ผู้เขียน หัวข้อ: ประตูสู่การภาวนา : สู่วัชรยาน  (อ่าน 2251 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


สู่วัชรยาน


เผยธรรมชาติที่แท้
 
 
 
อุบายทั้งแปดหมื่นสี่พันที่พระศากยมุนีพุทธทรงสอนนั้น แบ่งออกเป็นสาม สายหลัก แรกสุดคือหีนยานมรรค ซึ่งยืนพื้นอยู่บนความเข้าใจที่ว่าสังสารวัฏ นั้นอบอวลอยู่ด้วยความทุกข์และความเดือดเนื้อร้อนใจ และความสุขใด ๆ ที่มีอยู่ล้วนเป็นอนิจจังสิ้น ผู้ที่ดำเนินตามมรรคาสายนี้ย่อมก่อเกิดปณิธานอัน แก่กล้าที่จะปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์โดยการปฏิบัติตามอุบายวิธีแห่งหีนยาน ผู้ปฏิบัติย่อมขึ้นอยู่เหนือวัฏทุกข์ และเข้าถึงปีติสุขอันเบิกบาน
 
 
 
ในมหายานอันเป็นสายธรรมที่สองนั้น นอกจากการตระหนักรู้ถึงทุกข์แล้ว ยังมีคำสอนที่ว่าทุกสิ่งทั้ง ทุกข์-สุข โชค-เคราะห์ บรรดาสิ่งทั้งมวลอันเป็น ไปตามเหตุปัจจัยแห่งกรรม ล้วนเป็นมายา เหมือนดังความฝัน เหมือนเงา มายา หรือภาพสะท้อนของดวงจันทร์บนผิวน้ำปรัชญาพื้นฐานของมรรคา สายนี้คือญาณทัศนะที่ว่าโลกียสัจจ์และปรมัตถสัจจ์นั้นไม่อาจแบ่งแยกออก จากกัน และปณิธานที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ทั้งมวลให้บรรลุโพธิ ธรรม มิใช่เพียงลำพังตนเท่านั้น ด้วยตระหนักได้ถึงความเมตตาอันใหญ่ หลวงที่สัตว์ทั้งมวลเคยมอบให้ในฐานมารดาของเราเมื่อภพชาติที่ล่วงมา เรา จึงตั้งจิตมั่นที่จะบรรลุถึงการตรัสรู้เพื่อช่วยเขาเหล่านั้นให้ตื่นขึ้นต่อธรรมชาติ ที่แท้ของตน เราไม่เพียงแต่ตั้งจิตมุ่งหวังให้สิ่งเกิดขึ้น แต่ลงมือปฏิบัติอย่าง จริงจังเพื่อบรรลุถึง โดยการบำเพ็ญบารมีหก เราก็ได้บ่มเพาะศักยภาพที่จะ ข้ามพ้นสังสารและนิรวาณ เพื่อค้นพบอิสรภาพอย่างหมดจด นี่คือโพธิสัตว์ มรรค
 
 
 
 
สายธรรมที่สามในพระพุทธศาสนามีนามว่าวัชรยาน ด้วยเหตุว่า " วัชรยาน นั้นมีคุณสมบัติเจ็ดประการด้วยกัน หนึ่งคือมันมิอาจถอนทำลายโดยหมู่มาร ซึ่งอุปสรรคต่อการตรัสรู้ ทั้งมิอาจยึดหรือถูกแบ่งแยกด้วยความคิดสองคือ มันไม่อาจถูกทำลายด้วยความคิดอันอาจจำแลงคล้ายดั่งสัจจะ ทว่าหาใช่ไม่ สามมันเป็นสัจจะอันนิรมลซึ่งหามมีมลทินด่างพร้อยใด ๆ ไม่ สี่มันมิใช่ธาตุ อันปรุงแต่งซึ่งอาจทำลายลงได้ ห้ามันมิใช่สิ่งอันเป็นอนิจจัง จึงตั้งมั่นไม่ คลอนคลาย หกมันมิอาจพิชิตชัย เจ็ดมันล้ำลึกยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ จึงปราศจาก ความกลัว "
 
 
 
