ล่องกระแสธรรม ให้เรามารู้จักการประคองชีวิตและรักษาจิตใจบนทางสายกลาง ทางสายกลางนี้เราเคยเรียนมาแล้วว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เริ่มตั้งแต่สัมมาทิฐิไปจนถึงสัมมาสมาธิ อันนี้เป็นทางสายกลางในแง่วิถีชีวิต ในระดับจิตใจก็เช่นกัน การบำเพ็ญทางจิตจะได้ผลก็ต้องรู้จักประคองจิตให้อยู่บนทางสายกลางด้วย เริ่มตั้งแต่การรักษาความเพียรให้อยู่แต่พอดี ถ้ามีความเพียรมากไปโดยเฉพาะความเพียรที่เกิดจากความอยากได้อยากจะมีหรืออยากเป็น ก็จะทำให้การปฏิบัตินั้นพลาดจากทางสายกลางได้
การรักษาความเพียรอย่างพอดีนั้นเรามักพูดว่าเป็นทางสายกลาง อันนี้พูดแบบไม่เคร่งครัด หรือพูดแบบชาวบ้าน แต่ความจริงแล้วเรามีคำหนึ่งที่ใช้เรียกการมีความเพียรอย่างพอดี นั่นคือ วิริยสมตา คำนี้ไม่ได้ตรงกับคำว่า ทางสายกลาง แต่คนทั่วไปถือว่า ถ้ามีความเพียรอย่างพอดี ก็เรียกว่าเป็นทางสายกลาง อย่างไรก็ตาม ความเพียรอย่างพอดีก็จำเป็นสำหรับการปฏิบัติของเราด้วย ถ้าหากว่าเรามีความเพียรแต่พอดีไม่ย่อหย่อนเกินไปและไม่โหมทำเกินไป ก็เป็นโอกาสให้เราเกิดความรู้ตัวได้มากขึ้น
อย่างที่บอกไว้แล้วว่าถ้าทำด้วยความตั้งใจมาก เวลาทำไปก็เครียดไป ทำไปก็ทุกข์ไป เพราะใจไม่เป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการ ใจของเรามันเก่งในเรื่องการคิดฟุ้งซ่านมาเป็นสิบ ๆ ปี จะให้มันเป็นไปตามใจเราคือ สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นไปได้ยาก ถ้าทำด้วยความอยาก ผลก็เกิดขึ้นได้ยาก อาจจะถอยหลังหรือมีความทุกข์มากกว่าตอนที่ไม่ได้ปฏิบัติด้วยซ้ำ แต่ถ้าย่อหย่อนเกินไปมันก็ไม่เกิดผลเช่นเดียวกัน
ทีนี้ทางสายกลางหมายถึงอะไร ทางสายกลางในการเจริญสติก็คือการรักษาใจให้เป็นปกติ ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ไม่ว่าน่าพึงพอใจหรือไม่น่าพึงพอใจก็ตาม ประสบกับสุขเวทนาก็ไม่เพลิดเพลินยินดี ประสบกับทุกขเวทนาก็ไม่ขุ่นข้องหมองใจ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการรักษาใจให้อยู่บนทางสายกลาง ไม่เอียงไปทางสุดโต่งสองข้าง
ทางสุดโต่งอันแรกก็คือความเพลิดเพลินในกามหรืออารมณ์ที่น่ายินดี ซึ่งไม่ได้หมายความแค่การเที่ยวกลางคืน หรือหมกมุ่นอบายมุขเท่านั้น แม้การหวนนึกไปถึงอดีตที่น่าประทับใจ แล้วเคลิบเคลิ้มยินดี หรือมีลมเย็น ๆ มากระทบ ก็เพลินในสุขเวทนาที่เกิดขึ้น นี่ถือว่าเป็นการเพลิดเพลินในกามได้เหมือนกัน
ทางสุดโต่งอีกอันหนึ่งคือการไปข้องแวะหมกมุ่นอยู่ในความทุกข์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการทรมานตน การทรมานตนไม่ได้หมายความถึงการนอนบนหนาม เอาหัวฝังอยู่ในดินหรือการอดอาหารจนผอมแห้งเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการการหมกมุ่นจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ หมกใจให้อยู่ในอารมณ์ที่เศร้าหมอง ปล่อยให้ความโกรธเกลียดเผาลนจิตใจ อารมณ์เหล่านี้มันมีรสชาตินะ พอเราจมเข้าไปในอารมณ์เหล่านี้แล้วใจไม่อยากจะออกมา หมุนวนอยู่ในความทุกข์ นั่งก็คิด นอนก็คิด อาบน้ำก็คิด กินข้าวก็คิด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคิดไปก็ทุกข์แต่ไม่อยากสลัดมันไปเพราะมันมีรสชาติ อันนี้ก็เรียกว่าการทรมานตนอีกแบบหนึ่ง
