ตอนที่ดอนฮวนเดินไปที่หลังก้อนหินนั้นเปลวไฟอ่อนแสงลง ผมคิดว่าแกกะเวลาได้เยี่ยมจริงๆ แกคงกะไว้เรียบร้อยแล้วว่า ไม้ฟืนที่ซุกเข้าไปในกองไฟนั้นจะลุกได้นานเท่าใด และแกสวมเสื้อฟ้าเดินออกมาและกลับไปตามเวลาที่ได้กะเอาไว้
กองไฟที่หรี่ลงนั้นทำให้คนในกลุ่มตื่นเต้นขึ้นมา มีกระแสของความหวาดกลัวปรากฏในชายหนุ่มทั้งสี่ ขณะที่กองไฟหรี่แสงลงนั้น พวกเขาขยับเข้ามาหากันแล้วนั่งในท่าขัดสมาธิ
ผมคิดว่าดอนฮวนจะก้าวออกมาจากหลังก้อนหินในทันทีแล้วนั่งลงตรงที่ที่แกเคยนั่ง แต่แกไม่ทำเช่นนั้น แกหายตัวไป และผมคอยอยู่อย่างกระวนกระวาย ชายหนุ่มทั้งสี่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นปกตินัก
ผมไม่เข้าใจว่าดอนฮวนตั้งใจแสดงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทำไม หลังจากที่ได้คอยอยู่ นานผมหันไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทางขวามือแล้วถามขึ้นด้วยเสียงต่ำๆว่า เครื่องแต่งตัวชิ้นต่างๆ ที่ดอนฮวนสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกทรงตลกหรือเสื้อคลุมชายยาว และความจริงที่แกยืนอยู่บนขาไม้ข้างหนึ่งนั้นมีความหมายอะไรสำหรับเขาหรือเปล่า
พวกเขามองดูกันและกันราวกับว่ารู้สึกสับสนอย่างที่สุด ผมบอกว่า หมวกใบนั้น เสื้อคลุมตัวนั้นและขาข้างที่ด้วน ทำให้ดอนฮวนเป็นโจรสลัดขึ้นมา
ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสี่เบียดเข้ามารอบตัวผม พวกเขาหัวเราะค่อยๆ และขยุกขยิกไปมาด้วยความกลัวดูเหมือนทุกคนไม่มีปากจะพูด แต่ในที่สุดคนที่กล้าที่สุดอ้าปากพูดกับผม เขาบอกว่าดอนฮวนไม่ได้สวมหมวก ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมยาว และขาก็ไม่ด้วน แต่แกมีผ้าดำหรือผ้าคลุมศีรษะอย่างพระโพกอยู่ที่หัวและสวมเสื้อคลุมสีดำยาวลากพื้น เหมือนกับเสื้อคลุมของพระอีกเช่นกัน
"ไม่ใช่หรอก" ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งอุทานออกมา
"ดอนฮวนไม่ได้โพกหัว"
"จริง" อีกคนหนึ่งพูด ชายหนุ่มที่พูดเป็นคนแรกมองดูผมราวกับว่าไม่เชื่อเอาเลย
ผมบอกกับพวกเขาว่า เราต้องทบทวนภาพที่เห็นมานั้นอย่างมีวิจารณญาณและทำกันเงียบๆ เพราะผมแน่ใจว่าดอนฮวนต้องการให้เราทำเช่นนี้ ดังนั้นแกจึงให้พวกเราอยู่กันโดยลำพัง
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทางขวาสุดของผมเล่าว่า ดอนฮวนใส่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง แกสวมเสื้อปอนโซขาดปุปะ หรืออาจจะเป็นเสื้อคลุมอย่างของชาวอินเดียนแดง และใส่กางเกงซอมเบโรที่เปื่อยยุ่ย แกหิ้วตะกร้าที่ใส่ของไว้เต็ม แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าของในตะกร้านั้นเป็นอะไรแน่ เขาพูดเสริมขึ้นมาว่า ดอนฮวนไม่ได้นุ่งห่มเหมือนกับขอทาน แต่น่าจะเหมือนกับคนที่กลับจากการเดินทางไกลมาเป็นเวลานานและหอบหิ้วเอาของแปลกๆ มาด้วย