 
 
เหล่านี้คือคุณสมบัติทั้งเจ็ดประการแห่งธรรมชาติที่แท้ของเราเป็นธรรมชาติ ที่แท้ของกาย วาจา ใจ การที่จะทำความเข้าใจในธรรมชาตินี้ให้ดียิ่งขึ้น เรา อาจเริ่มด้วยการพิจารณาดูว่า เราแต่ละคนล้วนมีร่างกาย ซึ่งเราใช้รับรู้ฟ้าและ ดิน มิตรและศัตรู ทุกข์และสุข เมื่อร่างนี้ล้มกายลงนอนในยามค่ำคืน แม้ว่า มันจะมิได้ขยับลุกขึ้นจากที่นอนเลย เราก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงประสบการณ์ อีกนัยหนึ่ง รับรู้ถึงกาย ฟากฟ้าและแผ่นดิน มิตรและศัตรู เป็นกายฝัน วาจา ฝัน และใจฝัน ครั้นพอตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น เราก็กลับมารับรู้ประสบการณ์ของ ยามวัน ทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งเรายึดถือว่าเป็นจริง เมื่อถึงการมรณะ เมื่อร่าง กายนี้ถูกละไว้เบื้องหลัง ถูกนำไปฝังหรือเผา เราก็ยังคงมีประสบการณ์แห่ง กาย วาจา ใจ อีกอย่างหนึ่งในช่วงต่อระหว่างจุดสิ้นสุดของชีวิตนี้กับจุดเริ่ม ต้นของชีวิตหน้า เป็นประสบการณ์ดุจเดียวกับความฝัน ทว่ายุ่งยากซับซ้อน และน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า ครั้นแล้วเราก็จะถือกำเนิดในกายใหม่ ในวาจาและ ใจใหม่ ถ้าหากเราสามารถบรรลุถึงมรรคาอย่างหมดจด ในการตรัสรู้นั้น เราจะประจักษ์แจ้งถึงวัชระ หรือกายแห่งปัญญา วาจาและใจแห่งปัญญา
 
 
 
 
มีความต่อเนื่องอยู่ในความเป็นไปแห่งกาย วาจา ใจ แต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็น สิ่งซึ่งมีตัวตน พยายามค้นหามัน ดูมันว่ามีขนาดและรูปร่างอย่างไร แม้ว่า เราจะมีความฉลาดเฉลียวเพียงใด หรือใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการตรวจหา เราย่อมไม่พบสิ่งใดเลยที่อาจระบุได้ว่าเป็นธรรมชาติของกาย วาจา ใจ ทว่า เราก็ไม่อาจปฏิเสธการมีอยู่ของมัน ธรรมชาตินี้อยู่เหนือความคิด อยู่เหนือ การรับรู้ของจิตใจสามัญ เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าความว่าง มันไม่อาจทำลายลง แปรเปลี่ยนหรือสกัดกั้น มันสำแดงออกถึงคุณสมบัติทั้งเจ็ดประการแห่ง วัชระ นี่คือ วัชระ ส่วนคำว่า ยาน หมายถึงพาหนะ อันได้แก่ อุบายวิธีที่ จะช่วยเผยธรรมชาติแห่งวัชระนี้ให้ประจักษ์
 
 
 
 
 
การปฏิบัติในวัชรยานรวมเอาหีนยานและมหายานเข้าไว้ด้วยกันบนมรรคา แห่งสูตรยานหรือพระสูตรนี้ เราจะใส่ใจต่อการกระทำภายนอกทั้งมวล โดยการละเว้นอกุศลธรรม ประกอบแต่กุศล ฝึกจิตและบ่มเพาะคุณธรรม ทั้งมวล
 
