อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > หลวงพ่อชา สุภทฺโท

สู่อสังขตะ(หลวงพ่อชา สุภัทโท)

<< < (2/3) > >>

ฐิตา:

   พระองค์ทรงสอนทั้งในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ เวลาตายก็นำไปสอนอยู่อย่างนั้นว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา แต่พวกเราไม่มีการเข้าไปสงบสังขาร มีแต่เข้าไปแบกสังขาร คล้ายกับพระชวนไปแบกสังขารนั่นแหละ แบกเอาร้องไห้เอาอย่างนั้น นี่เรียกว่าเรามันหลงสังขาร ฉะนั้นนรกจึงอยู่นี่ สวรรค์ก็อยู่นี่ นิพพานก็อยู่นี่
   
   การประพฤติปฏิบัตินั้น ก็ประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เราพ้นทุกข์ทางใจ เมื่อเราพ้นทุกข์ทางใจ เมื่อเรารู้เท่าตามเป็นจริงสิ่งเหล่านี้แล้ว ถ้ารู้ได้อย่างนี้มันก็เป็นอริยสัจจ์ของมันเอง ทุกข์ก็ดี สมุทัยก็ดี นิโรธก็ดี มรรคก็ดี มันเป็นเองทีเดียว บัญญัติทั้งหลายเหล่านี้พวกเราพากันมาเก้อเขินเสีย พากันเข้าใจว่าสิ่งอื่นมาปรุงแต่งพวกต้นไม้ ภูเขาเลากาที่ไม่มีใครครองมันนั้น ท่านพูดแจกไปให้เรารู้ง่ายๆว่า มันไม่มีสติปัญญา มันไปมาไม่เป็น อันนั้นมันของภายนอกเปลือกธรรม มันไม่ทุกข์หรอก อะไรมันก็ไม่ทุกข์สักอย่าง กระพี้มัน เปลือกมัน ถ้าเป็นปรมัตถ์แล้วก็คนนี่แหละเข้าไปมัดมัน ขนาดเข็มเล่มเดียวหักก็ยังตีลูกตีเต้าอยู่ที่บ้าน จะว่ามันไม่ปรุงแต่งไม่มีอะไรครองอย่างไร ถ้วยชามใบเดียวก็ยังเข้าไปครอง ไม้คานอันเดียวก็เข้าไปครอง มันมีแต่สิ่งที่วิญญาณเข้าไปครองทั้งหมด มีใครไปทำให้มันเสียหายลองดูไหปลาร้า หม้อเหล่านี้ก็เกิดตีกันวุ่นวายไปหมด มีแต่ของที่ปรุงทั้งนั้น เมื่อเรารู้เท่าทันอย่างนี้ นั่นคือธรรมะของเรา เราก็พิจารณาว่าปรุงแต่งสังขารไม่ปรุงไม่แต่ง สิ่งนี้มีวิญญาณครอง สิ่งนี้ไม่มีวิญญาณครอง
   
   นี่มันรอบนอก สมกับพระศาสดาตรัสไว้ว่า คราวครั้งหนึ่งพระองค์ทรงพักอยู่ใต้ต้นประดู่ลาย พระองค์จึงกำเอาใบประดู่ที่ร่วงหล่นอยู่นั้น แล้วยกขึ้นถามพวกภิกษุว่า "ภิกษุทั้งหลายใบประดู่ในกำมือของตถาคตนี้กับที่เหลืออยู่ อันไหนมาก อันไหนน้อย"
   
   พวกภิกษุจึงทูลว่า "ใบประดู่ในมือของพระองค์นั้นน้อย ที่อยู่บนต้นและหล่นเกลื่อนกลาดนั้นมีมาก"   
   "นี่แหละภิกษุทั้งหลายฉันใด ธรรมะที่ตถาคตสอนไปนั้นมาก แต่ไม่เป็นของสำคัญ มิใช่ทางพ้นทุกข์ มันมีมาก

