ผู้เขียน หัวข้อ: คืนสู่ชนบท :เนารัตน์ พงษ์ไพบูลย์ จาก กวีเต๋าเถาหยวนหมิง  (อ่าน 2408 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




กวีเต๋าเถาหยวนหมิง

เถาหยวนหมิง เป็นกวีเอกในสมัยราชวงศ์ตงจิ้น (ค.ศ.356-427) เป็นที่ยกย่องกันว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคหลังราชวงศ์ฮั่นแลก่อนราชวงศ์ถัง เป็นชาวมณฑลเจียงซี อยู่เมืองจิวเจียง เคยรับราชการแล้วออกมาใช้ชีวิตชาวนาอย่างสันโดษที่ตีนเขาหลูซาน ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการคำนับขุนนางที่ยศสูงกว่า งานกวีที่มีชื่อเสียงมากคือ ธารดอกท้อ (เถาฮวาเหวียน) อันเป็นดินแดนในอุดมคติ ซึ่งก็คือสังคมนิยมเพ้อฝัน หรือ Utopia นั่นเอง เรื่องมีอยู่ว่าชาวประมงคนหนึ่งได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนดอกท้อ ไปพบโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอก ประชาชนในดินแดนแห่งนี้ปลูกข้าวเลี้ยงหม่อนพึ่งตนเอง ปราศจากการกดขี่ขูดรีดใดๆ ต่างคนต่างทำงานมีฐานะเท่าเทียมกัน ปราศจากความเดือดร้อนยุ่งยากจากโลกภายนอก (กวีเต๋าเถาหยวนหมิง หน้า 13)

ฤดูดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ 405  เถาหยวนหมิงได้ไปเป็นผู้ว่าการอำเภอเผิงเจ๋อ ที่ห่างจากบ้านเกิดของตนไม่ไกลนัก และในฤดูหนาวปีเดียวกัน  ผู้บังคับบัญชาของเขาได้ส่งผู้ตรวจการคนหนึ่งมาดูงาน  ผู้ตรวจการคนนี้เป็นคนไม่สุภาพและยังหยิ่งยโส พอเขาเดินทางถึงเขตอำเภอเผิงเจ๋อก็ส่งคนมาสั่งให้นายอำเภอมาเข้าพบเขา   เถาหยวนหมิงได้ข่าวแม้ในใจจะดูถูกคนประเภทที่อาศัยชื่อของผู้บังคับบัญชามาออกคำสั่งก็ตามแต่ยังคงรีบออกเดินทาง  ทว่าคนรับใช้ของเขารีบทักท้วงเถาหยวนหมิงว่า ”การเข้าพบผู้ตรวจการท่านนี้ต้องระวังแต่งกายให้เรียบร้อย  และยังต้องมีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน  มิฉะนั้น  เขาจะต้องใส่ร้ายท่านต่อผู้บังคับบัญชาของท่านแน่ๆ”  เถาหยวนหมิง ผู้มีจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร  ถอนใจยาวกล่าวว่า”ข้าพเจ้ายอมอดตาย  ก็จะไม่ค้อมคำนับเพื่อเบี้ยหวัดข้าวห้าโต่วและคนต่ำช้าสามานย์เช่นนี้”  (หนึ่งโต่วเท่ากับสิบลิตร) พูดจบเขาได้เขียนหนังสือลาออกจากตำแหน่งทันที  ลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอที่ดำรงอยู่กว่า ๘๐ วัน  จากนั้นเถาหยวนหมิงไม่กลับเข้ารับราชการอีกเลย
(ที่มา -http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter16/chapter160404.htm)

เหมาเจ๋อตง นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของจีนเคยเขียนบทกวีพาดพิงไปถึง เถาหยวนหมิงและสวนดอกท้อของท่าน บทกวีชิ้นนี้ชื่อ "ขึ้นหลูซาน" เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2502 สำนวนแปลของ ทวีป วรดิลก (นามปาก ทวีปวร)
ท่านเถาหยวนหมิงไปไหน    มุ่งสู่สถานใดในหน
ดินแดนดอกท้อสถิตยล      ไถนาได้ผลหรือไร
  (กวีเต๋าเถาหยวนหมิง หน้า 12)



