พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 236
๓. เรื่องภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา [๑๓๙]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เจริญ
วิปัสสนามีประมาณ๕๐๐รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยถา ปุพฺพุฬก
ปสฺเส " เป็นต้น.
ภิกษุถือเอาพยับแดดเป็นอารมณ์
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดา
แล้ว เข้าไปสู่ป่า แม้พยายามอยู่ ก็ไม่ได้บรรลุคุณวิเศษ จึงคิดว่า '' พวก
เราจักเรียนกัมมัฏฐานให้วิเศษ " กำลังมาสู่สำนักของพระศาสดา เห็น
พยับแดดในระหว่างทาง เจริญกัมมัฏฐานมีพยับแดดเป็นอารมณ์นั่นแหละ
มาแล้ว. ฝนตกในขณะแห่งภิกษุเหล่านั้นเข้าไปสู่วิหารนั่นเอง ภิกษุ
เหล่านั้นยืนที่หน้ามุขนั้น ๆ เห็นฟองน้ำทั้งหลายซึ่งตั้งขึ้นแล้ว แตกไป
อยู่ด้วยความเร็วแห่งสายน้ำ ยึดเอาเป็นอารมณ์ว่า " อัตภาพแม้นี้ เป็น
เช่นกับฟองน้ำ เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นแล้วแตกไปเหมือนกัน. " พระศาสดา
ประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ทรงแลดูภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงแผ่
พระโอภาส เหมือนตรัสกับภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๓. ยถา ปุพฺพุฬก ปสฺเส ยถา ปสฺเส มรีจิก
เอว โลก อเวกฺขนฺต มจฺจุราชา น ปสฺสติ.
" พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็น
อยู่ซึ่งโลก เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด. "
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 237
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรีจิก คือพยับแดด จริงอยู่ พยับแดด
แม้ปรากฏขึ้นแต่ที่ไกลเทียว ด้วยสามารถมีสัณฐานดังสัณฐานเรือนเป็นต้น
เป็นของเข้าถึงความเป็นรูปที่ถือเอามิได้ เป็นของว่างเปล่าแท้ (ย่อม
ปรากฏ) แก่คนทั้งหลายผู้เข้าไปใกล้อยู่, เพราะเหตุนั้น จึงมีอธิบายว่า
" พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็นอยู่ซึ่งโลกมีขันธ์เป็นอาทิ
เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นแล้วแตกไป (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด เพราะความเป็นธรรมชาติว่างเปล่าเป็น
อาทิ ฉะนั้น. "
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ในที่แห่ง
ตนยืนนั่นเอง ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา จบ.
http://www.samyaek.com/pratripidok/index.php?topic=792.0http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=2127.0