แสงธรรมนำใจ > จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก
Back To Spirit : จิตวิญญาณใหม่ในโลกใบเดิม
มดเอ๊กซ:
Osho กับ ห้องปฏิบัติการพัฒนามนุษย์คุณภาพใหม่
เจ้าหน้าที่ของโอโชยืนยันและอ้างว่า Osho International Meditation Resort เป็นรีสอร์ทแห่งจิตวิญญาณเพียงแห่งเดียวในโลก และไม่มีที่ใดที่คุณจะได้รับพลังแห่งการตื่นรู้เท่ากับการได้มาฝึก Active Meditation ที่นี่ ซึ่งเป็นการปฏิบัติสมาธิในรูปแบบใหม่ที่ถูกคิดค้น ขึ้นโดยท่านโอโช หนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณที่ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20
บนเนื้อที่ 40 เอเคอร์ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ แมกไม้ และสายน้ำ การจัดภูมิทัศน์เน้นความสมดุลระหว่างพื่นที่ว่างและสวนสไตน์เซน มีคนเคยเปรียบที่นี่ไว้ว่าเป็น Paradise on Earth อาคารที่นี่ถูกออกแบบเพื่อให้มันมีผลต่อการพัฒนาสมาธิโดยตรง โดยใช้รูปแบบของพีรามิด ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนผืนน้ำ
ในแต่ละวันจะมีเทคนิคของการฝึก Active Meditation แตกต่างกันไปในแต่ละชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบและพัฒนาโดยท่านโอโช เช่น Dynamic Meditation สมาธิที่มีพลวัต เคลื่อนไหว สามารถเข้ากับคนทุกเพศทุกวัย หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านสมาธิ นอกจากนั้น Wheeling Meditation แบบ Sufism ก็ถูกนำมาปรับใช้ให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างสภาวะการตระหนักรู้แห่งตน
โอโชได้รับการขนานนามว่า เขาเป็น ' บุรุษผู้อันตราย ' ภายหลังการมาของพระเยซู แต่โอโชเรียกตัวเองว่า เขาเป็น ' True existentialist ' และเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ
นอกจากนั้นโอโชก็เคยถูกเรียกขนานว่า เขาเป็น ' Sex Guru ' เนื่องจากท่านหยิบเอา ' ตันตระ ' ออกมาสอนผู้คนโดยเฉพาะในเรื่อง ที่เกี่ยวกับเซกส์ และตีความกามารมณ์ใหม่ให้เห็นมิติแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งคนภายนอกที่ไม่เคยได้รับรู้ว่าโอโชสอนอะไร ก็คิดตีความไปใน เรื่องกามารมณ์ตามแบบที่เคยได้รับรู้มา
ช่วงปี 1970 เป็นช่วงที่โอโชย้ายจากอเมริกากลับมาอินเดีย ครั้งนั้นลูกศิษย์ลูกหาของท่านมากมายก็ติดตามท่านมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปูเณ่แห่งนี้ และตั้งโอโช คอมมูน ขึ้นมา นับเนื่องตั้งแต่ห้วงเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน ทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกที่คลั่งไคล้และศรัทธาในคำสอนของ ท่านก็ยังคงเดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปูเณ่แห่งนี้ทุกปี
แม้ว่าวันนี้โอโชจะไม่อยู่ในร่างเดิมแล้ว แต่เสียงแห่งคำสอนท่านก็ยังดังกังวาลอยู่ในห้องประชุมใหญ่ทุกวันในเวลา 8 นาฬิกาตรง ปัจจุบันมีผู้คนกว่า 20 , 000 คนจากทั่วทุกมุมโลก ยังคงเลือกให้ Osho
International Meditation Resort แห่งเมืองปูเณ่ รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย เป็นที่เยียวยาและพัฒนาทางจิตวิญญาณของตน
มดเอ๊กซ:
Hare Krishna ขวัญใจฮิปปี้
ในยุค 60 - 70 เราอาจเคยเห็นภาพชาวตะวันตกใส่เสื้อแขกตัวยาว นุ่งผ้าคล้ายโจงกระเบนสีเหลือง ส่วนผู้หญิงนุ่งส่าหรี ตีกลอง เต้น และร้อง " Hare Krishna Hare Krishna Hare ... " ไปบนถนน หรือไม่ก็กลุ่มคนที่โกนผมหมดแต่ไว้ปอยผมไว้หนึ่งปอยอยู่บนขวัญ
หากเห็นสัญลักษณ์เหล่านี้แล้ว แน่ใจได้เลยว่าพวกเขาเหล่านี้คือ กลุ่ม Hare Krishna คนไทยเราเองก็อาจจะเคยเห็นภาพเหล่านี้สอดแทรก อยู่ในภาพยนต์ที่พูดถึงฮิปปี้ในยุค 60
