังจะแต่งตัว
รับประทานอาหาร ดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำ จิตของเธอจะต้องรวบรวมพลังจดจ่ออยู่
กับคำว่า " ไม่ใช่ " นี้ สักวันหนึ่งที่ดอกไม้แห่งจิตจะเบิกบานออก และเธอจะได้
เห็นหนทางแห่ง " อิสรภาพ " อันยิ่งใหญ่เปิดโล่งอยู่เบื้องหน้า
เมื่อนั้นเธอจะไม่ถูกลวงให้หลงโดยพระแก่ ๆ กับ กุงอัน ของท่านอีกต่อไป "
ที่ท่านฮวงโปพูดนั้น ไม่ผิดแผกไปจากคำพูดของท่านวูเมนเลย ท่านฮวงโปถือว่า
กุงอัน เป็น อุบาย ที่นำใช้เป็น ปัจจัย เท่านั้น ในขณะที่ท่านพูดถึง
" การถูกลวงให้หลงโดยพระแก่ " คืออาจารย์เจาจูผู้คิด กุงอัน ข้อนี้ขึ้น
ลองมาดูถึงตัวอย่างเรื่อง " ต้นสนในสวน " ซึ่งท่านเจาจูพูดกับศิษย์อีกครั้ง ต้นสน
ที่อยู่ในสวนนั้น เป็นต้นไม้ของบุคคลเพียงสองคน
คือท่านเจาจูและศิษย์ของท่านเท่านั้น เมื่อผู้หนึ่งชี้ไปที่ต้นสนในสวนและพูดกับอีกผู้หนึ่ง
ว่า " จงมองดูต้นสนที่อยู่ในสวนสิ " คราวนี้ลองมาสมมติกันว่า มีวัฏฏะคือวงกลม
ล้อมรอบตัวท่านเจาจูและศิษย์กับต้นสนอยู่ส่วนพวกเราต่างอยู่นอกวงกลม
ท่านเจาจูชี้ให้ศิษย์ดูต้นสนมิได้ชี้ให้เราดู เราเป็นเพียง ผู้ดู ที่ไม่เกี่ยวข้อง เราไม่มีทางรู้้
ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่าง ท่านเจาจูและศิษย์กับต้นสน และปัญหานั้นจะผุดขึ้นมาในตัวเรา
ก็ต่อเมื่อเราได้มีต้นสนของเราเอง
แต่ที่ว่า " ต้นสนของเราเอง " นั้น หมายความถึงอะไร ต้นสนซึ่งอยู่ในวงกลมนี้ี้
จะเป็นของเราก็ต่อเมื่อเราได้เข้าไปอยู่ในวงกลมเสียเอง
เมื่อเรายอมรับเอา กุงอัน มาเป็นของเราเสียเอง เมื่อเราไม่มัวแต่ไปศึกษากุงอันแทนผู้อื่น
กุงอันจะเป็นกุงอันก็ต่อเมื่อมันเป็นของเรา กุงอันของผู้อื่นหาใช่กุงอันไม่ ดังนั้น
ต้นสนของศิษย์ท่านเจาจูก็ไม่ใช่ต้นสนของเรา
เราจะต้องทำให้ต้นสนกลายมาเป็นของเรา และเมื่อกลายมาเป็นของเราแล้ว ก็จะ
" ไม่กลับมาเป็นของคนอื่นอีก " พูดง่าย ๆ ก็คือ " ต้นสนของเรากับของคนอื่น
ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน " ด้วยก็เป็นต้นสนสองต้นที่ " แตกต่างกัน " นั่นเอง
ขั้นแรก เราจะต้องปฏิเสธที่จะเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น จงมองดูต้นสนด้วยตาของเราเอง
ท่านเจาจูอยู่นั่นไง อยู่เบื้องหน้าของเรา และต้นสนก็ขึ้นอยู่ในสวนไม่ห่างไกล
เรากำลังประจันหน้าอยู่กับท่านอาจารย์เจาจู
กำลังประจันหน้าอยู่กับต้นสน เราเห็นต้นสนไหม ถ้าเห็นแล้ว ก็เป็นอันว่ากุงอันนั้นสำเร็จ
จะเป็นต้นสน ต้นมะนาว หรือต้นหลิวก็ไม่สำคัญ อาจจะเป็น ก้อนเมฆ แม่น้ำ
หรือแม้แต่มือที่วางอยู่บนโต๊ะ ถ้า " เห็น " มันละก็ เมื่อนั้น " กุงอัน " ก็สำเร็จผล
ฐิตา:
บางครั้ง อาจารย์เซนก็นำ กุงอัน เก่า ๆ ที่เคยมีอยู่แล้วมาใช้แทนที่จะคิดค้นขึ้นใหม่
