พุธที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๖๒
ตอนที่ผมมาถึงชุมนุมชนของชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีนั้น เจ้าของร้านชำชาวเม็กซิกันบอกกับผมว่า เขาเช่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงอีก ๒๐ แผ่นจากร้านขายของเบ็ดเตล็ดใน ซินดัด โอเบรกอน มาเพื่อเล่นใน "งานรื่นเริง"(งานฉลอง, fiesta-ผู้แปล) ที่เขาตั้งใจจัดขึ้น ในคืนนั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่พระแห่งควาดาลูเป เจ้าของร้านบอกกับทุกคนว่า เขาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นต่างๆ เหล่านี้ผ่านทางจูลิโอพ่อค้าเร่ผู้มายังหมู่บ้านของชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีเดือนละสองครั้งเพื่อรับเงินส่งงวด จากการขายสินค้าผ่อนส่งจำพวกเสื้อผ้าราคาถูก จูลิโอประสบผลสำเร็จในการค้าขายกับชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีพอสมควร
จูลิโอเอาเครื่องเล่นแผ่นเสียงมาให้ตั้งแต่ตอนบ่าย แล้วต่อเข้ากับเครื่องปั่นไฟที่มีในร้าน เขาทดลองดูก่อนว่ามันใช้งานได้ต่อมาเขาหมุนปุ่มเร่งเครื่องมาที่จุดดังเต็มที่ และเตือนไม่ให้เจ้าของร้านแตะที่ปุ่มใดๆ อีก แล้วหันมาเลือกแผ่นเสียงให้เป็นหมวดหมู่
"ผมรู้ว่าแผ่นเสียงแต่ละแผ่น มีรอยขีดข่วนมากน้อยขนาดไหน" จูลิโอบอกกับเจ้าของร้าน
"บอกกับลูกสาวของผมสิ" เจ้าของร้านตอบ
"คุณนั่นแหละต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ลูกสาวของคุณ"
"ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้เปลี่ยนแผ่นเสียง"
จูลิโอคงยืนกรานต่อไปอีกว่า ไม่สำคัญเลยว่า ลูกสาวเจ้าของร้าน หรือใครอื่นอีก จะเป็นผู้มาคุมเครื่องเล่นแผ่นเสียง ตราบใดที่เจ้าของร้านจะจ่ายเงินทดแทนสำหรับแผ่นเสียงที่ชำรุด เจ้าของร้านเริ่มออกปากเถียง
จูลิโอหน้าแดงขึ้นมา เขาหันมาทางชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีกลุ่มใหญ่ที่มาออกันอยู่หน้าร้านเป็นครั้งคราว แล้วทำท่าทางหมดหวังหรือไม่ก็หัวเสียด้วยการโบกไม้มือแล้วย่นหน้าบอกบุญไม่รับ
จูลิโอเรียกเอาเงินมัดจำราวกับว่านี่จะเป็นความหวังครั้งสุดท้าย การพูดเช่นนี้ยิ่งยั่วยุให้เกิดการโต้คารมอยู่นานเกี่ยวกับลักษณะเช่นไรบ้าง จึงจะชี้ออกมาได้ว่าแผ่นเสียงนั้นชำรุด จูลิโอประกาศออกมาอย่างวางอำนาจว่า แผ่นเสียงแผ่นใดที่แตกจะต้องจ่ายคืนเต็มราคา เท่ากับแผ่นเสียงใหม่ เจ้าของร้านโมโหยิ่งขึ้น แล้วเริ่มดึงสายต่อไฟจากเครื่องไฟของแกออก แกทำท่าจะก้มลงไปถอดที่เสียบไฟของเครื่องเล่นแผ่นเสียงออกแล้วบอกเลิกงานครั้งนี้เสีย แกแสดงกับพวกลูกค้าที่มาชุมนุมอยู่แถวหน้าร้านของแกว่า แกพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะประนีประนอมกับจูลิโอ ตอนนี้งานทำท่าจะล้มก่อนที่จะเริ่ม
