คลังธรรมปัญญา > ระบาย พรรณาด้วย ฉันทลักษณ์ กาพย์กลอน (อิสระ)

หากเหนื่อยนัก..ก็พักหน่อย.แล้วค่อยไป ! (๒)

<< < (6/7) > >>

ฐิตา:


โสตถิธรรม

๑. พระผู้รู้ผู้แจ้งเหตุแห่งผล
ผู้บันดลความดีบริสุทธิ์
เป็นมรรคาครรลองของมนุษย์
พ้นสมมติมีเป็นเหมือนเช่นเคย

ด้วยความรู้และกระทำตามที่รู้
พระเป็นครูเหนือครูผู้ผ่าเผย
รู้ทุกอย่างอย่างผู้รู้แจ้งเลย
มิต้องเอ่ยแต่พระองค์ทรงกระทำ

๒. สรรพสิ่งนิ่งวางและว่างอยู่
ว่างจากผู้ผูกจิตอันผิดเขลา
ไร้พันธะที่จิตยึดติดเอา
เป็นเราเขาขานนามนิยามตน

นั่นมิใช่ไม้หญ้าฟ้าดินน้ำ
เพียงวาทะถ้อยคำย้ำเพื่อผล
การแบ่งแยกเพื่อประโยชน์จดจำยล
คราที่คนเกี่ยวข้องขานพ้องนาม



๓. ทุกข์และสุขสารพันนั้นบ่งชัด
สารพัดสารพิษย่อมติดหลง
ล้วนสายใยยึดจิตให้ติดกรง
จำกัดวงจักรวาลบันดาลดล

ณ โคนต้นไม้มีนามว่าความรู้
พระองค์ผู้พบเลิศเหตุและผล
พระเกิดแล้วโดยไร้ในตัวตน
อันปวงชนเชิดนิยามนามพุทธะ

๔. ความเป็นไปปรกตินี้ปรากฏ
โดยหมดจดแจ่มชัดทุกอัตถา
ย่อมยังโลกที่กำลังคลั่งมายา
ให้เห็นหน้าเห็นหลังอย่างแท้จริง



ความตรงข้ามที่เคยคิดเคยติดอยู่
ก็กลับสู่สภาพใหม่ในทุกสิ่ง
โลกมัวเมาเคล้าหมักเหมือนปลักปลิง
กลับเพริศพริ้งผ่องประภัสร์อัศจรรย์

๕. ข้าน้อยนี้น้อมค้อมเคารพ
พระผู้พบผู้หยั่งถึงฝั่งหล้า
อยู่ในโลกเหนือโลกโชคชะตา
พระผู้ปรากฏแล้วทุกแนวทาง

เคล้าระคนปนไปในความคิด
ในชีวิตที่วุ่นตามความแตกต่าง
มากชนชั้นขันแข่งเคลือบแคลงคลาง
ในท่ามกลางสังคมกลมเกลียวกลืน



๖. ร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้
มีโลกที่เกิดทุกข์สุขพร้อมสรรพ
สิ่งทั้งหลายบรรดาคณานับ
ย่อมเกิดดับเป็นไปในจิตนี้

มิมีใดเกิดดอกนอกจากจิต
จิตปรุงคิดเป็นนั่นมันเป็นนี่
สิ่งทั้งมวลมีได้เพราะใจมี
จิตดับพลีสิ่งสรรพก็ดับตาม...



เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
:bloggang.com =truthoflife



พระรัตนตรัยเจ้าส่อง             สว่างโลก
เป็นที่ดับทุกข์โศก                 สัตว์นั้น
หนทางอภินิโมกข์                 ที่สุด
ตามพุทธฎีกาชั้น                    โปรดพ้นสงสารฯ

ณ          ฤดูกาลพรรษามาแล้ว
จาก        วันแรม 1 ค่ำ เดือน แปด
ถึง          วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน สิบเอ็ด

แล้ว    ชาวพุทธล่ะ
เริ่ม     ในเวทีเสรีชัย “สุภาษิตคำโคลงจรรโลงวรรณกรรม”
ครบ    สามเดือน (เพื่อน) พรรษา
ได้      ข้อคิดเตือนใจ ในศีล ในธรรม
ยัง      ความสุข ความเจริญ
ใคร     ใคร่ประพฤติ ใคร่ปฏิบัติ แล้วใครล่ะได้