นี่มิได้หมายความว่าท่านปล่อยปละละเลย ให้ศิษย์เป็นเพียงผู้ดู
ใช้แต่สติปัญญาของตัวไปพิจารณากุงอันของผู้อื่น อาจารย์เซนต้องการให้กุงอันของเก่า
กลับมาเป็นของใหม่และให้ศิษย์รับเอาไปเป็นของตน
ภิกษุรูปหนึ่งได้ถามอาจารย์เดียนง ูเกียกหวง อาจารย์เซนชาวเวียดนามในสมัยศตวรรษที่ ๑๓
ว่า " อะไรคือการทำเพื่อความก้าวหน้าแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน " ท่านเดียนงูตอบว่า
" คือการ คอนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไว้ ที่ปลายไม้เท้า "
" กุงอันเก่ามีประโยชน์อย่างไร " พระภิกษุรูปนั้นถามขึ้น
" ทุกครั้งที่นำกลับมาใช้ กุงอันก็ใหม่อยู่เสมอ " ท่านเดียนงูยิ้ม
หากว่าผู้ใดไม่อาจเห็นต้นสน ก็เป็นด้วยผู้นั้นไม่อาจทำให้ต้นสน กลายเป็นต้นสนใหม่
หรือต้นสนแห่งสัจจะสำหรับตัวเรา
และเป็นเพราะผู้นั้น มัวแต่ไปพึงใจอยู่กับการค้นหา มองหาต้นสนของคนอื่น
หลังจากที่ท่านเจาจูได้มรณภาพแล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ไปเล่าเรียนศึกษากับศิษย์
ผู้สำเร็จของท่านเจาจู
" อาจารย์เจาจู ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับต้นสนบ้างหรือไม่ "
ภิกษุรูปนั้นถามขึ้น
" หามิได้ อาจารย์มิได้พูดอะไรเกี่ยวกับต้นสนเลย " ศิษย์สำเร็จตอบ
แต่กุงอันเรื่องต้นสนนี้เป็นี่รู้จักกันโดยทั่วไป ทุกคนในวงการเซนพูดกันถึงต้นสนนี้ทั้งนั้น
เหตุใดศิษย์ของอาจารย์เจาจูจึงปฏิเสธความจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปเล่า
ดังนั้น ภิกษุรูปนี้จึง รบเร้า ต่อไป
" ทุกผู้คนต่างรู้อยู่แก่ใจว่า อาจารย์ของท่านได้ตั้งกุงอันเรื่องต้นสนขึ้น เหตุใดท่าน
จึงปฏิเสธด้วยเล่า "
" อาจารย์ไม่เคยตั้งกุงอันเช่นนั้นขึ้นเลย เธอควรจะหยุดสบประมาทท่านได้แล้ว "
ศิษย์ท่านเจาจูตอบอย่างเฉื่อยชา
เป็นที่น่าประหลาดใจว่า เหตุใดศิษย์ผู้สำเร็จของอาจารย์เจาจูจึงทำเช่นนั้น
คำตอบง่ายแสนง่าย คือ " ต้นสนมิอาจแลเห็นได้ " ด้วย รูปนั้น อยู่นอกวงกลม
มาบัดนี้สิ พระกลับมาแลหาต้นสนซึ่งได้ตายไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็
" ฆ่า " ต้นสนนั้น
ให้ตายไปเสียดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงคำนินทาว่าร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้
คำตอบของศิษย์อาจารย์เจาจูได้กลายเป็นกุงอันใหม่ อันอาจทำให้ใคร ๆ
อาจแลเห็นต้นสนต้นมหึมาผุดตระหง่านขึ้นมา
ซึ่งจะกลายเป็นพลังแห่งชีวิตใหม่ แต่ไม่ว่าจะมีผู้แลเห็นหรือแลไม่เห็น
ต้นสนใหม่ก็ตาม ต้นสนเก่าของอาจารย์เจาจูก็ยังคงไร้ประโยชน์อยู่เช่นเดิม
หาจำเป็นต้อง เกี่ยวพัน ไปถึงไม่
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version