บลาส ชายชราชาวอินเดียนแดงที่ผมพักอยู่ด้วยให้ความเห็นด้วยเสียงอันดังอย่างสาดเสียเทเสีย กล่าวอ้างถึงสภาพอันน่าสลดใจของชาวยาคี ที่ไม่อาจแม้แต่จะฉลองในงานนักขัตฤกษ์ทางศาสนาของพวกเขา คือวันของแม่พระแห่งควาดาลูเป
ผมอยากจะเข้าไปสอดแทรกและยื่นมือเข้าช่วย แต่บลาสยั้งผมเอาไว้ บลาสบอกว่าถ้าผมวางเงินมัดจำไว้แล้วละก้อ เจ้าของร้านชำนั่นแหละจะทุบแผ่นเสียงให้แตกหมดทุกแผ่น
"มันเลวกว่าใครหมด" บลาสบอก "ให้มันวางเงินมัดจำเอง มันขูดเลือดขูดเนื้อเราซิบๆ แล้วทำไมมันจะจ่ายบ้างไม่ได้"
หลังจากที่ได้ถกเถียงกันอยู่นาน ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกันที่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นเข้าข้างจูลิโอ แล้วเจ้าของร้านก็มาถึงบทประนีประนอมที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ เจ้าของร้านไม่ต้องวางเงินมัดจำ แต่ยอมรับผิดชอบในเครื่องเล่นแผ่นเสียงและแผ่นเสียงทั้งหมด
รถมอเตอร์ไซค์ของจูลิโอวิ่งฝุ่งคลุ้งออกไป ขณะที่เขามุ่งหน้าไปสู่บ้านเรือนที่อยู่รอบนอกในแถบนั้น
บลาสบอกว่าจูลิโอต้องไปพบกับลูกค้า ก่อนที่คนเหล่านั้นจะพากันมาที่ร้านขายของชำแล้วจ่ายเงินที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับน้ำเมา ขณะที่บลาสพูดเช่นนั้นชาวอินเดียนแดงกลุ่มหนึ่งก็พากันโผล่ออกมาจากหลังร้าน บลาสมองดูแล้วหัวเราะ คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นก็หัวเราะด้วย
บลาสบอกว่าชาวอินเดียนแดงเหล่านี้เป็นลูกค้าของจูลิโอ และพากันซ่อนอยู่หลังร้านเพื่อคอยดูว่าเมื่อไรจูลิโอจึงจะออกไป
งานปาร์ตี้เริ่มแต่หัวค่ำ ลูกสาวของเจ้าของร้านหยิบแผ่นเสียงมาวางบนจานแล้วเอาหัวเข็มวางลงไปมีเสียงดังวื้ดๆ แสบแก้วหูแล้วตามมาด้วยเสียงหึ่งๆ ต่อมาเป็นเสียงเป่าทรัมเป็ดและเสียงกีตาร์
งานนี้มีเพียงการเปิดแผ่นเสียงให้ดังเต็มที่ มีชายหนุ่มชาวเม็กซิกันสี่คนเต้นรำกับลูกสาวสองคนของเจ้าของร้านชำ และผู้หญิงชาวเม็กซิกันอีกสามคน ชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีไม่เต้นรำ พวกเขาพอใจอยู่กับการมองดูการเต้นรำของคนอื่น และดูเหมือนจะสนุกในการดูและดื่มเหล้าตะกีล่าราคาถูกๆ เท่านั้น
ผมซื้อเหล้าให้กับคนทุกคนที่ผมรู้จัก เพราะอยากจะเลี่ยงจากความรู้สึกไม่พอใจต่างๆ ที่อาจจะมีขึ้น ผมเดินเวียนไปเวียนมาในหมู่ชาวอินเดียนแดง พูดคุยกับพวกเขา แล้วซื้อเหล้าให้กิน ผมทำอย่างนี้จนในที่สุดก็ถูกจับได้ว่าผมไม่ดื่มเอาเลย นั่นทำให้ทุกคนหงุดหงิดขึ้นมาในทันที มันเหมือนกับทุกคนพบว่า ผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น พวกชาวอินเดียนแดงเริ่มเมาแล้วมองมาทางผมอย่างเหยียดหยาม