ทางสายกลางคือการที่เราไม่เข้าไปข้องแวะ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา ไม่คลอเคลียอยู่กับอารมณ์ที่น่าเพลิดเพลินยินดี หรือจมติดอยู่ในอารมณ์ที่ชวนหดหู่เศร้าหมอง การรักษาจิตให้เป็นปกติไม่ยินดียินร้าย ไม่ฟูแฟบไปตามอารมณ์ที่มากระทบ นี้แหละคือทางสายกลางที่ละเอียดลงไปในระดับจิตใจ
ถ้าเราไม่มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ ก็จะเวียนเข้าไปในทางสุดโต่งอยู่เสมอ อย่าไปนึกว่าทางสุดโต่งเป็นเรื่องของคนอื่นที่ไม่ใช่เรา เป็นเรื่องของคนที่เที่ยวเตร่เมาหัวราน้ำ หรือเป็นเรื่องของฤาษีชีไพรที่ทรมานตน อันนั้นไม่ใช่ เราก็อาจจะข้องแวะกับทางสุดโต่งได้ตลอดเวลา หากไม่มีสติรักษาใจ
สติรักษาใจให้เป็นปกติได้เพราะช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์ที่มากระทบ ทำให้ไม่ถูกมันครอบงำ และดังนั้นจึงทำให้จิตตั้งอยู่ในความปกติ และดิ่งสู่ความสงบ อย่างที่ได้เคยพูดไว้แล้วว่าจิตของเรานั้นมีศูนย์ดิ่งอยู่ที่ความสงบ แต่มันลงไปถึงความสงบลงไปไม่ได้เพราะว่ามีอวิชชาอุปาทานเข้าไปเหนี่ยวรั้งเอาไว้ เหมือนกับสาหร่ายหรือรากไม้ที่ยึดก้อนหินก้อนกรวดไม่ให้จมดิ่งลงสู่พื้นน้ำ ถ้าเรามีสติรู้ทันสิ่งที่มากระทบและอารมณ์ที่เกิดขึ้น นิวรณ์ต่าง ๆ ที่คอยเหนี่ยวรั้งจิตเอาไว้ไม่ให้เป็นสมาธิ ก็จะมีน้อยลง ๆ ในที่สุดความสงบก็เกิดขึ้น เป็นความสงบที่ไม่ต้องปิดหูปิดตาหรือว่าขังตัวเองอยู่ในป่า เป็นความสงบที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คน
คนทั่วไปมักเข้าใจว่าความสงบจะเกิดขึ้นได้ต้องปลีกตัวไปอยู่ในที่เงียบ ๆ หรือเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ต้องรับรู้อะไรเลย อันนี้ก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะความสงบที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจ ในสมัยพุทธกาลเคยมีพราหมณ์คนหนึ่งสอนผู้คนว่า อย่าดูรูปทางตา อย่าฟังเสียงทางหู อย่ารับรสทางลิ้น ฯลฯ พระพุทธเจ้าจึงท้วงติงว่าการทำอย่างนั้น ก็ไม่ต่างจากคนตาบอด หูหนวก เราสามารถที่จะรับรู้ เปิดหูเปิดตาและเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกอย่างถูกต้อง และทำหน้าที่ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันโดยที่ใจยังสงบอยู่ได้นั่นเป็นเพราะเรามีสติ สามารถสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปห้ามจิตไม่ให้คิด หรือไปกดความคิดเอาไว้ เพียงแต่เรารู้ทันสิ่งที่มากระทบ
คราวนี้เมื่อความสงบเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเข้าใจว่านั่นไม่ใช่เป็นจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติในพุทธศาสนา ความสงบนั้นเป็นเพียงแค่รางวัลหรือผลพลอยได้ขั้นต้นของการปฏิบัติ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการเห็นแจ้งในสัจธรรมหรือความจริง จนจิตหลุดพ้นจากความยึดติดทั้งปวง จิตที่สงบมีประโยชน์ตรงนี้เพราะช่วยให้เราเห็นความจริงได้ชัดเจนขึ้น จิตที่สงบจากนิวรณ์ทำให้เราได้เห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเราชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะตัวตนที่เราหลงปรุงแต่งและยึดมั่นถือมั่นว่ามีจริง
