Suraphol Kruasuwan
Shared publicly - Apr 8, 2016
Good morning
หรรษา มีชีวาในชีวิต กับวันอันยอดเยี่ยมนะครับ
สุขภาพที่พอดี คือเรื่องหมกมุ่นที่สาม
1.น้ำ
2.เวลา
3.สุขภาพ
"การไม่เบียดเบียน เป็นสุขในโลก
สุขภาพดี คือลาภอันประเสริฐ
อิ่มใจในกุศลทุกขณะจิต คือยอดทรัพย์
มีมิตรอุปการะ เป็นยิ่งกว่าญาติ
ฉลาด ทำจิต ให้ สงบ แจ่มใสไร้ อุปาทาน คือยอดบรมธรรมฯ
............................................
"สุขภาพ จริงๆหมายถึง.....ความสามารถปรับตัว รักษาอารมณ์สุข"
............................................
เพราะยิ่งแก่ ถ้าไม่วางแผนปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ชีวิตสู่ทางที่เป็นมงคลชีวิต
เราก็จะตกเป็นทาส"อารมณ์ซึมเศร้า"
โดยจะมีความคิด นำสู่อารมณ์
หดหู่ ฟุ่งซ่าน ย้ำคิด ย้ำทำ ย้ำแค้น
ย้ำรัก ย้ำหลง ย้ำเสียดาย
แถมอิจฉา บ้าอำนาจฉลาดโกง ใช้อำนาจเงินเบียดเบียนโลก ธรรม
กลายเป็นเปรต เป็นผีเร่ร่อน ไปในภพภูมิต่างๆในใจฯไม่รู้จักเย็น
..........................................
1.ร่างกาย คิดสร้างให้กระดูกแข็งแรง แต่ไม่ต้องถึงกับขัดมัน
กล้ามเนื้อ สร้างกล้ามเนื้ออดทน ยืดหยุ่น
มาแทนกล้ามเนื้อแข็งแรง ด้วยการแบ่งเวลาบริหารทุกอริยาบท
2.จิตใจ
ประกอบด้วย สติ ปัญญา อารมณ์ดีๆ มีวิสัยทัศน์เห็นโลก ธรรม
ต้องปลุกโพธิจิต(ปรีชาญาณฉลาดเลือก) ให้ตื่น
มาควบคุมอธิจิต(จิตปรุงแต่ง) ให้ อิ่มในกุศล
ลด ละ เลิก ในสิ่งที่เคยติด เคยพยาบาท เคยเบียดเบียน ประจำ
และสุขจาก หิตายะสุขายะ แบ่งปันให้ความสุขชีวิตรอบข้าง
3.สังคม
เลิกมั่วสุม ชูงวง สร้างวาทะที่นำไปสู่ความขัดแย้ง
จูงคนไปขวิดกัน เพราะคันปาก มีขวานในปาก เป็นนักพ่นไฟ
และทำตัวเป็นต้นไม้ที่ดี ให้ร่มเงา ดอกผล
และตะเกียงที่แสงสว่าง ส่องทางชีวิตตนและ คนรุ่นต่อไป
ใฝ่รู้ใฝ่เรียนทั้งสหวิชาการ และวิชชานำทางชีวิต ผู้คน
4.สิ่งแวดล้อม
ช่วยกันรัก รักษ์ระบบชีวาลัย ของโลกที่ลอยอยู่ในอวกาศ
เพราะโลกเป็นยานอวกาศมหัศจรรย์ ที่ไม่ใช่เกิดขึ้นง่ายๆ
5.จักรวาล
ธาตุรู้...............................สร้างตัวรู้
ตัวรู้กิน.............................ความรู้
รู้ถึงที่สุด...........................ผู้รู้ก็ตื่น
ผู้รู้ตื่น สติปัญญา เมตตา.....ก็เจริญงอดงาม เบิกบาน
และ.................................กลับไปสู่ธาตุรู้ อย่าง สงบเย็นฯ
..................................................