  สุภาษิตคำโคลง ถ้าพูดตามเนื้อหาจากหนังสือประกอบด้วย
โคลงสี่สุภาพ (ล้วนๆ) 6 บท จำนวน 200 โคลง ดังนี้
1.บทการบูชาพระรัตนตรัย 8 โคลง
2.บทพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรก แลเห็นซึ่งกันและกัน 40 โคลง
3.บทพระเทวทัตสำแดงฤทธิ์ให้อชาตสัตตุราชกุมารเลื่อมใสเพื่อให้รับเป็นโยมอุปัฎฐาก 24 โคลง
4.บทพระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร โปรดเบญจวัตคีย์ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม 48 โคลง
5.บทพระมาลัยเทพเถรเจ้าเสด็จจาริกไปโปรดสัตว์นรก 64 โคลง
6.บทพระมหากัสสปกับพระอริยสงฆ์ยกปฐมสังคายนาสืบอายุพระศาสนามาถึงบัดนี้ 16 โคลง

ร้อยสี่สิบสองปีวันนี้มีสุภาษิตคำโคลง
                พูดถึงสุภาษิตคำโคลงเป็นหนังสือเก่าหายากพิมพ์เป็นครั้งแรกที่โรงพิมพ์ ครูสมิทที่บางคอแหลมในปีมะแม ตรีศก จุลศักราช 1233  หรือประมาณ พ.ศ. 2414 (หรือประมาณ 142 ปี) แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ เริ่มด้วยการบูชาพระรัตนตรัย แล้วจึงนำหลักธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา และศาสนสุภาษิตมาพรรณาให้เห็นเป็นสัจธรรม เป็นข้อคิดเตือนใจให้คนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม อันจะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ แก่ผู้ปฏิบัติ

                ในการนี้กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้พิจารณาเห็นสมควรพิมพ์ “สุภาษิตคำโคลง” นี้ เป็นหนังสือในชุดความรู้ภาษาไทย อันดับที่ 27 เพื่อเผยแพร่แจกให้แก่สถานศึกษาหน่วยงาน และห้องสมุดต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์โน้มน้าวใจในการปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ และเป็นคุณแล้ว ยังเป็น “การอนุรักษ์วรรณกรรมคำสอน” ที่มีคุณค่าด้วย

เวทีเสรีชัยฉบับนี้   ภูมิใจ
เสนอสุภาษิตคำโคลงใน    เล่มนี้
จรรโลงวรรณกรรมไทย      พุทธศาสน์
อย่างน้อยศีลห้าบ่งชี้         เหนี่ยวน้าวเท่าธรรม

พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาฯ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร
โปรดเบญจวัคคีย์ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม

อุปสมานุสติ           นฤพาน
ลำลึกตรึกตรองการ       มั่นไว้
ตามพุทธแสดงสาร       จงแจ้ง
พอเห็นวิถีได้              ไต่เต้าตามทาง

อุปสมาหาสองโอ้   จนใจ
หนึ่งแน่อย่าสงสัย          สอดแคล้ว
สิ่งเดียวแม้ผู้ไป              บกลับ มานา
ใช่เงินแลทองแก้ว         ยื่นให้กันเห็น

กายคตานุสตินี้       กรรมฐาน
จงอุตส่าห์พิจารณ์          ร่างร้าย
มีเกศาโลมาขาน             เป็นต้น
ถึงมัตถเกสุดท้าย           จบถ้วนสามสิบสอง

กายคตานุสติป้อง    กำบัง
ฉวีวรรณผิวหนัง            ห่อไซร้
จึงเห็นเป็นงามดัง          แสนสวาท
ตัวอภิชฌาหุ้มไว้           พิเคราะห์แล้วดูแสยง

 มรณานุสติห้อง     กรรมฐาน
จงกำหนดมรณญาณ      คิดไว้
นามรูปอสุภกาล           เปื่อยเน่า
ล้วนหมู่กิมิชาติไซ้         บ่อนร่างปฐวี

หนีเจ้าหนี้หนีทั้ง    ภัยพญา
หนีศึกซุ่มซ่อนมา           ห่างพ้น
หนีพญามัจจุรา               หนียาก จริงแล
แม้นมีฤทธิ์เลิศล้น          ห่อนลี้ความตาย

อานาปานุสติล้ำ      กรรมฐาน
พิจารณาลมฆาน          ออกเข้า
แห่งมุขทวาร              ช่องนา  สิกแฮ
ยาวสั้นหย่อนเร่งเช้า      รอบรู้กำหนดหมาย

นุสติแสดงจบสิ้น   สิบทัศ
ตามพุทธบัญญัติ           กล่าวไว้
เรียงเรียบแต่พอชัด        ความบ้าง
หวังเป็นประโยชน์ไซร้     ผ่ายหน้าคตกาล

