มองไกล เห็นกว้าง เย็นนี้เราเปลี่ยนสถานที่ทำวัตร มาอาศัยธรรมชาติเป็นโบสถ์ ที่แล้วมาเราอาศัยศาลาเป็นที่ทำวัตรเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ว่าเย็นนี้เรามาอาศัยหน้าผาเป็นสถานที่ทำวัตรแทน สำหรับน้อมจิตระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เราเรียกว่าเจริญพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ
บริเวณที่เรามาทำวัตรนี้เป็นหน้าผาของภูจิก ซึ่งเป็นพี่น้องกับภูหลง แต่ถ้าเราสังเกตจะเห็นได้ว่าที่นี่มีระบบนิเวศน์แตกต่างจากภูหลง ที่นี่เป็นป่าเต็งรัง ต้นไม้ไม่หนาแน่นเท่าภูหลง พวกเราที่อยู่ภูหลงมักหาโอกาสมาเที่ยวที่ผานี้ซึ่งชาวบ้านตั้งชื่อว่า “ ผาสนธยาวิไล ” แต่บางทีก็เรียกสั้น ๆ ว่า “ ผาศิวิไลซ์ ”
อาตมาเจอผานี้เมื่อประมาณ ๑๕ ปีมาแล้ว แต่ชาวบ้านคงรู้จักมานานแล้ว อาตมาเจอผานี้ตอนที่สำรวจป่าภูหลงแล้วปีนภูจิกขึ้นมาเจอ ผ่านมา ๑๕ ปีแล้ว แต่ สภาพป่าที่นี่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ เท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่มีไฟป่าเกิดขึ้นเป็นประจำ ระหว่างทางที่เราเดินผ่านมาจะเห็นร่องรอยของไฟป่าที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ไม่เหมือนกับภูหลงในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมาสภาพป่าเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากเนื่องจากถูกไฟไหม้ ทำไมป่าบนภูจิกไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่เจอไฟป่าเหมือนกัน เรื่องนี้อธิบายได้ว่าเป็นเพราะต้นไม้ที่นี่มีเปลือกหนาทนไฟ การที่มีเปลือกหนาทนไฟอาจจะเป็นผลจากการปรับตัวหลังจากที่เจอไฟป่าครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนภูหลงเป็นป่าดิบแล้ง ไม่เคยเจอไฟป่ามาเลยนับเป็นเวลาพัน ๆ ปี จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่อาตมามาอยู่ภูหลงใหม่ ๆ ไฟป่าเกิดขึ้นไม่ค่อยบ่อยเพราะต้นไม้ยังหนาแน่น จึงมีความชื้นสูง ลมก็ไม่ค่อยพัดผ่านเข้าไปในป่าเท่าไหร่ จุดไฟแต่ละทีจึงไม่ค่อยติด แต่ที่ภูจิกซึ่งเป็นป่าเต็งรัง เข้าใจว่าเจอไฟมาช้านานแล้ว เพราะเป็นป่าโปร่ง แต่ธรรมชาติเขาก็รู้จักปรับตัวให้มีเปลือกหนาและทนไฟ
อีกอย่างที่น่าสังเกตคือพื้นล่างที่นี่ไม่ค่อยมีหญ้าคาเท่าไหร่ มีแต่หญ้าเพ็กซึ่งเป็นไม้ตระกูลไผ่ชนิดหนึ่ง คงอยู่ประจำถิ่นมาช้านานแล้ว หญ้าเพ็กครองพื้นที่เอาไว้ จึงไม่เปิดโอกาสให้หญ้าคาขึ้นมาได้ ไม่เหมือนที่ภูหลงพอมีไฟป่าเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง พื้นที่ป่าก็เปิดโล่ง พอมีพื้นที่โล่งหญ้าคาก็เกิดขึ้น แล้วหญ้าพงก็ตามมา พอหน้าแล้งมันแห้งตายก็กลายเป็นเชื้อให้กับไฟป่า ไฟป่าก็ทำให้พื้นที่โล่งเกิดมากขึ้นและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ไฟเกิดขึ้นบ่อย ๆ และแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเดี๋ยวนี้คุมได้ยาก