ชายหนุ่มที่เห็นดอนฮวนโพกหัวเหมือนพระบอกว่า ดอนฮวนไม่ได้ถืออะไรเลย แต่ผมของแกยาวและยุ่งเหยิงราวกับว่าแกเป็นคนที่ดุร้ายเพิ่งฆ่าพระมาหยกๆ และสวมเอาเครื่องแต่งตัวของพระรูปนั้น แต่ก็ไม่อาจซ่อนความดุร้ายของตนไว้ได้
ชายหนุ่มคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของผมหัวเราะหึๆ ออกมาเบาๆ เขาเล่าถึงภาพน่าขนลุกที่เห็น เขาบอกว่า ดอนฮวนสวมเสื้อผ้าเหมือนกับจะเป็นบุคคลสำคัญที่เพิ่งก้าวลงจากหลังม้า แกสวมเครื่องหุ้มขาที่ทำด้วยหนัง มีสเปอร์อันโตที่ส้นเท้า มีแส้ที่แกสลัดไปๆ มาๆ และแกสวมหมวกซิฮัวหัวยอดเป็นกรวยแหลม และมีปืนพกลำกล้อง .๔๕ สองกระบอก เขาบอกว่า ภาพที่เขาเห็นนั้นดอนฮวนเป็น "แรนเชโร" ที่มั่งมีคนหนึ่ง
ชายหนุ่มคนที่อยู่ทางซ้ายสุดของผม หัวเราะออกมาอย่างประหม่า เขาไม่พูดถึงสิ่งที่เห็นมาร่วมกับเรา ผมพยายามคะยั้นคะยอ แต่คนอื่นๆ ดูจะไม่มีความสนใจ ชายหนุ่มคนนี้ขี้อายมากจนพูดอะไรออกมาไม่ได้
ดอนฮวนเดินออกมาจากหลังก้อนหินและกองไฟเกือบจะดับอยู่แล้ว
"เราน่าจะปล่อยให้ชายหนุ่มเหล่านี้ทำอะไรตามที่ต้องการ" แกพูดกับผม "ล่ำลาพวกเขาเสีย"
แกไม่มองมายังชายหนุ่มทั้งสี่ แต่ออกเดินไปช้าๆ เพื่อให้ผมได้มีเวลากล่าวคำอำลา
ชายหนุ่มทั้งสี่สวมกอดผมไว้
กองไฟไม่แลบเปลวออกมาอีกแล้ว มีแต่ถ่านที่คุอยู่ส่องแสงสลัวๆ ร่างกายดอนฮวนเป็นเงาดำห่างออกไม่กี่ก้าว และชายหนุ่มทั้งสี่ดูราวกับจะเป็นเงาดำนิ่งไม่ไหวตัว เป็นรูปโค้ง พวกเขาเหมือนกับแถวของรูปปั้นสีดำมะเมื่อมทาบอยู่กับความมืดด้านหลัง
ตอนนี้เองที่สิ่งที่เคยได้ประสบมากระทบเข้ากับใจของผม ความเย็นเยียบแล่นไปตามกระดูกสันหลัง ผมสาวเท้าให้ทันดอนฮวน แกบอกผมด้วยน้ำเสียงที่ลุกลนว่า อย่าหันกลับไปดูชายเหล่านั้นเพราะขณะนี้พวกเขาเป็นวงกลมของเงา
พลังบางชนิดจากภายนอกจู่โจมเข้ามาในกระเพาะของผมมันเหมือนกับว่ามีมือชนิดหนึ่งมาจับตัวของผมไว้ ผมกรีดร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ ดอนฮวนกระซิบบอกว่ามีพลังมากมายในบริเวณนี้ และน่าจะเป็นเรื่องง่ายที่ผมจะใช้ "ท่าของพลัง"
เราวิ่งเหย่าๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง ผมล้มลงไปห้าครั้งและดอนฮวนนับทุกครั้งขณะที่ผมซวนกายลงไป ต่อมาแกหยุดวิ่ง
"นั่งลง เบียดตัวไปที่ก้อนหินแล้วเอามือทาบเข้าไปที่ท้องน้อย" แกกระซิบที่หูของผม
อาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๑๙๖๒
ในตอนเช้ามืดเมื่อมีแสงสว่างพอมองเห็นทางเราเริ่มออกเดินต่อ ดอนฮวนนำผมมาถึงที่ที่เราจอดรถไว้ ผมหิวแต่กลับรู้สึกสดชื่นและรู้สึกว่าได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม
เรารับประทานขนมปังกรอบและดื่มน้ำแร่จากขวดที่ผมมีติดไว้ในรถ ผมอยากจะถามปัญหาที่รุมเร้าอยู่หลายอย่าง แต่ดอนฮวนเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปาก
ในราวเที่ยงวันเราเดินทางมาถึงเมืองชายแดน ที่ดอนฮวนบอกให้ผมละแกไว้ เราไปภัตตาคารแห่งหนึ่งเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ที่นั่นไม่มีคน เรานั่งที่โต๊ะติดกับหน้าต่าง มองออกไปเห็นถนนใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่านแล้วสั่งอาหาร
ดอนฮวนดูจะมีอารมณ์ดีขึ้นมาก นัยน์ตาของแกมีแววซุกซน ผมรู้สึกกล้าขึ้นจึงถามปัญหาต่างๆ กับแก จุดใหญ่ผมอยากจะทราบถึงการปลอมแปลงตัวของแก
"ผมแสดง การไม่-กระทำ เล็กๆ น้อยๆ ของผมให้คุณดู" แกพูด นัยน์ตาของแกคล้ายจะฉายแววออกมา
"แต่ไม่มีใครเลยในหมู่พวกเราที่เห็นอย่างเดียวกัน" ผมบอก "คุณทำได้อย่างไร"
"ง่ายมาก" แกบอก "นั่นเป็นเพียงการปลอมแปลงตัวเท่านั้นเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำลงไปก็มีลักษณะเดียวกันคือเป็นเพียงการปลอมแปลง ผมเคยบอกคุณแล้วว่า ทุกสิ่งที่เราทำเป็น การกระทำ มนุษย์ผู้รู้แจ้งสามารถเกี่ยวตัวเองไว้กับ การกระทำ ของทุกคนแล้วทำให้เกิดสิ่งลึกลับน่าทึ่งต่างๆ นานา แต่นี่ไม่น่าพิศวงงงงวยอะไรหรอก ไม่เลยจริงๆ มันน่าขนลุก สำหรับผู้ที่ถูกจับไว้ด้วย การกระทำ เท่านั้น...
"ชายหนุ่มทั้งสี่รวมทั้งตัวของคุณยังไม่ทราบ การไม่-กระทำ ดังนั้นจึงง่ายมากที่จะหลอกพวกคุณ"
"คุณหลอกพวกเราอย่างไรดอนฮวน"
"มันไม่ทำให้คุณเข้าใจอะไรได้หรอก ไม่มีทางที่คุณจะทำความเข้าใจได้เลย"
"กรุณาทดลองกับผมหน่อยสิ"
"ขอให้พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนที่ทุกคนเกิดขึ้นมานั้น เขาเอาแหวนของพลังวงเล็กๆ ติดออกมาด้วย วงแหวนเล็กๆ วงนั้นถูกนำมาใช้เกือบจะในทันที ดังนั้นเราทุกคนจึงถูกเกี่ยวเอาไว้นับตั้งแต่เราอุบัติขึ้นมาในโลก และวงแหวนของพลังของเรานี้เชื่อมสัมพันธ์กับวงแหวนของคนอื่นๆ พูดอีกนัยหนึ่ง วงแหวนของพลังของเราถูกเกี่ยวไว้กับ การกระทำ ของโลกเพื่อจะสร้างโลก"
"ขอให้ยกตัวอย่างที่ผมอาจจะเข้าใจได้หน่อยสิ" ผมพูด
"ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้วงแหวนแห่งพลังของเรา คือของคุณและของผมกำลังถูกเกี่ยวไว้กับ การกระทำ ในห้องนี้ เรากำลังทำห้องนี้ขึ้นมา วงแหวนแห่งพลังของเรากำลังสร้างห้องนี้ขึ้นมาในลักษณะนี้"
"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน" ผมร้องออกมา "ห้องนี้มีอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ผมไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับมันเลยนี่นา"
ดอนฮวนดูจะไม่สนใจกับคำค้านชวนให้ทะเลาะของผม แกกล่าวย้ำต่อไปอย่างสงบว่า ห้องที่เรานั่งอยู่นี้ถูกทำให้เกิดขึ้นและทำให้คงอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะพลังที่มาจากวงแหวนแห่งพลังของทุกคน
