ทาไลลามะแห่งธิเบต เมื่อพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นที่ภารตประเทศนั้น ได้แพร่ขยายออกไปทั่วทั้ง ชมพูทวีปแล้วลงใต้ไปทางลังกา ตลอดจนเอเชียอาคเนย์ และขึ้นเหนือไป ทางเมืองจีน ธิเบต เกาหลี และญี่ปุ่น กินเวลาหลายศตวรรษ
ธิเบตเป็นดินแดนของชนชาตินักรบ ที่เคยเอาชนะจีน ดังตามสัญญาสงบศึก คราวหนึ่งพระเจ้ากรุงจีนต้องถวายราชธิดาไปเป็นมเหสีพระเจ้าแผ่นดินธิเบต ซึ่งได้ทรงอภิเษกกับราชธิดาพระเจ้ากกรุงเนปาลด้วย พร้อม ๆ กันไป โดย เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์เป็นอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา จึงช่วยให้พระราช สวามีหันมารับนับถือพระรัตนตรัยด้วย
เวลานั้น ธิเบตยังไม่มีภาษาเขียนหรือวรรณศิลป์ ลัทธิศาสนาเป็นการนับถือ ผี เรียกว่า
บอน เมื่อทรงสมาทานพระพุทธศาสนาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินธิเบต ทรงส่งคณะทูตไปภารตประเทศเพื่อเรียนภาษาสันสกฤต แล้วนำอักษรเทวนา ครีตลอดจนคัมภีร์ไวยากรณ์มาใช้ เป็นบรรทัดฐานสำหรับสำหรับพัฒนาภาษา ธิเบต เป็นเหตุให้ภาษาและวัฒนธรรมของธิเบตเป็นไปตามนัยแห่งพระพุทธ ศาสนามากยิ่งขึ้นทุกที มีการสร้างวัดวาอาราม สำนักเรียน สำนักปฏิบัติ จน เป็นหลักฐาน นับว่าพระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่นที่ในประเทศนั้นโดยแท้
ที่จริง เมื่อพุทธปรินิพพานล่วงแล้วไปได้ราว ๆ พันปีนั้น พุทธศาสนาทางจีน ได้แตกต่างไปจากทางอินเดียมากแล้ว พระเจ้าแผ่นดินธิเบตทรงสนพระทัยว่า จะเลือกพระพุทธศาสนาแบบใหน จึงได้อาราธนาพระอาจารย์เจ้ามาจากทั้ง ๒ ประเทศ ให้แสดงปุจฉาวิสัจฉนากัน
ผลปรากฏว่าทรงพระราชศรัทธาฝ่ายภารต ธิเบตจึงปิดกั้นไม่รับศาสนธรรมจากกระแสจีนอีกเลยก็ว่าได้พระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อ ๆ มาได้ตั้งราชบัณฑิตสภาขึ้น อาราธนาพระมหาเถระ จากมหาวิทยาลัยสงฆ์ในชมพูทวีป มาสอนธรรมและแปลพระธรรมคัมภีร์เป็น ภาษาธิเบต นับว่าเป็นเหตุอันพึงยินดี เพราะหลังจากนี้อีกไม่นาน พระพุทธ ศาสนาก็อันตรธานไปจากอินเดีย มหาวิทยาลัยสงฆ์ถูกทำลาย วัดวาอาราม รกร้าง พระธรรมคัมภีร์สูญหาย ครูอาจารย์ถูกฆ่าตาย ฯลฯ เพราะภัยจากพวก มุสลิมด้วย และจากพวกพรหมณ์ด้วย โดยไม่นับความเสื่อมของพุทธศาสนิก ชนเอง นอกไปจากนี้แล้ว คัมภีร์ที่เขียนขึ้นบนใบลานนั้น โดนลมฝนและ อุณหภูมิอย่างเมืองร้อนเข้า รวมทั้งมดและปลวก ช่วยให้อันตรธานได้ง่าย กว่า
