วันอาสาฬหบูชา - วันเข้าพรรษาเมื่อ ๒,๖๐๐ ปีก่อน ในวันเพ็ญ เดือน ๘ ณ ธัมเมกสถูป สารนาถ เมืองพาราณสี
ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนา{ธัมมจักกัปวตนสูตร} มีพระอริยสงฆ์เป็น
ครั้งแรก และในวันนั้นมีพระรัตนตรัย คือ
พระพุทธรัตนะ พระธัมมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก
และสืบต่อยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่ทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ในบริเวณพระมหาเจดีย์พุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหารแล้ว ทรงเสวยวิมุติสุข ๗ สัปดาห์
สัปดาห์ที่ 1 คงประทับอยู่ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ ทรงใช้เวลาพิจารณา
ปฏิจจสมุปปาทธรรม ทบทวนอยู่ตลอด 7 วัน พร้อมกับทรงเปล่งอุทาน
ยามละครั้ง ทรงอุทานในยามต้นว่า
เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้แจ้งธรรมว่าเกิดแต่เหตุ
ทรงอุทานในยามกลางว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร
เพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย (ว่าเป็นเหตุสิ้นแก่ผลทั้งหลายด้วย)
ทรงอุทานในยามสุดท้ายว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้
มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้
ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืด ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น
สัปดาห์ที่ 2 เสด็จไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นโพธิ์ ห่างไป ๖๙ เมตร ประทับ
ยืนกลางแจ้ง เพ่งดูต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร อยู่ในที่แห่งเดียว
จนตลอด 7 วัน ที่ที่ประทับยืนนั้น ปรากฏเรียกในภายหลังว่า "อนิมิสสเจดีย์"
สัปดาห์ที่ 3 เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์ กับต้นมหาโพธิ์ แล้ว
ทรงจงกรมอยู่ ณ ที่ตรงนั้นตลอด 7 วัน ซึ่งต่อมาเรียกที่ตรงนั้นว่า จงกรมเจดีย์
สัปดาห์ที่ 4 เสด็จไปทางทิศเหนือของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๕๐ เมตร ประทับนั่ง
ขัดบัลลังก์ พิจารณาพระอภิธรรม อยู่ตลอด 7 วัน ที่ประทับขัดสมาธิเพชร ต่อมาเรียกว่ารัตนฆรเจดีย์
สัปดาห์ที่ 5 เสด็จไปทางทิศตะวันออกของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๑.๖ กิโลเมตร ประทับที่
ควงไม้ไทร ชื่ออชปาลนิโครธ อยู่ตลอด 7 วัน
ในระหว่างนั้น ทรงแก้ปัญหาของพราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งทูลถามในเรื่องความเป็นพราหมณ์
สัปดาห์ที่ 6 เสด็จไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๑.๗ กิโลเมตร
ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุข อยู่ตลอด 7 วัน ฝนตกพรำตลอดเวลา
พญานาคมาวงขดล้อมพระองค์ และแผ่พังพานบังฝนให้ พระองค์ทรงเปล่งอุทานว่า
ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรมได้สดับแล้ว ยินดีอยู่ในที่สงัด รู้เห็น
ตามความเป็นจริงอย่างไร ความไม่เบียดเบียน คือ ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
และความปราศจากกำหนัด คือ ความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ด้วยประการทั้งปวง เป็นสุขในโลก
การนำอัสมิมานะ คือ ถือว่าตัวตนให้หมดได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง
สัปดาห์ที่ 7 เสด็จย้ายสถานที่ไปทางทิศใต้ของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๒.๕ กิโลเมตร
ประทับที่ควงไม้เกด ซึ่งได้นามว่า ราชายตนะ เสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน มีพ่อค้า 2
คน ชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะเดินทางจากอุกกลชนบทมาถึงที่นั้น ได้เห็นพระพุทธองค์
ประทับอยู่ จึงนำข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้าไปถวาย
พระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้ว พ่อค้าทั้งสองประกาศตนเป็นอุบาสก นับเป็นอุบาสกคู่แรก
ในพระพุทธศาสนาที่ถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะในเวลานั้นยังไม่มีพระสงฆ์
ต่อมาตปุสสะตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วได้เป็นอุบาสกอย่างเดียว
ส่วนภัลลิกะบวชแล้วได้เป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญา ๖ข้อความจากพุทธประวัติ เล่ม ๑
พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กล่าวว่า....
