วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม

มหาสติปัฏฐานสี่

(1/3) > >>

lek:
เมื่อครั้งที่มีการทำปฐมสังคายนากันครั้งแรกมีพระมหากัสสปเป็นประธาน
แล้วก็มีพระอานนท์เป็นผู้ว่าการฝ่ายพระสูตรและพระอภิธรรม
พระอานนท์ท่านได้กล่าวไว้ว่าข้าพเจ้าผู้ชื่อว่าอานนท์ ได้สดับมาเฉพาะพระพักตร์
ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่นิคมของชาวกุรุ ซึ่งมีชื่อว่ากัมมาสกัมมะนิคม
ในแคว้นกุรุ ในที่นั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตักเตือนภิกษุทั้งหลาย
ให้ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แล้วภิกษุทั้งหลายนั้นทูลรับคำว่า
พระเจ้าข้า่ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้โปรดประทานพระธรรมเทศนา
แก่ภิกษุเหล่านั้นว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเอก
เป็นทางให้เกิดความบริสุทธิ์แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นทางระงับเสีย
ซึ่งความเศร้าโศกและเสียใจ และความพิไรรำพัน เป็นทางให้เข้าถึง
ซึ่งความสิ้นทุกข์และโทมนัส เป็นทางให้ได้ซึ่งอรรถธรรมและความรู้
เป็นทางให้สำเร็จซึ่งพระนิิพพาน ทางเอกนี้คือ สติปัฏฐาน ๔
สติ ปัฏฐาน ๔ คืออะไรบ้าง คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
พิจารณาเห็นจิตในจิต พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ต้องเป็นผู้มีความเพียร เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ จึงจะกำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้”
สติปัฏฐาน ๔ นี้มีอะไรบ้าง

1. ให้พิจารณากายในกาย
2. พิจารณาเวทนาในเวทนา
3. พิจารณาจิตในจิต
4. พิจารณาธรรมในธรรม

"พิจารณาเห็นกายในกายนั้น คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ไปอยู่ในป่า
หรือว่าอยู่ที่โคนต้นไม้ หรือไปอยู่ที่ว่างบ้านเรือน แล้วก็นั่งตั้งกายให้ตรง
ดำรงสติอันเป็นเครื่องกำหนดไว้ ภิกษุนั้นหายใจออกก็มีสติ หายใจเข้าก็มีสติ
เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ว่าหายใจยาว เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ว่าหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น
จะกำหนดกองลมทั้งปวง แล้วจึงหายใจออก เราจะกำหนดกองลมทั้งปวงแล้ว
จึงจะหายใจเข้า เราจะระงับกองลมแล้วจึงจะหายใจออก เราจะระงับกองลมแล้ว
จึงจะหายใจเข้า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ช่างกลึงผู้ฉลาดหรือว่าลูกมือช่างกลึง
เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ว่าชักเชือกกลึงยาว เมื่อชักเชือกกลึงสัน
ก็รู้ว่าเราชักเชือกกลึงสั้น ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าเราหายใจออกยาว
หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าเราหายใจเข้ายาว หายใจออกสั้นก็รู้ว่าหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าเราหายใจเข้าสั้น ภิกษุนั้นย่อมศึกษาว่า เราจะกำนหดรู้กองลมทั้งปวง
แล้วจึงจะหายใจออก เราจะกำหนดรู้กองลมทั้งปวงแล้วจึงจะหายใจเข้า เราจะระงับกองลมแล้ว
จึงจะหายใจออก จะระงับกองลมแล้วจึงหายใจเข้า"
การพิจารณากายในกาย ในขั้นแรก ท่านถือเอากองลมเป็นสำคัญ อันนี้เขาเรียกว่า อานาปานบรรพ
หรือว่า อานาปานสติกรรมฐาน ซึ่ง มีความสำคัญมาก สามารถทรงฌาน ๔ ได้แล้ว
ถ้าเจริญตามแบบนี้ ท่านจะมีความสุขแบบสุขวิปัสสโก และมหาสติปัฏฐานสูตรนี้
จะดัดแปลงขึ้นไปสู่วิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณก็ทำได้
อานาปานาสติกรรมฐานตอนต้น ว่าเมื่อเราหายใจเข้าก็มีสติ หายใจออกก็มีสติ
สตินี่แปลว่านึกได้รู้อยู่ คำว่ามีสตินี่ ตัวนึกเข้าไว้ ตัวไม่ลืม หมายถึง จงกำหนดรู้
ลมหายใจเข้าออกเอาไว้ เวลาจะหายใจเข้าก็ตาม เวลาจะหายใจออกก็ตาม
ต้องรู้เข้าไว้ รู้ลมเข้าไว้ เวลาลมเข้าให้รู็ว่าลมเข้า ลมออกก็ให้รู้ว่าลมออก
เดินไปก็ในรู้ว่าลมเข้าลมออก นั่งอยู่รู้ลมเข้าลมออก นอนอยู่รู้ลมเข้าลมออก
ยืนอยู่รู้ลมเข้าลมออก ทำได้ตลอดทุกอิริยาบท ทำอย่างนี้ให้ชินจนกระทั่งจิตไม่ต้องระวัง
เรื่องลมเข้าลมออก รู้ได้เป็นปกติ อย่าไปดัดแปลงลมหายใจ ร่างกายมันต้องการหายใจสั้น
หรือยาวปล่อยมัน หายใจแรงหรือหายใจเบาเปล่อยมัน ไม่ต้องฝืน
จำไว้ว่าท่านจะเจริญมหาสติปฏิฐานสูตรในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในบทว่าอานาปานาบรรพเราจะรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกอยู่เสมอ จะนั่ง จะนอน จะยืน
จะเดิน จะอาบน้ำ จะดูหนังสือ จะเดินไปไหน ทำงานอย่างใดก็ตาม รู้ลมเข้ารู้ลมออก