ทางธิเบตและเอเชียกลาง ซึ่งยังเก็บตำรานั้น ๆ ไว้ได้กว่าพันปีก็มีกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
ธิเบตได้รักษาพระพุทธศาสนาแบบตันตรยานไว้ได้ โดยนิกายนี้เป็นหลักในชมพูทวีปเมื่อพุทธกาลล่วงแล้วได้ราว ๆ พันปี ใน ขณะที่
ลังการักษารูปแบบของเถรวาทหรือทักษิณยานไว้ได้ และ
จีนรักษา มหายานหรืออาจารยวาทไว้ได้แล้วแพร่ขยายออกไปยังเกาหลีญี่ปุ่น และ เวียดนาม โดยที่มหายานและตันตรยานเคยแพร่ขยายไปถึงสยาม กัมพูชา และอินโดนีเซียด้วย
ตันตรยานหรือ
วัชรยานนั้นถือว่า
พระภิกษุสงฆ์ต้องเคร่งครัดตามพระธรรม วินัยอย่างฝ่ายเถรวาท หากมุ่งที่โพธิสัตวบารมีเพื่อขนสรรพสัตว์ให้ข้ามโอฆ สงสารอย่างฝ่ายมหายาน โดยมี
การสอนมนตร์กันอย่างรหัสนัย อันเรียกว่า
ตันตรวิธี คือ ศิษย์เรียนจากพระอาจารย์เจ้าโดยตรงด้วยวิธี
การอภิเษก สืบ ทอดพระธรรมวิเศษจากคุรุหรือลามะถึงสานุศิษย์โดยนัยแห่งวัชยานคือม
ียาน เป็นเพชรอันอาจตัดกิเลสได้ขาดอย่างรวดเร็วทันใจในชาตินี้ ไม่ต้องรอไปถึง ชาติหน้าโน้น
ในบรรดาผู้นำทางศาสนานิกายวัชยานหรือตันตรยานของธิเบตนั้น ท่าน
ปทุมสัมภวะ หรือ
ปทุมสมภพถือเป็นต้นนิกาย ดังท่าน
นาคารชุนเป็นสดมภ์ หลักทางมหายาน และ
ท่านพุทธโฆสาเป็นพระอรรถกถาจารย์ใหญ่ของ ฝ่ายเถรวาทนั่นเอง ส่วนชาวพื้นเมืองในธิเบตเองนั้น ถือกันว่า
ท่าน เกน- ดรุน-ดรุป เป็นพระอาจารย์เจ้าที่สำคัญยิ่ง ท่านมีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๓๔ - ๒o๑๘ เมื่อท่านมรณภาพล่วงไปแล้ว บรรดาสานุศิษย์ พากันกล่าวว่าท่าน เป็น
พระโพธิสัตว์ ซึ่งจะยังไม่ยอมตรัสรู้ หากจะกลับมาเกิดเพื่อช่วยสรรพ สัตว์ ทั้งยังเชื่อกันด้วยว่า ท่านได้บารมีจาก
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อวตารให้มาเกิดในธิเบตเพื่อประดิษฐานพระศาสนาให้มั่นคง
อัน
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ นั้น ทางตันตรยานถือว่า ท่านคือ
บุคคลาธิษ ฐานแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันอาจถือกำเนิด เป็นชายก็ได้ หญิงก็ได้ ( เช่นเจ้าแม่กวนอิม ) เป็นเทพก็ได้ สัตว์ก็ได้ ฯลฯ เท่ากับการอวตารหรือแบ่งภาคมาเกิด ส่วน
พระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า อันเป็นธรรมาธิษฐานนั้น ในทางบุคคลาธิษฐานก็คือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ โดยที่พลานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ในทางบุคคลาธิษฐาน ได้แก่ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์
เมื่อเชื่อแน่ว่า ท่าน เกน-ดุน-ดรุป เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ซึ่งจะกลับชาติมาเกิด อีกในธิเบต โดยท่านให้นัยไว้ก่อนมรณภาพ หลังจากนั้นไม่นาน พวกสานุศิษย์ จึงค้นหาทารกที่เกิดใหม่ได้ว่าคือ พระอาจารย์เจ้า กลับชาติมาเกิด และเมื่อ ท่าน เกน-ดุน-ดรุป กลับชาติมาเกิดเป็นครั้งที่ ๓ แล้วนั้น จึงได้รับสมัญนามว่า
ทะไลลามะ จากอัลตัน ข่าน พระมหากษัตริย์แห่งมงโกเลีย จึงหันมาสมาทาน พระพุทธศาสนาเพราะเมตตาบารมีของพระอาจารย์เจ้ารูปนี้
ทำให้ชาติมงโกเลีย เปลี่ยนสภาพจากความเป็นนักรบที่ดุร้าย อันเคยไปพิชิตถึงยุโรปและกรุงจีน มาเป็นชนชาติที่สงบแต่นั้นมา และประชาชนยังนับถือพระพุทธศาสนานิกาย วัชรยานมาจนบัดนี้ ทั้งที่จีนยึดครองไป และที่รัสเซียมีอำนาจทางการเมือง เหนือในอีกส่วนแล้วก็ตาม
ทะไล ในภาษามงโกล แปลว่า ทะเล ลามะในภาษาธิเบตแปลว่า อาจารย์ รวมความแล้วหมายความว่า
พระอาจารย์ผู้มีความรู้กว้างขวางลึกซึ้งดุจดัง มหาสมุทร โดยถือเอาพระนามนี้มีผลย้อนหลังไปถึงท่านเกน- ดุน - ดรุป องค์แรก องค์ที่ได้รับถวายพระนามจึงถือได้ว่าเป็นทะไลลามะองค์ที่ ๓
ทะไลลามะดำรงตำแหน่งประมุขทางศาสนานิกายวัชรยานอยู่ประมาณ ร้อยปีจนถึงองค์ที่ ๕ จึงทรงไว้ซึ่ง
พระสถานะประมุขแห่งอาณาจักรด้วย และศาสนจักรด้วย ทั้งนี้เพราะมงโกเลียสนับสนุน ทั้งยังทรงพระปรีชา สามารถมากทางรัฐประศาสนศาสตร์ ตำแหน่งดังกล่าวสืบต่อเนื่องมาจนถึง องค์ปัจจุบัน นับเป็นอันดับที่ ๑๔ หากถูกจีนยึดครองธิเบตในทางการเมือง เมื่อพ.ศ.๒๕o๒ เป็นเหตุให้องค์ทะไลลามะเสด็จลี้ภัยพาลมาประทับที่
ธรรม ศาลาในประเทศอินเดียพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสจำนวนหลาย แสน
เป็นเหตุให้แพร่พระพุทธศาสนาออกไปยังนานาประเทศอย่างน่าสน ใจยิ่งจากจำนวนทะไลลามะทั้งหมดนั้น บัดนี้มีพระประวัติและพระนิพนธ์ของ แทบทุกพระองค์ออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วย แล้ว ๕ พระองค์แรก ดูทรง จะเป็นนักปราชญ์ ฉลาดการสอนธรรม เป็นประการสำคัญ ยังองค์ที่ ๗ และที่๘ ก็สำคัญนัก ส่วนองค์ที่ ๖ ออกจะทรงเฮี้ยว ๆ อยู่สักหน่อยและมีเรื่อง ขำ ๆ เล่าเกี่ยวกับพระองค์ท่านมาก