มานึกดูให้ดี สาเหตุที่ต้นไม้บนป่าภูจิกทนไฟได้ ก็เพราะเขาเจอไฟมาหลายครั้ง จนปรับตัวรับมือกับไฟได้ ถ้าเปรียบกับคน ก็เป็นคนที่เจอความทุกข์มาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งมีภูมิต้านทานความทุกข์ ความทุกข์มากระทบก็ไม่สามารถทำให้สะทกสะท้านได้ ผิดกับที่ภูหลง ต้นไม้ที่นั่นไม่เคยเจอไฟป่ามาเป็นพัน ๆ ปีหรืออาจถึงหมื่นปีก็ได้ ดังนั้นพอเจอไฟป่าก็เลยติดง่าย เนื่องจากไม่มีเปลือกที่หนา แถมเนื้อไม้ก็ติดไฟง่าย พอติดแล้วก็ดับยาก ไฟไหม้ที่ภูหลงแต่ละที ดับยากเหลือเกิน ไหม้ทีหนึ่งก็ลามจากโคนขึ้นไปถึงปลายได้ง่ายมาก พอโค่นลงมา ไฟก็ลามไหม้ต้นอื่นต่อ ๆ ไป แต่ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิดที่ภูจิก เพราะว่าเขาเจอไฟมามากแล้ว ฉะนั้นถ้าคนเราเจออุปสรรคมาก ๆ อย่างต้นไม้ที่ภูจิกก็ดีเหมือนกันนะ จะได้มีภูมิต้านทานความทุกข์
ป่าที่นี่มียังมีลักษณะอีกอย่างหนึ่งคือทนแรงลมได้ ทำไมถึงทนแรงลมได้ ก็เพราะเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้แต่ละต้นอยู่ห่างกัน จึงต้องปะทะกับแรงลมตลอดเวลา เขาก็เลยปรับตัวด้วยการมีรากที่ลึกและแข็งแรง แต่ที่ภูหลงพอเจอไฟป่าบ่อยเข้า ต้นไม้ที่เคยเกาะกลุ่มกันหนาแน่น ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป จนโล่ง หลายต้นต้องยืนโด่เด่อยู่ต้นเดียว พอเจอลมแรง ๆ เข้าไปทีเดียวก็ล้มโครมเลย เพราะเขาไม่เคยเจอลมแรง ๆ มาก่อน เนื่องจากแต่ก่อนเกาะกลุ่มกันหนาแน่นเป็นผืน จึงช่วยกันต้านทานแรงลมเอาไว้ ไม่เหมือนป่าที่นี่ ต้นไม้แต่ละต้น ๆ อยู่แยกห่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องช่วยตัวเอง ความที่เจอลมอยู่บ่อย ๆ ก็เลยปรับตัวจนทนลมได้ดีกว่า
ขอให้สังเกตอีกอย่างว่าต้นไม้ที่นี่ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่เพราะเขารู้ดีว่าถ้าต้นสูงมากก็จะต้องรับแรงลมมาก เลยไม่แทงยอดขึ้นไปให้สูง แต่ที่ภูหลงต้นไม้แต่ละต้นสูงมาก เวลาเกิดพายุ จึงถูกลมปะทะเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อต้องยืนต้นโดเด่อยู่ลำพังในระยะหลัง ช่วงหน้าฝนได้ยินเสียงไม้ล้มที่ภูหลงอยู่บ่อย ๆ นี่เป็นเพราะต้นไม้แต่ละต้นไม่เคยถูกฝึกให้เตรียมรับมือกับลมแรง ๆ มาก่อน จึงไม่เข้มแข็งด้วยตัวเอง
ถ้าเปรียบกับคนก็เหมือนคนที่อยู่เป็นครอบครัว มีครอบครัวหรือชุมชนที่เข้มแข็ง มีอะไรก็ช่วยกันทำ วันดีคืนดีคนในครอบครัวหรือชุมชนหายไปทีละคนสองคน คนที่เหลือไม่เคยถูกฝึกให้พึ่งตนเอง หรือทำอะไรคนเดียวมาก่อน พอเจออุปสรรคหรือเกิดปัญหาหนัก ๆก็ทานไม่ไหว อันนี้ทำให้ป่าภูหลงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก เพราะต้นไม้ไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อที่จะเผชิญกับไฟป่า หรือรับมือกับลมแรง ๆ อย่างที่เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้
ทั้งหมดนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับเราได้ เดี๋ยวนี้ชุมชนไม่ค่อยเข้มแข็ง ครอบครัวก็ไม่ค่อยแข็งแรง การพึ่งพาคนอื่นอาจจะทำได้ยาก หรือถึงจะพึ่งพาได้เราก็ไม่ควรประมาท ต้องพร้อมที่จะพึ่งตนเอง พร้อมที่จะเผชิญกับพายุอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