อธิบายคำศัพท์
โคลง คำนำ อภินิโมกข์ หมายถึง ความหลุดพ้นอันวิเศษ
อุปสมานุสติ หมายถึง ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบระงับกิเลส และ ทุกข์ หรือนิพพาน
กายคตานุสติ หมายถึง ระลึกทั่วไปในกายให้เห็นว่าไม่งาม
มรณานุสติ หมายถึง ระลึกถึงความตายที่จะต้องมีเป็นธรรมดา
อสุภ หมายถึง สภาพที่ไม่งาม
อานาปานุสติ หมายถึง ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก
ทัศ หมายถึง ครบ, ถ้วน

สุภาษิตคำโคลงจรรโลงวรรณกรรม โดย พรโสภา เรียบเรียง
http://www.sereechai.com/index.php/2013-05-01-06-34-27/2013-05-01-07-30-22/846-2013-08-21-22-32-53

ฐิตา:




ดอกสร้อยสงกรานต์
ร้อยกรองโดย ยุทธ โตอดิเทพย์
จาก เว็บ สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย

สงเอ๋ยสงกรานต์..
วันคืนผ่าน พ้นไป ปีใหม่สยาม
บรรพชน กำหนด กฎเกณฑ์ตาม
คือ สิบสามเมษายน วนเปลี่ยนปี

อาทิตย์เคลื่อน เข้าดิถี ราศีเมษ
จึงเกิดเหตุ รุ่มร้อน โคจรวิถี
ต้องคลายร้อน ผ่อนเย็น เป็นพิธี
ประเพณี เดือนห้า สืบมาเอย...

สงเอ๋ยสงกรานต์..
ให้ลูกหลาน จารึก ไว้ศึกษา
มีตำนาน ให้เห็น ความเป็นมา
เรื่องธิดา กบิลพรหม ระทมใจ



ต้นกำเนิด นางสงกรานต์ บุราณกล่าว
ถึงเรื่องราว กตัญญู อันยิ่งใหญ่
ธรรมบาล หาญกล้า ปัญญาไว
เราควรได้ รู้ชัด ประวัติเอย...

สงเอ๋ยสงกรานต์..
ร่วมสืบสาน ประเพณี มีคุณค่า
สร้างกุศล ใหญ่น้อย ปล่อยนกปลา
มอบเสื้อผ้า ญาติผู้ใหญ่ ท่านให้พร

ที่แรงร้าย สรงน้ำพระ.. ลด ละ เลิก
บุญจะเบิก บานฉ่ำ คำพระสอน
ยึดหลักธรรม นำสุข ทุกขั้นตอน
ผลสะท้อน สังคม ร่มเย็นเอย...



ฐิตา:


พร.. วันสงกรานต์... 



พร.. อันเป็นศรี
กระจ่างที่ใจคุณ
จงมาเกื้อหนุน
โลกสวยอำไพฯ

พร.. ที่วิสุทธิ์
พรายดุจแสงไข
ส่องฟ้าส่องใจ
ส่องผ่านในตนฯ

พรเอย.. พรสวรรค์
เสกสรรเบื้องบน
ทางที่เดินหน
ทองทาใจเราฯ

ศรีเอย.. ศรีสวัสดิ์
จรัสพุทธไขเขลา
สาดแรงแสงเกลา
นำน้อมในพรฯ

Posted by : ทางแก้ว




ฝากความรักวันสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๕
จาก.... จักรภพ เพ็ญแข

สาดน้ำ เล่นน้ำ รดน้ำ
ล้างความ ร้อนเร่า เราสงบ
แลธรรม กรรมเก่า เราพบ
ไม่หลบ ไม่ลี้ หนีมัน

กระจาย ชุ่มทั่ว ตัวร่าง
สะสาง สกปรก ผกผัน
ดีแล้ว ดีต่อ นิรันดร์
หากเลว สารพัน ฟันลง



สงกรานต์ สาดใส่ สมมติ
บ้างก็ ผ่องผุด สูงส่ง
บ้างผ่าน แล้วยัง นั่งงง
ไหลลง แห้งไป ไม่มี

ตักน้ำ พินิจ ดูว่า
ธรรมดา อย่าร้าย ป้ายสี
เลิกสาด โคลนสร้าง ราคี
น้ำดี จักช่วย อวยพร...



ฐิตา:




อุเบกขาพาลอยลิบ.. ถึงนิพพาน...
เนิน นราธร

“สังขารขันธ์”…..จอมยุ่ง “การปรุงแต่ง “…………
ต้นเหตุแห่ง “กองกิเลส”….เปรต-อสูร…………
มีเกิด-ดับ-เปลี่ยนแปรแลเพิ่มพูน…………
จะดับสูญ “ความยึดมั่น”…..ด้วย “ปัญญา”………..