ในช่วงศตวรรษที่แล้ว มีการเมืองจากต่างประเทศเข้าไปพัวพันกับสถานะ ของทะไลลามะมากอยู่ตั้งแต่องค์ที่ ๙ จนองค์ที่ ๑๒ ต้องเผชิญกับอำนาจ ของเนปาลกับจีน ซึ่งบีบบังคับธิเบตยิ่งขึ้น ทั้งภายหลังยังมีอังกฤษและ รัสเซียที่พยายามแพร่อิทธิพลเข้าไป โดยไม่ต้องเอ่ยถึงมิชชันนารีฝรั่งเอา เลยก็ได้ ทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ ต้องพยายามประคับประคองประเทศชาติ มาก บางครั้งต้องทรงอพยพหลบจีนบ้าง อังกฤษบ้าง จนสิ้นพระชนม์ลง ใน พ.ศ. ๒๔๗๖

เมื่อทะไลลามะสิ้นพระชนม์ลง ย่อมมีการเลือกตั้งผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ ให้เป็นประมุขชั่วคราวจนกว่าจะหาองค์ใหม่ได้ แล้วถวายคำ ปรึกษาหารือ หรือปกครองในพระนามาภิไธยจนบรรลุพระนิติภาวะ
ทางด้านประชาราษฎร พอรู้ว่าองค์พระประมุขสิ้นพระชนม์ แทบทุกครัว เรือนย่อมคอยสังเกตุการฝัน และเฝ้ามองปรากฏการณ์อันอาจเป็นสิริมงคล พิเศษ เพื่อจะรู้ว่าทารกที่มาเกิดใหม่อาจเป็นองค์ทะไลลามะก็ได้
พระศพทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ ประดิษฐานไว้ในท่านั่ง ณ พระราชวังฤดูร้อน แห่งกรุงลาสา ๒ ครั้ง
ยามราตรีที่พระศพพลิกพระพักตร์ไปทางตะวันออก ทั้งมีรุ้งพวยพุ่งขึ้นและเมฆปรากฏอย่างประหลาดทางท้องฟ้าภาคตะวันออก ด้วย ส่อว่าทะไลลามะองค์ใหม่คงจะไปปฏิสนธิทางแถบนั้นเมื่อได้สัญลักษณ์เช่นนี้ ผู้สำเร็จราชการจึงออกไปยังทะเลสาบใกล้กรุงลาสา เพื่อ
บำเพ็ญพรตภาวนาอธิษฐาน ขอนิมิตหมายสำหรับแสวงหาที่ประสูติของ ทะไลลามะนิมิตที่ปรากฏจากทะเลสาบคือวัดที่มีอาคารสูงสามชั้น ประกอบไปด้วย พระเจดีย์ทรงจีนสีทองมียอดคล้ายโดม มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีเขียวขุ่น หลังพระเจดีย์มีทางเดินสีขาวเข้าสู่เรือนชาวบ้าน ตัวเรือนมีชายคาทรงแปลก และมีสุนัขธิเบตตัวใหญ่อยู่หน้าประตู
เป็นอันส่งคณะผู้สำรวจไปทางตะวันออกเฉียงเหนือก่อน โดยไปปรึกษา กับคณะลามะพื้นเมืองและหารือพระสงฆาธิการตามท้องถิ่น เพื่อหาราย งานเกี่ยวกับทารกที่ถือกำเนิดอย่างพิเศษ โดยทางบิดามารดาฝันอย่างแปลก ประหลาดด้วย
ทางแถบอัมโด มีทารกเข้าข่ายแห่งการพิจารณา ๑๒ คน ทุกคนได้รับการ ทดสอบ แล้วคณะผู้สำรวจส่งตัวแทนบางคนไปยังเรือนพ่อค้าม้าชาวธิเบต แห่งหนึ่ง ซึ่งได้ทราบว่ามีทารกเกิดมาได้ ๒ ปีแล้ว