โดยไม่ต้องคอยหวังว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า
พุทธศาสนาเน้นตรงนี้มาก คือเราต้องพยายามพึ่งพาตนเอง เหมือนกับต้นไม้บนภูจิก เขาใช้หลักพึ่งตนเองมาก อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เต็ม ๆ เลย เพราะสถานการณ์บังคับให้ไม่อาจพึ่งพาต้นไม้ต้นอื่น ๆ ได้ ดังนั้นจึงต้องปรับตัวเพื่อเผชิญกับแรงลมด้วยตนเอง เช่น พัฒนาตัวเองให้มีรากที่ลึกและแข็งแรง ลำต้นก็ไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกันก็รู้ว่าจะต้องเจอไฟป่าอยู่บ่อย ๆ จึงพัฒนาเปลือกและเนื้อไม้ให้แข็งแรง ไฟทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่กว่าจะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้ก็คงจะเจอไฟมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ใหม่ ๆ เขาก็คงจะสู้ไม่ไหว แต่เขาก็วิวัฒนาการมาเรื่อยจนกระทั่งทนไฟได้
ป่าภูหลงนี่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะปรับตัวจนทนไฟได้ ตอนนี้ยังปรับตัวไม่ได้ เจอไฟทีหนึ่งก็ไหม้ตั้งแต่โคนไปถึงปลายได้อย่างรวดเร็ว อันนี้คือสาเหตุว่าทำไมในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา ป่าบนภูจิกจึงยังรักษาสภาพเดิมไว้ได้แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ในขณะที่ภูหลงนั้นเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ต้นไม้ค่อย ๆ ตาย ค่อย ๆ หายไปทีละหย่อม ทีละหย่อม ทีละหย่อม จนกระทั่งต้องอาศัยคนเข้าไปช่วยป้องกันไฟป่า
จะว่าไปต้นไม้ที่ภูจิกนี่เขาก็ไม่ได้พึ่งตนเองล้วน ๆ นะ เขาต้องพึ่งพาอาศัยหญ้าเพ็กพอสมควร เพราะถ้าไม่มีหญ้าเพ็กเขาก็แย่เหมือนกัน อย่างที่บอกไว้แล้ว หญ้าเพ็กที่นี่ขึ้นเต็มพื้นทำให้หญ้าคาไม่สามารถเบียดแทรกขึ้นมาได้ หญ้าเพ็กนั้นติดไฟไม่ดีเหมือนหญ้าคา ที่ไหนมีหญ้าเพ็ก ไฟก็ไม่ค่อยลามเท่าไหร่ ต้นไม้ที่ภูจิกกับหญ้าเพ็กเขาเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน พึ่งพาอาศัยกัน หญ้าเพ็กเจริญเติบโตได้เพราะป่าไม่หนาทึบ ถ้าป่าหนาทึบ แดดส่องพื้นน้อย หญ้าเพ็กก็ไม่โต
แต่ที่ภูหลงเดิมป่าหนาทึบ แดดส่องไม่ถึง เพราะฉะนั้นพื้นดินจึงไม่ค่อยมีพืชจำพวกหญ้า ยกเว้นไม้ไผ่ พูดอีกอย่างก็คือป่าภูหลงไม่ค่อยเปิดช่องให้พืชอย่างหญ้าเพ็กเจริญเติบโตเท่าไหร่ เพราะว่าต้นไม้เก็บแดดไปหมด แต่เมื่อพื้นล่างเริ่มเปิดเพราะเจอไฟป่า แดดส่องลงมาได้ ทีนี้แย่เลย เพราะหญ้าคาเข้ามาแทนที่ ไฟจึงเกิดขึ้นง่ายและลามไปได้เร็ว จะพูดว่าต้นไม้ที่ภูหลงไม่ค่อยเอื้อเฟื้อกับพืชเล็ก ๆ อย่างหญ้าเพ็กก็ได้ สุดท้ายก็เลยมีปัญหาไฟป่า