 
ดังเช่นการฝึกฝนพรหมวิหารสี่ ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในสายธรรมมหายาน ในวัชรยานก็เช่นกัน ในภาพมณฑลจะเขียนเป็นจตุรมุขหันไปสู่ทิศทั้งสี่ หมายถึงพรหมวิหารธรรมทั้งสี่ประการ ทางทิศตะวันออกคือทวารแห่ง ความกรุณา ทิศใต้คือทวารแห่งความเมตตา ทิศตะวันตกคือทวารแห่ง มุทิตา และทิศเหนือคือทวารแห่งอุเบกขา ภาพมณฑลในนิกายวัชรยาน ส่อแสดงนัยถึงการเผยออกแห่งธรรมชาติเดิมแท้อันบริสุทธิ์ของจิต เมื่อ ความมืดมัวของเราได้รับการชำระล้าง คุณลักษณ์อันบริสุทธิ์ของจิตจะ ผุดขึ้นมาในภาพลักษณ์ของมณฑล ดินแดนสุขาวดี เหล่าเทพธรรมาบาล และประสบการณ์อันบริสุทธิ์ทั้งมวล พรหมวิหารสี่คือประตูที่เราล่วงรุด สู่สัจจะ สู่ธรรมชาติอันสูงสุดของจิต
 
 
 
 
นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่มีอุปสรรคมากมายที่เหนี่ยวรรั้งเราไว้มิให้ธำรงจิต เจตนาอันบริสุทธิ์ไว้ได้ เรายังจะต้องเพ่งพิจารณาทิฏฐิสี่ อันได้แก่กำเนิด อันล้ำค่าของมนุษย์ อนิจจัง กรรม และทุกข์ อันเป็นรากฐานการปฏิบัติ ของทุกนิกายในพระพุทธศาสนา
 
 
 
 
โดยอาศัยญาณทัศนะแห่งธรรมชาติอันสูงสุดเหนือการแบ่งแยกบนมรรคา แห่งวัชรยาน เราย่อมประกอบกุศลกรรมและละเว้นจากการเบียดเบียน เพราะแม้ว่าธรรมชาติเดิมแท้ของเราคือกายวัชระ วจีวัชระ มโนวัชระ แต่ เราก็หาได้รู้สึกดังนั้นไม่ การที่จะขจัดอวิชชานี้ลง เราต้องสดับและเพ่ง พิจารณาหลักธรรมคำสอนของวัชรยาน ทั้งต้องปฏิบัติสมาธิที่ต้องใช้ความ พยายามและสมาธิที่ปราศจากความพยายาม แม้ว่าสมาธิที่ปราศจากความ พยายามเป็นเพียงการปล่อยจิตให้ผ่อนพักลงในธรรมชาติที่แท้ ทว่าการ ภาวนาเยี่ยงนี้กลับเป็นการยากสำหรับผู้คนเป็นอันมากในตอนแรก โดย อาศัยการปฏิบัติสมาธิที่ต้องใช้ความพยายาม ความขุ่นหมองของดวงจิต จะได้บการชำระล้าง และอวิชชาจะกลับกลายเป็นความรู้ สมาธิอันปราศ จากความพยายามจะก่อเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อใดที่เราได้ตระหนัก รู้ถึงธรรมชาติอันสูงสุด การปฏิบัติของเราก็จะเป็นไปเพื่อคงการกำหนด รู้นี้เอาไว้ ด้วยความเข้าใจซึ้งถึงการไม่อาจแบ่งแยกระหว่างรูปกับความ ว่างว่าเป็นกายแห่งปัญญา เป็นกายแห่งเทพ ตระหนักถึงเสียงและความ ว่างว่าเป็นวจีปัญญา เป็นวจีเทพ และตระหนักถึงความคิดและความว่าง ว่าเป็นมโนปัญญา เป็นมโนแห่งเทพ ด้วยอาศัยญาณทัศนะเยี่ยงนี้ ผสาน กับอุบายวิธีแห่งวัชรญาณ เราย่อมสามารถเผยถึงธรรมชาติเดิมแท้อันผ่อง พิสุทธิ์ของเราได้ในเวลาไม่ช้านาน
 
 
 
 
 