lek:
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายเธอจงเป็นผู้มีสติ หายใจเข้า จงรู้ว่าเป็นผู้หายใจเข้า
เมื่อหายใจออกก็จงรู้ว่าเป็นผู้หายใจออก" หมาย ความว่า การรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกนี่
เราไม่ต้องระวังกัน ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องหาเวลา เป็นเวลาใดก็ตาม เวลาที่กินข้าวอยู่ก็ดี
หรือว่าทำการงานก็ดี เวลาพูดคุยกับเพื่อนฝูงก็ดี เดินไปก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี
ทุกอิริยาบทเราสามารถรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกได้อย่างสบาย
อย่างนี้เรียกว่าเข้าถึงอานาปานาสติ มหาสติปัฏฐานสูตรข้อนี้แล้ว
เรื่องของพระกรรมฐานกับนิมิตเป็นของธรรมดา นิมิตของอานาปานาสติกรรมฐานก็มี
เช่น สีเขียว สีแดง สีสว่างคล้าย ๆ แสงไฟฉาย หรือเหมือนแสงฟ้าแลบ การที่จะได้บุญ
อยู่ตรงที่จิตเป็นสมาธิ ตัวบุญอยู่ที่จิตเป็นสมาธิที่มีอารมณ์ตั้งมั่น ไม่ใช่อยู่ที่องค์ภาวนาอย่างเดียว
การภาวนาด้วย ก็เพื่อจะใช้อารมณ์ยึด คือ สติ ให้รู้อยู่ว่าเรากำหนดลมหายใจเข้าออก
หรือว่าเราภาวนาว่ายังไง แล้วก็ควบคุมอารมณ์อยู่เฉพาะอย่างนั้นอย่างเดียว
ให้เป็นเอกัคคตารมณ์ คำว่า เอกัคคตารมณ์ แปลว่า เป็นหนึ่ง ตัวบุญใหญ่คือ การทรงสมาธิจิต
ถ้าสมาธิทรงได้สูงมากเพียงใด นิวรณ์ที่จะมากั้นความดีคืออารมณ์ของความชั่ว
คำว่านิวรณ์ได้แก่ อารมณ์ของความชั่ว ถ้าขณะใดจิตทรงสมาธิที่เรียกกันว่าเป็นฌาน
คำว่าฌานนี้ แปลว่า การเพ่ง การทรงอยู่ของจิต จิตเพ่งอยู่เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
อันนี้เราเรียกกันว่า ฌาน   เมื่อเรามีสติสามารถจะรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก
ที่กระทบเข้าและกระทบออกที่จมูกได้ เข้าก็รู้ออกก็รู้ จิตก็จะเริ่มเป็นสมาธิ
สมาธิขั้นต้นเรียกว่า ขณิกสมาธิ แปลว่า สมาธิเล็กน้อย เมื่อขณิกสมาธิละเอียดขึ้น
จิตก็จะเข้าสู่อุปจารสมาธิ ตอนนี้อารมณ์ของที่เป็นทิพย์จะปรากฎ จิตเป็นทิพย์ คือ
จิตย่อมว่างจากกิเลส จิตว่างจากนิวรณ์ทั้ง ๕ เมื่อจิตว่างจากนิวรณ์ ๕ ประการแล้ว
จิตก็สามารถจะเป็นทิพย์ แต่จะเป็นมากหรือเป็นน้อยขึ้นอยู่กับสมาธิจิต จะเห็นแสง
เห็นภาพ แต่ภาพที่ปรากฎก็ดี แสงสีที่ปรากฎก็ดี จงอย่าเอาจิตเข้าไปเกาะ เพียงกำหนดว่า
ถ้าหากว่าเราเห็นนานหรือเร็ว จงรู้ตัวว่า นี่จิตของเราเป็นทิพย์ เข้าสู่อุปจารสมาธิ


ในการปฏิบัติทำได้ในทุกอิริยาบททั้ง ๔ คือ นั่ง ยืน เดิน นอน เวลาหายใจเข้ายาวหรือสั้นก็รู้
หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้ หายใจเบาหรือหายใจแรงก็รู้ เรียกว่า เพิ่มสติให้มากกว่าเดิมอีกนิด
ถ้าทำได้แล้วเป็นอุปจารสมาธิและปฐมฌานด้วย เมื่อสมาธิเริ่มมากขึ้น อารมณ์เริ่มละเอียดขึ้น
อุปจารณสมาธิ มีปิติให้ปรากฎ มีความชุ่มชื่น มีขนพองสยองเกล้า มีน้ำตาไหล มีร่างกายโยกโคลง
มีความอิ่มเิอิบใจ มีความปลาบปลื้มใจ ส่วนอาการของปฐมฌาน คือ อารมณ์ที่ไม่ข้องกับนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ คือ

1. ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย กลิ่นหอม สัมผัสนิ่มนวลไม่มี อารมณ์นิ่ง
พอใจในการภาวนาหรือพอใจในการกำหนดลมหายใจเข้าออก
2. ความโกรธความพยาบาทไม่ปรากฎ
3. ความง่วงเหงาหาวนอนไม่ปรากฎ
4. อารมณ์ภายนอก นอกจากากรกำหนดลมหายใจเข้าออกไม่ปรากฎ
5. ทรงอารมณ์หายใจเข้าออกไว้ หูได้ยินเสียงทุกอย่าง แต่จิตไม่สอดส่ายไปตามนั้น
คงรักษาลมหายใจเข้าออกไว้ได้อย่างสบาย ๆ ไม่เกิดความรำคาญ

lek:
อานาปานุสสติเป็นกรรมฐานใหญ่ สามารถทรงได้ถึงฌาน ๔ ถ้าทรงได้ถึงฌาน ๔ แล้ว
สามารถจะทรงวิชชาสามและอภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณด้วย หลักสูตรของวิชชาสาม
เป็นหลักสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง เพราะสามารถพิสูจน์คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้
ที่บอกว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ตายแล้วไปเกิดที่ไหน เกิดมาจากไหน
ก่อนที่จะรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก เราจะกำหนดกองลมเสียก่อน คำว่า กำหนดกองลม
คือตั้งใจไว้ว่าเราจะหายใจเข้า ว่านี่เราจะหายใจเข้า แล้วหายใจเข้ายาวหรือสั้น
หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้ไว้ แต่เราไม่ต้องไปกำหนดตอนหายใจ ว่าหายใจเข้าสั้นหรือยาว
ไม่ต้องไปกำหนดกองลม จากนั้นเราก็ทำสติให้ละเอียดเข้าไปอีก การรู้ว่าหายใจเข้าหรือออก
ยาวหรือสั้น กำหนดรู้ได้ สามารถทรงอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ คือไม่ปล่อยให้อารมณ์อื่นเข้ามายุ่ง
กำหนดได้อย่างนี้ ครั้งละ ๒-๓ นาที หรือ ๕ นาทีก็ตาม แสดงว่าอารมณ์จิตเข้าถึงฌานที่ ๒
และฌานที่ ๓ ซึ่งตั้งแต่ฌานที่ ๒ เป็นต้นไป คำภาวนาจะหยุดไปเอง ลมหายใจเข้าออกยังรู้อยู่แต่ว่าเบาลงไป
สำหรับฌานที่ ๒ รู้สึกว่าลมหายใจเข้าออกเบาลงไป มีจิตชุ่มชื่น มีความเยือกเย็น มีความสบายมากขึ้น
หูยังได้ยินเสียง แต่รู้สึกว่าเบากว่าปกตินิดหนึ่ง
สำหรับฌานที่ ๓ จะ รู้สึกว่าทางกายมันเครียด เหมือนมีอาการเกร็งตัว มีอาการตึงเป๋ง ลมหายใจรู้สึกว่าน้อยลง
เสียงที่ได้ยินเบาเข้า ถึงแม้จะเป็นเสียงที่ใครพูดแรง ๆ ก็รู้สึกว่าเบาลงมาก
ถ้าเมื่อกำหนดกองลมว่า ต่อไปเราจะหายใจเข้าแล้วเราก็หายใจเข้า เวลาหายใจเข้าสั้นหรือยาวเราก็รู้
เวลาจะหายใจออกก็นึกในใจว่านี่เราจะหายใจออก ไม่ต้องไปอั้นไว้ ปล่อยไปตามปกติ
รู้ก่อนที่มันจะเข้า มันจะออกนิดหน่อย เรียกว่า กำหนดกองลมก่อนจะหายใจเข้าหรือหายออก
ซึ่งเป็นอันดับที่สามของอานาปานาสติในกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
ต่อมาอันดับที่ ๔ เป็นอาการของฌาน ๔ จะไม่กำหนดรู้ลม คือปล่อยกองลมเสียมันจะหายใจเข้า
หรือหายใจออกก็ตาม เราจะไม่ยอมรู้ เพราะว่าจิตละเอียดขึ้น จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีลมหายใจ
จะเกิดความรู้สึกเหมือนไม่หายใจ แต่อารมณ์จิตภายในมีความโพลง มีความสว่าง มีการทรงตัวมาก
มีอารมณ์เป็นเอกกัคคตารมณ์ เป็นหนึ่ง เป็นอุเบกขา วางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง มีความชุ่มชื่น
มีความสุขสบายที่สุด ไม่รู้สึกในการสัมผัสภายนอก เมื่อเข้าถึงฌาน ๔ จงรักษาไว้
หมั่นทำไว้เสมอให้จิตคล่อง จะสามารถนั่งยืนเมื่อไร เข้าฌาน ๔ ได้ทันที
แล้วสามารถจะกำหนดเวลาออกได้ด้วย อานาปานสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่ระงับสังขาร
มีคุณประโยชน์มาก เวลาป่วยไข้ไม่สบายมีทุกขเวทนา ถ้ากำหนดลมหายใจเข้าออกจนจิตเป็นฌาน
อาการปวดเมื่อยทั้งหลายเหล่านั้น มันจะสลายตัวไป ท่านที่ได้อานาปานสติกรรมฐานจนคล่อง
สามารถจะกำหนดเวลาตายได้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "การกำหนดลมหายใจเข้าออกนี้ เรากำหนดเพื่อรู้ความเกิดขึ้น
ความเสื่อมไปหรือการสลายตัว ว่าร่างกายเรานี้ที่ชื่อว่าร่างกายของเรา เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็เสื่อมไป
แล้วมันก็สลายตัว เราจะไม่ยึดถืออะไรทั้งหมดในร่างกายนี้" ตอนนี้เป็นวิปัสสนาญาณ