เพราะฉะนั้นเราจะดูถูกหญ้าเพ็กไม่ได้เลยว่าไม่สำคัญ มันสำคัญมาก ตอนมาใหม่ ๆ อาตมาไม่รู้สึกว่าหญ้าเพ็กสำคัญเท่าไหร่ แต่พอมาเปรียบเทียบกับภูหลงแล้วจะเห็นเลยว่า เขามีความสำคัญมาก เพราะช่วยกันหญ้าคาไว้ไม่ให้เข้ามา อันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า การที่เราจะอยู่รอดได้บางทีก็ต้องอาศัยหมู่มิตรคอยช่วยด้วยเหมือนกัน แม้หมู่มิตรนั้นอาจจะดูต่ำต้อยอย่างเช่นหญ้าเพ็กนี้ แต่ก็สำคัญมาก อยากให้มีหญ้าเพ็กเกิดขึ้นที่ภูหลงเหมือนกัน แต่ก็เกิดขึ้นยากเพราะว่าหญ้าคาไปจับจองพื้นที่เสียแล้ว เราก็เลยต้องเข้าไปจัดการไม่ให้หญ้าคาเข้ามาก่ออันตรายแก่ต้นไม้ที่ภูหลง ความจริงไม่ใช่หญ้าคาอย่างเดียว หญ้าพงก็เป็นปัญหาด้วย หญ้าพงนี่น่ากลัวมากที่สุดเพราะว่ามันสูงและเวลาไฟไหม้แต่ละที ดอกติดไฟกระจายไปได้ไกล
เรามาเรียนรู้จากธรรมชาติ และถือเป็นการย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการพึ่งตนเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ความจริงพระองค์ยังตรัสต่อไป ไม่ได้ตรัสสั้น ๆ ห้วน ๆ แค่นี้ พระองค์ตรัสว่า ผู้ที่ฝึกตนไว้ดีแล้วย่อมได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก็จริงอยู่ แต่ว่าถ้าอยู่เฉย ๆ ก็ยังเป็นที่พึ่งไม่ได้ ต้องฝึกตน เช่นฝึกให้พร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ พร้อมที่จะฝึกตนให้มีความเข้มแข็งเพื่อที่จะเผชิญกับปัญหาและความทุกข์ต่าง ๆ ถ้าทำเช่นนั้นเราก็จะได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก อย่างต้นไม้บนภูจิกต้องเรียกว่ามีตนเป็นที่พึ่งได้ เพราะสามารถปรับตัวจนสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ได้ เราก็ได้แต่หวังว่า ป่าที่ภูหลงต่อไปเขาจะสามารถพึ่งตนเองได้หลังจากที่มีคนไปช่วยสักระยะหนึ่งแล้ว
บนหน้าผานี้ถ้ามองออกไป จะเห็นภูมิทัศน์ได้กว้างขวาง เห็นแล้วก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ การอยู่บนที่สูงทำให้เราเห็นอะไรได้กว้างไกลกว่าตอนอยู่บนพื้นดิน อยู่บนหน้าผาตรงนี้นอกจากจะเป็นที่สูงแล้วยังเป็นที่ไกล เมื่ออยู่ไกลก็เลยเห็นภูหลงตรงข้างหน้าได้ถนัดถนี่ ถ้าอยู่ข้างล่างหรืออยู่บนพื้นดินก็เห็นแค่มุมเล็ก ๆ มุมแคบ ๆ แต่อยู่บนที่สูงและอยู่ในที่ไกล ทำให้เราเห็นอะไรได้กว้างและเห็นได้เกือบรอบ
การมองชีวิตของเราก็เช่นกัน ถ้าเรายกจิตของเราให้อยู่สูง ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบด้านและกว้างไกล การที่จิตของเราอยู่ในที่ต่ำหรืออยู่ในระดับโลก ๆ ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ไกล การอยู่ในที่ต่ำหรืออยู่ในระดับโลก ๆ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าจิตยังติดอยู่ในโลกธรรม ติดอยู่กับวัตถุ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ ติดอยู่ในเรื่องของการมีได้มีเสีย การมองอะไรเป็นคู่ ๆ เช่น ดี-ชั่ว ขาว-ดำ สว่าง-มืด สูง-ต่ำ สุข-ทุกข์ เกิด-ตาย อันนี้คือการมองแบบโลก ๆ ซึ่งไม่สามารถทำให้เรามองอะไรได้ไกลกว่าตัวเอง ถ้าเราอยากมองให้ไกลกว่าตัวเอง จำเป็นต้องยกจิตของเราให้สูงขึ้น คืออยู่เหนือโลกธรรม อยู่เหนือการมองเป็นคู่หรือขั้ว หรือที่พระเรียกว่าโลกุตตระ ซึ่งหมายถึงการอยู่เหนือโลก