คืนสู่ชนบท เถาหยวนหมิง แต่ง
โชติช่วง นาดอน แปล
เนารัตน์  พงษ์ไพบูลย์ ร้อยกรอง

ข้ามิอาจปล่อยตัวตามกระแส                   ด้วยธาตแท้ข้ารักอยู่ภูดอยผา
เคยหลงเข้าข่ายโลกีย์นานปีมา                ถึงสิบสามปีพาข้าหลงไป
นกในกรงถวิลหาถิ่นป่าเก่า                      ปลาสระเล่าถวิลหาสาครใหญ่
บัดนี้ข้าเบิกร้างถางถิ่นไพร                      ดังเคยให้คำมั่นจักหันคืน
     

อยู่กับที่กระผีกริ้น ผืนดินข้า                    กระท่อมหญ้าหลังน้อยก็พลอยชื่น
หลิวครึ้มลานหลังร่มคลุมห่มพื้น               ลานหน้ารื่นสาลี่ท้อ ลออราย
หมู่บ้านห่างห่างอยู่ดูตะคุ่ม                      ควันจับกลุ่มเคลื่อนคล้อยค่อยลอยหาย
เสียงหมาเห่าอยู่ตามตรอกซอกทางกราย  ไก่ขันเจื้อยแจ้วกระจายปลายหม่อนนั้น

บ้านห่างร้าง อลวลสับสนกระแส               ห้องโล่งแต่ปิติหฤหรรษ์
นกน้อยถูกขังกรงมานานครัน                  บัดนี้ผันคืนรังอีกครั้งครา
ชนบทไร้บันเทิงเริงสถาน                        ทุกตรอกย่านไร้จอแจรถแห่หา
ยามกลางวันหับประตูไม่ตรูตรา                ห้องว่างเปล่าไม่ต้องมาคอยห่วงใย

ความเป็นอยู่ในหมู่บ้านนั้นธรรมดา           คนแหวกหญ้าหาสู่อยู่ชิดใกล้
ไม่ต้องมีทีท่ามายาใด                             ยามพบหน้าปราศรัยไร่หม่อนปอ
ทั้งต้นหม่อนต้นปอก็เริ่มใหญ่                   ดินข้าไถข้าถากมากแล้วหนอ
กลัวหิมะเหมยร้ายทำลายกอ                    เหลือแต่ตอตายเห็นเป็นพงร้าง



ปลูกถั่วอยู่เชิงหลูซานงานเหนื่อยยาก       ถั่วไม่มากแต่หญ้าดกรกเหลือถาง
ออกดายหญ้าแต่รุ่งตะวันลาง                  แบกจอบพลางจูงจันทร์กลับบ้านเรือน
ทางแคบไม้ครึ้มคร่าหญ้ารกรื้น                หมอกค่ำคืนชื้นเสื้อชื้นเหงือเปื้อน
เปื้อนไปเถิดเปื้อนเปรอะเปื้อนเลอะเลือน     ไม่กระเทือนปณิธานอันมั่นคง


ห่างป่าเขาลำเนาไพรไปนานนม              บัดนี้ข้าได้มาชมไพรระหง
กับลูกหลานฝ่าไปในไพรพง                    เที่ยวดั้นดงถึงสถานหมู่บ้านร้าง
เดินเวียนวนด้นอยู่ในสุสาน                      แล ทำเลหย่อมย่านอันกว้างขวาง
ยังเห็นซากบ่อเก่าเตาไฟวาง                   แลเศษไผ่หม่อนค้างอยู่กลางคัน

ลองถามคนตัดฟืนช่วยยืนชี้                    คนเหล่านี้หนีไปที่ไหนนั่น
คนตัดฟืนตอบคำที่ถามพลัน                   เขาทั้งนั้นตายหมดไม่เหลือเลย   
จริงดั่งคำ "สามสิบปีทุกที่เปลี่ยน"            ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด นิจจาเอ๋ย
ชีวิตคนดั่งมายามายั่วเย้ย                      แล้วลงเอยสู่ความว่างเช่นดังนี้