   หลายสิ่งหลายอย่างที่พระศาสดาต้องการคือ ต้องการให้พ้นจากทุกข์ ให้พิจารณาเข้าไป มิให้ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ถอนอุปาทานออกจากสิ่งเหล่านี้เสีย มันก็พ้นทุกข์ เหมือนกันกับใบประดู่ในมือตถาคตนี่เอง ไม่ต้องมาก น้อยๆเท่านี้ที่จะเอา อันอื่นไม่มีปัญหา มาหลายอยู่ก็จริง เหมือนกับของในพื้นดินมีมากก้อนดิน ก้อนหญ้า ภูเขาเลากาไม่อด ก้อนหิน ก้อนกรวดทรายก็ไม่อด แต่ว่ามันดี เท่าก้อนเพชร ก้อนพลอย มันมากก็จริงเอาไปขายได้ก็จริง เอาไปหลายๆรถมันก็เหนื่อย ถ้าได้ก้อนเพชรก้อนพลอยก้อนหนึ่งเท่านิ้วมือนี้ ก็มีราคามากฉันใด ธรรมะตถาคตก็ฉันนั้น ไม่ต้องมาก"
   
   ฉะนั้นการกล่าวธรรมหรือการฟังนั้น ให้พากันรู้จักธรรมะอย่าสงสัยว่าธรรมะอยู่ที่ไหน ธรรมะมันอยู่ที่นี่เอง ไปเรียนอยู่ที่ไหนก็ตามมันอยู่ที่ใจ จิตใจเป็นผู้ยึด จิตใจก็เป็นผู้หมาย จิตใจเป็นผู้หลุด จิตใจเป็นผู้พื้น เมื่อเราเรียนสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทางนอกนั้น มีแต่เรื่องอาการของจิตทั้งหมด การเรียนอะไรมากๆเช่นเรียนปิฎก เรียนอภิธรรมก็ดีหรอก แต่ว่าอย่าหลงที่เอาของมัน ถ้ามาปฏิบัติให้เป็นผู้ใจซื่อสัตย์สุจริตเป็นเบื้องแรกเท่านั้น ไม่ต้องลำบาก เช่นคนมีความโกรธ คนมีความโลภ คนมีความหลงนี่ความโลภหนึ่ง ความโกรธหนึ่ง ความหลงหนึ่ง พวกญาติโยมที่ไม่เคยได้เรียนหนังสือก็โกรธเป็น โลภเป็น หลงเป็น มิใช่หรือ นั่นเขาไปเรียนมาจากไหน เขาได้เรียนอภิธรรม เรียนปิฎกเมื่อไร โกรธทำไมมีได้ หลงทำไมมีได้ ที่มันอยู่นั้นตรงนี้ เขาไม่ต้องไปเรียนมาจากไหน มันมีของมันได้
   
   เรามาเทศน์มาสอนกัน ก็เพื่อให้มาดูสิ่งนี้ มาละสิ่งนี้เท่านั้นให้มันรู้ออกมามันก็ถูกจุดของมัน ไม่ต้องไปไกลหรอก อยากดูรถไฟให้ไปรออยู่ที่สถานีหัวลำโพงนั้น ไม่ต้องไปทิศเหนือ ทิศใต้ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ไม่ต้องวิ่งตามมัน ไปนั่งรออยู่ที่หัวลำโพงนั่น รถไฟทุกสายมันมารวมอยู่ที่นั้นหมด ผู้ไปไม่ดีหรือดี อยู่มันได้เห็นหลายจังหวัด จังหวัดนั้น จังหวัดนี้ ปักษ์ใต้ปักษ์เหนือ มันได้เห็น แต่ว่าถ้าอยากเห็นรถไฟทุกๆขบวนแล้ว ต้องไปอยู่ที่หัวลำโพงนั่นไม่อด มันจอดอยู่ที่นั่นหมด ไม่ต้องตีตั๋วมันไปก็ได้ นี้ก็เหมือนกันถ้าอยากปฏิบัติจะทำอย่างไร เมื่ออยากเห็นรถไฟทุกขบวน เราไม่มีเงินตีตั๋วรถไปสายใต้ สายเหนือ แต่เราอยากเห็นทุกขบวนต้องไปอยู่ที่หัวลำโพง
   