International Society For Krishna Consciousness ( ISKCON ) หรือที่รู้จักกันดีว่า กลุ่ม Hare Krishna ก่อตั้งขึ้นในตะวันตก เมื่อปี 1966 ที่เมืองนิวยอร์ค โดยท่านคุรุ Srila Prabhupada ซึ่งเป็นทีรู้จักดีของชาวตะวันตก และท่านเป็นผู้หนึ่งที่แปลคัมภีร์ภควคีตาออกมาเป็น ภาษาอังกฤษ
กลุ่ม ISKCON เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มศาสนาใหม่ โดยมีปรัชญาคำสอนตั้งอยู่บนพื้นฐานของคัมภีร์ภควคีตา และเป็นการฝึกโยคะ ในสายลัทธิภักดีโยคะ หรือที่คนไทยเรียกว่าลัทธิภักดี นับถือต่อพระกฤษณะซึ่งเป็นองค์อวตารของพระวิษณุ
ในการฝึกปฏิบัติสมาธิ คนกลุ่มนี้จะร้องท่องคำมันตระ เพื่อให้ดำดิ่งสู่สภาวะอันล้ำลึกแห่งจิตวิญญาณ อันนำไปสู่สภาวะการตระหนักรู้ และสัมผัสสภาวะแห่งพระเจ้า โดยจะร้องมหามันตระนี้ว่า ... " Hare Krishna Hare Krishna Krishna Krishna Hare Hare Hare Rama Hare Rama Rama Rama Hare Hare "
เพลง Hare Krishna เคยติดอันดับท็อปเท็นของฝั่งอังกฤษมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นเพลงที่ร้องกันในกลุ่มฮิปปี้ ทั้ง ๆ ที่รูปแบบ และหลักการของการเข้ามาเป็นผู้ติดตามในกลุ่ม Hare Krishna นั้น แตกต่างกับรูปแบบชีวิตของฮิปปี้อย่างสิ้นเชิง
ผู้ที่จะเข้ามาใช้ชีวิตในทางจิตวิญญาณในกลุ่มชอง ISCKON จะต้องปฏิบัติตามที่ท่าน Srila Prabhupada ระบุไว้อย่างเคร่งครัดนั่นก็คือ ห้ามกินเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ ห้ามประพฤติผิดในกามารมณ์ และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ห้ามเล่นการพนัน และข้อสุดท้ายคือห้ามสิ่ง เสพติดทุกชนิด ไม่ว่ากัญชา สุรา บุหรี่ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่มีคาเฟอีน
ปัจจุบันมีเครือข่ายของกลุ่ม ISKCON กระจายอยู่ทั่วโลก มีกิจกรรมร่วมกันทั้งร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรือนั่งสมาธิร่วมกัน นอกจากนั้นก็ยังมีการสร้างโรงเรียน ร้านอาหาร และฟาร์ม เพราะวัดของกลุ่ม ISKCON เป็นโรงทานแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ขัดสน
หลายมหาวิทยาลัยในตะวันตกมีการเรียนสอนวิชา Krishnology แต่ภาพอีกด้านหนึ่งของกลุ่ม Hare Krishna และผู้นำอย่าง Prabhupada ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายทั้งในสังคมตะวันตก ในประเทศอินเดียและสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับแนวทางพฤติกรรมของผู้นำและองค์กร
มดเอ๊กซ:
Satya Sai BaBa นักมายากล หรือ บุคคลผู้บรรลุ
สัตยา ไส บาบา เป็นคุรุหรือ ' กูรู ' อีกคนหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดี
ภาพประทับใจที่คนนึกถึงไส บาบามักเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร หรือปาฏิหาริย์ประเภทคว้าให้กลายเป็นทองคำ หรือไม่ก็เสกให้ มีขี้ธูปออกมาจากแจกันเปล่าได้ แต่ละครั้งที่ไส บาบาปรากฏตัวจะมีคนมากมายรายล้อมรอชมปาฏิหาริย์ จนทางการอินเดียต้องสั่งให้ไส บาบาหยุด
ไส บาบา กล่าวว่าตนเป็นองค์อวตารของไส บาบา แห่งเมืองชรีดี ( Shridi ) ซึ่งถือเป็นคุรุที่ชาวอินเดียให้ความนับถืออย่างมาก รถยนต์แทบทุกคันจะติดภาพของไส บาบาไว้ที่หน้ากระจกรถเพื่อเป็นสิริมงคลต่อรถและชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไส บาบาสอนก็เน้นย้ำ การไม่แบ่งแยกศาสนา พูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความรักที่ไม่มีขีดจำกัด