พวกที่เป็นชาวเม็กซิกันซึ่งเมาพอๆ กับชาวอินเดียนแดงก็รู้ขึ้นมาพร้อมๆ กันอีกแหละว่าผมไม่ออกเต้นรำเอาเลย นั่นก็ดูจะเป็นการดูถูกคนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
ชายคนหนึ่งจับที่แขนของผมอย่างแรงแล้วลากผมไปใกล้เครื่องเล่นแผ่นเสียง อีกคนหนึ่งรินเหล้าตะกีล่าจนเต็มแก้ว แล้วให้ผมดื่มรวดเดียวเพื่อพิสูจน์ว่าผมเป็น "ลูกผู้ชาย"
ผมพยายามที่จะล่อหลอกพวกเขา และหัวเราะเซ่อๆ ออกมาราวกับว่าผมพอใจสภาพที่เป็นอยู่นั้นของตัวเองจริงๆ ผมบอกว่าผมจะเต้นรำก่อนแล้วถึงจะดื่ม ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนบอกชื่อเพลงออกไป หญิงสาวคนที่ทำหน้าที่เปิดแผ่นเสียงลงมือค้นหาแผ่นที่ต้องการ เจ้าหล่อนเมาเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่มีหญิงสาวคนใดดื่มอย่างเปิดเผยและหญิงสาวคนนั้นก็วางแผ่นเสียงลงไปในจานหมุนไม่ค่อยจะถูก ชายหนุ่มคนหนึ่งบอกว่าแผ่นเสียงที่หล่อนเลือกมานั้นไม่ใช่จังหวะทวิส หญิงสาวจึงเลือกหาแผ่นเสียงในกองอย่างเงอะงะเพื่อให้ได้แผ่นที่ต้องการ ทุกคนรุมเข้ามารอบๆ ตัวหญิงคนนั้นและละผมไว้คนเดียว นั่นทำให้ผมมีเวลาพอที่จะวิ่งออกไปจากบริเวณที่สว่างโร่มาทางหลังร้านหลบหนีไปได้
ผมยืนอยู่ในความมืดจากเงาของพุ่มไม้ห่างจากสถานที่นั้นประมาณ ๓๐ หลาเพื่อตกลงใจว่าจะทำอะไรต่อไป ผมคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะไปยังรถที่จอดไว้แล้วกลับบ้านเสีย ผมเริ่มออกเดินไปยังบ้านของบลาส ผมจอดรถไว้ที่นั่น และคิดว่าถ้าหากผมขับช้าๆ ก็คงจะไม่มีใครสังเกตว่าผมหลบหนีไป
เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำหน้าที่เปิดแผ่นเสียงยังหาแผ่นที่ต้องการไม่พบ แต่ในขณะต่อมาก็มีเสียงเพลงจังหวะทวิสดังก้องขึ้นมาแทน ผมหัวเราะออกมาดังๆ คิดเดาเอาว่าคนเหล่านั้นคงจะหันมาดูตรงที่ผมยืนอยู่เพียงเพื่อจะพบว่าผมหายตัวไปเสียแล้ว
ผมมองเห็นเงาดำของคนที่กำลังเดินสวนทางมาเพื่อไปยังร้านขายของ เราเดินสวนกัน และพวกเขาพึมพำออกมาว่า "บายนัส นอเชส"(Buenes noches:ราตรีสวัสดิ์-ผู้แปล) ผมจำคนเหล่านั้นจึงพูดทักทาย ผมบอกพวกเขาว่างานปาร์ตี้ครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก
ก่อนที่ผมจะเดินมาถึงเลี้ยวมุมถนนผมพบกับชายอีกสองคน ผมจำสองคนนี้ไม่ได้แต่ผมก็กล่าวคำทักทาย เสียงอันแสบแก้วหูของเครื่องขยายเสียงที่ท้องถนนดังพอๆ กับที่หน้าร้านขายของชำ คืนนั้นทั้องฟ้ามืดไร้ดาว แต่แสงไฟจากร้านขายของทำให้ผมมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวได้พอสมควร บ้านของบลาสอยู่ใกล้นิดเดียว และผมเร่งฝีเท้า