   ทีนี้บางคนพูดว่า "ผมอยากปฏิบัติแต่ไม่รู้วิธีทำ ครั้นจะไปเรียนไตรปิฎก เรียนอภิธรรม ผม ก็ไม่สามารถ เพราะสมองไม่ให้แก่แล้ว" ก็ให้มาดูตรงนี้ อยู่ที่หัวลำโพงมันนี่ มันโลภขึ้นตรงนี้มันโกรธขึ้นตรงนี้ มันหลงขึ้นตรงนี้ มานั่งดูอยู่ที่มันเกิด ปฏิบัติตรงนี้ เพราะมันติดอยู่ตรงนี้ สมมติอยู่ตรงนี้ บัญญัติอยู่ตรงนี้ศีลธรรมมันเป็นอยู่ตรงนี้

ฐิตา:

   ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติจึงมิได้เลือกชั้น วรรณะ ขอแต่ว่าเรามาทำความเข้าใจกัน ให้มันรู้ มันเห็น ทีแรก ก็ทำกายวาจาของเราไม่ให้มีโทษก็เป็นศีล พูดถึงศีลก็พากันเข้าใจว่าต้องไปท่องบ่นอยู่ตลอดคืน ตลอดวันมันก็ยาก การมาทำกายวาจาของเราไม่ให้มีโทษก็เป็นศีล มันก็ไม่ยากอะไร เหมือนการทำกับข้าวของเรา อันนั้นก็เอาใส่อันนี้ก็เอาใส่ให้มันพอดี มันก็อร่อยมันเองความอร่อยไม่ต้องเรียกมันมามันก็อร่อยเอง ถ้าใส่เครื่องแกงครบการรักษากาย วาจาของเราให้เรียบร้อยดี มารยาทดีแล้วก็เป็นศีล
   
   การรักษาศีลนั้นเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น อันที่จริงแล้วเรามารักษา เรานี่เอง ศีลเราจะไปรักษาท่านทำไม ท่านดีกว่าเราแล้วเป็นบ้าแล้วหรือจึงจะไปเที่ยวหารักษาศีล ไปรักษาท่านที่ดีกว่า ตัวมารักษาตัวเอง ให้ความดีเกิดขึ้นมันจะไม่ดีกว่าหรือ ชอบพูดว่าไปรักษาศีลวัดโน้นวัดนี้ เป็นคนเก่งแล้วหรือ จึงกล้าพูดอย่างนั้น มารักษาตัวเองนี่แหละมันก็เป็นศีลเกิดขึ้นเท่านั้น พวกเรามาหลงคำพูดกันหรอก จึงมองเห็นการรักษาศีลเป็นของยากลำบาก ที่แท้ท่านให้มารักษาตัวเรามันเป็นศีล
   
   การปฏิบัตินี่ที่ไหนก็ทำได้ เมื่อก่อนนี้อาตมาก็กลัว จึงเที่ยวแสวงหาครูบาอาจารย์ เพราะไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร กลัวมันจะไม่ถูก ออกจากเขาลูกนี้ เข้าเขาลูกโน้น ไปโน่น ไปนี่ ไปเรื่อยๆมาค้นคิดดู ทุกวันนี้จึงเข้าใจ ก่อนนี้รู้สึกว่าเราโง่จริงๆ ไปเที่ยวหาแต่กรรมฐาน หารู้ไม่ว่ามันอยู่เต็มศีรษะเรานี่เอง ไม่รู้จักว่าผมเรานี้เป็นกรรมฐาน มานั่งพิจารณาดูทุกวันนี้ มีแต่กรรมฐานอยู่ที่เรานี่เอง มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตาย มันอยู่ที่เรานี่ ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ผู้ฉลาดรู้เฉพาะตน เราก็เคยพูดอยู่ว่า รู้เฉพาะตน แม้แต่คำว่าตนก็ไม่รู้จักเที่ยวหาจนเกือบตาย จนหยุดตามหาแล้วจึงหาในตัวเองจึงได้พูดให้ญาติให้โยมฟัง
   