สุขภาพ กาย จิต สังคม สิ่งแวดล้อม จักรวาล
เป็นหน้าที่ ที่เราต้องทำ เพื่อได้มาซึ่ง
"สุขภาพดี คือลาภอันประเสริฐ" สาธุ
(ขอบคุณเจ้าของภาพครับผม)
Suraphol Kruasuwan originally shared to
Philosophy and healthy ปรัชญา และสุขภาพดี (การสนทนา):
Suraphol KruasuwanOWNER
การสนทนา - 7 July 2016 - 7:01 AM
ปรัชญา
ปรัชญา มีหลายหลากความหมาย
1.ถ้าในมุมมองคนยุโรป เริ่มต้นที่กรีก
คือ"ความรักในความรู้""รักที่จะแสวงหาความรู้ยิ่ง"
Philosophy
2.มาจากอินเดีย
เป็นหลักของชีวิตที่เดียว ไม่ได้หวังผล สักแต่ว่ารู้จำ
จะหมายถึง ทฤษฎี ลัทธิ ศาสนา ที่เป็น
หลักรู้ หลักคิด หลักปฏิบัติ ให้เกิดแสงสว่างนำทางชีวิต มีสองหลัก
-แสงสว่างส่องภายนอก คือวิชา สหวิชาการทั้งหลาย
ให้เห็นปรากฎการณ์ สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม
เพื่อเข้าใจ ปรับตัวอยู่ร่วมอยู่รอด ในโลกที่แข่งขัน สุขจากการเสพ
ครอบครอง แบ้งปัน(สำหรับผู้มีจิตสูงส่ง)
-แสงสว่างภายใน คือวิชชา
ปลุกสติปัญญาตื่น ยามสัมผัสกระแสโลก ธรรม ที่ทำงานในจิตตนเอง
แสงสว่างส่องเห็นปรากฎการณ์การทำงานของจิตปรุงแต่ง
และเปลี่ยนแปลง สู่จิตที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า
สูงสุดคือ อิสระภาพจาก อุปทานทุกข์
2.1 ทุกข์อันเกิดจาก สภาวะทุกข์ โดยมีกฏไตรลักษ์กำกับ
2.2 ทุกข์อันเกิดจาก เวทนาทุกข์ ด้วยการฝึกฝนทักษะ ความอดทันพันเท่า
2.3 ทุกข์อันเกิดจาก อารมณ์ทุกทุกข์ ที่จิตสำนึกปรุงแต่ง
จากความคิด อารมณ์ อุดมคติ ความรู้ ความอยาก สัญชาญญาณดิบ
เป็นบุคลิกภาพภายใน(กรัชกาย) ต่างๆ จากอบาย มนุษย์ เทพ พรหม อริยะ
หมุนเวียน เกิด ดับ เข้าครองกายหยาบ วันละหลายแสนรอบ
จนเมื่อสัมมาสติโพธิปัญญาตื่น มากุมสภาพจิตปรุงแต่ง
และล้างขยะปรุงแต่งอื่นๆ ในจิตใต้สำนึกสิ้น
จิตก็จะ สว่าง เบิกบาน มั่นคง มีคุณภาพ
ฉลาดเลือก ทำแต่สิ่งที่ให้คุณ แก่ตน ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม
ก็จะ"ทำหน้าที่ ดีที่สุดเท่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์"
ที่เป็นส่วนหนึ่งของ วิวัฒนาการ ของระบบชีวาลัยนี้
สาธุ
............................