วัชรยานมีอีกชื่อหนึ่งว่า " มนตรายานอันเร้นลับ " ด้วยเหตุที่ธรรมชาติ แห่งพุทธะของเราถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้จากตัวเรา ในฐานะที่เป็นสามัญ สัตว์ ซึ่งเราก็มิได้ตระหนัก เราจึงขนานนามมันว่า " ความลับแห่งตัว ตน " เพราะแม้ว่ามรรคาแห่งวัชรยานจะทรงพลังเปี่ยมประสิทธิภาพ อย่างยิ่ง ทว่าโดยเนื้อแท้แล้วกลับเป็นกระบวนการอันละเอียดอ่อน จึง มิได้สอนกันอย่างแพร่หลาย เรายังคงเก็บงำความลับบางประการไว้ให้ เป็นการถ่ายทอดโดยตรงระหว่างศิษย์กับคุร ด้วยเหตุนี้เองตัวหลักธรรม คำสอนอันลึกซึ้งแยบยลจึงจะมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติที่ปวารณาธรรมตามแนว ทางสายนี้เท่านั้น
 
 
 
 
คำว่า " มนตรา " ที่อยู่ใน " มนตรายานอันเร้นลับ " หมายถึงสิ่งที่ช่วยปก ป้องคุ้มครอง โดยการนำอุบายวิธีแห่งวัชยานไปปฏิบัติอย่างแยบยล เรา ย่อมปกป้องตนเองให้พ้นจากความสับสนและอกุศลกรรมที่พึงบังเกิด และอาจบรรลุถึงการตรัสรู้ในชั่วชีวิตนี้
 
 
 
 
ในสายธรรมวัชรยาน เราจำเป็นต้องได้รับการอภิเษกเป็นปฐม เพื่อบ่ม เพาะดวงจิตและทำให้พรักพร้อมที่จะรับคำสอนและปฏิบัติหากมิได้รับ การอภิเษกก็ถือว่ายังไม่ได้รับฉันทานุมัติให้รับฟังคำสอนหรือปฏิบัติ และความพากเพียรทั้งมวลของเราย่อมไม่บังเกิดผลดุจเดียวกับการคั้น ทรายเพื่อเอาน้ำมัน
 
 
 
 
เราจะได้รับการอภิเษกพื้นฐานจากลามะผู้สืบทอดสายธรรม มันไม่อาจ มอบให้ผ่านถ้อยคำและแก่นคำสอนเท่านั้น ดุจดังผู้เป็นราชาเท่านั้นจึง จะมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะอภิเษกให้แก่ราชาองค์ต่อไป ดังนั้นจึงมีเพียง ลามะผู้สืบทอดสายธรรมและได้บรรลุถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติจึงจะ สามารถกระทำการอภิเษกให้ผู้อื่นได้ โดยอาศัยพลังอำนาจของสมาธิ ภาวนา การสาธยายมนต์และมุทราแห่งแก่นคำสอน เราจึงจะได้รับการ อภิเษกให้เข้าสู่การปฏิบัติในขั้นต้น ( อุตปันนกรม ) และ ขั้นสมบูรณ์ ( สัมปันนกรม ) และอาจตระหนักได้ถึงกาย วาจา ใจ แห่งเทพและแห่ง ธรรมชาติอันสูงสุดของเรา
 
 
 
 
 
เมื่อใดที่เราได้รับการอภิเษกพื้นฐานเยี่ยงนี้จากลามะ โดยอาศัยการปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน เราจะได้รับมรรคาภิเษก ซึ่งจะช่วยชำระล้างความมัว หมองและเสริมคุณลักษณ์อันผ่องแผ้วในจิตใจ เพื่อจะได้รุดหน้าและสืบ เนื่องไปในสัมมาทิฏฐิซึ่งเราได้รับมอบมาในการอภิเษกพื้นฐาน
 
 
 
 
ทว่าลำพังแค่การอภิเษกเท่านั้นยังไม่พอเพียง ด้วยเหตุที่แก่นหลักของการ อภิเษกก็คือ สมย หรือการอธิษฐานตนขอตั้งใจปฏิบัติและถือตามคำปฏิ ญาณที่ได้ให้ไว้ ถ้าหากเราตระบัดสัตย์ไม่ถือตามคำอธิษฐานนี้ เราจะพบ แต่สิ่งร้าย ๆ ในชีวิต มีแต่ความยุ่งยากลำบากใหญ่หลวงในอนาคต ทว่า โดยการถือสัจจะแห่ง สมย เราจะพานพบอิสรภาพโดยพลัน
 