" การมาของท่านนั้นไม่ได้มาเพื่อจะรบกวน หรือทำลายความศรัทธาใด ๆ แต่มาเพื่อยืนยันความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละท่าน ซึ่งคริสเตียนก็จะเป็นคริสเตียนที่ดี และมุสลิมก็จะเป็นมุสลิมที่ดี และฮินดูก็จะเป็นฮินดูที่ดี " สานุศิษย์ของไส บาบา ยืนยัน
ทุกวันนี้ Prasanthi Nilayam แห่งเมืองพุทธปาตี แห่งรัฐอันธรประเทศ ทางใต้ของประเทศอินเดีย ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศ และทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงวันเกิดของไส บาบาในเดือนพฤศจิกายน เราจะเห็นผู้คนแห่แหนเข้าไปที่อาศรม คนเหล่านั้นต่างขับร้องเพลง เพื่อบูชาและสรรเสริญไส บาบา
แต่พ้นไปจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แล้ว ว่ากันว่าคำสอน แนวปฏิบัติ รวมถึงสิ่งที่ไส บาบาทำให้กับสังคมล้วนเกาะเกี่ยวกับเรื่องราวแห่ง สติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นธรรมะที่เผยแผ่ โรงเรียนที่สร้าง รูปแบบการศึกษาผสานกับสมาธิ คุณธรรมที่เน้นย้ำ โรงพยาบาล บ้านพักของคนไร้ที่อยู่
ไม่เพียงที่อินเดียเท่านั้น องค์กรสัตยาไส และโรงเรียนสัตยาไส ยังเผยแผ่ไปทั่วโลก แม้กระทั่งในเมืองไทยโรงเรียนสัตยาไสของ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ก็เป็นส่วนหนึ่งดำเนินตามแนวคิดนี้
มีคนเคยถามต่อหน้าว่า แท้จริงแล้วสัตยา ไส บาบาเป็นใคร ท่านตอบว่า " ฉันคือพระเจ้า และคุณคือพระเจ้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างกัน ระหว่างคุณกับฉัน นั่นคือ ขณะที่ฉันตระหนักรู้กับมัน แต่คุณกลับไม่ตระหนักรู้อะไรเลย "
คำสอนของสัตยา ไส บาบา เน้นถึงหนทางที่นำไปสู่ความหมายของชีวิต 5 ข้อ อันได้แก่ สัจจะ การมีธรรมะ มีสันติ มีความรัก และยึดหลักอหิงสา ขณะเดียวกันก็ให้รักพระเจ้า เกรงกลัวต่อบาป และรับผิดชอบต่อสังคม
มดเอ๊กซ:
การแสวงหาจิตวิญญาณใหม่
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกได้ประมาณการเอาไว้ว่า ภายในอีก 100 ปีข้างหน้า หรือราวปี ค.ศ. 2100 สงครามระหว่าง ' มนุษย์ ' และ ' ธรรมชาติ ' จะดำเนินไปสู่จุดแตกหัก ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่สะสมในชั้นบรรยากาศจนกลายเป็นผ้าห่มผืนหนา ห่อหุ่มโลก ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงจนโลกใบนี้ไม่เหมาะที่จะให้มนุษย์อยู่อาศัย อีกต่อไปนั้น ... ว่าที่จริงแล้ว ก็เป็นคำทำนายบนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างใจเย็นพอสมควร
ตลอดฤดูร้อนปีนี้ ทั่วทั้งโลกต่างพร้อมใจกันพูดถึงประเด็นโลกร้อนในฐานะวาระเร่งด่วนที่พลเมืองโลกจำเป็นต้องรับมือร่วมกันอย่าง พร้อมเพรียง ... สังคมไทยเองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าปฏิกิริยาสังคมเราอาจมีลักษณะเฉพาะเป็นแบบฉบับของเราเอง
นอกเหนือจากความพยายามทำให้ประเด็นโลกร้อนเป็นเรื่อง ' ง่าย ' โดยหดเหลือแค่ภาวะน้ำท่วมโลกเฉียบพลัน จนประเทศไทยต้องเปลี่ยน แผนที่ใหม่ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามที่สื่อโทรทัศน์หลายแห่งเสนอไปนั้น เอกสารคำทำนายเกี่ยวกับสภาพสังคม ดินฟ้าอากาศ ภาพจำลองแผนที่ใหม่ของประเทศไทย ทั้งที่ถ่ายเอกสารและฟอร์เวิร์ดเมลส่งต่อกันเป็นทอด ๆ หลายแหล่งหลายที่มาหลายสำนวนภาษา ในหมู่ชนชั้นกลางนั้น แม้นว่า ' ที่มา ' ของคำทำนายสภาพความวิบัติทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่จะอิงอยู่กับสำนวนและถ้อยคำในร่มเงาของ ' ศาสนา ' แต่ก็ดูเหมือนว่า ปฏิกิริยาความตื่นตระหนกดังกล่าว อาจไม่ได้มีคำอธิบายถึง ' เหตุปัจจัย ' ของความวิบัติดังที่กลัว ๆ กันมากนัก ยกตัวอย่างเช่น ...