Suraphol Kruasuwan originally shared to
Philosophy and healthy ปรัชญา และสุขภาพดี (การสนทนา):Originally shared by Suraphol Kruasuwan
ตำนานฮินดู เมื่อโลกถูกสร้างใหม่ หลังจากพินาศ
เพราะ เมื่ออธรรมครองโลกหมดแล้ว
พระศิวะจะเปิดตาที่สาม
เกิดเป็นไฟบรรลัยกัลป์
หล่อหลอม ทุกสิ่ง ทั้งรูปธรรม นามธรรม
พร ทิพย์ เวทย์ ธรรม สรรพวิญญาณ
กลายเป็น ไข่ทองใบหนึ่งผ่านไปหลายชั่วกัปป์
ไข่ทอง ได้แยกเป็นสองส่วน
ธาตุเบาสว่างลอยขึ้น ธาตุหนักทึบจมลง
พระนารายณ์ บรรทมอยู่ และฝันไป
ความฝัน เกิดดอกบัวที่สะดือ กลางดอกบัว พระพรหม เกิดขึ้น
อยู่เดียวดาย จึงเนรมิตร นางร้อยรูป มาเป็นคู่ใจ
เพื่อเอาใจ ไม่ว่านางจะไปไหน
พระพรหม ก็ตามไป เนรมิตสิ่งต่างๆที่นางชอบ
วันหนึ่ง นางอยากจะมี พื้นที่ส่วนตัว พระพรหมจึงสร้างแผ่นดินโลก
กลางมหาสมุทรใหญ่ แผ่นดินโลก เกิดใหม่ มีกลิ่นหอม ดังนมที่ถูกเคี่ยว
หรือเป็น"ง้วนดิน" เหล่าเทวดา พรหม ต่างมาเที่ยวเล่น
พรหมอาภัสรา(มีแสงสว่างงดงาม) หมู่หนึ่ง
ลงมา ทนกลิ่นง้วนดิน ไปไหว จึงลองชิม
ร่างกายเกิดกายหยาบ เหาะกลับวิมานไม่ได้
จึงติดอยู่ในโลก พระมนู ที่เป็นบรรพบรุษ อาภัสราพรหม
จึง เนรมิตร ปัจจัยสี่ ให้ มนุษย์โลก ได้ยังชีพ และสอนให้มีคุณธรรม
เพื่อวิญาณ จะได้กลับคืนสู่วิมาน
เมื่อ มนุษย์ตาย วิญญาณได้ไปเกิด เป็น แทบทุกสิ่ง ในโลก
โดยไม่มีโอกาส กลับวิมาน
วนเวียนในวัฎฏะสังสาร ตกในห้วงมหรรนพ ไม่มีทางออก
พระมนู จึงเนรมิตร นกแก้ว มาสอน วิชาแห่งความรัก
และมนุษย์จึงเสพสม มีลูกหลาน และบอกลูกหลาน
ให้ชำระจิตวิญญาณ ให้บริสุทธิ เพื่อกลับสู่บ้านเกิด
ดังนั้น นกแก้ว และ สรรพน้องนก
คือ อาจารย์ พวกเราเด้อ 55555+
.........................................
และพวกเรา และจักรวาล คือความฝัน(มายา)
ของพระนารายณ์ ช่วงสร้างโลก
กุศลธรรมะสามส่วน อธรรม หรือ อธรรมหนึ่งส่วน ครองจักรวาล
เวลาผ่านไป อธรรมจะครอบงำ
จิตวิญญาณมนุษย์ มากขึ้น กุศลธรรมจะลดลง
ปัจจุบัน กุศลธรรมมีเพียงหนึ่งส่วน อกุศลมีสามส่วน
และ อกุศลก็ ยึดครองจิตวิญญาณมนุษย์และจักรวาล
จนสิ้น กุศล พระศิวะ ก็จะมาเปิดตาที่สามล้าง จักรวาล สร้างใหม่
มันเป็นเช่นนั้นเอง
......................................................
มนุษย์ เป็นบุตรพระมนู ผู้มีใจสูงส่ง ในร่างเดียรัจฉาน
เราจึง กิน นอน ถ่าย กลัวภัย สืบพันธุ์ เช่นเดียรัจฉาน
แต่จิตวิญญาณดั่งเดิม เราเป็น อาภัสราพรหม
พรหมผู้มีแสงสว่างอันงดงาม อันหาประมาณมิได้
เราจะเปล่งแสงสว่าง แห่งจิตวิญญาณ
หรือหลับ อยู่ในธาตุหนัก จนวันสิ้นโลก
อยู่ที่การกระทำ(กรรม)ที่เรามีเจตนาสร้างเอง
"ดีชั่ว...........................ตัวทำ
สูง ต่ำ..........................ทำตัวเอง"
ขอบคุณเจ้าของคลิป เรื่องราว และผู้ชมทุกท่าน ครับผม สาธุ
..
..
Originally shared by Suraphol Kruasuwan
4 พ.ย.2015
ท่ารำของพระศิวะ..มี 108 เท่ากับ
1.มีวิธี 108 ของจิต ในการจัดการกับ
ตัณหา 108 .....