ต่อมาเสด็จออกจากร่มไม้ราชายตนะกลับไปประทับ ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธอีก
ทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วว่า เป็นคุณอันลึก ยากที่บุคคลผู้ยินดีในกามคุณ
จะตรัสรู้ตามได้ ท้อพระหฤทัยเพื่อจะตรัสสั่งสอน แต่อาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรง
พิจารณาอีกว่า จะมีผู้รู้ถึงธรรมนั้นบ้างหรือไม่ ? ก็ทรงทราบด้วยพระปัญญาว่า บุคคลผู้มี
กิเลสน้อยเบาบางก็มี ผู้มีกิเลสหนาก็มี
ผู้มีอินทรีย์ คือศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญากล้าก็มี ผู้มีอินทรีย์อ่อนก็มี
ผู้มีอาการอันดีก็มี ผู้มีอาการอันชั่วก็มี
เป็นผู้จะพึงสอนได้โดยง่ายก็มี เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากก็มี
เป็นผู้สามารถจะรู้ได้ก็มี เป็นผู้ไม่สามารถจะรู้ได้ก็มี
ครั้นทรงพิจารณาด้วยพระญาณหยั่งทราบเวไนยสัตว์ ผู้จะได้รับประโยชน์จาก
พระธรรมเทศนาดั่งนั้นแล้ว ได้ทรงอธิษฐานพระหฤทัยในการแสดงธรรมสั่งสอนมหาชน
และตั้งพุทธปณิธานใคร่จะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่าจะได้ประกาศพระศาสนาแพร่หลาย
ประดิษฐานให้ถาวร สำเร็จประโยชน์แก่ชนนิกรทุกเหล่าครั้นพระองค์ทรงอธิษฐานพระหฤทัย เพื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาอย่างนั้นแล้ว
ทรงพระดำริหาคนผู้สมควรรับเทศนา ครั้งแรกทรงปรารภถึง
อาฬารดาบสและอุททกดาบส ที่พระองค์ได้เคยอยู่อาศัยศึกษาลัทธิของเธอในกาลก่อนว่า
เธอทั้งสองเป็นผู้ฉลาด ทั้งมี
กิเลสเบาบาง สามารถจะ
รู้ธรรมนี้ได้
ฉับพลัน แต่เธอทั้งสองสิ้นชีพเสียแล้ว
มีความพินาศ
เสียจากคุณอันใหญ่ ถ้าได้ฟังธรรมนี้แล้วคงรู้ได้โดยพลันทีเดียว
ภายหลังทรงระลึกถึง
ปัญจวัคคีย์ว่า มีอุปการะแก่พระองค์มาก ได้เป็นผู้อุปัฏฐาก
พระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ทรงกำหนดลงว่า จะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์
ก่อน เบื้องหน้าแต่นี้ เสด็จออกจากอชปาลนิโครธ ตามอรรถกถากล่าวว่า
ในเช้าวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ทรงพระดำเนินไปเมืองพาราณสี อันเป็นนครหลวงแห่งกาสีชนบท
ครั้นถึงตำบลเป็นระหว่างแห่งแม่น้ำคยากับแดนพระมหาโพธิต่อกัน พบอาชีวกผู้หนึ่งชื่อ
“อุปกะ” เดินสวนทางมา อุปกะเห็นพระฉวีของพระองค์ผ่องใส นึกประหลาดใจ อยากจะใคร่
ทราบว่า ใครเป็นศาสดาผู้สอนของพระองค์ จึงทูลถาม พระองค์ตรัสตอบแสดงความว่า
เป็นผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีใครเป็นครูสั่งสอน อุปกะไม่เชื่อ สั่นศีรษะแล้วหลีกไป (ต่อมาอุปกาชีวก
ได้ฟังธรรมบรรลุเป็นพระอนาคามี) พระองค์เสด็จไปโดยลำดับ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี อันเป็นที่อยู่ของปัญจวัคคีย์นั้น ในเย็นวันนั้น
(ปัจจุบันคือ
เจาคันธีสถูป)
ฝ่ายปัญจวัคคีย์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล จึงนัดหมายกันว่า
พระสมณโคดมนี้มีความมักมาก คลายเพียร เวียนมาเพื่อความมักมากเสียแล้ว มาอยู่ ณ บัดนี้
ในพวกเราผู้ใดผู้หนึ่งไม่พึงไหว้ ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับเธอ ไม่พึงรับบาตรจีวรของเธอเลย
ก็แต่ว่าพึงตั้งอาสนะที่นั่งไว้เถิด ถ้าเธอปรารถนาก็จักนั่ง ครั้นพระองค์เสด็จเข้าไปถึงแล้ว
เธอพูดกับพระองค์ด้วยโวหารอันไม่เคารพ คือ พูดออกพระนาม และใช้คำว่า{อาวุโส}
พระองค์ทรงห้ามเสียแล้ว ตรัสบอกว่า เราได้
ตรัสรู้อมฤตธรรมโดยชอบเองแล้ว ท่านทั้งหลายคอยฟังเถิด เราจักสั่งสอน
ปัญจวัคคีย์กล่าวค้านลำเลิกเหตุในปางหลังว่า อาวุโส โคดม แม้แต่ด้วยความประพฤติอย่างนั้น
ท่านยังไม่บรรลุธรรมวิเศษได้ บัดนี้ ท่านมาปฏิบัติเพื่อความเป็นคนมักมากแล้ว
เหตุไฉนท่านจะบรรลุธรรมพิเศษได้เล่า ?