สังเกตการเกิด-ดับสรรพสังขาร………..
“วิปัสสนาญาณ”ด้วยธรรมเอก “อุเบกขา”………
แล้ว “ยิ้มสู้ “ดูเล่ห์…..”เวทนา”………..
“เป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง”………..

จะเจ็บ-ปวดรวดร้าวราวกายแยก…………
กระดูกแตกไม่อาทรนั่งนอนเขลง…………
ล้วน”เกิด-ดับ”…..”รูป-นาม”…..ไปตามเพลง………
จะรู้เอง…….หาก”ตามดู”ทุกครู่คราว………….

“อุเบกขา คือ คุณธรรม์อันสูงสุด “………
“วางเฉย”ดุจไม่อาวรณ์ร้อนหรือหนาว………
ปวดหรือเจ็บ-เหน็บชา…..ทุกคราคราว………
“ยิ้มสู้”ราว…..”ธรรมชาติ”….ปราศตัวตน………

เห็น “ไตรลักษณ์ “เพ่งพิศ……”อนิจจัง “………..
ทั้ง “ทุกขัง “……”อนัตตา “…..หาเหตุผล……….
“สรรพสิ่ง”เป็นเช่นนี้…….เหมือนมีมนตร์………..
“ดับตัวตน-ทุกข์ก็ดับ “……ลงลับไป……….

“พระนิพพาน”….อันเรืองรุ่งทีมุ่งมาด……….
แม้นถึงฆาตปรารถนาได้อาศัย…………
“ขอเกิดเพียงชาตินี้”…..ที่เป็นไป……….
ไม่อาลัยในทุกอย่าง……”ละวาง”เอย…………..

………….8 มิถุนายน 2545 นิพพานะ ปัจจโย โหตุ………
-http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=amatanippan&group=6


ฐิตา:


เพราะยลยิน กลิ่นหอม ที่ล้อมกาย

ก่อนจะนอน ย้อนคิด ชีวิตหนึ่ง
ทำไมถึง ทุกข์เศร้า เหงาเหลือหลาย
เพราะยลยิน กลิ่นหอม ที่ล้อมกาย
รูปมากมาย ชายตา มองหาเอา

ล่อลวงใจ ให้หลง พะวงหา
อวิชชา พาเพลิน เดินทางเขลา
โกรธเกลียดชัง บังตา หาทุเลา
เข้าแนบเนาว์ เป่าหู หลงลู่ทาง




ความทุกข์หมอง ครองจิต เกินปลิดปล่อย
ความมืดลอย ล้อมใจ ไม่สว่าง
พายุยาก พรากธรรม กรรมก่อราง
คอยอำพราง อ้างสิทธิ์ ถูกปิดตา

ถึงที่สุด จุดหนึ่ง จึงได้คิด
ด้วยหลงผิด ติดบ่วง ความห่วงหา
รู้ปล่อยวาง ทางสุข ทุกนิทรา
ลืมคำว่า ของเรา เขาและคุณ...




รจนาโดย.. อยู่ใน ธรรม
******************




..ขอคารวะใน  คมความ  และกระชับถ้อย
ภายใต้ความเรียบง่าย แห่งคำ ที่เลือกใช้..

Kajitsai Sakuljittajarern:
******************




******
จำเป็นไหม ต้องบอกใคร ว่าเราดี
จำเป็นต้อง อวดโน่นนี่ กับใครไหม
หรือต้องหา หลักฐาน ประการใด
มาแสดง เพื่อให้ เขาเห็นตาม

จำเป็นไหม ต้องข่มใคร ไว้ทั้งหมด
เพื่อยึดบท ตัวเอก น่าเกรงขาม
ให้คนอื่น เป็นผู้ร้าย อยู่ทุกยาม
หรือนำความ ด้อยกว่า มาอ้างไป

จำเป็นไหม ต้องบอกใคร ว่าเราดี
ไม่จำเป็น อวดโน่นนี่ ใครที่ไหน
พฤติกรรม ฟ้องความคิด และจิตใจ
ดีหรือไม่ ดูที่กรรม ใช่คำโว

จำเป็นไหม ต้องข่มใคร ไว้ทั้งหมด
ไม่จำเป็น ต้องกด ใครเพื่อโก้
การให้เกียรติ ผู้อื่น ไม่อวดโต
เท่ากับโชว์ กุศลเอก ที่เสกกัน

จำเป็นไหม ต้องตรวจใจ อยู่เสมอ
จำเป็นยิ่ง หากเผลอเรอ ผิดมหันต์
ไปทำร้าย ผู้อื่น บาปอนันต์
แลตนนั้น พอกบาป เป็นคราบใจ

ขิปฺปสิทฺโธภิกฺขุ
เชียงใหม่

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version