   การรักษาศีลให้รักษาดังที่กล่าวมานี้ อย่าพากันสงสัยถึงแม้การปฏิบัติอันนี้บางคนว่าอยู่ในบ้านมันจะขัดข้อง ถ้าการปฏิบัติขัดข้องญาติโยมกินข้าวก็ขัดข้องเท่านั้น ดื่มน้ำก็ขัดข้องสิถ้าการปฏิบัติขัดข้องก็อย่ากินเลย การปฏิบัตินี้ มันดีจริงๆทำไมมันจึงจะขัดข้อง ถ้าเราไปเหยียบหนามมันจะดีไหม ถ้าไม่เหยียบหนามมันจะดีไหม ธรรมะย่อมให้ความสุขแก่มนุษย์ทั่วๆไป อยู่ในบ้านเราก็ประพฤติปฏิบัติได้ ปฏิบัติสมกับเราประพฤติได้นั่นแหละมันรู้ได้เห็นได้ เรามาปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างนั้น
   
   อันนี้บางคนพูดว่า "ผมอยู่ในที่คับแคบ อยู่ในฆราวาสที่ครอบครัวทำไม่ได้หรอก" เมื่ออยู่ที่คับแคบ ก็พิจารณาอยู่ที่คับๆแคบๆนั่นแหละ ให้มันกว้างออก ใจเรามันหลงให้มันรู้อยู่ในคับแคบ ยิ่งไม่ประพฤติปฏิบัติ ยิ่งไม่เข้าวัดเข้าวายิ่งไม่ฟังเทศน์ฟังธรรม ยิ่งหมก ตัวอยู่ในรูเหมือนกบอยู่ในที่คับแคบ มีแต่เหล็กงอๆเป็นขอเกี่ยวแหย่ลงไปในนั่นแหละจะมีที่หลีกหรือ เดี๋ยวก็ยืนคอคางถวายเขาเท่านั้นแหละ ให้ระวังอยู่ในที่คับๆเหล็กงอๆเขาจะหย่อนลงไปเกี่ยวคางขึ้นมา ภาวนาก็เช่นกัน อยู่ในบ้านในเรือนก็ยุ่งยากเพราะลูกหลาน ยิ่งทุกข์ยิ่งยากเราก็ยิ่งไม่รู้จัก ไม่รู้จักที่ปลดเปลื้องสักที เวลาความแก่ ความเจ็บ ความตายเข้ามาถึงเอา เราจะทำอย่างไร มันก็เหมือนกับเขาเอาขอเกี่ยวเอากบที่อยู่ในที่คับแคบนั่นแหละ เราจะหลีกไปทางไหนกัน มิใช่คางก็ซีโครงเท่านั้นที่จะถูกขอเหล็กเขาเกี่ยวขึ้นมา

   ใจของเราก็เหมือนกัน มันยุ่งยากอยู่กับลูกหลาน วัวควายสิ่งของต่างๆ ไม่รู้จักวิธีปลดเปลื้องมัน เมื่อไม่มีศีล ไม่มีธรรมมันกว้าง มันขวาง ไม่มีทางแก้ ทางปลด ทางหลบ ทางหลีกเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ทุกข์ขึ้นมาก็ทุกข์ไปกับมัน มันทุกข์เพราะอะไร ไม่พิจารณาก็ไม่รู้ ถ้ามันสุขขึ้นมาก็เห่อเหิมในสุขนั่นเอง มันสุขเพราะอะไรมิได้พิจารณาดูมีแต่คับแคบ มีแต่มืดหน้าเข้าไปอยู่อย่างนั้น

ฐิตา:

   ฉะนั้นจงพากันเข้าใจใหม่ อยู่ที่ไหนมันก็ปฏิบัติได้ เพราะใจอยู่ที่เรา นั่งอยู่ ก็ดีเราก็รู้จัก
ถ้าคิดชั่วเราก็รู้จัก เพราะมันอยู่กับเรา นอนอยู่.. คิดดีก็รู้ คิดชั่วก็รู้