การมองแบบโลก ๆ เรียกอีกอย่างว่าโลกียะ การมองแบบโลกียะหรือว่าโลกียทิฐิไม่สามารถช่วยให้เรามองอะไรได้ไกล ๆ มองแค่สั้น ๆ หรือแคบ ๆ คือมองไม่พ้นตัวเอง ไม่ไกลจากผลประโยชน์ของตัวเอง หรือบางทีก็ไม่ไกลกว่าเพื่อนพ้องของตัวเอง
รวมทั้งเห็นความสุขไม่พ้นจากเรื่องของวัตถุ ชื่อเสียง เกียรติยศ จึงอยากมี อยากได้ อยากเป็น แต่ในความเป็นจริงนั้น เมื่อมีก็ต้องหมด ได้ก็ต้องเสีย เป็นก็ต้องตาย ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นความทุกข์
ถ้าเรามองแบบโลกุตระ ก็เห็นว่าโลกธรรมเป็นที่พึ่งไม่ได้ จะเอาความสุขไปฝากไว้กับโลกธรรมไม่ได้ เพราะเมื่อได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็ต้องมีนินทา วนเวียนอยู่แค่นั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ไม่ติดอยู่กับโลกธรรม คืออยู่เหนือโลกธรรม เมื่อได้ก็ไม่ยินดี เมื่อเสียก็ไม่ยินร้าย เพราะรู้ดีว่ามีกับเสียเป็นธรรมดาโลก เมื่อได้รับคำสรรเสริญ ก็ไม่หลงยึด เพราะรู้ดีว่านินทาจะต้องตามมา แต่คนที่ยังติดอยู่ในโลกธรรม มองไม่ไกลไปกว่าโลกธรรม บางทีก็ไปยึดติดในความดีมาก จนอาจทำสิ่งที่ไม่ดีเพราะความติดดี
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรม ใคร ๆ ก็ชมว่าเป็นคนดี ถือศีลเคร่งครัด แม้แต่ยุงก็ไม่ตบ แต่แล้ววันดีคืนดีมาพบว่าลูกสาวของตนมีท้องทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาว่าจะตกเป็นขี้ปากของคน กลัวว่าความเป็นคนดีของตัวจะมัวหมองเพราะมีลูกที่ทำผิดประเพณี ความคิดอย่างแรกที่ผุดขึ้นมาก็คืออยากให้ลูกทำแท้ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอาไว้ คนจะได้สรรเสริญชื่นชมต่อไป พอคนเราติดยึดกับความดีแล้ว ก็หลงติดอยู่กับโลกธรรม ทีนี้เวลาจะคิดอะไรก็มองไปไม่ไกลกว่าภาพลักษณ์หรือประโยชน์ของตัว ไม่สนใจความรู้สึกของลูก ผลก็คือสนับสนุนให้ฆ่าเด็กในท้องของลูก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แม้ยุง ไร ไต่ตอมแค่ไหนก็ยังไม่ตบ แต่กลับไม่ลังเลที่จะฆ่าหลานของตัว ยังดีที่เขามีสติขึ้นมา จึงเปลี่ยนใจไม่ให้ลูกไปทำแท้ง
การติดยึดความดี อาจทำให้เราถลำไถลไปสู่การทำชั่วได้หากไม่ระวังตัว มีบ่อยมากที่ผู้คนทำร้ายกันในนามของความดี อย่างศาสนิกชนผู้เคร่งครัดจำนวนไม่น้อยจับอาวุธทำสงครามฆ่าผู้คนในนามของศาสนาหรือในนามของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่ศาสนาและพระเจ้าคัดค้านการฆ่าคน การติดยึดความดีอาจนำไปสู่ความชั่วได้ อันนี้เพราะเกี่ยวข้องกับความดีไม่ถูกต้อง เรียกว่าทำผิดในสิ่งที่ถูก
ความดีกับความชั่วไม่ได้แยกจากกันอย่างเด็ดขาด เกี่ยวข้องกับความดีไม่ถูกต้องก็อาจกลายเป็นการทำชั่วได้ ในทำนองเดียวกับถ้าเกี่ยวข้องกับความสุขไม่เป็น ก็กลายเป็นทุกข์ได้ สุขและทุกข์ไม่ได้แยกจากกันอย่างเด็ดขาด ในสุขก็มีทุกข์อยู่ ของอร่อย ถ้ากินเข้าไปมาก ๆ ก็กลายเป็นเบื่อและเอียน นี่เรียกว่าทุกข์แฝงอยู่ในสุข ถ้าเกี่ยวข้องกับความสุขไม่เป็น ไม่ช้าไม่นานทุกข์ก็แสดงตัวออกมา หลวงพ่อชาเปรียบทุกข์ว่าเหมือนหัวงู ส่วนสุขก็เหมือหางงู ถ้าจับหางงูโดยไม่รู้จักปล่อย ก็ต้องโดนงูกัด เพราะสุขกับทุกข์มันอยู่ด้วยกัน