ขณะนั้นเองผมเห็นเงาดำของคนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งหรือคู้ตัวอยู่ทางซ้ายมือตรงมุมถนนพอดี ผมคิดว่านั่นคงจะเป็นใครสักคนหนึ่งที่ออกมาจากงานก่อนผม ดูเหมือนเขากำลังนั่งถ่ายทุกข์อยู่ข้างถนน ซึ่งออกจะเป็นเรื่องประหลาดมาก เพราะคนที่อยู่ในแถบนั้นจะไปทำธุระกันหลังพุ่มไม้ ผมคิดว่าคนที่อยู่ข้างหน้าของผมนั้นต้องเมาเหล้าอย่างแน่นอน
ผมเดินมาถึงมุมถนนแล้วกล่าวว่า "บายนัส นอเชส" ออกมา คนคนนั้นตอบเป็นเสียงหอนที่โหยหวน แหบห้าวไม่ใช่เสียงของมนุษย์ ผมขนลุกชันไปทั้งตัวและถึงกับเปลี้ยไปครู่หนึ่ง
ต่อมาผมเร่งฝีเท้าขึ้นแล้วเหลือบดูแวบหนึ่ง ผมมองเห็นเงาดำนั้นโหย่งตัวขึ้นครึ่งร่าง มันเป็นผู้หญิง เธอโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเดินในท่านั้นประมาณสองสามหลาแล้วเริ่มกระโดด ผมออกวิ่งขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกระโดดเหมือนกับนกเคียงคู่ไปกับผมในความเร็วเท่ากัน เมื่อผมมาถึงบ้านของบลาสนั้นเธอกระโดดตัดหน้าผมไป ตัวของเราเกือบจะสัมผัสกัน
ผมกระโจนข้ามคูที่แห้งน้ำหน้าบ้านของบลาสแล้วหล่นโครมทับประตูบ้านที่บอบบาง
บลาสอยู่ในบ้านแล้วในตอนนั้น ดูเหมือนบลาสจะไม่สนใจเรื่องที่ผมเล่าเอาเลย
"คนพวกนั้นหาคนเก่งทีเดียวมาหลอกคุณ" แกพูดอย่างมั่นใจ "ชาวอินเดียนแดงมักหาความสนุกโดยการเย้าหยอกชาวต่างประเทศ"
สิ่งที่ผมประสบมานั้นทำให้ผมประสาทเสียจนผมต้องขับรถไปหาดอนฮวนในวันต่อมาแทนที่จะกลับบ้านดังที่คิดเอาไว้เดิม
ดอนฮวนกลับมาเมื่อเวลาบ่ายมากแล้ว ผมไม่ยอมให้แกพูดอะไรออกมาแต่โพล่งเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมทั้งข้อสังเกตของบลาส สีหน้าของดอนฮวนสลดลง บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะตาของผมเชือนแชไปก็ได้ แต่ผมคิดว่าแกมีความวิตกอยู่ไม่น้อย
"อย่าเชื่อในสิ่งที่บลาสพูดมากนัก" ดอนฮวนบอกด้วยเสียงเครียด "บลาสไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างหมอผี
"คุณน่าจะทราบว่ามีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในขณะที่คุณมองเห็นเงาดำที่อยู่ทางซ้ายมือของคุณและคุณไม่ควรจะวิ่งหนีด้วย"
"แล้วผมควรจะทำอย่างไรล่ะ ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะรึ"
"ใช่ เมื่อนักรบเผชิญหน้ากับคู่ปรปักษ์ และคู่ปรปักษ์คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เขาจะต้องยืนตั้งหลัก นั่นเป็นการกระทำอันเดียวที่ทำให้นักรบเป็นผู้ที่ไม่อาจทำลายลงได้"
"คุณพูดอะไรอยู่ดอนฮวน"
"ผมกำลังพูดว่า คุณเผชิญหน้ากับปรปักษ์ที่คู่ควรกับคุณเป็นครั้งที่สามแล้ว ในขณะที่คุณอ่อนแอลงนั้นเธอติดตามคุณไป คราวนี้เธอเกือบจะรวบตัวของคุณเอาไว้ได้ทีเดียวแหละ"
ผมเกิดวิตกขึ้นมา และกล่าวหาดอนฮวนว่าเป็นผู้ที่ทำให้ผมอยู่ในสภาวะที่มีอันตรายโดยไม่จำเป็น ผมโอดครวญว่า วิธีการของแกโหดร้ายทารุณมาก