พระพุทธเจ้าเปรียบใจของเราเหมือนกับผิวน้ำ ถ้าผิวน้ำเรียบเราก็สามารถส่องมองดูหน้าของตัวเองได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าจิตมีนิวรณ์ก็เหมือนกับผิวน้ำที่ไม่เรียบ ทำให้ไม่สามารถที่จะส่องดูหน้าของตัวเอง อย่างเช่นจิตที่มีกามราคะท่านก็เปรียบเหมือนกับน้ำที่มีสีขมิ้นและสีต่าง ๆ มาปะปน ทำให้เห็นไม่ชัดเจน จิตที่มีปฏิฆะหรือความขุ่นข้องเปรียบเหมือนกับน้ำซึ่งเดือดเป็นไอ จิตที่มีถีนมิทธะเปรียบเหมือนน้ำซึ่งมีสาหร่ายและจอกแหนเต็มไปหมด จิตที่มีวิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยก็เปรียบเหมือนกับน้ำซึ่งขุ่นมัวแถมยังไปตั้งอยู่ในที่มืดด้วย จิตที่มีอุทธัจจกุกกุจจะหรือความฟุ้งซ่านก็เหมือนกัน เปรียบเหมือนกับน้ำซึ่งถูกลมพัดกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
นิวรณ์จึงไม่เพียงเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงความสงบเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เราเห็นตัวเองตามที่เป็นจริงได้ แต่ถ้าจิตสงบแล้วเราจะเริ่มเห็นตัวเองตามที่เป็นจริง ที่จริงถ้าเรารู้จักมอง ตัวนิวรณ์เองก็เป็นอุปกรณ์อย่างดีให้เรารู้จักตัวเองได้ชัดเจนด้วยเหมือนกัน อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองตัวเองอย่างไร ถ้าเรามีสติเฝ้าดูจิตอยู่บ่อย ๆ ก็จะเห็นอาการขึ้นอาการลงของจิต เห็นความแปรผันของความรู้สึกนึกคิด แต่ก่อนไม่ค่อยเห็นความคิด เลยไม่รู้จักความคิด เพราะว่าถูกความคิดครอบงำหรือไม่ก็แล่นไปตามความคิด ถูกความคิดลากลู่ถูกังไป เวลาโกรธใครก็คิดแต่จะด่าเขาหรือทำร้ายเขา ก็เลยมองไม่เห็นความโกรธ เวลาง่วงก็ซึมไปตามความง่วง ไม่ได้เห็นความง่วง เลยไม่เห็นจิตของตัวเองอย่างชัดเจน
แต่ถ้าเรามีสติเฝ้าดูจิตอยู่เป็นนิจ ก็จะเห็นลักษณะอาการและธรรมชาติของจิต เห็นอาการขึ้นลงแปรปรวนไปตามสิ่งเร้า เราก็จะเห็นชัดเจนว่าจิตนี้ไม่เที่ยง พอเห็นความไม่เที่ยงได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เราก็เริ่มตระหนักว่าไม่สามารถที่จะยึดมั่นถือมั่น
ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นได้ บางครั้งเรามีความคิดที่รู้สึกว่าหลักแหลมมาก ยอดเยี่ยมจริง ๆ เราจึงเอาเป็นเอาตายกับความคิดนั้น ใครจะมาแย้งใครจะมาขัดเราไม่ยอม ต้องถกเถียงอย่างเอาเป็นเอาตาย บางทีก็ถึงกับทะเลาะวิวาทกับใครต่อใครเพราะว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของเรา แต่แล้วผ่านไปวันสองวันเราอาจรู้สึกว่าความคิดนี้ชักจะไม่เข้าท่าเสียแล้ว ที่เคยเป็นบ้าเป็นหลังยึดมั่นสำคัญหมายกับมัน ก็เลยคลาย ๆ ไป ได้คิดว่าเราไม่น่าไปเอาเป็นเอาตายกับมันเลย
มันเหมือนกับเด็กที่ก่อปราสาททรายอยู่บนชายหาด เวลาเด็กก่อปราสาทใครจะมายุ่งมาแตะไม่ได้เลย เขาต้องการก่อให้สวยที่สุด เพื่อนจะมาเติมแต่งก็ไม่ยอม บางทีถึงกับทะเลาะกัน เพราะหวงว่านี่ปราสาทของฉัน ใครจะมายุ่งไม่ได้ แต่พอตกเย็นแม่มาเรียกให้กลับบ้านจะพาไปเที่ยว พอรู้ว่ามีของดีกว่ารออยู่ เด็กก็รีบวิ่งกลับบ้าน แต่ก่อนจะกลับบ้านเขาอดไม่ได้ที่จะกระทืบปราสาททรายนั้นให้พังไปเสีย ทั้ง ๆ ที่ตอนกลางวันอุตส่าห์ทะนุถนอมหวงแหนไม่ให้ใครมายุ่ง แต่ตกค่ำก็เหยียบย่ำทำลายมันเสียโดยไม่นึกเสียดายเลย