 
 
 
รากฐานแห่งตัวตนของเราคือธาตุมูลแห่งพุทธะ ธรรมชาติแห่งพุทธะ สัตว์ ทั้งมวลไม่ว่าใหญ่หรือเล็กล้วนมีแก่นแท้อันบริสุทธิ์ อันเป็นธรรมชาติพื้นฐาน นี้ทั้งสิ้น ดุจดังทองคำที่ฝังแน่นอยู่ในสินแร่ อันเป็นสัจจะแห่งธรรมชาติของ เรา แม้ว่าเป็นความบริสุทธิ์อันไร้ต้กำเนิดและจุดสิ้นสุด ทว่ากลับมิได้ประ จักษ์แจ้งแก่ใจของเรา เราจึงอาจเผยปรากฏโดยอาศัยการปฏิบัติธรรม ดุจดัง การถลุงแร่ทองคำให้ทองคำบริสุทธิ์ปรากฏขึ้น
 
 
 
 
ตั้งแต่ปางบรรพ์มาแล้วที่แก่นแท้ประการนี้ไร้รูป ไร้มวล เป็นความว่าง แม้ ว่าเราจะพยายามระบุถึงคุณลักษณ์ต่าง ๆ ของความว่างเพื่อที่จะเข้าใจมัน ทว่ามันกลับมิอาจเข้าใจได้ด้วยความคิดสามัญ มันจึงเป็นสิ่งที่ ไร้รูปรอยหรือ คุณลักษณ์ใด ๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากไปกว่าการคงความตระหนักรู้ ถึงธรรมชาติพื้นฐานของเราไว้ เพื่อรอคอยผลคือคุณลักษณ์อันเต็มเปี่ยม หรือ การประจักษ์แจ้งอย่างหมดจดในนิรมลภาวะนี้ให้เผยปรากฏขึ้น สิ่งซึ่งเรา เผยออกมานี้มิได้อยู่นอกเหนือธรรมชาติพื้นฐานของเรา และด้วยเหตุนี้เอง มันจึงดำรงอยู่เหนือความนึกคิดมุ่งหวัง ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือหรือดำรง อยู่ ณ ที่แห่งใด อันเราอาจตั้งจิตมุ่งหวังให้ปรากฏขึ้น มันเป็นสิ่งที่ปราศ จากความมุ่งหวัง
 
 
 
 
ด้วยเหตุที่เรามิได้ตระหนักถึงธรรมชาตินี้ เราจึงมิได้ตระหนักว่าถึงแม้รูป ปรากฏทั้งมวลจะอุบัติขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าหามีสิ่งใดดำรงอยู่อย่างแท้ จริงไม่ เราทึกทักเป็นจริงเป็นจังว่าอัตตามีอยู่ มีเรามีเขา และมีการปฏิสัม พันธ์ต่อกัน ความหมองมัวแห่งพุทธิปัญญานี้ก่อให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น และความโกรธ ตามมาด้วยกิริยาและปฏิกิริยาซึ่งก่อให้เกิดกรรมหนาหนัก ขึ้นจนสั่งสมเป็นนิสัย ผลักดันวัฏทุกข์ให้หมุนวนไป กระบวนการทั้งหมด นี้จำเป็นต้องได้รับการชำระล้าง
 
 
 
 
 
ในองค์แรกแห่งองค์สามของการประกาศธรรม ได้แก่การยังธรรมจักรให้ หมุนเคลื่อนไป พระพุทธองค์ทรงปะกาศอริยสัจจ์สี่ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในการเคลื่อนกงล้อแห่งธรรมเป็นคำรบสอง ทรงสอนว่าธรรม ชาติของสิ่งทั้งมวลคือสุญตา ไร้รูปรอย ไร้ความมุ่งหวัง ธรรมชาติพื้นฐาน นั้นคือความว่าง มรรคนั้นไร้รูปรอยและผลไร้ความมุ่งหวัง ในการยังกงล้อ ธรรมให้เคลื่อนไปเป็นคำรบสาม ทรงกล่าวว่าธรรมชาติของจิตนั้นเต็มเปี่ยมประภัสสร อันเป็นประภารัศมีแห่งปัญญา
 
