ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
ปล่อยสิ่งต่างๆ ไว้ตามสภาพ จางจื๊อ
(1/1)
ฐิตา:
ปล่อยสิ่งต่างๆ ไว้ตามสภาพ
จางจื๊อ
๏ข้าพเจ้ารู้ถึงการปล่อยโลกไว้ตามสภาพ โดยไม่เข้าไปแทรกแซง ฯ
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ฯ รู้แต่การปล่อยอะไรไว้ตามเดิม ฯ
เพื่อมนุษย์จะได้ไม่ไปทำให้ธรรมชาติของตนเองเสียสภาพไป ฯ
การไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวย่อมช่วยไม่ให้มนุษย์กลายไปเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่มนุษย์ ฯ
เมื่อมนุษย์ไม่ตัดรอนหรือบิดเบือนจนพ้นความเป็นมนุษย์ไป
เขาย่อมมีโอกาสที่จะดำรงชีพอยู่ได้ วัตถุประสงค์ของรัฐบาลควรอยู่ที่ตรงนี้เอง ๚
๏สุขมาเกินไปหยางย่อมมีอิทธิพลมากเกินไปฯ เมื่อหยางและหยินไม่สมดุลกัน
ก็ดุจดังฤดูกาลวิปริตฯ เมื่อเย็นและร้อนไม่สมดุลกันร่างกายมนุษย์ย่อมเดือนร้อน ฯ
๏สุขมากเกินไป ทุกข์มากเกินไป ไม่ต้องด้วยกาลเวลา มนุษย์ย่อมขาดความสมดุล
แล้วเขาจะทำอะไรต่อไป ความคิดย่อมสับสน ฯ คุมไว้ไม่ได้ ฯ
ย่อมเริ่มทำทุกอย่าง โดยไม่แล้วเสร็จสักอย่างเดียว ฯ
ทีนี้ก็เริ่มแข่งขันกัน ดูสิว่าใครจะวิเศษสุด เป็นอันเริ่มโจรกรรมขึ้นในโลก ๚
๏โลกนี้มีรางวัลไว้ไม่พอสำหรับคนดีและมีโทษไว้ไม่พอสำหรับคนชั่ว ฯ
เพราะโลกนี้ใหญ่ไม่พอสำหรับการให้รางวัลและการลงโทษ ฯ
จำเดิมแต่สมัยสามราชวงศ์มาแล้ว ที่มนุษย์สุดไปในทิศทางต่าง ๆ กัน
แล้วเขาจะหาเวลามาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ฯ
๏ท่านฝึกตาและการเห็นให้ไปติดยึดอยู่ที่สี ฯ
ท่านฝึกหูไว้ให้อยากได้ยินเสียงอันน่าพึงพอใจ ฯ
ท่านอยากทำดีและหัวใจอันดีของท่านนั้นระเบิดออกไป
ในหลายทิศทาง ฯ ท่านพอใจในสิ่งถูกต้อง จนท่านเองกลายเป็นสิ่ง
ถูกต้อง และหาเหตุผลกันไม่ได้เอาเลย ฯ
ท่านประกอบพิธีกรรมอย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นละครไป ฯ
ท่านรักดนตรีมาก ฯ
ท่านรักสติปัญญามาก จนใช้ปัญญาเป็นเพทุบาย ฯ
ท่านรักวิชามาก จนคอยแต่จับผิดผู้อื่นฯ
๏มนุษย์จะคงความเป็นมนุษย์ไว้ได้ โดยถือว่าโลกธรรมทั้งแปดข้อนี้ ไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับตน ถ้าไม่เข้าใจความข้อนี้ โดยไม่ใช้โลกธรรมทั้งแปดนี้ให้พอดี ฯ แต่ละอย่างจะกลายสภาพเป็นดังเชื้อโรคที่กัดกินตน ฯ แล้วโลกก็จะเกิดความสับสน ฯ เพราะมนุษย์ติดยึดในโลกธรรมเหล่านี้ และมุ่งแต่แสวงหาสิ่งเหล่านี้ โลกย่อมอยู่ในสภาพมืดมัว ฯ
๏แม้สุขารมณ์จะผ่านพ้นไปแล้ว จิตก็ยังติดอยู่ สร้างมโนภาพล้อมรอบอดีตอันน่าพิสมัยนั้นไว้ ทำเป็นพิธีกรรมไว้สำหรับเตือนตาเตือนใจและพูดถึงอยู่ ไม่รู้จักแล้ว แต่งดนตรีเอย เพลงขับเอย
แม้จนสร้างระเบียบวินัย ตลอดจนอดอาหาร เพื่อเข้าสู่สุขารมณ์ทั้งแปดนั้นอีก ฯ
เมื่อความยินดีในสิ่งเหล่านี้กลายเป็นศาสนาขึ้นมา จะควบคุมมันไว้ได้อย่างไร ๚
๏ผู้รู้ ถ้าถึงคราวที่จะต้องปกครองบ้านเมือง ย่อมรู้ว่าไม่ควรทำอะไรฯ
ปล่อยสิ่งต่าง ๆไว้ตามสภาพ
โดยที่ตัวเองพักอยู่กับธรรมชาติดั้งเดิม ฯ
เขาย่อมจะเคารพผู้ที่อยู่ในความปกครองของเขาเท่าที่เขาเคารพตัวเอง ฯ
ถ้าเขารักตัวเองถึงขนาด จนปล่อยตัวเองไว้ในสภาวสัจจดั้งเดิม
เขาก็ย่อมจะปกครองคนอื่น โดยไม่ทำให้เขาเหล่านั้นต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ฯ
การที่ทำเช่นนั้นได้ เขาย่อมรั้งตัวเองไว้ ไม่แสดงศักดานุภาพต่าง ๆ ออกมา
เพื่อเป็นการกระทำ ฯ
เขาย่อมอยู่นิ่ง ไม่มอง ไม่ฟัง ฯ เขาย่อมนั่งเฉยดังซากศพ ทั้ง ๆ ที่มีสีหนาทอยู่รอบข้าง
ด้วยการเงียบสงบอย่างยิ่งนี้เอง ที่เสียงเขาดังเยี่ยงพายุ
การเคลื่อนไหวของเขา ย่อมแลเห็นไม่ได้ ดุจดังจิตอันอิสระที่ลอยคว้างไป
โดยที่อำนาจของสวรรค์ย่อมปกป้อง อยู่ตลอดเวลา ฯ
ไม่เอาใจใส่ ไม่ทำอะไร เขาย่อมแลเห็นสรรพสิ่งรอบ ๆ ตัวเขาว่าสุกงอมขึ้นอย่างไร
แล้วเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปปกครองบ้านเมือง ๚ะ๛
มนุษย์ที่แท้: มรรควิถีของจางจื๊อ,
ส. ศิวรักษ์ แปลและเรียบเรียง
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖, หน้า ๙๔ - ๙๖
http://www.khonnaruk.com/html/phra/life_scripture/thing.html
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม ขอบคุณครับผม
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
Go to full version