"มันน่าจะโหดร้ายจริงถ้าสิ่งนี้เกิดกับคนธรรมดา" แกพูด "แต่เมื่อใดที่คุณเริ่มจะใช้ชีวิตอย่างนักรบคุณก็ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น แต่ก่อนผมไม่หาปรปักษ์ที่คู่ควรกับคุณให้เพราะว่าผมอยากจะเล่นกับคุณ อยากจะเย้าแหย่หรือทำความรำคาญให้กับคุณบ้าง แต่ปรปักษ์ที่คู่ควรนั้นจะลงปฏักให้คุณพุ่งไปข้างหน้า จากอิทธิพลของปรปักษ์อย่าง 'ลา คาธาริน่า' นี้อาจจะทำให้คุณใช้กลวิธีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสอนคุณไว้ คุณไม่มีทางเลือกอย่างอื่นเลย"
เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง คำพูดของดอนฮวนปลุกให้ผมหวั่นวิตกขึ้นมาอย่างมาก
ต่อมาแกต้องการให้ผมเลียนเสียงร้องที่ผมได้ยินหลังจากที่ผมทักว่า "บายนัส นอเชส" ให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมพยายามทำเสียงหอนที่น่าขนหัวลุกนั้นออกมา ดอนฮวนคงเห็นว่าเสียงที่ผมทำออกมานั้นน่าขำมาก แกจึงหัวเราะออกมาอย่างยั้งเอาไว้ไม่ได้
หลังจากนั้น แกบอกให้ผมลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเช่นระยะทางที่ผมวิ่ง ระยะห่างระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับผมขณะที่เราพบกันในตอนแรก และระยะห่างระหว่างเธอกับผมเมื่อเรามาถึงตัวบ้าน รวมทั้งจุดที่เธอเริ่มกระโดด
"ไม่มีผู้หญิงชาวอินเดียนแดงร่างอ้วนกระโดดได้อย่างนั้นหรอก" ดอนฮวนพูดออกมาเมื่อได้ประเมินดูรายละเอียดต่างๆ แล้ว "พวกเธอไม่สามารถแม้แต่จะวิ่งให้ได้ไกลถึงขนาดนั้น"
แกให้ผมลองกระโดดดู แต่ละครั้งผมกระโดดได้ไม่เกิน ๔ ฟุต และถ้าหากประสาทรับรู้ของผมไม่ผิดพลาดแล้วละก้อ ผู้หญิงคนนั้นกระโดดได้ครั้งละ ๑๐ ฟุตทีเดียว
"แน่ละ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปคุณรู้ตัวดีแล้ว ว่าคุณต้องระมัดระวังตัว" ดอนฮวนพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งว่าเป็นการรีบด่วน "ผู้หญิงคนนั้นจะใช้ความพยายามที่จะแตะที่ไหล่ซ้ายของคุณในคราวที่คุณขาดสติและอ่อนแอลง"
"ผมควรจะทำอย่างไรล่ะ ดอนฮวน"
"ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบ่น" แกตอบ "สิ่งสำคัญนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เป็นแห่งการประลองยุทธเพื่อชีวิตของคุณ"
ผมไม่มีสมาธิที่จะฟังสิ่งที่ดอนฮวนพูดเอาเลย ผมจดบันทึกโดยอัตโนมัติ
หลังจากที่นิ่งเงียบไปนานแกถามผมว่า ผมรู้สึกเจ็บที่หลังใบหูหรือที่ต้นคอบ้างหรือไม่ ผมตอบว่าไม่ แกบอกว่าถ้าผมรู้สึกเจ็บตรงจุดสองจุดนั้นก็หมายความว่า ผมเซ่อซ่าเอามากๆ จน 'ลา คาธาริน่า' ทำร้ายผมได้