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ถ้ามีบารมีแก่กล้า หมายถึงมีกำลังใจสูง มีการระมัดระวังการปฏิบัติเป็นปกติ
ไม่ขาดวรรคขาดตอน เรียกว่า วันทั้งวัน มีอารมณ์ครุ่นคิดอยู่ในมาหสติปัฏฐานสูตรทั้งสี่นี้
ท่านกล่าวว่า ท่านผู้นั้นบำเพ็ญบารมีเพียงแค่ไม่เกิน ๗ วัน จะเข้าถึงอรหัตตผล ถึงพระนิพพาน
ถ้าหากว่ามีอารมณ์ย่อหย่อนไปนิดหนึ่งก็ไม่เกิน ๗ เดือน ถ้าหย่อนไปอีกก็เรียกว่า ไม่เกิน ๗ ปี
การดัดแปลงอารมณ์ของมหาสติปัฏฐานสูตร ความจริงมหาสติปัฏฐานสูตรนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ในขั้นสุขวิปัสสโก การบรรลุมี ๔ สายด้วยกัน คือ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

1. สุขวิปัสสโก บรรลุแล้วไม่เห็นผี ไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก มีแต่จิตสบาย กิเลสแห้งเหือดไป
2. เตวิชโช มีทิพย์จักขญาณ สามารถรู้สัตว์และคนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดที่ไหน
คนและสัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน แล้วมีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติของตนเองได้
3. ฉฬภิญโญ ก็ทรอภิญญา หมายความีฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ไม่จำกัด
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความรู้พิเศษ ทรงพระไตรปิฎก รู้ภาษาสัตว์ต่าง ๆ ภาษาคน
ภาษาสัตว์ไม่ต้องเรียน รู้ แล้วก็รู้อธิบายขยายความให้กว้างก็ได้
หรือเนื้อความที่กว้างก็ย่อลงให้สั้นให้เข้าใจได้ดีก็ได้


คนที่ชอบสงัดก็ศึกษาด้านสุขวิปัสสโก คนที่อยากรู้นั่นรู้นี่ อยากเห็นผี เห็นเทวดา
ก็ศึกษาเตวิชโช เรียนวิชชาสาม ส่วนคนที่ชอบฤทธิ์ อยากแสดงฤทธิ์ ก็ต้องศึกษาฉฬภิญโญ
พื้นฐานของวิชชาสาม จะต้องกำจัดอุปกิเลสทิ้งเสีย อุปกิเลส คือการเข้าถึงความเศร้าหมองของจิต
คือการไม่ไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้านเขา ไม่อวดดีอวดเ่ด่น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับนิโครธปริฺพฺพาชกว่า "นิโครธปริพพาชก อันนี้บริสุทธิ์บริบูรณ์หรือยัง
เป็นสาระเป็นแก่นสารไหม การไม่ไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้านนี่ ใครจะด่าจะว่านินทายังไงก็ช่างเขา
มันเป็นเรื่องของเขา เราไม่อวดดีอวดเด่นกับเขา ไม่เห็นว่าเขาเลวกว่า เขาเสมอเราหรือเขาดีกว่า
ไม่โอ้อวดในข้อวัตรปฏิบัติที่ตนทำแล้ว ไม่เอาไปข่มขู่ชาวบ้าน ข้อนี้บริสุทธิ์เป็นแก่นสารหรือยัง"
นิโคธปริพพาชกตอบว่า "ข้อนี้เป็นสาระเป็นแก่นสารบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงแล้วพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนนิโครธ แค่นี้ยังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ แค่นี้เป็นสะเก็ดของพระพุทธศาสนาเท่านั้น"
นิโครธปริพพาชกถามต่อว่า "ยังไงจึงจะบริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นสาระแก่นสารล่ะพระเจ้าค่ะ"
พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า "นิโครธะ คนที่จะบริสุทธิ์บริบูรณ์ก็ต้องปฏิบัติในยามสี่
ได้แก่ไม่ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลฆ่าสัตว์ และไม่ยินดีเมื่อเขาฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์ด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นลัก และไม่ยินดีเมื่อเขาลักมาแล้ว
ไม่ประพฤติผิดในกามด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นประพฤติผิดในกาม
และไม่ยินดีเมื่อเขาประพฤติผิดในกามแล้ว ไม่กล่าววาจามุสาวาทด้วยตนเอง
ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นกล่าววาจมุสาวาท และไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นกล่าวมุสาวาทแล้ว
จากนั้นพยายามระงับนิวรณ์ ๕ ประการจากจิตเสีย คือ ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส
ไม่พยาบาท ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในเวลาที่ปฏิบัติความดี ไม่ทำจิตฟุ้งซ่านยึดถืออารมณ์ภายนอก
ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า และก็แผ่เมตตาไปในทิศทั้ง ๔ คือทรงพรหมวิหาร ๔
คิดว่าบุคคลและสัตว์ทั้งหมดเป็นมิตรกับเรา เราไม่เป็นศัตรูกับใคร แล้วก็ทำใจให้สบาย
นิโครธะ นี่บริสุทธิ์บริบูรณ์หรือยัง"
"บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว พระเจ้าข้า"
"นิโครธะ นี่ยังไม่บริสุทธิ์ไม่บริบูรณ์ นี่แค่เปลือของความดีในพระศาสนาเท่านั้น"
"ทำยังไงจะเข้าถึงแก่นล่ะ พระเจ้าข้า"
"เมื่อทำอย่างนี้แล้ว จำทำปุพเพนิวาสานุสติญาณให้ปรากฎ คือระลึกชาติหนหลังได้"
"แค่นี้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้วหรือยัง พระเจ้าข้า"
"แค่นี้เพียงกระพี้ของความดีเท่านั้น"
"ถ้าจะให้เข้าถึงจุดของความดีจริง ๆ เป็นสาระแก่นสาร ก็ต้องทำทิพยจักขุญาณ
คือสามารถรู้ว่าสัตว์ที่เกิดแล้ว เกิดมานี่ตายแล้วไปไหน เป็นอะไร สัตว์และคนที่เกิดมาในโลกนี้
มาจากไหน ชาติก่อนเขาเป็นอะไรมา อย่างนี้แหละที่เรียกว่าถึงแก่นถึงสาระ"
การเจริญพระกรรมฐานเอาดี จะเป็นด้านสุขวิปัสสโกก็ดี เตวิชโชก็ดี ฉฬภิญโญก็ดี
ปฏิสัมภิทัปปัตโตก็ดี ต้องวางภาคพื้นไว้ก่อนสำหรับภาคพื้นในด้านวิชชาสาม
พื้นของวิชชาสามนี้ใช้ได้ทั้งอภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ หรือแม้คนที่เจริญสุขวิปัสสโกก็ใช้ได้
แต่ต้องตัดปุพเพนิวาสานุสติญาณออก แล้วก็ตัดทิพยจุกขุญาณออก ก็เป็นสุขวิปัสสโก
สำหรับท่านที่เจริญวิชชาสามก็ต้องเจริญปุพเพนิวาสนุสติญาณ และทิพยจักขุญาณด้วย
ส่วนในด้านอภิญญา ๖ ก็ต้องเจริญกสิณทั้ง ๑๐ ประการ และหัดเข้าฌานตามลำดับญาณ
และลำดับกสิณ สลับฌานสลับกสิณให้คล่อง หากว่าท่านจะเข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณ
ก็เอากสิณเป็นภาคพื้น แล้วก็เจริญอรูปฌานให้ได้ อรูปฌาน ๔
ทรงอยู่ในฌาน ๔ เหมือนกันเท่านี้ ต่อไปก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณ

lek:
ขั้นแรก ต้องวางพื้นใหญ่คือ อานาปานสติกรรมฐาน
ประการที่สอง จิตอย่าไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน
ประการที่สาม รักษาศีล ๓ ชั้น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าววาจามุสาวาท
ไม่ดื่มสุราเมรัยด้วยตนเอง และไม่ยุยงให้ชาวบ้านเขา่ทำ
ไม่ยินดีเมื่อชาวบ้านเขาทำแล้ว และระงับนิวรณ์ ๕ ประการ
ขณะที่กำลังภาวนาอยู่ก็ตาม กำหนดลมหายใจอยู่ก็ตาม
อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกับกามคุณ ๕ อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกับความโกรธ
ความพยาบาท อย่าสนใจกับความง่วง อย่าเอาอารมณ์อื่น
นอกจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกมาใช้
อย่าสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า วางอารมณ์นี้ไว้
แล้วก็แผ่เมตตาไปในทิศทั้ง ๔ ว่า เราจะมีเมตตา กรุณา มุทิต อุเบกขา
แก่คนและสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดเท่ากับตัวของเรา ประเดี๋ยวก็ได้ฌาน
และฌานก็จะสามารถทรงอยู่ได้ตลอด หากท่านทรงภาคพื้นนี้ได้ตลอด
ขั้นต่อไป เป็นการดัดแปลง เอามหาสติปัฏฐานทั้ง ๔ มาดัดแปลงเป็นวิชชาสาม
อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ  การดัดแปลงสุขวิปัสโกมาเป็นเตวิชโช
ขั้นแรกสุด เข้าฌาน ๔ ในอานาปานสติกรรมฐาน กำหนดลมหายใจแค่จมูกก่อน
จนจิตสบาย เลื่อนเข้าไปรู้ลมเข้าออกยาวหรือสัน พอจิตสลาย กำหนดกองลมว่า
นี่เราจะหายใจเข้า นี่เราจะหายใจออก พอจิตสบายตอนนั้นไม่สนใจกับกองลม
วางอารมณ์เป็นเฉยเสีย จับอารมณ์เป็นดิ่ง พออารมณ์สบายแล้วลืมตาดูนิมิตกสิณ
กสิณ ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ 1. สีขาว เรียกว่า โอทาตกสิณ
2. แสงสว่าง เรียกว่า อาโลกสิณ 3. แสงไฟ เรียกว่า เตโชกสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง
จัดตั้งนิมิตเข้าไว้ ลืมตาดูภาพกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง พอจำได้แล้วหลับตา
หากว่าดูไฟ ภาวนาว่า เตโชกสิณัง หากว่าดูสีขาว ภาวนาว่า โอทาตกสิณัง
ถ้าดูแสงสว่าง ภาวนาว่า อาโลกกสิณัง แล้วหลับตานึกถึงภาพนั้น จิตเป็นฌานอยู่แล้ว
นิมิตจับดิ่งเลย แต่หากว่านิมิตยังเป็นภาพเดิมอยู่ ก็ยังใช้ไม่ได้ รักษานิมิต
และให้เคลื่อนเข้าไป ๆ ถ้าจิตถึงฌาน ๔ เข้าถึงฌานนิมิต จะเปลี่ยนสีเดิมไป
เป็นสีประกายพรึกเหมือนกันหมด   พอภาพกสิณปรากฎเป็นประกายพรึก สีขาวแพรวพราว
บังคับใหญ่ก็ได้ ก็ใหญ่ขึ้น นึกให้ภาพเล็กลงก็จะเล็ก ให้สูงก็ได้ต่ำก็ได้ อยู่ข้างหน้าก็ได้
ข้างหลังก็ได้ หัดให้คล่อง   เมื่อหัดจนคล่องนึกปั๊บจับภาพกสิณได้ แต่ที่สำคัญคือ
อย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ยามปกติรักษาลมหายใจเข้าออกไว้ จะทำอะไรก็ตามรักษานิมิตกสิณไว้
นิมิตกสิณที่เพ่งเห็นแล้วนั่นแหละ ให้ภาพกสิณปรากฎแก่ใจเป็นปกติ
เมื่อจะดูภาพนรกสวรรค์อย่าลืม 1. ยามปกติอย่าทิ้งอานาปานสติกรรมฐาน
2. อย่าทิ้งภาพกสิณ นิมิตกสิณต้องชำระให้ใสจริง ๆ เพราะเป็นเครื่องวัด
ถ้าเราเห็นภาพกสิณเท่าไร เราก็จะเห็นภาพนรกสวรรค์ได้เท่านั้น
เมื่ออยากจะเห็นนรก ก็เพ่งภาพกสิณปั๊บ เห็นภาพกสิณแจ่มใส สบายใจดีแล้ว
ก็อธิษฐานจิตว่า ขอภาพกสิณจงหายไป ภาพนรกจะปรากฎ ภาพสวรรค์ ภาพพรหม ก็เหมือนกัน
ถ้าจะเป็นฉฬภิญโญ เมื่อได้กสิณกองใดกองหนึ่งแล้ว อีก ๙ กองก็เหมือนกัน เปลี่ยนภาพเท่านั้น
ส่วนปฏิสัมภิทัปปัตโตก็ยกภาพกสิณขึ้นเป็นนิมิต แล้วก็เพิกกสิณทิ้งเสีย ยกอากาสนานัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะมาแทน
แทนแต่ละอย่างให้ถึงฌาน ๔ ก็จะได้ชื่อว่า ได้สมาบัติ ๘ แล้วต่อไปก็จะได้ปฏิสัมภิทาญาณ