เพราะที่ปฏิบัติมันอยู่ที่เรา บางคนเข้าใจว่าจะต้องไป วัดทุกๆวัน มิได้เป็นอย่างนั้น
ให้ดูจิตของเราถ้ารู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว ดีจริงๆนี่ประการหนึ่ง

   ประการที่สองนั้นให้เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ให้ดูตัวเอง อย่าไปถือมงคลตื่นข่าว
ท่านจึงว่า สีเลน สุคติ งฺ ยนฺติสีเลน โภคสมฺปทา สีเลน นิพฺพุติงฺยนฺติ ตสฺมา สีลํวิโสธเย
นี่ศีลนี้คือการกระทำของเรา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่าไปเข้าใจว่า
เทวดามาทำให้เรา เทวดาอารักษ์ ภูตผี ปีศาจ วัน เวลาฤกษ์งามยามดีต่างๆ
พวกนี้จะทำให้เรานั้น ไม่ใช่อย่างเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะเป็นทุกข์
มันจะค่อยแต่วัน เดือน ปีเทวดาอารักษ์หามาให้

มันจะมีความทุกข์เปล่าๆ ให้หาเอาด้วยกาย วาจาของเราด้วยกรรม คือการกระทำของเรา
เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราเข้าใจว่าของดีของชั่ว ของผิดของถูกอยู่ที่เรา
ที่กายที่วาจา ที่ใจของเราแล้ว เราก็ไม่ต้องไปหาที่อื่น หาตรงที่มันมีอยู่เช่นสิ่งของ
ที่มันตกลงตรงนี้ ก็หาตรงที่มันตกลงนี่เอง ไม่เห็นก็ให้มันอยู่ เราหาตรงที่มันตกนี่
อันนี้มันตกที่นี่ไปหาที่โน่น เมื่อไรมันจะเห็นเล่า
ถ้าเราทำดีทำชั่วอยู่กับเรา ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ต้องเห็น ให้เราเข้าใจอย่างนี้

   สัตว์เป็นไปตามกรรมคือการกระทำของตน กรรมคืออะไร
ญาติโยมชอบเชื่อมาก เกินไป ถ้าไม่ทำบาป ยมบาลท่านจดไว้จะไปท่านก็ตามจด ท่านจะเอาบัญชีมาอ่านเอา เรียกเอาผู้นั้นทำกรรมนั้นผู้นี้ทำกรรมนี้ กลัวแต่ยมบาลข้างหน้า ไม่รู้จักยมบาลที่ใจตัวเองนี้ ถ้าตัวเราทำชั่ว ให้ไปหลบทำอยู่คนเดียวสิ มันจดเองมันที่นั่งอยู่ที่นี่คงจะมีอยู่หลายคนที่เคยแอบไปทำชั่วอยู่คนเดียวทำไม่ให้คนอื่นเห็น แต่เจ้าของเห็นยมบาล มันเห็นอยู่ ผู้หญิงผู้ชายเหมือนกันคงจะเคยทำอยู่คนเดียวนั่น นึกได้ไหมล่ะ นึกดูเอาเอง

มันเป็นปัจจังตังเห็นอยู่นั่นแหละ ยมบาลท่านจดไว้แล้ว หนีไม่พ้น แม้จะทำอยู่คนเดียว หลายคน นอกทุ่ง กลางทุ่งก็ตามใครบ้างที่เคยไปลักของคนเดียว คนพวกนี้คงจะมีขโมยอยู่ แต่ก่อน เคยขโมยของคนอื่น ทุกวันนี้ไม่ขโมยของคนอื่น ก็ขโมยของตัวเอง อาตมาเองก็มักจะเป็นอยู่ จึงเชื่อว่าญาติโยมอยู่ที่นี่คงจะเคยทำชั่วอยู่คนเดียวมิให้คนอื่นเห็น แต่ตัวเองรู้จักไม่กล้าพูดให้คนอื่นฟังเท่านั้นเพราะมันสนุก เรื่องนี้มันขำเหลือเกิน นี่แหละยมบาลท่าน จดไว้หรอก ไปทางไหนท่านก็จดไว้ในบัญชีใจ คือเจตนา เรารู้ตัวเราเอง เมื่อทำชั่วแล้วมีชั่ว ทำถูกแล้วมีถูก จะไปทำอยู่ที่ ที่คนไม่เห็นไม่มี ถ้าเราทำผู้อื่นไม่เห็น เราก็เห็น มันไม่ไปไหนหรอก พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นเจ้าของ แม้ลงไปอยู่ในรูก็เห็นเจ้าของอยู่ในรู เลยทำบาปไม่ได้