ในทำนองเดียวกัน มืดกับสว่างก็ไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด มืด ๆ อย่างตอนนี้ไม่ได้หมายความว่ามืดสนิท ยังมีความสว่างอยู่ อย่างน้อยก็สำหรับหนู มืดอย่างนี้ตาของหนูสามารถเห็นทางได้ชัดเจน ในทางกลับกันสว่างมาก ๆ ก็ไม่ได้แปลว่าสว่างไปหมด เพราะบางจุดบางที่ก็มืดเนื่องจากมีเงามาตก ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ เงาก็ยิ่งดำมืดมากเท่านั้น ไม่มีความสว่างที่ไหนที่ไร้เงามืด
ชีวิตกับความตายก็ไม่ได้แยกจากกัน ในชีวิตก็มีความตายอยู่เพราะเราตายทุกขณะอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันตายในส่วนย่อย ๆ เช่น หนังตาย ผมตาย เล็บตาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าความตายมีอยู่ในชีวิต ความเป็นโรคอยู่ในความไม่มีโรค ความแก่อยู่ในความหนุ่มสาว ถ้าเรามองแบบโลกียะหรือมองแบบโลก ๆ เราจะเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นคู่หรือเป็นขั้ว แล้วเราก็จะติดอยู่ในขั้วใดขั้วหนึ่งนั้น หรือพูดให้ถูกคือเหวี่ยงไปมาระหว่างขั้วตรงข้าม แต่ถ้าเรายกจิตให้อยู่เหนือโลกธรรม หรือเหนือความเป็นคู่ ก็จะเห็นโลกและชีวิตได้ไกลขึ้น เราจะไม่ติดอยู่กับการมีหรือการเสีย เพราะรู้ดีว่าวันนี้ถึงได้มา พรุ่งนี้ก็ต้องเสียไป วันนี้ได้รับคำสรรเสริญ พรุ่งนี้ก็หนีไม่พ้นคำนินทา วันนี้เขารักเรา พรุ่งนี้เขาอาจจะเกลียดเรา การยกจิตให้สู่ระดับโลกุตตระ จะช่วยทำให้เรารู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง ไม่ติดอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะรู้ดีว่าวันหน้าทุกสิ่งทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไป เรียกว่ามองข้ามช็อตไปได้
เวลาเราอยู่ที่ภูหลง ต้นไม้ล้มแต่ละต้น เสียงดังสนั่น และเป็นเรื่องใหญ่โต แต่พอมาอยู่ตรงนี้เห็นป่าภูหลงทั้งผืน ก็จะรู้สึกว่าไม้ล้มแต่ละต้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะภูหลงมีต้นไม้นับแสน ๆ ต้น เห็นอย่างนี้ก็ไม่รู้สึกท้อ แม้เราไม่อยากให้ต้นไม้ล้มก็ตาม ถ้าเรามองชีวิตจากมุมไกลบ้าง ก็จะพบว่า เหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิต เช่น สอบเข้าไม่ได้ ตกงาน แฟนทิ้ง เพื่อนต่อว่า เงินหาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ถ้าไม่มองแบบนั้น เราจะไปติดอยู่กับรายละเอียด จนเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ บางทีเหมือนกับโลกจะถล่มทลาย รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตนี้หมดสิ้นแล้ว คนสมัยนี้เป็นแบบนี้กันมาก เพราะไม่ได้มองชีวิตในมุมกว้าง คือไม่ได้มองว่าแม้มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา แต่เราก็ยังมีสิ่งดี ๆ อยู่อีกมากมายอยู่กับตัว