lek:
การทำเจริญมหาสติปัฏฐานสูตร ที่ยากจริง ๆ ก็คือ อานาปานสติกรรมฐานเท่านั้น
ทำกันจนเข้าถึงฌาน เรื่องต่อไปนี้เป็นอารมณ์คิด ก่อนที่จะใช้อารมณ์คิดทุกครั้ง
โปรดทำสมาธิจนถึงฌานให้เต็มที่ จะได้ระดับไหนก็ให้ถึงระดับนั้น
แล้วปล่อยให้จิตสบายจึงค่อยใช้อารมณ์คิด ปัญญาจะเกิด นี่เป็นหลักการปฏิบัติพระกรรมฐาน
ถ้าใช้อารมณ์คิดแล้วจิตใจมักฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง ก็ทิ้งอารมณ์คิดนั้นเสีย
กลับมาจับอานาปานาสติใหม่ จนกระทั่งจิตสบายแล้วก็ใช้อารมณ์คิดต่อไป

กายานุปัสสนาสติปัฏฐานข้อนี้ ว่าด้วย อิริยาบถ คำว่าอิริยาบถ ก็คือ อิริยาบถ ๔
เรายืนอยู่ก็รู้ว่าเรายืน เดินอยู่ก็รู้ว่าเดิน นั่งอยู่ก็รู้ว่านั่ง นอนอยู่ก็รู้ว่านอน
เราทำกันอยู่เป็นปกติแต่เรามักจะไม่ได้เอาสติเข้าไปกำหนดรู้ ทีนี้เราต้องควบคุมสติให้มากขึ้น
กำหนดรู้ว่านี่เรานั่ง นั่งท่าไหน เรานอน นอนท่าไหน เราเดิน เดินท่าไหน เรายืนยืนท่าไหน
กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐานข้อต่อไป คือ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว
ในตอนต้นตั้งแต่อานาปานสติ และอิริยาบถเป็นสติ คราวนี้ก็สัมปชัญญะ การรู้ตัว
รู้ว่าเราตื่นหรือหลับ รู้ว่าเรากำลังเคี้ยว กำลังยืน กำลังเดิน คือทำความรู้ตัวไว้ทุกอิริยาบถ
ทุกอาการ บางคนพูดแล้วก็ว่าไม่ได้พูด หรือจำไม่ได้ เรียกว่า ขาดสัมปชัญญะ

ต่อไปในกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน คือ เรื่อง ปฏิกูล แปลว่า สกปรก โสโครก น่าเกลียด
ไม่น่ารัก น่าสะอิดสะเอียน ได้กล่าวไว้ว่า ว่าข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุทั้งหลาย
คือภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แหละ ตั้งแต่เบื้องบนลงมาถึงเบื้องเท้า
ตั้งแต่เบื้องต่ำขึ้นไปถึงปลายผม ซึ่งหุ้มรอบไปด้วยหนังเต็มไปด้วยของที่ไม่สะอาดต่าง ๆ
ว่าในกายนี้มีดังนี้ คือ มีขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ
ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำ หนอง เลือด
เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำมัน น้ำมูก ไขข้อ มูตร


ว่าในร่างกายของเรามันมีอะไรบ้าง ที่เป็นตัวของเราขึ้นมา มีอะไรอยู่ในร่างกายเรา
ที่มีหนังกำพร้าเป็นเครื่องหุ้มห่อ ตรงไหนที่สวย ตรงไหนที่น่ารักบ้าง ไม่มีเลย
กายคตานุสติกรรมฐานที่เป็นการตัดราคจริต ถ้าใครพิจารณาได้จริง ๆ และเข้าถึงจริง ๆ
เกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายจริง ๆ เป็นเหตุให้เข้าถึงอนาคามีได้ง่าย เป็นกรรมฐานใหญ่
ค่อย ๆ พิจารณาไป ของที่ว่าสวยนั้น เมื่อมองไปที่ข้างในมีอะไรบ้างที่สวย เมื่อผ่าท้องออกมา
มีอะไรบ้างที่งาม ของที่อยู่ในร่างกายเรา เมื่อออกมาข้างนอกมีใครต้องการบ้าง มีทั้งน้ำลาย
ขี้ฟัน เสมหะ อุจจาระ ปัสสาวะ ของทุกอย่างเหล่านี้อยู่ในร่างกายเราทั้งสิ้น แต่เมื่อออกมาแล้ว
ไม่มีใครต้องการนำเข้าไปเลย ตัวเราเป็นแหล่งรวมของโสโครกต่าง ๆ อยู่ในร่างกายเราทั้งนั้น
พิจารณาอย่างนี้ ชื่อว่าเห็นกายในกายตนเอง ส่วนกายของบุคคลอื่น ก็นึกดูว่า เขาเหมือนเราไม๊
สกปรกเหมือนเราไหม ของเราไม่ดี แล้วของเขาดีไหม ลองพิจารณาไปเรื่อย ๆ จิตไม่ค่อยดี
ก็เข้าฌานเสีย หลับตาจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาให้ใจสบาย แล้วหลังจากนั้น
ก็ถอยจิตมาคิดถึงปฏิกูลสัญญา หรือว่ากายคตานุสติกรรมฐาน จนจิตเข้าถึงความสังเวช
สลดในใจในความรักในร่างกาย แล้วจะเกิดความเบื่อหน่าย จะเห็นความเป็นจริง
ว่าร่างกายของเราก็ดี ของบุคลอื่นก็ดี มันเต็มไปด้วยความสกปรก เหมือนกับส้วมเคลื่อนที่
ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ ผู้หญิง ผู้ชาย ฆราวาส พระ มีสภาพเหมือนกัน
จนกระทั่งอารมณ์เบื่อหน่ายปรากฎขึ้น เมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้นิพพิทาญาณก็เกิด
ความเบื่อหน่ายก็เกิด เกลียดการเกิดต่อไป อยากจะไปนิพพานเสียทันที


สำหรับกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐานเหลืออยู่ ๒ ข้อ คือ ธาตุบรรพ ได้แก่ ธาตุ ๔ และนวสี ๙

ธาตุบรรพ หรือว่าธาตุ ๔ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุนี้อยู่ในกายของเราเอง มีธาตุรวมกัน คือ

ธาตุดิน ของแข็ง ได้แก่ หนัง เนื้อ กระดูก
ธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจ หรือว่าลมที่พัดไปมาในร่างกาย
ธาตุน้ำได้แก่ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ปัสสาวะ น้ำลาย
ธาตุไฟ ได้แก่ ความอบอุ่นในร่างกาย