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำลงไปในคืนนั้นโง่เขลามาก" แกพูด "ในข้อแรก คุณไปร่วมงานปาร์ตี้เพื่อฆ่าเวลา ราวกับว่าคุณมีเวลามากพอที่จะทำให้เสียไปเปล่าๆ นั่นทำให้คุณอ่อนแอลง"
"หมายความว่าผมไม่ควรจะไปร่วมงานรื่นเริงใดๆ อย่างนั้นสิ"
"ไม่หรอก ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น คุณจะไปที่ไหนก็ได้ตามที่คุณต้องการ แต่ถ้าหากคุณไปที่นั่น คุณต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในกระทำนั้น นักรบใช้ชีวิตอย่างมียุทธวิธี นักรบจะไปร่วมในงานรื่นเริงหรืองานพบปะสังสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ต่อเมื่อยุทธศิลปะที่เขามีอยู่นั้นบอกว่าเข้าไปร่วมได้ แน่นอน นั่นก็หมายถึงว่า เขาควรอยู่สภาพที่ควบคุมตัวเองได้และจะกระทำสิ่งต่างๆ ลงไปเท่าที่เขาเห็นว่าจำเป็นเท่านั้น"
แกเพ่งเขม็งมาที่ผมแล้วยิ้ม ต่อมาแกยกมือขึ้นปิดหน้าพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมาเบาๆ
"คุณอยู่ในสภาวะผูกพันที่น่ากลัวมาก" แกพูด "คู่ปรปักษ์ของคุณกำลังแกะรอยคุณอยู่ และนับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณจะกระทำอะไรลงไปอย่างอีรุงตุงนังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว คราวนี้ คุณต้องเรียนรู้ การกระทำ ในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ การกระทำ อย่างมียุทธวิธี ให้คิดในลักษณะนี้ก็แล้วกันว่าถ้าหากคุณเอาตัวรอดปลอดภัยจากการตามล่าชีวิตของ 'ลา คาธาริน่า' แล้ว สักวันหนึ่งคุณจะต้องขอบคุณเธอที่มาบีบบังคับให้คุณเปลี่ยนแปลง การกระทำ ของคุณ"
"แหมพูดเสียน่ากลัว!" ผมอุทานออกมา "แล้วถ้าผมไม่รอดกลับมาล่ะ"
"นักรบไม่เคยเอาใจใส่กับความคิดชนิดนั้น" แกพูด "เมื่อเขาต้องกระทำกับเพื่อนมนุษย์ นักรบจะทำตาม การกระทำ อย่างมียุทธวิธี และในการกระทำดังกล่าวจะไม่มีคำว่า แพ้หรือชนะ ใน การกระทำ ชนิดนี้จะมีเพียงการกระทำเท่านั้น"
ผมถามแกว่า การกระทำ อย่างมียุทธวิธีที่แกกล่าวถึงนั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง
"การกระทำ อย่างมียุทธวิธีมีคุณลักษณะอยู่ว่า คุณจะไม่วิงวอนขอความเมตตาสงสารจากผู้ใด" แกตอบ "ยกตัวอย่างของงานรื่นเริงที่ผ่านมานั้นคุณเป็นตัวตลก นั่นไม่ใช่เพราะงานนั้นทำให้คุณเป็นตัวตลกขึ้นมา แต่เพราะว่าคุณยอมให้ตัวเองอยู่ภายใต้ความเมตตาของคนเหล่านั้น คุณไม่เคยมีอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจเอาเลยและดังนั้นเองที่คุณวิ่งหนีพวกเขา "
"ผมควรจะทำอย่างไรล่ะงั้น"
"อย่าไปที่นั่นเสียเลย หรือไม่เช่นนั้นก็ไปที่นั่นเพื่อกระทำอะไรเป็นพิเศษออกไป... "พลังของคุณอ่อนแอลงเมื่อยอมให้หนุ่มสาวเม็กซิกันเหล่านั้นข่มขู่เอาได้ และ 'ลา คาธาริน่า' ได้ฉวยเอาโอกาสอันนี้ ดังนั้นเธอจึงมาดักคุณอยู่ตรงหัวถนน...