 
 
ตั้งแต่ปางบรรพ์มาแล้ว คำสอนวัชรยานนั้นคือการไม่แบ่งแยกของสิ่งทั้ง สอง คือการหลอมรวมอันอยู่เหนือถ้อยคำ ระหว่างธรรมชาติอันสูงสุด ของดวงจิตอันไม่มีเกิด กับสภาวะอันบริสุทธิ์ของแสงสุกใสแห่งปัญญา ซึ่งแผ่ปกครอบคลุม มิใช่สิ่งอันปรุงแต่ง ไม่แปรเปลี่ยนและเป็นนิรมล นี่ คือธรรมชาติแห่งดวงจิตของเรา ในคำสอนวัชรยานเราถูกโน้มนำสู่คุณ ลักษณ์แห่งวัชระเหล่านี้ของดวงจิต
 
 
 
บรรดารูปปรากฏทั้งมวลล้วนผุดขึ้นมาจากพลังความเคลื่อนไหวหรือการ สำแดงออกจากธรรมชาติพื้นฐานของเรา ประสบการณ์จึงอาจอุบัติขึ้นได้ ด้วยอาการสองลักษณะด้วยกัน คือสะท้อนออกมาจากความไม่รู้ในธรรม ชาติพื้นฐาน ซึ่งจะปรากฏขึ้นเป็นประสบการณ์อันหมองมัวในสังสารภพ ทั้งสาม แม้เราจะรู้ว่าธรรมชาติของเรานั้นเป็นนิรมล แต่นี่ก็หาใช่ประสบ การณ์สามัญไม่ เรามิได้แลเห็น รู้สึกหรือครุ่นคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ด้วยอาการ อันบริสุทธิ์ ครั้นเมื่อเราเริ่มล่วงสู่หนทางธรรม ศึกษาค้นคว้า สดับฟังคำ สอน ตริตรึกพิจารณาและเพ่งภาวนาในหลักธรรมเหล่านั้น เราจะเริ่มสัม ผัสได้ถึงตัวการรับรู้ทั้งที่บริสุทธิ์และหมองมัวคละเคล้าอยู่ด้วย และโดย อาศัยการปฏิบัติธรรม เราย่อมสามารถชำระล้างมลทินอันมัวหมองจนบรร ลุถึงมรรคผล ธรรมชาติเดิมแท้อันนิรมลย่อมปรากฏขึ้นอย่างหมดจดเป็น ธรรมกายอันบริสุทธิ์ เป็นการเผยออกอย่างเต็มเปี่ยมของธรรมชาติแห่ง ปัญญาและการสำแดงออกของรูปปรากฏอันบริสุทธิ์
 
 
 
 
 
เหตุใดเราจึงไม่อาจรับรู้สิ่งนี้ได้ในประสบการณ์สามัญ บรรดารูปปรากฏ สามัญของบรรดามวลธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เลือดเนื้อและกระดูก ล้วนเป็น ธาตุมูลอันบริสุทธิ์ ทว่าเป็นดุจดังคนตาบอดสีที่มองเห็นยอดเขาหิมะเป็น สีเหลือง ด้วยความหมองมัวในดวงจิต เราจึงไม่อาจแลเห็นสิ่งต่าง ๆ ตาม ที่มันเป็น การรับรู้อันไม่บริสุทธิ์นี้ได้ฝังลึกจนกลายเป็นนิสัยความเคยชิน โดยอาศัยการปฏิบัติธรรม ความไม่รู้ของเราจะได้รับการชำระล้าง เหมือน กับคนตาบอดสีได้รับการเยียวยารักษาจนอาจแลเห็นยอดหิมะเป็นสีขาวอีก ครั้ง ตัวเราก็เป็นเช่นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมสามารถแลเห็นการสำแดง ออกของความบริสุทธิ์ดุจดังที่เป็นอยู่ เป็นมณฑลแห่งเทพอันบริสุทธิ์ไร้ขอบ เขต ทุกสิ่งเป็นมาดังนี้ตั้งแต่ก่อนการกำเนิด มันมิใช่สิ่งที่ถูกรังสฤษฏ์ขึ้น หากเป็นประภารัศมีแห่งธรรมชาติพื้นฐานแต่ดั้งเดิมของเรา
 