ร่ายกายของเรามีธาตุ ๔ นี้เข้ามาประชุมกัน ธาตุบรรพนี้ตัดราคะจริตได้
คือตัดความเมาในธาตุ ๔ หรือรูปร่าง เราออกมาจากท้องมารดา ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งโสโครก
เราเกิดมาจากเมือกตม อาการที่เราจะเกิดก็เกิดจากโสโครก ร่างกายเราจึงเต็มไปด้วยความโสโครก
ธาตุที่มาประชุมกันนี้เป็นธาตุที่เต็มไปด้วยความโสโครก

ธาตุทั้งหลายถ้าสามัคคีกันดี ก็มีร่างกายที่ทรงอยู่ได้ ถ้าธาตุน้ำหย่อนไป ธาตุดิน ธาตุลม
หรือธาตุไฟ หย่อนไป ก็เกิดการป่วย ไม่สบาย เพราะธาตุใดเสียไป แต่ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งดับไป
สลายตัว ความอบอุ่นไม่มีก็ตาย ธาตุลมสลายตัว ความพัดไปมาไม่มี ธาตุน้ำสลายตัว
ความชุ่มชื้นในร่างกายไม่มีก็ตาย ธาตุดินสลายตัวร่างกายถูกระเบิด หรือไฟไม้พังไปก็ตาย
เรียกว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ มาประชุมกัน เมื่อเกิดขึ้น แล้วก็เสื่อมไป
และสลายตัวไปในที่สุด อย่าเมาในธาตุทั้งสี่ ว่าทรงสภาพอยู่ และอย่าเมาว่าธาตุ ๔ ของเรา
และของคนอื่นว่าสวยสดงดงาม มีความแข็งแรง เพราะธาตุ ๔ มาประุชุมกันชั่วคราว
แล้วก็มีการทรุดโทรมลงไปตามลำดับ แล้วมันก็พัง
ถ้ามันพังแล้วเราจะไปหลงรักมันทำไม เตรียมกายเตรียมใจเพื่อพระนิพพาน

นวสีเก้า หมายความว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้พิจารณาคนและสัตว์ที่ตายดีแบบ
คือ ตายวันหนึ่ง สองวัน สามวัน เน่าอืดเฟ้อ เขียว หรือเป็นท่อนท่อนใหญ่
จนกระทั่งเหลือแต่กระดูก ในนวสี ๙ ในกรรมฐาน ๔๐ ท่านเรียกว่า อสุภกรรมฐาน
เป็นการตัดราคะจริต ตัดตัวรักสวยรักงาม เรียกว่าตัดตัวเมาในร่างกายเหมือนกัน
คนตายคนที่เรารักที่สุด ที่ต้องการมากที่สุด เมื่อตอนที่เขามีชีวิตอยู่ แต่พอเขาตายแล้ว
เรานึกรักไหม ตายแล้ว ๑ วัน ร่างกายเย็นเฉียบ ตาย ๒ วัน สีเขียวขึ้น มีกลิ่นตุ ๆ
พอตายแล้ววันที่ ๓ ขึ้นอืด น้ำเหลืองเริ่มไหล พอตายแล้ววันที่ ๔ น้ำเหลืองไหลปรี่
วันที่ ๕ ที่ ๖ ลิ้นจุก ตาโปน วันที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙ เละเลย น้ำเหลืองไหลทั่วตัว
ร่างกายเละดูไม่ได้ น้ำเหลืองก็ไหลไป ๆ มีแต่ความเหือดแห้งแกร่งลง
เหลือแต่น้ำเหลืองล้วน ๆ กระดูกเริ่มเรี่ยรายเป็นท่อน ๆ

ศพเมื่อเดิมนั้น มีสภาพเหมือนเราหรือเปล่า แต่เมื่อตายไปแล้ว เรารังเกียจว่า สกปรก
เพราะสิ่งโสโครก คืออาการ ๓๒ ที่ว่าในปฏิกูลบรรพ หรือกายคตานุสติกรรมฐาน
หรือธาตุบรรพมันปรากฎ ของเขาเป็นยังไง ของเราเป็นยังไง
ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนในมรณานุสติกรรมฐาน ในกรรมฐาน ๔๐ ว่าเกิดแล้วมันตายทุกวัน
ตายได้วันละหลายหมื่นครั้งหายใจออก ถ้าเราไม่หายใจเข้าก็ตาย หรือหายใจเข้าแล้ว
ไม่หายใจออกก็ตาย ฉะนั้นเราหายใจเข้าทีหนึ่ง หายใจออกทีหนึ่ง เราก็ตายแต่ละครั้งตามลมหายใจ
แต่เพราะการเกิดมันติดต่อกันไป เกิดดับ ๆ เป็นสันคติ คำว่า สันคติแปลว่า สืบเนื่องกัน เรียกว่า
เราตายแบบปกปิด แต่เมื่อลมปราณมันไม่มี หายใจออกหรือหายใจเข้าก็ตาม หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก
หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า อันนี้ก็ตายอย่างสิ้นลมปราณ เรียกว่า ตายอย่างเปิดเผย เรียกว่า เราตายแน่
และถ้าเราตายแล้วจะเหมือนเขาไหม ร่างกายเราเหมือนเขาไหม ตายแล้วเหมือนเขาไหม
น้ำเหลืองและสิ่งโสโครกออกมา ทางทวารบ้าง ข้างลำตัวบ้าง เมื่อตอนที่เรายังไม่ตาย
มันก็มีของมันอยู่ในร่างกาย ไหลออกมาตามช่อง ถ่ายเททีละเล็กทีละน้อย เพราะเรายังมีลมปราณ
มีสติสัมปชัญญะ มีจิตเป็นเครื่องปกปิดบังคับบัญชาประสาท แต่พอตายแล้ว
เมื่อจิตออกจากร่างกาย คนที่จะบังคับบัญชาประสาทต่าง ๆ ให้ปกปิดมันไม่มี คราวนี้มันก็ไหลตามสบาย

สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ นางศิริมาน้องสาวหมอชีวก โกมารทัตสวยมาก หาตัวจับไม่ได้ในเมืองราชคฤห์ เป็นคนรับแขกเมือง แขกเมืองมาจะเอาไปร่วมรักด้วย มีพระองค์หนึ่งเป็นพระบวชใหม่ ท่านไปบิณฑบาท ไปพบนางศิริมาใส่บาตรเข้าเกิดมีความรัก พอรักแ้ล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดในใจว่าถ้าไม่ได้นางศิริมาเป็นคู่ครองเราก็จะตาย ยอมตายเสียดีกว่า แต่โอกาสที่จะได้นางศิริมาเป็นคู่ครองก็ไม่มี เลยไม่กินข้าว ๓ วัน อาหารที่บิณฑบาตได้ก็ไม่กิน ปล่อยให้บูดคาบาตร แล้วท่านเองก็อยู่ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็รู้ แต่ก็ปล่อย ไม่ว่าอะไร ไม่ถึงเวลาจะว่า แต่ยังไม่ถึงเวลา ไม่ได้กินข้าวมา ๓ วัน นางศิริมาตาย พระเจ้าพิมพิสารส่งข่าวให้พระพุทธเจ้าทราบ ท่านบอกให้ปล่อยไว้อีก ๓ วัน ตถาคตจะไปเยี่ยมศพ พอถึง ๓ วัน ปรากฎว่าศพขึ้นอืด พระพุทธเจ้าก็บอกกับพระอานนท์ ว่าจะไปเยี่ยมนางศิริมา ไม่ได้บอกว่าจะไปเยี่ยมศพ พระยังไม่รู้ ให้ปิดข่าวไว้ ว่าใครจะไปกับเรา พระทังหมดจงไปกับเรา พระองค์นั้นพอได้ข่าวว่า พระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยมนางศิริมาก็ดีใจ ได้เห็นหญิงที่ตนรัก พอไปถึงนางศิริมาขึ้นอืด ตาปลิ้นแล้ว พระพุทธเจ้าให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศแก่ประชาชนว่า เราจะยกศพให้แก่ประชาชน ใครจะรับบ้าง เพราะเป็นคนสวยอยู่ก่อน สมัยมีชีวิตมีแต่คนต้องการ แต่ตอนนี้หาคนต้องการไม่ได้ ก็ขึ้นราคา ว่าให้ศพด้วย และให้เงิน ๑,๐๐๐ กหาปนะ ก็หาคนรับไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เท่านี้ เพื่อให้พระองค์นั้นทราบว่าร่างกายของคนที่เห็นว่าสวยสดงดงาม ความจริงมันไม่สวยจริง พอดีพระองค์นั้นได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส และชี้เหตุผลให้ดูตัวบุคคลที่สวยแล้วกลับไม่สวย มีน้ำเหลืองเฟะอย่างนั้น ก็ปรากฎว่า เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย ได้สำเร็จอรหัตตผลในวันนั้น


เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน อันเป็นการพิจารณาอารมณ์ คือ รู้ความสุข รู้ความทุกข์ หรือความไม่สุข ความไม่ทุกข์ของจิตเวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐานนี้ พระพุทธเจ้าให้ใช้อารมณ์คิด คือรู้อยู่ ตัวนี้เป็นสัมปชัญญะ ให้รู้อยู่ว่าเวลานี้เรามีทุกข์หรือเรามีสุข หรือว่าเราไม่สุขไม่ทุกข์ จำได้แล้วนะขอรับ ทีนี้คำว่าทุกข์หมายถึงว่าจำจะต้องทน สิ่งใดก็ตาม ถ้าจำจะต้องทนละก็ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เพราะว่าเป็นอาการฝืนอารมณ์อย่างเราหิวข้าวนี่มันทนหิว เพราะว่าต้องจำทนหิวจนกว่าจะกินอิ่ม อย่างนี้ก็ชื่อว่าทุกข์เพราะหิวข้าว เราป่วยไข้ไม่สบายอาการกายไม่ปกติ ปวดโน่นปวดนี่ เสียดโน่นเสียดนี่ นี่ก็เป็นอาการของความทุกข์ เขารักเรา จะเป็นผู้หญิงก็ตาม จะเป็นผู้ชายก็ตาม จะเป็นความรักเกี่ยวกับด้านกามารมณ์ หรือเป็นความรักเกี่ยวกับความเมตตาก็ตาม ถ้าเราใช้ความพยายามให้เขารัก ต้องเอาอกเอาใจเขา นี่ก็เป็นอาการของความทุกข์ ทีนี้เมื่อเรามีคนรักแล้ว มีคนที่เรารักเขาแล้ว แต่เกรงว่าความรักของเขาจะคลาย ต้องพยายามปฏิบัติเอาอกเอาใจเขา มันก็เป็นการฝืน นี่เป็นความทุกข์ แล้วการปวดอุจจาระปวดปัสสวะมันก็ทุกข์ มีทรัพย์สินมาก เกรงว่าทรัพย์สินจะสลายไปอย่างนี้มันเป็นความทุกข์ ทีนี้ เราเป็นคนยากจนเข็ญใจ ทรัพย์สินไม่พอใช้ ต้องแสวงหาทรัพย์ แสวงหาอย่างนี้ก็เป็นอาการของความทุกข์ การทำไร่ไถนา การค้าขาย อยากจะได้ทรัพย์สินเข้ามาต้องใช้ร่างกายด้วยความเหนื่อยยาก ต้องใช้สติปัญญา นี่ก็เป็นอาการของความทุกข์ ความเสื่อมไป ความเสื่อมไปทีละน้อย ๆ จากเด็กไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวเป็นแก่ จากแก่ก็จะตาย อันนี้ ก็เป็นอาการของความทุกข์

ความทุกข์คือสิ่งใดที่จำจะต้องทนอะไรก็ตามจำที่จะต้องทน บางทีทนเสียจนชิน จนไม่รู้สึกว่ามันทน เห็นเป็นของธรรมดาอันนี้ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ทีนี้มาว่ากันถึงความสุขบ้าง อาการใด ๆ ก็ตามถ้ามันมีความพอใจเกิดขึ้น นี่ว่าถึงทางโลกีย์ ไม่ใช่ความสุขโลกุตตระ สิ่งใดก็ตาม ถ้าเป็นความปรารถนาสมหวัง ถ้าเราพอใจสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นอาการของความสุข เมื่อสิ่งใดก็ตามถ้าเราปรารถนาสมหวัง หรือว่าเราชอบใจ นั่นเป็นอาการของความสุข คือสุขใจ ทีนี้อาการของอทุกข์ กับอสุข คือความไม่ทุกข์ไม่สุข จะว่าทุกข์ก็ไม่ใช่ จะว่าสุขก็ไม่ใช่ มันเฉย ๆ เป็นอารมณ์ว่างจากความสุขและความทุกข์ มีอารมณ์ปลอดโปร่ง นี่เรียกว่าอทุกข์กับอสุข

เวทนาในมหาสติปัฏฐาน ท่านบอกให้มีความรู้อยู่ว่าในขณะนี้จิตเรามีความสุขหรือความทุกข์ หรือว่าเราไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี ความไม่ทุกข์ไม่สุขก็ดี มีอามิสสิงอยู่หรือเปล่า คำว่าอามิส หมายความว่าวัตถุหรือสิ่งของ หรือความสุขความทุกข์นั้น หรือความไม่สุขไม่ทุกข์นั้นไม่มีอามิสสิงอยู่ด้วย เป็นสัมปชัญญะเพราะว่าให้เป็นคนไม่เผลอ คิดว่าเวลานี้เราหนาวหรือเราร้อนถ้าหนาวมันก็ทุกข์ ร้อนมันก็ทุกข์ ให้รู้ว่า ทุกข์ ๆ เพราะสิ่งใด ให้รู้ว่าสุข ๆ เพราะสิ่งใด กำหนดรู้ไว้เท่านั้น รู้อย่างนี้ก็เพื่อจะให้มีสัมปชัญญะสมบูรณ์ เป็นความไม่ประมาทในชีวิต เป็นความไม่มัวเมาในชีวิต เป็นความไม่มัวเมาในชีวิตที่คิดว่าเป็นความสุขตลอดเวลา จัดว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนไม่ประมาท รู้ความเป็นจริงของขันธ์ห้า

จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ให้รู้อารมณ์ของจิต ว่าจิตเป็นยังไง กำหนดรู้ไว้ มี 15 ข้อ คือว่า