พระองค์ทรงตรัสเตือนเธอให้ตามระลึกถึงความหลังว่า “ท่านทั้งหลายจำได้อยู่หรือ
วาจาเช่นนี้ เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อนแต่กาลนี้?” ปัญจวัคคีย์นึกขึ้นได้ว่า
พระวาจาเช่นนี้ ไม่เคยมีเลย จึงมีความสำคัญในอันจะฟังพระองค์ทรงแสดงธรรม
ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเตือนปัญจวัคคีย์ให้ตั้งใจฟังได้แล้ว ตามอรรถกถาว่า
รุ่งขึ้นวันอาสาฬหบุรณมี พระองค์ตรัสปฐมเทศนา ประกาศความตรัสรู้ของพระองค์
มีข้อความโดยย่อดังนี้๑. พระผู้มีพระภาคทรงชี้ทางที่ผิด อันได้แก่
กามสุขัลลิกานุโยค (การประกอบตนให้
ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค (การทรมานตนให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดที่
บรรพชิตไม่ควรดำเนิน แล้วทรงแสดง
มัชฌิมาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติสายกลาง) ได้แก่
มรรคมีองค์ ๘ ว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว เป็นไปเพื่อพระนิพพาน
๒. ทรงแสดง
อริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ โดยละเอียด
๓. ทรงแสดงว่า ทรงรู้ตัวอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ทรงรู้หน้าที่อันควรทำในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ และ
ทรงรู้ว่าได้ทรงทำหน้าที่เสร็จแล้ว จึงทรงแน่พระหฤทัยว่า
ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว (อันแสดงว่า ทรงปฏิบัติจนได้ผลด้วยพระองค์เองแล้ว)
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะ
ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ขอบวชก่อน
ต่อมาท่านวัปปะกับท่านภัททิยะสดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรมและได้ขอบวช
ต่อมาท่านมหานามะกับท่านอัสสชิสดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ขอบวช
(จากพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ หน้า ๒๑๓ –๒๑๔)ธัมเมกสถูปที่สารนาถ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพาน
แล้ว 200 กว่าปี จึงเป็นสักขีพยานถึงพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ
ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมียาวนานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อเกื้อกูล
แก่สัตว์โลกให้ได้เห็นแสงสว่างของพระธรรมในความมืดของอวิชชาโดยแท้จริง
เป็นพยานความเป็นรัตนะของพระธรรมคำสอน ที่เปลี่ยนปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสให้เป็นพระอริยบุคคล
พระสัทธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น
แม้จะ
ลึกซึ้ง ลุ่มลึกและ
รู้ตามได้ยาก เพราะ
ทวนกระแสชีวิตประจำวันของปุถุชน อย่างไรก็ตาม
ก็ยังมีผู้ที่สะสมปัญญามาในอดีต สามารถฟังเข้าใจจนประจักษ์แจ้ง
ลักษณะของ
สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อได้ฟัง
พระสัทธรรมที่พระองค์ทรงแสดงดีแล้ว
บรรลุเป็น
พระอริยบุคคลเป็นครั้งแรก พระสังฆรัตนะจึงเกิดอุบัติขึ้นในโลก และเพราะ
พระสังฆรัตนะเหล่านั้น
ทรงจำพระธรรมต่อเนื่องจากลำดับการเกิดขึ้นของพระธรรมรัตนะ แสดงธรรมที่ได้เข้าใจและทรงจำไว้
สืบต่อมาไม่ขาดสาย เพราะความเป็นรัตนะของ
พระอริยสงฆ์ซึ่งได้ศึกษา
สาธยายคำสอนนั้นอย่างต่อเนื่อง
พระรัตนตรัยจึงคงปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ยังมีความสำคัญที่ประจวบกันอีกหลายอย่าง
ตามลำดับกาลเวลาดังนี้ คือ
๑. เป็นวันที่พระโพธิสัตว์
จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาปฏิสนธิในครรภ์
พระนางมหามายาเทวี พระพุทธมารดา
๒. เป็นวันทรงออก
มหาภิเนษกรมณ์๓. เป็นวันทรงแสดง
ปฐมเทศนา เพื่อประกาศความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ดีแล้ว มีผลทำให้มี
พระอริยสงฆ์เป็นครั้งแรก และทำให้พระรัตนตรัย คือ
พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ
ครบทั้ง ๓ เป็นครั้งแรกในโลก๔. เป็นวันทรงแสดง
ยมกปาฏิหาริย์ ปราบผู้มีความเห็นผิดอื่นๆ (อัญญเดียรถีย์)
ก่อนเสด็จไป
แสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
บัดนี้ก็ผ่านมาถึง ๒,๖๐๐ ปีแล้ว แม้{ธัมเมกสถูป}ที่ทรงแสดงปฐมเทศนาจะเหลือเพียง
ซากปรักหักพัง แต่พระธรรมวินัยที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางและงามในที่สุด
ก็ยังอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ รอให้ผู้มีศรัทธาศึกษาจนเข้าใจ ทรงจำไว้ และแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าใจ
เพื่อสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป
ตราบจนความเข้าใจพระธรรมหมดไปจากใจของทุกคน
เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาก็จะอันตรธานไปจากโลกนี้時々Sometime -http://www.sookjai.com/index.php?topic=37652.msg63765;boardseen#new