" ดูกร อานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
" เริ่มแต่เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงเลย 2 , 500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามจากทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยาก ยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ้งสู่หายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ .... ในระยะนั้น ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง ...
" ดูกร อานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาตตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตัวเอง ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีล 5 ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคต ให้มั่นคงจึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล ... "
แม้นว่าความตื่นตระหนกดังกล่าวจะไม่ได้ให้คำอธิบายถึงเหตุผลปัจจัยใด ๆ มากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด เนื้อหาหลายส่วนของ ' คำทำนายเชิงภัยพิบัติ ' เหล่านี้ก็สอดรับกับอารมณ์ความรู้สึกและความกลัวลึก ๆ ของผู้คน ซึ่งนานวันเข้าก็ยิ่งต้องยอมรับสภาพว่าปริมาณ ความถี่และระดับความรุนแรงของภัยธรรมชาตินั้น ยิ่งมีระดับทำลายล้างสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเตรียมใจยอมรับล่วงหน้าว่าเมื่อจะไม่มี ประเทศใด ๆ บนโลกแม้แต่ประเทศเดียว ที่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างแข็งแรงแน่นหนาเพียงพอที่จะ รับมือกับเภทภัยครั้งนี้ ... อย่าว่าแต่ในบางประเทศที่สถาบันค้ำยันสังคมเกือบทุกสถาบัน ต่างก็หักโค่นไปล่วงหน้าเกือบหมดแล้ว
และถึงแม้นว่าสภาพความอลหม่านที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะดำเนินไปโดยไม่ได้มีองค์ความรู้ใด ๆ รองรับ แต่ภายใต้ข้อเท็จจริงเดียวกันนั้น ก็ได้นำมาสู่ความพยายามที่จะไขปัญหาลึกลับทั้งจากฟากนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามหาคำอธิบายใหม่ ๆ ให้พ้นไปจากกรอบความคิด เชิงกลไกแบบนิวตัน ทั้งจากฟากศาสนาที่พยายามแสวงหารูปแบบใหม่ ๆ เพื่อที่จะเข้าถึงเนื้อหาดั้งเดิมของจิตวิญญาณไม่ว่าจะผลิตออกมา ในชื่อเรียกใดก็ตาม จนกระทั่งกลายเป็นข้อสรุปในหมู่นักวิทยาศาสตร์ช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาแล้วว่า ความรู้ความเข้าใจต่อธรรมชาติ ของจิตวิญญาณ เป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่วิทยาศาสตร์กำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ท้าทายและก้าวหน้าในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เพียงความรู้เชิงประจักษ์ภายใต้กรอบของสสารและเหตุผล แต่มันเป็น ความพยายามคลี่ปมปริศนาลึกลับที่แฝงอยู่ในตัวตนของมนุษย์ สรรพชีวิต โลก และจักรวาล ประเด็นทำนองนี้นักฟิสิกส์คนดังอย่าง ฟริตจอฟ คาปรา ได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ปี 1975 แล้วว่า แบบแผนต่าง ๆ เท่าที่มีอยู่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา หรือสังคม หากยังไม่มีการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ให้ทันเวลา หรือยังเดินหน้าไปภายใต้ทัศนคติที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ยุคเก่า ภายในไม่เกินปี ค.ศ. 2030 ระบบทั้งปวงที่มีอยู่จะเดินไปสู่ความอับจน โดยมีความเสื่อมสลายของโลกเป็นผลลัพธ์ตกค้าง