"อย่างไรก็ตามร่างกายของคุณรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติ แต่ทั้งๆ ที่รู้คุณยังพูดกับเธอ นั่นร้ายกาจมาก คุณต้องไม่เปล่งคำพูดออกมาแม้แต่คำเดียวกับคู่ปรปักษ์ในการเผชิญหน้ากันเช่นนี้ ต่อมาอีก คุณหันหลังให้เธอ นั่นยิ่งเลวร้ายลงไปอีก และคุณวิ่งหนีเธอ นี่เป็นสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดที่คุณได้ทำลงไป! เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นงุ่มง่ามอยู่ไม่น้อย หมอผีที่มีค่าควรกับการเป็นหมอผีนั้นน่าจะขยี้คุณลงไปในที่ตรงนั้นเสียทีเดียว ขยี้ให้แหลกลงไปในขณะที่คุณหันหลังให้แล้ววิ่งหนีนั่นแหละ... มาถึงตรงนี้ การป้องกันตัวสำหรับคุณมีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นคือ ยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นแล้วเต้นรำ"
"การเต้นรำชนิดไหนล่ะที่คุณพูดถึง" ผมถาม ดอนฮวนบอกว่า
"ท่ากระทืบเท้าของกระต่าย" ที่แกเคยสอนผมไว้นั่นแหละที่เป็นการเต้นรำท่าแรกที่นักรบฝึกฝนและพัฒนามันขึ้นตลอดชีวิตของเขา และจากนั้นก็จะได้เต้นเป็นการแสดงในการยืนหยัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายบนโลกนี้
ผมตกอยู่ในสภาวะเศร้าซึมที่ประหลาดอยู่ครู่หนึ่งและความคิดประการต่างๆ ผุดขึ้นมา ในระดับหนึ่งนั้นเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในการเผชิญหน้าเป็นครั้งแรกระหว่างผมกับ "ลา คาธาริน่า" ก็เป็นคนจริงๆ และผมไม่อาจปัดออกไปได้ว่าเธอตามล่าตัวผมอยู่จริง แต่ในอีกระดับหนึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอตามตัวผมมาได้อย่างไร ตรงนี้เองที่ทำให้ผมสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าดอนฮวนอาจจะหลอกผม และดอนฮวนนั่นเอง เป็นผู้ทำให้เกิดสิ่งที่น่าหวาดเสียวขนลุกขนพองที่ผมได้ประสบมา
ดอนฮวนมองดูท้องฟ้าแล้วบอกว่าเรายังพอมีเวลาที่จะไปข้างนอกและดูหมอผีผู้หญิงคนนี้ แกให้คำมั่นใจกับผมว่า ไม่มีอันตรายอะไรหรอกเพราะเราจะขับรถผ่านบ้านของเธอไปเท่านั้น
"คุณต้องดูว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นจริงหรือเปล่า" ดอนฮวนบอก "แล้วคุณจะไม่มีข้อสงสัยใดๆ คั่งค้างอยู่ในใจไม่ว่าเรื่องอะไร"
มือของผมเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาจนผมต้องเช็ดกับผ้าขนหนูครั้งแล้วครั้งเล่า เราขึ้นรถแล้วดอนฮวนชี้ทางให้ผมขับไปยังถนนใหญ่ ต่อมาให้เลี้ยวเข้าสู่ถนนกลางสายหนึ่งที่ยังไม่ลาดยาง ผมต้องขับอยู่กลางถนน รถบรรทุกขนาดหนักและรถแทร็กเตอร์ทำให้เกิดร่องลึก และรถของผมมีเครื่องล่างต่ำไม่อาจจะวิ่งไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวาของถนนได้ ผมขับช้าๆ ท่ามกลางฝุ่นดินที่คลุ้งขึ้นมา ก้อนกรวดชนิดหยาบที่ใช้ปูถนนเกาะเอาดินไว้ในระหว่างฝนตกและกรวดหุ้มดินที่แห้งแล้วนี้กระเด็นขึ้นมากระทบเครื่องล่างของรถทำให้เกิดเสียงดังเกรียวกราว
ดอนฮวนสั่งให้ผมขับช้าลงไปอีกขณะที่เราเข้ามาใกล้สะพานเล็ก มีชาวอินเดียนแดงสี่คนนั่งอยู่ที่สะพานพวกเขาโบกมือให้กับเรา ผมไม่แน่ใจว่ารู้จักกับคนเหล่านั้นหรือเปล่า เราขับผ่านสะพานไปและถนนข้างหน้าโค้งเล็กน้อย
"นั่นเป็นบ้านของหญิงคนนั้น" ดอนฮวนกระซิบบอกพร้อมกับปรายตาไปยังบ้านที่ทาสีข้างปลูกต้นไผ่สูงๆ เป็นรั้ว
แกบอกให้ผมเลี้ยวกลับมาบนถนนแล้วหยุดรถกลางถนน และคอยอยู่จนกว่าหญิงคนนั้นสงสัยจนต้องเยี่ยมหน้าออกมาดู
เรานั่งคอยประมาณสิบนาที ผมรู้สึกว่ามันเป็นเวลานานมากไม่มีที่สิ้นสุด ดอนฮวนไม่พูดอะไรออกมาเลย แกนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก มองไปยังบ้านหลังนั้น
"นั่นไงล่ะ" แกพูด ร่างของแกกระตุกขึ้นมา ผมมองเห็นเงาอันน่ากลัวของผู้หญิงยืนอยู่ในบ้าน กำลังมองผ่านหน้าต่างออกมา ภายในห้องมืดและนั่นยิ่งเน้นให้เห็นเงาดำของหญิงคนนั้นให้ชัดยิ่งขึ้น
ไม่กี่นาทีต่อมา หญิงคนนั้นก้าวออกมาจากความมืดของห้องออกมายืนที่ประตูแล้วมองดูเรา เรามองดูเธออยู่ครู่หนึ่ง แล้วดอนฮวนบอกให้ผมขับต่อไป ผมพูดไม่ออก ผมน่าจะสาบานออกมาได้เลยว่า เธอคือผู้หญิงคนที่ผมเห็นกระโดดไปข้างถนนในความมืดนั่นเอง
"คุณจะว่าอย่างไรล่ะ" ดอนฮวนถามออกมา "คุณจำรูปร่างของเธอได้ไหม"
ผมอึกอักอยู่นานก่อนที่จะตอบออกไป ผมกลัวข้อผูกมัดที่จะติดตามมาหากจะตอบว่าใช่ ผมกล่าวตอบอย่างระมัดระวังว่า ผมคิดว่ามันมืดเกินกว่าที่ผมจะบอกว่าเป็นคนคนเดียวกัน ดอนฮวนหัวเราะแล้วเอามือมาเคาะที่ศีรษะของผม
"เธอเป็นผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่หรือ" แกถาม
แกไม่ให้เวลาผมตอบ แกเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบแล้วกระซิบที่หูของผมว่าไม่มีประโยชน์เลยที่จะพูดอะไรออกไป และการที่จะรอดชีวิตจากการตามล่าของ "ลา คาธาริน่า" ผมจะต้องใช้วิธีการทุกสิ่งทุกอย่างที่แกสอนไว้
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson15-17.html