2.มีท่าทางพิชิตชัย ในการต่อสู้ทางกายภาพ 108ท่า
3.คนที่ฉลาด ย่อมเห็น คุณค่า ในสิ่งที่ทุกสิ่ง สาธุ
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
นาฏราช (Nataraja) หรือพระศิวะในฐานะของบรมครูองค์แรกแห่งการร่ายรำ
พระหัตถ์ขวาด้านบน ทรงถือกลองรูปร่างคล้ายๆ นาฬิกาทราย (เอวคอด)
กลองเล็กๆ ใบนี้ให้จังหวะประกอบการฟ้อนรำของพระศิวะ
และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ เสียงกลองเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในจักรวาล
นั่นคือ กลองเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ทั้งมวล
พระหัตถ์ซ้ายด้านบน ถืออัคนี อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำลายล้าง
โดยคำว่า ทำลายล้าง ในที่นี้ หมายถึง ล้างความชั่ว ล้างอวิชชา ให้หมดไป
เพื่อเปิดทางการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่
พระกรและพระหัตถ์คู่ซ้าย-ขวา ซึ่งแทนการสร้างสรรค์และการทำลายล้างนี้
กางออกไปในระดับเสมอกัน อันบ่งบอกถึงความหมายที่ว่า
"มีเกิด ก็ย่อมมีดับ" นั่นเอง
พระหัตถ์ขวาด้านล่างแบออก เรียกว่า ปางอภัย (abhaya pose)
ซึ่งมีความหมายว่า "จงอย่าได้กลัวเลย" (do not fear)
เพราะไม่มีภัยใดๆ จะมากล้ำกลาย ท่านี้บ่งว่าพระศิวะเป็นผู้ปกป้องอีกด้วย
ส่วนพระกรซ้ายด้านล่างพาดขวางลำตัวระดับอก
ในลักษณะคล้ายๆ งวงช้าง ซึ่งบางคนตีความว่า เป็นงวงของพระคเณศ
เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ และเป็นบุตรของพระศิวะอีกต่างหาก
ปลายนิ้วของพระกรที่เป็นงวงช้างนี้ชี้ไปที่พระบาทซ้ายที่ยกขึ้น มาจากพื้น
ก็ตีความกันว่า พระบาทที่ยกขึ้นมานี้บ่งถึงการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
ส่วนพระบาทขวานั้นเหยียบอยู่บนอสูรมูลาคนี
ซึ่งเป็นตัวแทนของอวิชชา
เมื่ออวิชชาถูก 'เหยียบ' ไม่ให้โผล่ขึ้นมาบดบังความจริง
ความรู้แจ้ง (วิชชา) ก็จะปรากฏขึ้นนั่นเอง
วงกลมๆ ที่ล้อมพระศิวะอยู่ก็คือ ขอบเขตแห่งการร่ายรำ
อันเป็นตัวแทนของจักรวาลทั้งมวล โดยมีขอบด้านนอกเป็นเปลวไฟ
และมีขอบด้านในเป็นน้ำในมหาสมุทร
พระศิวะในปางนาฏราชนี้ยังแสดงคู่ตรงกันข้ามกันเช่น กลอง = สร้าง vs ไฟ = ทำลาย
แม้พระศิวะจะร่ายรำ ขยับมือ ขยับเท้าและแขนขาอย่างต่อเนื่อง
แต่พระพักตร์กลับสงบนิ่งเฉย เหมือนไร้ความรู้สึก
ซึ่งเป็นเสมือนการสอนว่า การเกิด-ดับของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่โดยตลอด
พระเกศาของพระศิวะยาวสยาย ปลิวสะบัดยื่นออกไปทั้งซ้ายขวา
เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ละทิ้งชีวิตทางโลก
แต่ก็มีพระคงคาและพระจันทร์เสี้ยวอนเป็นสัญญลักษณ์แห่งเทพสตรีประดับอยู่ด้วย
"เพื่อความเข้าใจอันดี ของ ลัทธิเพื่อนร่วมโลกย์ " สาธุ
"โอม นมัส ชีวา"