ถือไม้เท้าย่ำทางอย่างหมองหม่น             เดินวกวนตามทางหว่างวิถี
ถึงธารติ้นรื่นพักวักวารี                           พอล้างเท้าเข้าถึงที่กระท่อมทับ
เอาเหล้าหมักออกมากรองร้องทักเพื่อน    เมื่อตาวันผันเผื่อนเลื่อนห้องหับ
จุดคบไต้ต่างเทียนเวียนไหววับ               โอราตรีมีแต่ลับล่วงเร็วจริง
       

(จากหนังสือ กวีเต๋าเถาหยวนหมิง
โดย ทองแถม นาถจำนง หน้า  118-120)   



-http://www.gotoknow.org/blogs/posts/191850?


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



กลับสู่นาสวน
บทที่ ๑ เถาหยวนหมิง

เมื่อเป็นเด็ก ข้าไม่ตามกระแสสังคม
มีนิสัยรักภูผาป่าดอย
แต่ได้หลงผิดอยู่ในบ่วงราชการ
เสียเวลาไปถึงสิบสามปี

นกในกรงปรารถนาป่าดั้งเดิม
ปลาในบ่อคิดถึงหนองบึงเก่า
จึงกลับไปถางพงป่าทางใต้
มักน้อยกลับสู่นาสวน

บ้านข้ามีที่ดินสิบโหม่วเศษ
กระท่อมหญ้าแปดเก้าหลัง
อวี๋และหลิงให้ร่มเงาชายคาหลังบ้าน
ท้อสาลี่เรียงรายอยู่หน้าบ้าน

ในที่ไกลมีหมู่บ้านสิบๆรำไร
ควันจากหมู่บ้านลอยอ้อยอิ่ง
สุนัขเห่าในซอกซอยลึก
ไก่ขันบนยอดต้นหม่อน

บริเวณบ้านไม่วุ่นวาย
เรือนว่าง มีเวลาว่าง
อยู่ในกรงมาช้านาน
ได้กลับสู่ธรรมชาติอีกครั้ง




หมายเหตุ
เถาหยวนหมิง แต่งบทกวีชื่อ “กลับสู่นาสวน” ไว้เป็นชุด บทนี้เป็นบทที่ ๑ เถาหยวนหมิง (ค.ศ. ๓๖๕ - ๔๒๗) เป็นกวียิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก (ค.ศ. ๓๑๗ – ๔๒๐) มีอีกชื่อหนึ่งว่า เถาเฉียน เป็นชาวไฉซัง เมืองเสวินหยัง ปัจจุบันอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองจิ่วเจียง มณฑลเจียงซี เมื่ออายุ ๒๙ ปีเข้ารับราชการ อยู่ไม่นานก็ลาออก ต่อมาเข้ารับราชการอีกถึงอายุ ๔๑ ปี ในตำแหน่งไม่สูงและลาออกไปทำงานนาสวนเป็นเกษตรกร รวมรับราชการสองครั้งเป็นเวลา ๑๓ ปี

เหตุที่เถาหยวนหมิงเข้ารับราชการนั้นเพราะฐานะยากจน มีบุตรเล็กๆหลายคน และมารดาก็อายุมาก ในยุ้งข้าวไม่ค่อยมีข้าวจึงจำเป็นต้องรับราชการหาเลี้ยงชีพ การรับราชการครั้งหลังซึ่งทำอยู่ ๑๒ ปีกว่านั้น ก่อนลาออกไม่นานได้เป็นนายอำเภอ อยู่ในตำแหน่งได้ ๘๐ วัน พอดีมีผู้ตรวจราชการระดับเมืองมาตรวจงาน เถาหยวนหมิงไม่เห็นด้วย พูดว่าเพื่อข้าวสาร ๕ ถัง (ตามมาตราน้ำหนักสมัยนั้น ๑ ถังเท่ากับประมาณ ๑๐ ลิตรในปัจจุบัน) ต้องทำถึงขนาดโค้งคำนับเชียวหรือ จึงลาออกไปอยู่ชนบทเป็นเกษตรกร อีกไม่กี่ปีต่อมา ทางราชสำนักเรียกไปรับราชการอีก ให้ตำแหน่งสูงขึ้นแต่ปฏิเสธ อยู่ชนบททำนาทำสวนไปอีก ๒๑ ปี จนถึงแก่กรรมใน ค.ศ. ๔๒๗ ในช่วงนี้ได้ประพันธ์บทกวีไว้เป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับชีวิตชนบทและสัจธรรมแห่งชีวิต