 
 
 
ความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติของเรา ซึ่งไม่เคยแปรเปลี่ยนเลยไม่ว่ากาลอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต บัดนี้มืดมัวบดบังดุจดังดวงอาทิตย์ถูกปกคลุมด้วยหมู่ เมฆ ด้วยเหตุปัจจัยแห่งกรรมอันหนุนเนื่องและพิษร้ายในดวงจิต รูปกายอัน มากมายหลากหลายย่อมผุดขึ้นมา
 
 
 
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ประตูสู่การภาวนา : สู่วัชรยาน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 11:00:47 pm »
 
โดยอาศัยการเพ่งนิมิตขั้นต้น ( อุตปันนกรม ) ของวัชรยาน เราจึงฝึกฝนการ ตระหนักรู้ในธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสภาพธรรมของ กาย วาจา ใจ ให้เป็น ดุจดังแดนสุขาวดี และเป็นกาย วาจา ใจของเทพ อุบายวิธีนี้จะช่วยชำระล้าง ความหมองมัวในดวงจิตและช่วยเพิ่มพูนพลังการตระหนักรู้ในประสบการณ์ แห่งภพทั้งสาม และทวารทั้งสามแห่งกาย วาจา ใจ อันจะช่วยแปรเปลี่ยน ความเคยชินของการรับรู้อย่างสามัญ
 
 
 
 
โดยอาศัยการฝึกฝนในขั้นสมบูรณ์ ( สัมปันนกรม ) แห่งวัชรยาน เราจะทำ การชำระล้างมลทินความมัวหมองอันละเอียดซับซ้อนยิ่งขึ้น การเพ่งนิมิต ในขั้นนี้จะช่วยให้เราเข้าสู่ความว่างและสงบพักลงอย่างปราศจากความพยา ยามในการกำหนดรู้ถึงธรรมชาติของดวงจิต
 
 
 
 
ในวัชรยานนั้น เราจักตระหนักได้ว่าบรรดาปรากฏการณ์ทั้งมวลแห่งสัง สารและนิรวาณ ตั้งแต่ปางบรรพ์มาแล้ว ล้วนเท่าเทียมกันโดยมิอาจแบ่ง แยกหรือจำแนกแยกแยะ ดำรงอยู่ในธรรมชาติแห่งพุทธะอันบริสุทธิ์บริ บูรณ์ ดุจดังความฝันยามค่ำคืนที่อุบัติซ้อนขึ้นในปรมัตถสัจจ์แห่งความฝัน ด้วยญาณทัศนะนี้ เราจึงน้อมนำเอาทั้งอุบายและปัญญา ทั้งการปฏิบัติใน อุตปันนกรมและสัมปันนกรมดุจดังโอสถที่ใช้บำบัดความเจ็บไข้ มาชำระ ล้างนิสัยความเคยชินซึ่งยึดถือเอามายาคตินี้เป็นจริงเป็นจัง ตราบกระทั่ง ความบริสุทธิ์แต่ดั้งเดิมของเราได้เผยออก
 
 
 
โดยอาศัยการปฏิบัติตามอุบายเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เราย่อมบรรลุถึงมรรค ผลอย่างเต็มเปี่ยม ดุจดังเมฆหมอกที่ถูกพัดกวาดไปจนเผยให้เห็นถึงฟาก ฟ้าอันไม่แปรเปลี่ยน ความหมองมัวของเราได้ถูกขจัดออกไปและความ บริสุทธิ์แต่ปางบรรพ์ได้เผยปรากฏขึ้น เราย่อมตระหนักรู้ในธรรมชาติพื้น ฐานว่าคือกายทั้งสามอันไม่อาจแบ่งแยกธรรมกายอันโชติช่วงย่อมปรากฏ ขึ้นเป็นสัมโภคกายของพระโพธิสัตว์ทั้งสิบขั้น และปรากฏขึ้นเป็นนิรมาณ กายต่อเหล่าสามัญสัตว์ เพื่อยังประโยชน์อันเกื้อกูลสุดประมาณ
 