กระบวนทัศน์เก่าที่นักฟิสิกส์อย่างคาปรากล่าวถึงไว้นั้น เดวิด ซี. คอร์เทน ผู้เขียนหนังสือ โลกหลังยุคบรรษัท ( The Post - Coperate World ) ขยายความถึงความเชื่อเก่าแก่ทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบงำสังคมตะวันตกและโลกมาตลอด 300 ปีไว้ว่า
" จักรวาลมีลักษณะคล้ายลานนาฬิกายักษ์ที่นายช่างผู้สร้างได้ไขลานไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นก็ปล่อยให้มันหมุนเดินไปเรื่อย ๆ เรากำลังอยู่ใน จักรวาลที่ตายแล้วและสูญเปล่า สสารคือความจริงเพียงสิ่งเดียว จิตสำนึกเป็นเพียงภาพลวงตา ชีวิตเป็นเพียงผลลัพธ์ทางการผ่าเหล่าทาง พันธุกรรมจากความซับซ้อนของวัตถุ ... ในการต่อสู้แข่งขันผู้ที่เหมาะสมกว่าจะอยู่รอดรุ่งเรือง ส่วนผู้อ่อนแอกว่าต้องสูญสิ้นไป ... มนุษย์เป็นเพียงเครื่องจักรที่ซับซ้อนที่สุด เราไม่อาจคาดหวังให้มนุษย์เป็นอะไร หรือกลายเป็นอะไรได้มากกว่าสัตว์ร้ายที่โหดเหี้ยม "
แน่นอนว่า หลักคิดครอบงำอันโหดเหี้ยมซึ่งวิวัฒน์มาเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายทฤษฎี โดยที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงมันตรง ๆ นี้ ถูกนักวิทยาศาสตร์ยุคหลังหักล้างอย่างย่อยยับ เดวิด โบห์ม นักฟิสิกส์แห่งมหาวัทยาลัยลอนดอน มีชื่อเสียงจากการค้นพบสมมติฐาน เสนอเป็นภาพจำลองจักรวาลที่แตกต่างไปจากจักรวาลของนิวตันอย่างสิ้นเชิง จักรวาลของโบห์มไม่ใช่ ' นาฬิกาที่ถูกไขลานให้เดิน อย่างไร้จุดหมาย ' ตรงกันข้าม โบห์มค้นพบพลังงานบางอย่างที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ความเคลื่อนไหวนั้นเกี่ยวโยงอย่างมีนัยสำคัญกับ ความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งจนไม่อาจแยกส่วนออกเป็นชิ้นย่อย ๆ
ดานาห์ โซฮาร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาดและเอ็มไอที ผู้วิจัยเรื่อง ' Quantum Model of Consciousness ' อธิบายปรากฏการณ์บิ๊กแบงว่า มันไม่ได้เป็นเพียงการก่อรูปและเปิดฉากให้สสารปรากฏขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีเบื้องหลังที่ไม่ได้ปรากฏตัวในรูปแบบของสสารเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วย สิ่ง ๆ นั้นอาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน บ้างก็เรียกว่าจิตจักรวาล หรือถ้ายึดตามคำบอกเล่าทางศาสนา สิ่ง ๆ นั้นก็อาจมีสภาพไม่ต่างจาก ... พระผู้เป็นเจ้า
ข้อเสนอและการค้นพบเหล่านี้ ขยายพรมแดนจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า ' การเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ในศตวรรษที่ 21 ' แทนที่ความรู้และกระบวนทัศน์เดิมที่สืบขนบต่อเนื่องกันมา 300 กว่าปี ความเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้เองที่อาจจะทำให้คำถาม ความสับสน หรือสภาพไร้อารยธรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ถูกหักโค่น แล้วต้องหวนกลับ ไปสู่การใช้เครื่องมือเดิมที่เรียกที่เรียกว่าศาสนาเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณใหม่
- คัดบางส่วนจากนิตยาสาร Way ฉบับ BACK TO SPIRIT -
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: ขอบคุณครับพี่มด ธรรมะอวยพรครับ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version