นักวรรณคดีวิจารณ์ยกย่องเถาหยวนหมิงว่าเป็นกวียิ่งใหญ่ของจีน ในบรรดากวีที่ประพันธ์บทกวีที่สะท้อนสัจธรรม ความจริงแห่งชีวิตนั้น เถาหยวนหมิงประพันธ์ได้ดีที่สุด บทกวีของเขาสะท้อนปรัชญาความคิดของลัทธิเต๋า ใช้ถ้อยคำที่สั้นกระชับแต่สื่อความหมายได้ลึกซึ้ง ซินชึ่จี้ กวีในสมัยราชวงศ์ซ่งกล่าวว่า บทกวีทั้งหมดของเถาหยวนหมิงจะสืบทอดยั่งยืนไปตลอดชั่วกาลนาน ส่วนเยี่ยเจียอิ๋ง นักวรรณคดีวิจารณ์ยุคปัจจุบันยกย่องว่า ในบรรดากวีจีนทั้งหมด เถาหยวนหมิงเด่นที่สุด



บทกวีชุด กลับสู่นาสวน มี ๕ บท เถาหยวนหมิงแต่งใน ค.ศ. ๔o๖
หลังออกจากราชการได้ไม่นาน ได้รับการยกย่องว่าในบรรดากวีเกี่ยวกับเรือกสวนไร่นา
ของเถาหยวนหมิงนั้น ชุดนี้แต่งได้ดีที่สุด เถาหยวนหมิงสื่อความว่าเมื่อพ้นจากวงราชการ
กลับไปสู่นาสวนในชนบท ได้พบกับความสุขสงบกลับสู่ธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง

บาท ๑ สื่อความว่า ตั้งแต่เป็นเด็กไม่ทำตามที่คนอื่นๆ
เขานิยมทำกันในสังคม เป็นคนขวางโลก

บาท ๓ แปลตามศัพท์ว่า แต่ได้หลงผิดอยู่ในตาข่ายกิเลส
หมายความว่า หลงผิดไปรับราชการ

บาท ๔ บางฉบับพิมพ์ว่า ๓๐ ปี บางฉบับ ๑๒ ปี ตรวจสอบต้นฉบับเดิมเขียนว่า ๓๐ ปี
เถาหยวนหมิงรับราชการ ๒ ครั้งรวม ๑๓ ปี การที่เขียน ๓๐ ปีนั้น
คงเป็นเพราะต้องการเน้นว่า รู้สึกนานเหลือเกิน ในฉบับนี้ใช้ว่า ๑๓ ปี

บาท ๙ ๑โหม่ว เท่ากับ ๐.๓๓ ไร่

บาท ๑๐ คำว่า jian (เจียน) แปลว่า ห้อง บ้านหลังหนึ่ง ในที่นี้ใช้ความหมายบ้านเป็นหลัง
กระท่อมของขาวนามีขนาดเล็กไม่มีมากห้องแต่จะมีกระท่อมหลายหลัง

บาท ๑๗ และ ๑๘ สื่อความว่า ในบ้านที่เงียบสงบ จิตว่าง
ปล่อยวาง สบายใจ



-http://hakkapeople.com/book/export/html/524

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 28, 2015, 10:22:27 pm โดย ฐิตา »