1. รู้อยู่ว่าจิตมีราคะ
2. รู้อยู่ว่าเวลานี้จิตของเราปราศจากราคะ คือ ไม่ต้องการความสวยสดงดงามใด ๆ
3. รู้อยู่ว่าจิตมีโทสะ คือความโกรธ ความไม่ชอบใจ
4. รู้ว่าจิตของเราปราศจากโทสะ ว่าเวลานี้เราว่าง เราไม่ได้โกรธ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร
5. รู้อยู่จิตมีโมหะ คือความหลงความชั่วยึดนั่นยึดนี่ว่าเป็นเราเป้นของเรา ร่างกายก็ของเรา ทรัพย์สินก็ของเรา ลูกเมีย ผัว ตัว เมีย ลูก หลาน เป็นของเรา โมหะเป็นความโง่
6. รู้ว่าจิตของเราปราศจากโมหะ คือว่าเวลานี้จิตของเรามีปัญญารู้ว่าร่างกายเรามันจะตาย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันจะสลายตัว มันไม่มีอะไรทรงสภาพมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยงทุกขัง อนัตตา สลายไปในที่สุด เป็นคนฉลาด
7. มารู้อยู่ว่าจิตของเราหดหู่ คือมันเหี่ยวมันแห้งไม่มีกำลังใจ
8. รู้ว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน คิดสร้างวิมานในอากาศ คิดส่งเดชหาเหตุหาผลไม่ได้ หาสิ่งที่เป็นสาระไม่ได้
9. รู้อยู่ว่าจิตมีอารมณ์ใหญ่ จิตคิดสร้างบ้านสร้างเมือง อยากมีผัวมีเมีย อยากมีลูก อยากมีทรัพย์สิน อยากมีอำนาจวาสนาว่ากันจิปาถะ หาจุดจบไม่ได้คิดเรื่อยเปื่อยไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุมีผลที่จะเป็นไปได้
10. รู้ว่าจิตไม่มีอารมณ์ใหญ่ หมายความว่าเวลานี้จิตของเราอยู่ในวงแคบคิดในวงของร่างกายอย่างเดียว
11. รู้อยู่ว่าอารมณ์อย่างอื่นเยี่ยมกว่า มีอารมณ์อย่างอื่นเยี่ยมกว่า นี้หมายความว่าตามธรรมดา เราเป็นคนเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เวลานี้ซิกลับมีความปรารถนาอยากจะเป็นคนดีมีศีล อยากจะเป็นคนมีสมาธิ อยากจะเป็นคนวิปัสสนาญาณแจ่มใส คิดว่าอัตตภาพร่างกายหรือความเป็นอยู่มันไม่คงทนถาวรต่อไป ไม่ช้ามันก็ตายไม่ช้ามันก็สลายตัวเราอยากจะไปพระนิพพานดีกว่า นี่เป็นอารมณ์ที่เยี่ยมกว่า อารมณ์ธรรมดา หวังพระนิพพานเป็นอารมณ์
12. รู้อยู่ว่าเราไม่มีอารมณ์ที่เยี่ยมกว่า คือยามปกติมันเกิดอารมณ์ขึ้นอีกทางหนึ่งบอกอย่าไปมันเลยนิพพาน ไปทำไม อยู่ในโลกนี้ดีกว่า มีโขน มีละคร มีหนัง มีความรัก เรียกว่าไม่มีอารมณ์ที่เยี่ยมกว่าอามรณ์ปกติ
13. มีจิตตั้งมั่น รู้อยู่ว่าเวลานี้มีจิตตั้งมั่น หมายความว่าอามรณ์ส่ายที่เป็นอุทธัจจะกุกกุจจะมันไม่มี อารมณ์นอกเหนือจากสมาธิที่เราตั้งใจไว้ไม่มี คือเราตั้งใจไว้ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งคืออานาปานสติกรรมฐาน อารมณ์ตั้งอยู่โดยเฉพาะไม่สอดส่ายไปในอารมณ์อื่น ๆ ยิ่งไปกว่านี้ นี่เรียกว่าอารมณ์จิตตั้งมั่น
14. รู้ว่าในขณะนี้เรามีอารมณ์จิตไม่ตั้งมั่น นี่ขณะใดที่จิตมันส่ายออกนอกลู่นอกทางนอกจากอารมณ์ของมหาสติปัฏฐานสูตรหรือ ความดีใด ๆ ที่เราตั้งใจจะทรงไว้ แต่มันก็แลบออกไปเสียแล้วอย่างนี้เรารู้อยู่ ท่านเรียกว่ารู้อยู่จิตไม่ตั้งมั่น
15. ข้อสุดท้ายเรารู้อยู่ว่าเวลานี้จิตเราหลุดพ้น รู้อยู่จิตหลุดพ้น
16. เรารู้อยู่ว่าจิตไม่หลุดพ้น

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีสัมปชัญญะ ว่าขณะนี้เรามีอารมณ์เป็นยังไง คือรู้อารมณ์ คุมอารมณ์เท่านั้น ว่าเรามีอารมณ์เป็นยังไง ถ้าจิตมีอารมณ์ราคะ ก็พยายามแก้ราคะเสียจิตมีโทสะก็แก้โทสะเสีย จิตมีโมหะก็แก้โมหะเสีย หากฎของความเป็นจริง จิตนั้นมีอยู่ 2 อย่าง คือว่าจิตมีอารมณ์ดีหรือว่าจิตมีอารมณ์ชั่ว ถ้าจิตมีอารมณ์ดีเนื่องในกุศลส่วนใดส่วนหนึ่ง อันนั้นควรส่งเสริมพยายามทำให้มากขึ้น รักษาอารมณ์นั้นให้แจ่มใส ถ้าอารมณ์ชั่วของจิตเกิดขึ้นเมื่อใดพยายามแก้ทันที แต่เรามักจะเผลอกัน เราไม่ค่อยได้สนใจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของตัวเองไม่ค่อยมีใครสนใจ มักจะไปสนใจกับเรื่องขอบบุคคลอื่น อันนี้มันเป็นอุปกิเลสนะขอรับ รวมความว่าเข้าถึงความชั่ว อุป แปลว่าเข้าไป กิเลส แปลว่าความเศร้าหมอง และสำหรับท่านที่เจริญสติปัฏฐานสูตรในอานาปานสติกรรมฐานแล้ว แล้วก็ทรงวิชชาสามหรือได้ทิพยจักขุญาณ สามารถดูกระแสของจิต ว่าเวลานี้จิตของเรามีสีหรือไม่มีสี สีขาวธรรมดาสีขาวอยู่ในเกณฑ์ดี อยู่ในเกณฑ์จิตผ่องใส อยู่ในเกณฑ์จิตสงบ แต่ว่าจิตสงบก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องเป็นสีใสเหมือนแก้วที่ขัดดีแล้ว ต้องขัดสีแก้วให้เป็นสีประกายพฤกษ์คล้าย ๆ กระจกเงาที่ตั้งไว้ทวนแสงพระอาทิตย์ มองดูแล้วแพรวพราว ถ้ามันเป็นประกายน้อยก็ขัดให้มันเป็นประกายมาก เป็นอาการระงับกิเลส จำกัดกิเลสให้สิ้น
 

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version