ความคิดของเราก็อาจเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ทีแรกก็รู้สึกว่ามันช่างวิเศษเหลือเกิน เป็นบ้าเป็นหลังกับมัน แต่สุดท้ายเราก็เปลี่ยนใจ เห็นว่ามันไม่เข้าท่าเสียแล้ว ถึงตรงนี้แหละเราจะเริ่มรู้สึกว่าความคิดความรู้สึกเหล่านี้ มันไม่น่ายึดมั่นถือมั่น จะเอาเป็นเอาตายกับมันไม่ได้เลย เราจะเห็นอย่างนี้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็จะพบว่า ว่ามันเป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เห็นกระทั่งว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเรา แต่ก่อนไม่เห็นเพราะว่าไม่เคยดู ไม่เคยมอง เพราะว่าถูกครอบด้วยอารมณ์ความคิดเหล่านั้น มันก็เหมือนกับเราอยู่ในศาลาหลังนี้ เราไม่เห็นหรอกว่าศาลามันสูงใหญ่อย่างไร จนกว่าจะออกไปนอกเราจึงเห็นศาลานี้ชัดเจน ต้องออกมาข้างนอกจึงจะเห็นได้ชัดขึ้น
ดังนั้นการปล่อยจิตให้เข้าไปในความคิด ทำให้เราไม่เห็นความคิด ทำให้ไม่เห็นจิตใจได้ชัดเจน แต่พอเราออกมา ไม่เข้าไปติดอยู่ในความคิด เพราะว่าจิตมีสติเป็นฐาน ก็จะเห็นความคิด เห็นอารมณ์ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น การที่เราไม่ติดเข้าอยู่ในวังวนแห่งความรู้สึกนึกคิด โดยตัวมันเองก็ทำให้จิตเกิดความสงบแล้ว ทีนี้เมื่อเห็นอารมณ์ความรู้สึกได้ชัดเจน ก็จะทำให้เกิดปัญญาเห็นชัดในความจริงของจิตใจ
การเห็นจิตหรือเห็นตัวเองตามที่เป็นจริงจะทำให้เราเกิดปัญญา เห็นความไม่เที่ยงของจิต เห็นความแปรปรวนของความรู้สึกนึกคิด เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่น่ายึดมั่นสำคัญหมาย การที่จะยึดว่าเป็นเราเป็นของเราก็ค่อย ๆ จางคลายไป เราเห็นอาการเหล่านี้ว่าเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งในจิตของเรา และเรายังเห็นด้วยว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แม้กระทั่งสิ่งที่เราเรียกว่ากิเลสหรืออกุศลจิต มันก็ไม่ได้ยั่งยืนอะไร มาแล้วก็ไป แต่ที่มันดูเหมือนตั้งอยู่นานราวกับเที่ยง ก็เพราะว่าใจของเรานั่นเองที่ไปประคองรักษามันเอาไว้ ไปให้อาหารหรือเพิ่มเชื้อให้กับมัน ด้วยการหลงเข้าไปในอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น มันก็เลยอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี
แต่พอวางระยะจากอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ มีสติเป็นผู้เฝ้าดู จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มาแล้วก็ไป ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันไม่ยั่งยืน ความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นไม่มีวันที่จะอยู่ค้ำฟ้าไปได้ และมันก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลาด้วย เพราะมันไม่ได้เป็นธรรมชาติหรือเนื้อแท้ของจิต เราก็จะเห็นชัดว่า ที่จริงมันเป็นเพียงสิ่งที่จรเข้ามา อาศัยจิตของเราเป็นที่เกิด โดยมีเหตุปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาช่วยให้เกิดขึ้น เหมือนกับเปลวไฟที่อาศัยไม้เป็นที่เกิด เมื่อเอาไม้มาขัดถูกันก็เกิดเปลวไฟขึ้น เปลวไฟมันไม่ได้อยู่ในเนื้อไม้ มันไม่ได้เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของไม้ แต่ว่ามันอาศัยไม้เป็นที่เกิด เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม มันก็เกิดขึ้น ความโกรธ ความทุกข์ ความเศร้า ความเกลียด ความอยาก ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่สิ่งที่สถิตอยู่ในจิต หรือเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของจิต มันเพียงแต่อาศัยจิตเป็นที่เกิด และเมื่อเหตุปัจจัยหมดมันก็ดับไป กิเลสเหล่านี้หรือความทุกข์เหล่านี้มันเป็นเพียงสิ่งที่จรเข้ามา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า จิตของเราเป็นประภัสสรแต่ที่เศร้าหมองไปก็เพราะกิเลสจรเข้ามา เหมือนกับดวงอาทิตย์ซึ่งสว่างอยู่เสมอ แต่ที่มืดไปก็เพราะว่ามีเมฆมาบัง บางทีเงาของโลกหรือเงาของดวงจันทร์นั่นแหละที่ไปบังเอาไว้ การเห็นธรรมชาติของจิตอย่างที่กล่าวมา เราเรียกว่าปัญญา ปัญญาคือความรู้แจ้งในธรรมชาติของจิตใจ นี้คือจุดหมายสำคัญที่สุดของการปฏิบัติ ส่วนความสงบเป็นผลพลอยได้ หรือเป็นปัจจัยที่เอื้อให้เกิดปัญญา
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามาทำสมาธิเพื่อความสงบ แต่ว่าพอสงบแล้วชีวิตจิตใจไม่ได้เปลี่ยนเท่าไหร่เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีทุกข์มากระทบก็ปลดเปลื้องไม่ได้ แต่ถ้าเราหมั่นดูจิตจนกระทั่งเห็นธรรมชาติของมัน ปัญญาก็จะเกิดขึ้น ความยึดมั่นถือมั่นก็จะน้อยลง เราจะปล่อยวางได้มากขึ้น เป็นเพียงแค่ผู้ดู ไม่ไปยึดเอาอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ มาเป็นเรา มาเป็นของเรา แต่ก่อนไม่มีสติก็เลยเผลอไปยึดว่ามันต้องเที่ยง หรือไปยึดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา เลยไปเอาเป็นเอาตายกับมัน แต่ถ้ามีปัญญา เราจะปล่อยวางได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการปล่อยที่ไม่ได้เกิดจากสติเท่านั้น หากยังเป็นผลจากปัญญาด้วย
ที่จริงถ้ามีปัญญาเสียแล้ว ก็ไม่ทันจะยึดถือเสียด้วยซ้ำ แต่ก่อนเคยอุ้มหินโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวและรู้ว่าหินมันหนักก็เลยปล่อย เหมือนกับคนแบกโอ่งน้ำเวลาหนีไฟ ที่จริงน่าจะแบกของที่เบากว่านั้นและมีค่ากว่านั้น แต่เพราะตกใจเลยแบกโอ่ง ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าหนักด้วยซ้ำ ครั้นหายตกใจ ความรู้ตัวมาแทนที่ ก็เลยวางโอ่งทันที เพราะรู้สึกว่าหนัก แต่ว่าถ้าเรามีปัญญาเสียแต่แรกแล้ว เราจะไม่เข้าไปแตะโอ่งเลยด้วยซ้ำ เพราะรู้อยู่ว่าแบกไปก็หนักเปล่า ๆ และรู้ว่ายังว่ามีสิ่งอื่นที่น่าขนหนีไฟมากกว่า
ปัญญาช่วยทำให้เกิดความปลอดโปร่งในจิตใจ ไม่หลงติดกับสิ่งเย้ายวน นี้คือ ความสุขที่เรียกว่าปวิเวกสุข คือความสุขเพราะสงัดจากกาม เป็นสุขเพราะใจปลอดโปร่งจากสิ่งเย้ายวน มันไม่ใช่ว่ารอบตัวไม่มีสิ่งเย้ายวน สิ่งเย้ายวนถึงจะมี แต่ทำอะไรจิตใจไม่ได้ เพราะมีปัญญาเห็นโทษของสิ่งเหล่านั้นว่าถ้ายึดไปแล้วจะเป็นทุกข์ ก็เลยไม่ยึดเอาไว้ เรียกว่ารู้ทันในสิ่งเหล่านั้น