คณะนี้ปลอมตัวไป หัวหน้าแต่งตัวเป็นคนรับใช้ ให้คนใช้ครองผ้าดังเป็น พระคณาจารย์ใหญ่เข้าไปบอกเจ้าของบ้านว่าเป็นกลุ่มผู้แสวงบุญ มาเพื่อน มัสการพระ ณ วัดกุม-บุม ทางแถบนั้นขออนุญาติจากมารดาทารก เพื่อค้าง คืน ซึ่งตามปกติบุญจาริกย่อมประพฤติปฏิบัติกันเช่นนี้ในธิเบต
เมื่อคณะนี้เดินเข้าเรือน ได้สังเกตุเห็นเด็กชายอายุ ๒ ขวบ หัวหน้าคณะ ที่แต่งเป็นคนรับใช้ คล้องลูกประคำที่คอ โดยที่ประคำสายนี้เป็นของทะไล ลามะองค์ที่ ๑๓ พอเด็กเห็นเข้าเท่านั้นได้วิ่งเข้าไปยังพระรูปนี้ แย่งลูกประคำ มาและบอกว่า
" นี่ของฉัน " แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักของท่านองค์นั้น ซึ่ง พูดว่า " ฉันจะให้ลูกประคำเธอ ถ้าเธอบอกได้ว่าฉันเป็นใคร " เด็กตอบทันที ว่า
" ท่านเป็นพระจากวัดเสระ " ซึ่งถูกต้อง
ครั้นถามต่อไปว่าคนที่นั่งถัดไป เป็นใครเด็กเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามได้ถูกต้องอีก คณะผู้สำรวจเก็บความแปลกใจไว้เงียบ ๆ ตลอดคืน รุ่งเช้าก็ลาเจ้าของ บ้านไป เด็กร้องไห้และวิ่งเต้น ขอตามไปด้วย
คณะผู้สำรวจรายงานกลับไปยังเมืองหลวงว่าเห็นทีจะได้ทะไลลามะองค์ ใหม่แน่แล้ว แต่ก็ต้องสำรวจต่อไปอีก โดยไม่ได้กลับไปบ้านนั้นอีกหลาย เดือนต่อมา
เมื่อกลับมาครั้งหลัง ทุกรูปครองผ้าแแบบสมณะ หากบอกเจ้าของบ้านว่า มาหาการเกิดใหม่ของลามะที่สำคัญ อันมักมีอยู่เนือง ๆ ในธิเบต ด้วย
ริมโปเจ ที่ทรงสมาธิคุณขั้นสูง กำหนดการเกิดใหม่มีได้เป็นร้อย ๆ รูป เป็นแต่ถือกัน ว่าทะไลลามะทรงคุณวิเศษสูงกว่าองค์อื่น ๆ เท่านั้น แม้ในครอบครัวนี้เอง เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ก็มีลามะในแถบนั้นรูปหนึ่งกลับชาติมาเกิด
คราวนี้ คณะผู้สำรวจนำสิ่งของของทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ มาด้วยหลายชิ้น และเอาของปลอมที่คล้าย ๆ กันมาด้วย คือ ลูกประคำดำสาย ๑ ลูกประคำ เหลืองสาย ๑ ธารพระกร ๑ กลองที่ใช้ในพิธีทางศาสนา ๑ เอาของจริงของ ปลอมวางไว้บนโต๊ะให้เด็กเลือก เด็กเลือกประคำดำได้ถูกต้องทันที แล้วก็ หยิบประคำเหลืองได้ถูกต้องด้วย ส่วนธารพระกร ๒ อันนั้น เด็กชะงักทีแรก เลือกได้อันผิดแล้ววางจึงเลือกได้อันถูก แท้ที่จริงทราบกันภายหลังว่า ธาร พระกรที่เด็กแรกหยิบนั้นเคยมีผู้ถวายทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ ซึ่งทรงเก็บไว้ วันหนึ่ง แล้วประทานให้ผู้อื่นไปส่วนกลอง เด็กหยิบถูกทันทีเลย
