องค์กรเคออร์ดิค ใช้ “มิติทางจิตใจ” ของสมาชิกในการทำงานฟันฝ่า “ระบบนิเวศแห่งความไม่แน่นอน” ร่วมกัน
สมาชิกขององค์กรเคออร์ดิค จึงเรียนรู้และประยุกต์ใช้การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ (contemplation) ไปพร้อมกัน กล่าวคือ เอาใจใส่ ประยุกต์ใช้และฝึกฝน มิติด้านจิตใจที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของตนเองและละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของผู้อื่น
“ความรู้สึก” ในที่นี้ มีทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมและส่วนที่เป็นนามธรรม ในส่วนที่เป็นรูปธรรม เป็นความรู้สึกที่ได้มาจากความช่างสังเกต สิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่มีความสำคัญยิ่งต่อมิติด้านจิตใจ ด้านการอยู่ร่วมกัน ด้านการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ความช่างสังเกต เป็นคุณสมบัติที่ต้องการใช้ และต้องสร้างขึ้น พัฒนาขึ้น ในองค์กรเคออร์ดิค
ความช่างสังเกต ใช้ได้ทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมและส่วนที่เป็นนามธรรม ส่วนที่เป็นรูปธรรม สามารถวัดออกมาได้เป็นขนาด หรือนับจำนวนหรือมีแสงสี ความชัดเจน เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ส่วนที่เป็นนามธรรม สัมผัสได้ด้วยใจ สื่อสารต่อกันได้ด้วยใจ
องค์กรเคออร์ดิคที่แท้ สมาชิกจึงสื่อสารกันในหลายมิติและมิติที่ขาดไม่ได้คือ การสื่อสารจากใจถึงใจ เป็นการสื่อสารที่มีพลังลึกลับ แต่สัมผัสได้ โดยผู้ที่จะสัมผัสได้ต้องมีความละเอียดอ่อนในการรับรู้
องค์กรเคออร์ดิค จึงเป็นองค์กรที่มีการฝึกฝน และการใช้การสื่อสารและการรับสารที่ละเอียดอ่อน ที่เป็นการสื่อสารแบบ “อวัจนะ” (non – verbal) หรือเป็นการสื่อสารส่วนที่แทรกอยู่ในการสื่อวัจนะ (verbal) คือ “ระหว่างบรรทัด” หรือ “ระหว่างถ้อยคำ” และในบางกรณีเป็นการสื่อสารด้วยความเงียบ
การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ (จิตตปัญญาศึกษา – Contemplative Education) ประกอบด้วยองค์ 3 คือ
การฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening)
การน้อมสู่ใจอย่างใคร่ครวญ (contemplation)
การเฝ้ามองเห็นตามที่เป็นจริง (meditation)
ท่านที่สนใจรายละเอียดอ่านได้จากหนังสือ “เรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ” โดยวิจักขณ์ พานิช สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา 2550
ผมมองว่า องค์กรเคออร์ดิค คือองค์กรที่ใช้พลังธรรมชาติหรือพลังธรรมดาในการขับเคลื่อนองค์กร และการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ ก็คือ การเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ใช้ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์
จากประสบการณ์ตรงของตนเอง ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันภายในองค์กร หรือเมื่ออยู่คนเดียวที่บ้าน ผมประยุกต์ใช้องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งของ “การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ” หรือบางครั้งใช้หลายองค์ประกอบพร้อม ๆ กัน มีทั้งใช้คนเดียว และใช้ร่วมกันหลาย ๆ คน และหลายครั้งใช้ร่วมกับสมาชิกเครือข่ายที่อยู่นอกองค์กร
เท่ากับ องค์กรเคออร์ดิค รู้จักใช้พลังทางจิตวิญญาณ พลังปัญญา หรือพลังแห่งการตื่นรู้ เพื่อการบรรลุเป้าหมายขององค์กร โดยที่พลังแห่งการตื่นรู้ตามแนวของศาสนาพุทธ วัชรยาน จำแนกพลังแห่งการตื่นรู้ออกเป็น 5 พลัง
พลังวัชระ เป็นพลังความสามารถคิดวินิจฉัยใคร่ครวญได้อย่างลึกซึ้ง มีความหลักแหลมเฉียบคมทางปัญญา ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบถี่ถ้วน วิเคราะห์เหตุปัจจัย ผลลัพธ์ ความเป็นไปได้อย่างตรงจุด
พลังรัตนะ คือพลังแห่งความเผื่อแผ่แบ่งปัน
พลังปัทมะ คือพลังแห่งการสื่อสารปฏิสัมพันธ์
พลังกรรมะ คือพลังของการกระทำอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้ง
พลังพุทธะ คือพลังของการใคร่ครวญพิจารณาหาคุณค่าและความหมายของสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นการใคร่ครวญพิจารณาแบบใจกว้างไม่ยึดติด และไม่ตัดสิน
ความพอดีหรือความสมดุลของพลังทั้ง 5 ทำให้เกิดการตื่นรู้ และการเรียนรู้จากสภาพความเป็นจริง จากการปฏิบัติงาน และการดำรงชีวิตร่วมกัน เป็นทั้งการเรียนรู้ภายในและการเรียนรู้ภายนอก ก่อผลทั้งต่อจิตใจของสมาชิกองค์กรและต่อวัฒนธรรมองค์กร รวมทั้งก่อผลเชิงรูปธรรมต่อผลการประกอบการขององค์กร
องค์กรที่ตื่นรู้และเรียนรู้จากการปฏิบัติ สมาชิกองค์กรที่เรียนรู้และตื่นรู้จากการปฏิบัติ โดยมีทักษะในการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ จะสามารถ “รู้” สิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญต่อกิจการขององค์กรได้ในมิติที่ลึกกว่า ว่องไวกว่า เชื่อมโยงกว่า เป็นรูปธรรมกว่า จึงมีความสามารถปรับตัว พัฒนาตัวเพื่อการทำหน้าที่และการดำรงอยู่ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและคาดเดายากอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
วิจารณ์ พานิช
http://gotoknow.org/blog/thaikm/160215