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นศิษย์รุ่นแรก ๆ ของหลวงปู่มั่น คนเป็นอันมากเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ วันหนึ่งมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ว่ามีโกรธไหม หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “มีแต่ไม่เอา” ที่ท่านบอกว่า “ไม่เอา” นี้แหละเป็นสิ่งสำคัญ หลวงปู่ไม่เอาเพราะท่านมีปัญญาแลเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่น่าเอา และเอาไม่ได้ ที่จริงไม่ใช่แค่ความโกรธที่ไม่น่าเอา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันก็ไม่น่าเอาเหมือนกัน แม้กระทั่งสิ่งที่น่าเพลิดเพลินยินดี เพราะว่าไปยึดมันเมื่อไหร่ ก็เตรียมตัวทุกข์ได้เลย เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง
หลวงพ่อชาเปรียบว่าทุกข์คือหัวงู สุขคือหางงู ไปจับหางงูถ้าปล่อยไม่ทันงูมันก็กัดเอา สุขก็เหมือนกันถ้าไปยึดมันเอาไว้ก็เตรียมทุกข์ได้เลยเพราะว่ามันก็ต้องแปรผันไป เมื่อมีคนสรรเสริญแล้วเราเกิดยินดีขึ้นมา ก็เตรียมใจทุกข์ได้เลยเพราะว่าไม่นานสรรเสริญนั้นก็จะหายไป มิหนำอาจจะกลายเป็นคำนินทาต่อว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าสรรเสริญกับนินทามันคู่กัน มีได้มีเสียมันคู่กัน จะมีสิ่งหนึ่งโดยไม่มีอีกสิ่งหนึ่งเป็นไปไม่ได้ นี้เป็นธรรมชาติธรรมดา
ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นธรรมชาติธรรมดาเมื่อไหร่เราก็จะวางใจเป็นปกติได้ แม้ว่ามันจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม เมื่อมีทรัพย์ เราก็รู้ว่าสักวันมันย่อมหมดไป เมื่อมีสุขเราก็ไม่เผลอไปเพลิดเพลิน เพราะเรารู้ว่าไม่นานสุขนั้นก็ผันแปรไป เพราะว่าในสุขก็มีทุกข์แฝงอยู่ ทุกข์นั้นจะแสดงตัวเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น อาหารอร่อย วันแรกที่ได้กินก็รู้สึกอร่อย แต่พอวันที่สอง วันที่สาม ความอร่อยก็เริ่มลดลง ยิ่งถ้ากินทุกวันทุกมื้อ ไม่นานความอร่อยก็แปรเป็นความเบื่อและจากความเบื่อก็กลายเป็นความเอียน อาหารที่อร่อยกลายเป็นอาหารที่น่าเอียนไปในที่สุด จะเรียกว่าในความอร่อยมีความไม่อร่อยแฝงอยู่ก็ได้
ความจริงรสชาติของอาหารก็ยังเหมือนเดิม สูตรก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ใจของเราต่างหากที่เป็นตัวการ ความอร่อยกลายเป็นความเอียนเพราะใจของเรานั่นแหละ เมื่อเจอรสชาติที่ซ้ำซาก สุขเวทนาก็ค่อย ๆ เลือนหาย ทุกขเวทนามาแทนที่ ความสุขเป็นสิ่งไม่เที่ยงก็เพราะเหตุนี้
สิ่งเหล่านี้เราจะเห็นได้ชัดถ้าเรามีสติหมั่นดูใจอยู่บ่อย ๆ เมื่อเห็นแล้วเราจะไม่เผลอ จะระวังไม่ไปยึดหรือยินดียินร้ายกับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เมื่อได้ก็ไม่เพลิดเพลิน เมื่อเสียก็ไม่ทุกข์ระทม เพราะเรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ว่ามันมาแล้วก็ไป มีแล้วก็หมด ได้มาก็ต้องเสียไป เป็นธรรมดา
ที่พูดมานี้เป็นสัจธรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับจิตใจของเราเท่านั้น หากยังเกิดกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วย เมื่อเราชอบพอรักใคร่กับใครสักคน เราก็ระลึกไว้อยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งก็ต้องมีการพลัดพรากสูญเสีย เราเตรียมใจพร้อมตลอดเวลา เราจะไม่เผลอไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าเขาจะอยู่กับเราไปตลอด เพราะเรารู้ว่าความจากกันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกันจริง ๆ ก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจมากเพราะเราก็รู้ว่าเป็นธรรมดาของชีวิต ธรรมดาของโลกเป็นเช่นนั้นเอง เราไม่เผลอไปยึดว่าเขาจะต้องอยู่กับเราหรือเป็นของเราไปตลอด เมื่อไม่เผลอไปยึดตั้งแต่แรกแล้ว พอความผันผวนพลัดพรากเกิดขึ้นก็ไม่ทุกข์
มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า มีครอบครัวหนึ่งเป็นชาวนาแต่ว่าเป็นผู้ที่รู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิต ทุกวันพ่อ ลูกชาย และลูกสาวจะออกไปไถนาแต่เช้า ส่วนแม่กับลูกสะใภ้จะอยู่ทำอาหารที่บ้าน สาย ๆ ลูกสาวจะมาเอาอาหารจากบ้านไปให้คนที่กำลังทำนา วันหนึ่งลูกชายถูกงูกัดถึงแก่ความตาย พ่อรู้ก็วางร่างลูกชายไว้ที่คันนา แล้วไถนาต่อไปโดยไม่ได้แสดงอาการเศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใด แล้วสั่งลูกสาวไปบอกแม่ว่าวันนี้เอาอาหารมาพอกินแค่สองคนเท่านั้น ปกติต้องเตรียมสำหรับสามคน เมื่อลูกสาวไปที่บ้านก็บอกแม่ตามนั้น แม่ก็รู้ทันทีว่าลูกชายตายแล้ว
เมื่อแม่รู้เช่นนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ชวนลูกสะใภ้ซึ่งเป็นเมียของผู้ตาย รวมทั้งคนใช้ให้ไปด้วยกัน เพื่อทำพิธีเผาศพ ระหว่างที่เผาศพนั้น ทั้งห้าไม่ได้มีอาการเศร้าโศกเสียใจเลย พระอินทร์บนสวรรค์เห็นก็แปลกใจ ลงมายังมนุษยโลกและปลอมตัวเป็นพราหมณ์แก่เดินผ่านบริเวณนั้น แล้วถามว่า “พวกท่านเผาศพใคร? ”
พ่อก็บอกว่าคนที่ตายนั้นเป็นลูกชาย พราหมณ์ก็แปลกใจว่า ถามว่าทำไมถึงไม่มีใครเสียใจเลย พ่อก็เลยบอกว่า “ บุตรของข้าพเจ้าละทิ้งร่างกายเหมือนกับงูที่ลอกคราบ เมื่อร่างกายใช้การไม่ได้จึงตายไป เขาถูกเผาก็ไม่รู้ว่าหมู่ญาติร้องไห้คร่ำครวญ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่โศกเศร้าถึงเขา ”
คนเป็นแม่ก็บอกว่า “ บุตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้เชิญมา แต่เขาก็มา ถึงคราวจะไป ข้าพเจ้าไม่ได้อนุญาต แต่เขาก็ไป เขามาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น จะคร่ำครวญไปทำไม เขาถูกเผาก็ไม่รู้ว่าหมู่ญาติร้องไห้คร่ำครวญ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกเสียใจถึงเขา ”
น้องสาวก็บอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าร้องไห้ ร่างกายก็ผ่ายผอม จะมีประโยชน์อะไร พี่ชายของข้าพเจ้าถูกเผา ก็ไม่รู้ว่าหมู่ญาติร้องคร่ำครวญ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา ”
ภรรยาก็บอกว่า “คนที่ร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว เปรียบเหมือนทารกร้องไห้อยากได้ดวงจันทร์ สามีของข้าพเจ้าถูกเผา ก็ไม่รู้ว่าหมู่ญาติร้องไห้คร่ำครวญ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา”
ส่วนคนใช้ก็บอกเหมือนกันว่า “คนที่ร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว ย่อมไร้ประโยชน์ เปรียบเสมือนหม้อน้ำที่แตกแล้วก็ไม่สามารถที่จะประสานให้สนิทได้ดังเดิม นายของข้าพเจ้าถูกเผาก็ไม่รู้ว่าหมู่ญาติร้องไห้คร่ำครวญ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา”