คณะผู้สำรวจแน่ใจว่าค้นได้ทะไลลามะองค์ใหม่แน่แล้วจึงส่งม้าเร็วไป แจ้งข่าวยังเมืองหลวงซึ่งต้องใช้เวลา ๒ เดือน ( เพราะถ้าส่งโทรเลขต้อง ผ่านเมืองจีน กลัวความลับรั่ว ) พร้อมกันนี้คณะผู้สำรวจก็ต้องติดต่อเจ้า เมืองทางแถบนั้น ซึ่งเป็นชายแดนติดต่อกับจีนทางทะเลสาบโกโกนอร์ แจ้งว่าพบเด็กซึ่งอาจเป็นหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ คนที่เข้าข่ายแห่งการคัด เลือกเป็นทะไลลามะ จึงอยากขออนุญาติพาตัวไปเมืองหลวงเพื่อคัดเลือก ในการเข้ารอบ
เจ้าเมืองเป็นจีนมุสลิม และเป็นนายทหารที่มีชื่อเสียงไม่ดีนัก ทั้งยังฉลาด แกมโกงอีกด้วยพอทราบข่าวจากคณะสำรวจ ก็ให้ไปตามพ่อแม่เด็กมาและ ให้เอาตัวเด็กมาด้วย แล้วถามเด็กอายุ ๓ ขวบว่า " เธอคือทะไลลามะหรือ " เด็กตอบว่า
" ใช่ ฉันคือทะไลลามะ " เจ้าเมืองเลยยึดเอาตัวเด็กไว้ แล้วเรียก เงินแท่งเป็นคาไถ่ ๕ แสนเหรียญจากรัฐบาลธิเบต เมื่อได้เงินแล้วจึงยอมปล่อย ตัวเด็กไป

เป็นอัน อัญเชิญทะไลลามะองค์ใหม่ขึ้นเสลี่ยง นำข้ามภูเขาลูกต่าง ๆ ไปยัง กรุงลาสา เมื่อพระชนม์ครบ ๕ จึงสถาปนาขึ้นเป็นทะไลลามะองคืที่ ๑๔ ถวายพระนามว่า
เตนซิน กยัตโส แล้วก็ต้องทรงศึกษาพระธรรมวินัยอย่าง เข้มงวดกวดขันภายในพระราชวังโปตาลา แล้วยังต้องไปศึกษาตามวัดใหญ่ ๆ อีกหลายแห่ง พระอาจารย์ประจำพระองค์มี ๒ รูป ล้วนเป็นนักปราชญ์คน สำคัญของธิเบตทั้งคู่แต่พอมาถึง พ.ศ. ๒๔๘๓ จีนคอมมิวนิสต์ก็บุกธิเบต เมื่อพระชนม์ได้ ๑๕
ตามปกติ ทะไลลามะจะไม่ทรงว่าราชการบ้านเมืองจนบรรลุนิติภาวะเมื่อ พระชนม์ได้ ๑๘ หากเกิดภาวะวิกฤตขึ้น จึงต้องทรงรับภาระหน้าที่ทาง การเมืองเมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ หลังจากนั้นได้เสด็จไปปักกิ่งกับปันเจน ลามะ ซึ่งถือว่าเป็นอุปราชทางศาสนา ได้ทรงพบทั้งเมาเซตุงและจูเอนไลและแน่ พระทัยว่าจีนจะยึกครองธิเบต และจีนก็ทำเช่นนั้นในปี ๒๕o๒
ที่เล่ามานี้ เก็บความจากหนังสือฝรั่ง ( ซึ่งถือพุทธ ) เขียนขึ้น หากจะอ่าน จากพระนิพนธ์ของพระองค์เอง ขอให้ด
ูแผ่นดินและประชากรของข้าพเจ้า อันเป็นชีวประวัติ ซึ่งได้จัดพิมพ์ขึ้นอีกแล้วเป็นครั้งที่ ๓ โดยทรงเขียนขึ้น แต่ พ.ศ. ๒๕o๕ และทรงเล่าเหตุการณ์อันเลวร้าย จากการกระทำของจีน คอมมิวนิสต์อย่างทรงไว้ซึ่ง