   ฉะนั้นทำไมจะไม่เห็นความบริสุทธิ์ของตน เราเห็น หมด สงบก็รู้ ทุกข์ก็รู้ พ้นก็รู้ ไม่พ้นก็รู้
ดังนั้นศาสนาของพระพุทธเจ้านี้ ถ้าทำต้องรู้จัก
ไม่ใช่เหมือนพราหมณ์ พอขึ้นไปว่า "ให้ท่านอยู่ดีมีกำลังเน้อ ให้ท่านมีอายุยืนนาน" พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดอย่างนั้น การพูดแต่ปากมันจะหายได้อย่างไรกัน พระพุทธเจ้าเมื่อไปดูคนป่วยถามว่า เบื้องแรกเป็นอะไร ก่อนจะเป็นไข้นี้เป็นอะไรมาก่อน มันเป็นอย่างนั้นๆ เล่าไป อ้อมันเป็นอย่างนี้ เอายาให้กินลองดู ฉีดลองดู ถ้าไม่ถูกตามอาการอีกฉีดยาดู ถ้าถูกแล้วก็ใช่แล้ว ทำอย่างมีเหตุผล ส่วนพวกพราหมณ์เอาฝ้ายผูกแขนแล้วพูดว่า "เออ! ให้ท่านอยู่ดีมีกำลัง
ข้าไปแล้วให้เจ้าลุกขึ้นกินปลาหากินข้าวได้นะ"...จ้างก็ไม่หาย มันไม่มีเหตุผลอะไรนี่ แต่ญาติโยมชอบเชื่ออย่างนั้น
พระพุทธเจ้ามิได้หมายถึงอย่างนั้น ท่านให้หมายถึงการมีเหตุมีผลในการปฏิบัติ

   พระพุทธศาสนาล่วงเลยมาหลายพันปีแล้วอย่างนั้น บางคนก็ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านพาทำอย่างไร ก็ทำเรื่อยๆมาอย่างนั้น ถึงแม้ผิดก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ อันคนโง่ เขาพาทำอะไรก็ทำตามเขา พระพุทธเจ้าท่านมิได้ประสงค์อย่างนั้นท่านต้องการให้มีเหตุ มีผล ยกตัวอย่างคราวครั้งหนึ่ง พระองค์เทศน์ให้พระสารีบุตรฟัง เทศน์ไปๆเทศน์จบแล้วจึงตรัสถามว่า"สารีบุตรเธอเชื่อเราไหม" พระสารีบุตรทูลว่า "ยังไม่เชื่อ เชื่อไม่ได้"พระองค์จึงตรัสว่า "ดีแล้วสารีบุตร" ปราชญ์หรือคนมีปัญญาไม่เชื่อง่ายหรอก ต้องไตร่ตรองหาเหตุผลให้รู้ตามเป็นจริงเสียก่อนจึงเชื่อ แต่ครูบาอาจารย์ส่วนมากเดี๋ยวนี้มักจะพูดว่า แกไม่เชื่อข้าจะหนีไปไหนก็ไป...ไล่หนีเลย เราเลยพากันกลัว ท่านพาทำอะไรก็ทำไป เชื่อไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เป็น คน มีเหตุมีผลให้คอยได้ยินได้ฟังทั้งพิจารณา อย่างอาตมาเทศน์ให้ฟังก็เช่นกันให้เอาไปพิจารณาว่า
ถูกดังที่พูดไหมให้เป็นผู้ค้นคว้าจริงๆให้อยู่ที่ตัวเราทั้งหมด

ดอกโศก:
อนุโมทนาค่ะ พี่แป๋ม  :07:

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13: อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณครับพี่แป๋ม

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version