เวลาเราเจอสิ่งที่ไม่สมหวัง เช่น ความพลัดพรากสูญเสีย ควรหาโอกาสดึงจิตให้ออกมาอยู่ห่าง ๆ จากเหตุการณ์ เราอาจพบว่ามันเป็นเพียงแค่เหตุการณ์เล็ก ๆ ในชีวิต ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายในชีวิต ที่เรายังอาจจะมองไม่เห็นหรือว่าไม่ได้มอง คนทั่วไปพอเงินหายสักพันบาท ก็ทุกข์แล้ว ทั้ง ๆ ที่ถ้ามองโดยรวมแล้ว เงินหายแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะเขายังมีเงินเหลืออีกมากมายเป็นแสนเป็นล้าน มีพ่อมีแม่ มีบ้านมีอะไรต่ออะไรอีกมากมาย แต่บางทีเราไปจดจ่ออยู่ที่จุดเล็ก ๆ เพียงจุดเดียว เพราะเราไม่รู้จักถอยออกมาเพื่อมองเห็นชีวิตในมุมกว้าง นี่เป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการมองชีวิต คือมองจากมุมที่อยู่ไกลออกไปสักหน่อย
ตรงนี้เองที่ทำให้มีสติมีความสำคัญมาก เพราะสติช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างและไกลขึ้น เวลามีอะไรมากระทบใจ เราจะไม่ติดอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตรงนั้น แต่จะถอยออกมา จนเห็นอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ตามความเป็นจริงหรือใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น ถ้าเราอยู่ในบ้าน เราจะไม่สามารถเห็นได้เลยว่าบ้านมีกี่ชั้นสูงกี่เมตร มีรูปทรงอย่างไร หลังคาสีอะไร ต่อเมื่อเราออกมาอยู่นอกบ้าน จึงจะเห็นชัด ยิ่งถ้าเป็นตึกสูงด้วยแล้วยิ่งต้องออกมาอยู่ไกล ๆ จึงจะเห็นตึกได้ถูกต้องตามความเป็นจริง
สติช่วยดึงจิตให้ถอยออกมา นอกจากจะทำให้ไม่จมอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจนเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเดิมแล้ว ยังช่วยให้เรามองเห็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน จนเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของมัน ยิ่งเห็นชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดยึดน้อยลง เพราะรู้ว่ามันไม่เที่ยง ไม่น่ายึดถือ และไม่ใช่ตัวตน
พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าการอยู่ใกล้ ๆ ไม่สำคัญนะ บางทีเราก็ต้องอาศัยการอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ แต่ถ้าอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์มากเกินไป เราก็อาจจะ” อิน” กับมัน เป็นบ้าเป็นหลังไปกับมัน เราจึงต้องรู้จักวางระยะห่างบ้าง เพื่อที่จะได้เห็นภาพรวม และประเมินได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
การที่เรามาอยู่บนที่สูงอย่างนี้ ช่วยทำให้เราได้เปรียบในเรื่องมุมมอง ขณะเดียวกันการถอยออกมาอยู่ไกล ๆ ก็ช่วยให้เราเห็นความเป็นจริงตรงหน้าได้ครอบคลุมมากขึ้น เราจึงควรจะฝึกมองเหตุการณ์ต่าง ๆ แบบนี้บ้างในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าพึงพอใจหรือไม่น่าพอใจ ดีหรือร้าย สุขหรือทุกข์ การมองแบบนี้จะช่วยให้เราเห็นเหตุการณ์เหล่านี้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ขยายใหญ่โตเกินความเป็นจริง ทำให้รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับมันอย่างไรอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ถูกมันครอบงำจนมองไม่เห็นทางออก