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเราเข้าใจสัจธรรมความจริงของชีวิต เราก็สามารถยอมรับความความพลัดพรากของชีวิตอันเป็นสัจธรรมของโลก สามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสงบสุข นี่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้มีความผูกพันอะไรต่อกัน แต่เป็นความผูกพันที่ยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต
การมีปัญญาประจักษ์แจ้งในสัจธรรมของชีวิต ช่วยให้จิตของเราเกิดความสงบได้อย่างแท้จริง ความทุกข์ไม่สามารถแผ้วพานได้ เพราะความทุกข์ก็เกิดขึ้นจากความยึดติด เมื่อยึดติดแล้วพอมันพลัดพรากสูญหายไปก็เป็นทุกข์ ความยึดติดอยากให้เขาอยู่กับเราไปตลอด หรือความยึดติดถือมั่นว่าสิ่งนี้คือเราเป็นของเรา จะต้องเป็นไปตามใจเรา เมื่อไม่มีความยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งปวงแล้ว ความผันผวนปรวนแปรของสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่สามารถจะทำอะไรเราได้
สิ่งที่เป็นปัญหาไม่ใช่ความผันผวนปรวนแปรหรือความสูญเสีย แต่ได้แก่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นของเราเองว่าทุกอย่างจะต้องอยู่คงที่ไม่มีการพลัดพรากสูญเสีย ปัญหาอยู่ที่ใจของเราเอง ไม่ได้อยู่ที่สิ่งอื่น เหมือนกับเราเดินไปเตะหินหรือไปโดนหนามทิ่มแทง เราจะไปโทษหินหรือหนามไม่ได้เพราะมันอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว เราต่างหากที่เดินไปเตะ เป็นความผิดของเราเองที่ซุ่มซ่าม ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือมีเกิดก็มีดับ มีมาแล้วก็ไป มีสรรเสริญก็มีนินทา เมื่อมีก็หมดได้ นี่เป็นธรรมดา ถ้าเราจะทุกข์ก็เป็นความผิดของเราเอง
การดำเนินชีวิตในโลกนี้เหมือนกับการล่องแพในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เราจะทวนกระแสน้ำก็ไม่ได้ จะลอยไปตามกระแสน้ำอย่างเดียวก็อาจชนหินหรือเกาะแก่ง สิ่งที่ควรทำก็คือว่ารู้จักล่องน้ำโดยระมัดระวังคัดท้ายแพไม่ให้ไปชนหินหรือเกาะแก่ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรู้จักธรรมชาติของกระแสน้ำ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักคัดท้ายแพด้วย ถ้าทำเช่นนั้นได้กระแสน้ำก็จะเป็นประโยชน์ สามารถพาเราไปถึงที่หมายได้
จุดหมายในการเดินทางของคนเรานั้นอาจจะไม่เหมือนกัน แม้จะล่องน้ำสายเดียวกัน แต่บางคนมีจุดหมายสั้น ๆ บางคนมีจุดหมายที่ยาวไกล บางคนขอแค่ความมั่งมีศรีสุข บางคนอยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ แต่บางคนก็ปรารถนาให้เข้าถึงพระนิพพาน จะไปไกล้หรือไกลแค่ไหนก็ตาม ล้วนต้องอาศัยสติ เพราะสติเป็นเหมือนหางเสือ คนที่อยากจะนอนหลับฝันดีไม่มีทุกข์ก็ต้องใช้สติ จะอยู่ในโลกนี้อย่างปลอดภัยไม่ประสบอุบัติเหตุก็ต้องอาศัยสติ จะทำมาหากินให้มั่งคั่งร่ำรวยก็ต้องอาศัยสติ เพราะถ้าไม่มีสติก็อาจหลงเข้าไปในอบายมุขจนหมดเนื้อหมดตัวได้ คนที่หวังยิ่งกว่านั้น คือหวังให้เข้าถึงพระนิพพานก็ต้องอาศัยสติ เพราะสติสามารถบันดาลปัญญาให้เกิดขึ้นแก่จิตใจ จนสามารถพ้นทุกข์ได้
ดังนั้นการฝึกสติจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่ต้องการมีชีวิตที่ดีงาม ขอให้เราระดมความเพียรเพื่อปลูกสติให้เจริญงอกงามโดยเฉพาะในทางจิตใจ โดยเริ่มจากความสงบแล้วก้าวไปสู่ความสว่าง จนจิตเข้าถึงความหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง