วิถีธรรม > จิตภาวนา-ปัญญาบารมี
ปฏิสัมภิทามรรค อนุโลมขันติ
ฐิตา:
ปฏิสัมภิทามรรค อนุโลมขันติ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
[๗๓๕] ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการเท่าไร ย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการเท่าไร
ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ ย่างลงสู่สัมมัตต นิยามด้วยอาการ ๔๐ ฯ
ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ฯ
ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ เป็นทุกข์ ๑
เป็นโรค ๑ เป็นดังหัวฝี ๑
เป็นดังลูกศร ๑ เป็นความลำบาก ๑ เป็นอาพาธ ๑ เป็นอย่างอื่น ๑
เป็นของชำรุด ๑ เป็นเสนียด ๑
เป็นอุบาทว์ ๑ เป็นภัย ๑เป็นอุปสรรค ๑ เป็นความหวั่นไหว ๑
เป็นของผุพัง ๑ เป็นของไม่ยั่งยืน ๑
เป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ๑ เป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ๑
เป็นของไม่เป็นที่พึ่ง ๑ เป็นของว่าง ๑
เป็นของเปล่า ๑ เป็นของสูญ ๑ เป็นอนัตตา ๑ เป็นโทษ ๑
เป็นของมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ๑
เป็นของหาสาระมิได้ ๑ เป็นมูลแห่งความลำบาก ๑ เป็นดังเพชฌฆาต ๑
เป็นความเสื่อมไป ๑
เป็นของมีอาสวะ ๑ เป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง ๑ เป็นเหยื่อแห่งมาร ๑
เป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา ๑
เป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ๑
เป็นของมีความตายเป็นธรรมดา ๑
เป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความร่ำไรเป็นธรรมดา ๑
เป็นของมีความคับแค้นใจเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ๑
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นทุกข์ ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นสุข
ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีฝี ...
ฐิตา:
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังลูกศร ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีลูกศร ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความลำบาก ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความลำบาก ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอาพาธ ...เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์ เป็นนิพพานไม่มีอาพาธ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอื่น ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีสิ่งอื่นเป็นปัจจัย ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของชำรุด ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความชำรุดเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นเสนียด ...เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีเสนียด ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุบาทว์ ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุบาทว์ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นภัย ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานอันไม่มีภัย ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุปสรรค ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุปสรรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหวั่นไหว ...เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความหวั่นไหว ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของผุพัง ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความผุพัง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน ...เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความยั่งยืน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ต้านทาน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ป้องกัน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีที่พึ่ง ...เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่พึ่ง
ฐิตา:
-->> เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่าง ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่ว่าง ...
-->> เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่างเปล่า ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่ว่างเปล่า ...
-->> เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของสูญ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานสูญอย่างยิ่ง...
(ที่ว่าสูญอย่างยิ่งคือสูญจากเบญจขันธ์อย่างยิ่ง : ป.ล.ปราชญ์ขยะ)
-->> เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอนัตตา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง...
(น่าแปลกที่ไม่ทรงกล่าวว่าพิพานเป็นอนัตตาทั้งๆ ที่กล่าวว่าเบญจขันธ์เป็นอนัตตา
คงไม่ทรงต้องการให้ยึดถือว่านิพพานเป็นอนัตตาหรืออัตตามากกว่า : ปล.ปราชญ์ขยะ)
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโทษ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีโทษ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของแปรปรวนเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหาสาระมิได้ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีสาระ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นมูลแห่งความลำบาก ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีมูลแห่งความลำบาก ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังเพชฌฆาต ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่เป็นดังเพชฌฆาต ...
-->> เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของเสื่อมไป ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความเสื่อมไป ...
(เห็นได้ว่านิพพานไม่มีความเสื่อม ดังนั้น
นิพพานย่อมต่างจากเบญจขันธ์ดังนี้ : ป.ล.ปราชญ์ขยะ)
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีอาสวะ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอาสวะ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นเหยื่อแห่งมาร...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่เป็นเหยื่อแห่งมาร ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความเกิด ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความแก่ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความป่วยไข้ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความตายเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความตาย ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความเศร้าโศก ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความร่ำไรเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความร่ำไร ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความคับแค้นเป็นธรรมดา
ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความคับแค้น
ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา
ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความเศร้าหมอง
ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑
บรรทัดที่ ๑๐๘๕๓ - ๑๐๙๓๙. หน้าที่ ๔๕๔ - ๔๕๘.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=10853&Z=10939&pagebreak=0
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10019595/Y10019595.html
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่แป๋ม
ฐิตา:
"หญ้าแม้เป็นพืชต้นเล็กๆ แต่เพราะมีความทนทรหด
จึงสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ทั่วโลกฉันใด
คนเราแม้กำลังทรัพย์ กำลังความรู้ ความสามารถจะยังน้อย
แต่ถ้ามีความอดทนแล้ว ย่อมสามารถฝึกฝนตนเอง
ให้ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิตได้ฉันนั้น"
ความอดทนคืออะไร ?
ความอดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้
ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม
มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหว
ไม่ว่าจะมีคนเทอะไรลงไป ของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม
งานทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ ที่สำเร็จขึ้นมาได้นอกจาก
จะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำแล้ว
ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมอันหนึ่งเป็นพื้นฐานจึงสำเร็จได้
คุณธรรมอันนั้นคือ ขันติ
ถ้าขาดขันติเสียแล้ว จะไม่มีงานชิ้นใดสำเร็จได้เลย เพราะขันติเป็นคุณธรรม
สำหรับทั้งต่อต้านความท้อถอยหดหู่ ขับเคลื่อนเร่งเร้าให้เกิดความขยัน
และทำให้เห็นอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องท้าทายความสามารถ
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของงานทุกชิ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม
คืออนุสาวรีย์ของขันติทั้งสิ้น โดยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“ยกเว้นปัญญาแล้ว เราสรรเสริญว่าขันติเป็นคุณธรรมอย่างยิ่ง”
ลักษณะความอดทนที่ถูกต้อง
๑.มีความอดกลั้น คือ เมื่อถูกคนพาลด่า ก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน
ทำหูเหมือนหูกระทะ เมื่อเห็นอาการยั่วยุ ก็ทำราวกับว่าไม่ได้เห็น
ทำตาเหมือนตาไม้ไผ่ ไม่สนใจใยดี ไม่ปล่อยใจให้เศร้าหมองไปด้วย
ใส่ใจ สนใจ แต่ในเรื่องที่จะทำความเจริญให้แก่ตนเอง
เช่น เจริญศีล สมาธิ ปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
๒.เป็นผู้ไม่ดุร้าย คือ สามารถข่มความโกรธไว้ได้ ไม่โกรธ ไม่ทำร้าย
ทำอันตรายด้วยอำนาจแห่งความโกรธนั้น ผู้ที่โกรธง่ายแสดงว่ายังขาดความอดทน
มีคำตรัสของท้าวสักกะ เป็นข้อเตือนใจอยู่ว่า
“ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธก่อนแล้ว ผู้นั้นกลับเป็นคนเลวกว่า ผู้ที่โกรธก่อน
ผู้ที่ไม่โกรธต่อบุคคลผู้กำลังโกรธอยู่ ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ชนะสงครามอันชนะได้ยากยิ่ง”
๓.ไม่ปลูกน้ำตาให้แก่ใครๆ คือ ไม่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
หรือเจ็บแค้นใจจนน้ำตาไหลด้วยอำนาจความเกรี้ยวกราดของเรา
๔.มีใจเบิกบานแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์ คือ มีปีติอิ่มเอิบใจเสมอๆ
ไม่พยาบาท
ไม่โทษฟ้า โทษฝน โทษเทวดา โทษโชคชะตา หรือโทษใครๆ ทั้งนั้น
พยายามอดทนทำการงานทุกอย่างด้วยใจเบิกบาน
ลักษณะความอดทนนั้น โบราณท่านสอนลูกหลานไว้ย่อๆ ว่า
“ปิดหูซ้ายขวา ปิดตาสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง นอนนั่งสบาย”
คนบางคนขี้เกียจทำงาน บางคนขี้เกียจเรียนหนังสือ บางคนเกะกะเกเร
พอมีผู้ว่ากล่าวตักเตือนก็เฉยเสีย
แล้วบอกว่าตนเองกำลังบำเพ็ญขันติบารมี อย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด
ตีความหมายของขันติผิดไป
ขันติไม่ได้หมายถึงการตกอยู่ในสภาพใดก็ทนอยู่อย่างนั้น
“พวกที่จน ก็ทนจนต่อไป ไม่ขวนขวายทำมาหากิน จัดเป็นพวกตายด้าน”
“พวกที่โง่ ก็ทนโง่ไป ใครสอนให้ก็ไม่เอา จัดเป็นพวก ดื้อด้าน”
“พวกที่ชั่ว แล้วก็ชั่วอีก ใครห้ามก็ไม่ฟัง จัดเป็นพวก ดื้อดึง”
ลักษณะที่สำคัญยิ่งของขันติ คือ ตลอดเวลาที่อดทนอยู่นั้น จะต้องมีใจผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
เราสรุปลักษณะของขันติโดยย่อ ได้ดังนี้
๑.อดทนถอนตัวหรือหลีกเลี่ยงจากความชั่วให้ได้
๒.อดทนทำความดีต่อไป
๓.อดทนรักษาใจไว้ไม่ให้เศร้าหมอง
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version