"เห็นไหมล่ะ ว่า" แกพูดต่อ "เราทุกคนรู้ถึง การกระทำ ห้องชนิดต่างๆ เพราะว่าจะเพราะเหตุใดก็แล้วแต่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้อง แต่ในทางตรงกันข้าม มนุษย์ผู้รู้แจ้งทำให้วงแหวนอีกชนิดหนึ่งเจริญเติบโตขึ้นมา ผมขอเรียกมันว่า วงแหวนของ การไม่-กระทำ ดังนั้น เนื่องจากแหวนวงนี้เองที่เขาทำให้เกิดโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมา"
หญิงสาวบริกรนำอาหารออกมา และดูเหมือนจะระแวงเรามาก ดอนฮวนกระซิบว่าผมควรจะจ่ายเงินเพื่อแสดงว่าผมมีเงินพอจ่ายค่าอาหาร
"ผมไม่ตำหนิเธอหรอกที่ระแวงในตัวของคุณ" แกพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างดัง "คุณเหมือนกับคนที่เพิ่งออกมาจากขุมนรก"
ผมจ่ายค่าอาหารและให้เงินรางวัลหญิงบริกร เมื่อเธอจากไปแล้วผมจ้องดูดอนฮวน พยายามที่จะหาทางวกเข้ามาสนทนาในเรื่องเดิม แกช่วยผมให้สำเร็จจุดประสงค์ในที่สุด
"ความยุ่งยากของคุณคือ คุณยังไม่ทำให้เกิดวงแหวนแห่งพลังชนิดใหม่นี้ขึ้นมา และร่างกายของคุณไม่ทราบถึง การไม่-กระทำ" แกพูด
ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ดอนฮวนพูด จิตของผมวนเวียนอยู่กับเรื่องพื้นๆ ผมอยากทราบเพียงว่า แกสวมเครื่องแบบของโจรสลัดจริงหรือเปล่าเท่านั้น
ดอนฮวนไม่ตอบ แต่หัวเราะออกมาอย่างดัง ผมอ้อนวอนให้แกอธิบายเรื่องนี้
"ผมเพิ่งอธิบายจบไปหยกๆ นี่นา" แกแย้งขึ้นมา
"หมายความว่าคุณไม่ได้สวมเสื้อผ้าเพื่อปลอมตัวใดๆ เลย"
"ทั้งหมดที่ผมทำคือ เกี่ยววงแหวนแห่งพลังของผมไว้กับ การกระทำ ของคุณ" แกตอบ "นอกเหนือออกไปจากนั้นเป็นเรื่องที่คุณทำขึ้นมาเอง และคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน"
"ไม่น่าเชื่อเอาเลย!" ผมอุทานออกมา
"เราทุกคนถูกอบรมสั่งสอนให้เห็นพ้องต้องกันใน การกระทำ" ดอนฮวนพูดค่อยๆ "คุณคิดไม่ถึงหรอกว่า พลังแห่งความเห็นพ้องต้องกันนั้นทำให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง แต่นับเป็นโชคดีที่ การไม่-กระทำ ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์และทรงพลังทัดเทียมกัน"
ผมรู้สึกถึงคลื่นที่ควบคุมไม่ได้ไหวตัวอยู่ในกระเพาะ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆ และคำอธิบายของดอนฮวนเป็นเสมือนมีเหวลึกมาขวางไว้ไม่อาจเชื่อมประสานกันได้ เพื่อปกป้องตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งก็เหมือนกับทุกๆ คราวคือ ผมจบลงด้วยความไม่เชื่อ สงสัย และมีคำถามติดมาว่า "ถ้าดอนฮวนซักซ้อมไว้กับชายหนุ่มเหล่านั้นล่ะ ดอนฮวนเองน่ะแหละ ที่สร้างเรื่องทั้งหมดนั้นขึ้น"
ผมเปลี่ยนเรื่องคุย ผมถามเกี่ยวกับศิษย์ของหมอผีทั้งสี่คนนั้น
"คุณบอกผมไม่ใช่หรือว่า พวกเขาเป็นเงา" ผมถาม
"ใช่"
"ชายหนุ่มทั้งสี่เป็นวิญญาณอย่างนั้นหรือ"
"ไม่หรอก พวกเขาเป็นศิษย์ของคนคนหนึ่งที่ผมรู้จัก"
"แล้วทำไมคุณจึงบอกว่าพวกเขาเป็นเงาล่ะ"
"เพราะในขณะเช่นนั้นชายหนุ่มทั้งสี่ถูกลูบไล้ด้วยพลังของ การไม่-กระทำ และเมื่อพวกเขาไม่ได้โง่เซอะเหมือนคุณ พวกเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งที่คุณรู้จักดี เพราะเหตุนี้เองที่ผมไม่ให้คุณหันกลับไปมองดู มันจะทำอันตรายกับคุณเท่านั้นเอง"
ผมไม่มีคำถามข้ออื่นอีกและไม่หิวด้วย ดอนฮวนรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยและดูจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษแต่ผมรู้สึกเศร้าสลดใจ ผมเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาในทันใด ผมรู้ชัดขึ้นมาว่าวิถีทางของดอนฮวนนั้นลำบากยากเข็ญสำหรับผม ผมตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอผีเอาเลย
"บางทีการพบกับเมสคาลิโตอีกสักครั้งหนึ่งจะช่วยคุณได้กระมัง"
ผมให้คำรับรองกับแกว่า นั่นยิ่งห่างจากสิ่งที่ผมคิดไว้อย่างที่สุด และผมจะไม่นำมาคิดเลยว่าเป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้
"เหตุการณ์ที่รุนแรงต้องเกิดขึ้นเพื่อให้ร่างกายของคุณได้รับประโยชน์จากสิ่งที่คุณเรียนรู้มาแล้วบ้าง"
ผมลองออกความเห็นว่า ในเมื่อผมไม่ได้เป็นชาวอินเดียนแดง ผมจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะมีชีวิตอันมหัศจรรย์ของหมอผี
"บางทีถ้าหากผมปลดเปลื้องตัวเองให้พ้นจากความผูกพันทั้งหลายได้แล้ว ผมก็อาจจะเดินไปตามทางอย่างของคุณได้ดีขึ้น" ผมพูด "หรือไม่เช่นนั้น ถ้าผมท่องเที่ยวไปตามป่าเขากับคุณแล้วอยู่มันเสียที่นั่นเลย แต่เท่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ความจริงที่ว่าผมก้าวเท้าไปเหยียบไว้ทั้งสองโลกนั้นทำให้ผมไม่มีประโยชน์ทั้งในโลกธรรมดาและโลกของหมอผี
ดอนฮวนจ้องดูผมอยู่นาน
"นั่นเป็นโลกของคุณ" แกพูดพร้อมกับชี้ไปที่ถนนอันพลุกพล่าน "คุณเป็นคนของโลกชนิดนี้ และข้างนอกนั่นแหละ ในโลกชนิดนั้นเองเป็นสนามแห่งการล่าของคุณ เราไม่มีทางที่จะหนีจาก การกระทำ ของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่นักรบกระทำลงไปคือเปลี่ยนโลกชนิดนี้ให้เป็นสถานที่ที่เขาจะออกล่า ในฐานะที่เป็นพราน นักรบทราบดีว่า โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นเขาใช้มันทุกชิ้นทุกสิ่ง นักรบก็เหมือนกับโจรสลัดนั่นเอง คือไม่เสียใจที่ได้สิ่งใดมาหรือสูญเสียสิ่งที่เขาต้องการนั้นไป นอกจากจะแตกต่างไปบ้าง คือนักรบจะไม่ใส่ใจหรือรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเมื่อเขาถูกใช้หรือถูกกลั่นแกล้งเลย" .
--------------------------------------------------------------------------------
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson15-17.html