เมตตากรุณยภาพมาก จากนั้นมาจนบัดนี้คอม มิวนิสต์จีนได้ทวีความรุนแรงในการกดขี่ข่มเหงธิเบตและพระพุทธศาสนา ในทุก ๆ ทาง แม้จะอ้างเลศอย่างไรก็สุดแท้
ถ้าสาธุชนคนไทยเข้าใจเรื่อง ทะไลลามะและเรื่องวัชรยานของธิเบตได้มากเพียงไร จักเป็นคุณประโยชน์ ในทางโลกและทางธรรมยิ่งขึ้นเพียงนั้นข้อสำคัญ ขอชาวเราอย่าหลงเลศจีนคอมมิวนิสต์และ
อย่าใจแคบเกี่ยวกับ พุทธศาสนานิกายอื่น ซึ่งแม้จะต่างจากเรา ก็ช่วยให้เราเข้าใจพระสัทธรรม ในแง่มุมที่แตกต่างออกไป ในเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ด้วยแล้ว ข้าพเจ้า เคยพบท่านลามะชาวธิเบตที่ทรงสถานะเช่นนี้บางรูป แต่ละรูปล้วนมีความ อ่อนน้อมถ่อมตนและมีคุณธรรมอื่น ๆ อันเคารพเลื่อมใส องค์ทะไลลามะ ข้าพเจ้าก็เคยเฝ้า และยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงไว้ซึ่งพระคุณสมบัติอันพิเศษ ซึ่งสาธุชนชาวเรากราบไหว้ได้สนิทใจ ทั้งยังเรียนรู้อะไร ๆ จากพระจริยวัตร ของพระองค์ได้มาก
แม้คริสต์ศาสนิกชนก็อาราธนาพระองค์ท่านไปนำสวด ภาวนาเพื่อสันติภาพร่วมกับองค์พระสันตปปาที่เมืองอัสซิซิในอิตาลีเมื่อปี กลาย ก่อนหน้านี้ อธิบดีสงฆ์นิกายอังกฤษแห่งวิหารเวสมินสเตอร์ในกรุง ลอดอน ก็ขอให้ท่านแสดงธรรมต่อนักพรตคริสต์ทุกนิกายที่สนใจทางสมาธิ ภาวนา นับว่าเป็นที่สรรเสริญของทุกคนที่ร่วมรรับฟังพระวัจนะของพระองค์ ท่านทั้งนี้ โดยไม่จำต้องเอ่ยถึงในที่ประชุมฝรั่งอื่น ๆ ที่ถือพุทธทั้งในยุโรป และอเมริกาที่น่ายินดี ก็ตรงที่ทรงรับโครงการไทย - ธิเบตในเรื่องธรรมชาติศึกษา เพื่อ แก้ปัญหานิเวศวิทยา ตามครรลองแห่งพระพุทธศาสนาไว้ในพระอุปถัมภ์ ให้เป็นต้น แม้สภาคริสต์จักรโลกก็อยากเรียนรู้วิธีการดังกล่าว โดยชุมชน พุทธแบบธิเบตก็ได้ขยายตัวออกไปในโลกที่ ๑ ยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที หากไม่เป็น ไปในทางกร้าวร้าวหรือเผยแผ่ศาสนาอย่างหยาบ ด้วยต้องการผูกมิตรกับ ทุกลัทธิ ทุกศาสนา โดยไม่ต้องการแย่งศาสนิกนิกรจากใคร
ในแทบทุกประเทศ รวมทั้งมาเลเซีย มีสถาบันการศึกษาพุทธศาสนาแบบ วัชรยานขึ้นด้วยแล้วแล้วทั้งนั้น เว้นแต่ประเทศไทยซึ่งแม้องค์ทะไลลามะเอง รัฐบาลยังไม่ยอมให้เสด็จเข้ามา ความข้อนี้ น่าที่พุทธศาสนิกชนคนไทยจะ พึงสำเหนียกไว้เป็นอย่างยิ่ง
ภาคผนวก จาก หนังสือเตรียมตัวตายอยางมีสติ โดย ส.ศิวลักษณ์