 
 
 
ด้วยเหตุที่ธรรมชาติของเราคือความบริสุทธิ์มาแต่เดิม เป็น ธรรมดาสภาวะ จึงไม่จำเป็นต้องจัดการอย่างไรกับมันหรือตัดเสริมเติมแต่งเพื่อทำให้มัน สำแดงปรากฏ ทว่าการใช้อุบายวิธีเหล่านี้เป็นหนทาง เราเพียงแต่เผยมัน ออกมาดังที่มันเป็น เมื่อนั้นเองความมืดบอดต่อธรรมชาตินี้ ความหลงและ นิสัยความเคยชินอย่างสามัญของจิตใจ ซึ่งสะท้อนออกมาในประสบการณ์ อันมัวหมองแห่งสังสารวัฏที่เราเรียกว่าความเป็นจริง ย่อมจะหลอมละลาย ลงในธรรมชาติอันสูงสุด
 
 
 
 
วัชรยานมิได้ถือว่ามรรคหรือหนทางคือการเริ่มต้นกับบางสิ่งบางอย่าง โดย การสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อให้บรรลุผลที่แตกต่างไปจากเดิม ทว่าเราเพียง แต่ใช้การตระหนักรู้ในธรรมชาติพื้นฐานเพื่อเผยมันออกเป็นมรรคผล เรา เพียงแต่ขจัดความมัวหมองอันเป็นอุปสรรคต่อการประจักษ์แจ้งอย่างหมด จดนี้ โดยการเพ่งพิจารณาและภาวนาอย่างสม่ำเสมอในสัมมาทิฏฐินี้ ย่อม เป็นการง่ายที่จะอาศัยวัชรยานเป็นวิถีทางไปสู่ความสำเร็จ
 
 
 
ในสายธรรมวัชรยานนั้นประกอบด้วยการปฏิบัติภายนอกภายใน และการ ปฏิบัติอันเร้นลับ เมื่อเราปฏิบัติเทพสาธนา แท้ที่จริงแล้ว เทพคือสิ่งใดเล่า ธรรมดาภาวะหรือสัจจะอันสูงสุดแห่งดวงจิตของเราและประสบการณ์ทั้ง ปวง โดยแก่นแท้แล้วก็คือองค์เทพอันสูงสุด เทพหาใช่สิ่งที่เราสร้างขึ้น มาจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ ทว่าคือการสำแดงออกอย่างเป็นธรรมชาติของปรมัตถ สัจจ์ เป็นการสำแดงออกของปรีชาญาณ หาใช่สิ่งสามัญไม่ นี่เองคือมณฑล แห่งโพธิจิต
 
 
 
 
 
ธรรมชาติของสัตว์ทั้งปวงและปรากฏการณ์ทั้งมวลล้วนเป็นธรรมดาสิ้น ภายในธรรมชาติอันสูงสุดนั้นหามีข้อแตกต่างหรือแบ่งแยกระหว่างตัวเรา กับผู้อื่นไม่ ทั้งหมดล้วนมีเพียงหนึ่งรสเท่านั้น ปรากฏการณ์ทั้งหมดล้วน ดำรงอยู่และผุดขึ้นมาจากธรรมชาติอันสูงสุดทั้งสิ้น ไม่มีประสบการณ์ใด ของเรา ไม่ว่าจะเป็นมวลธาตุ หรือปรากฏการณ์ใด แม้เพียงหนึ่งอนุภาคที่ อยู่นอกเหนือธรรมชาติอันสูงสุดนี้ แม้แต่สิ่งที่เราเรียกว่าความว่างพื้นฐาน มันคือความจริงและดำรงอยู่ทุกแห่งหน
 
 
 
 
หากเรามิได้ตระหนักในธรรมชาตินี้ เราย่อมรับรู้ถึงตนเองและปรากฏ การณ์ทั้งมวลว่าต่างไปจากองค์เทพ ดังเช่นความฝัน นับเป็นธรรมชาติ อันว่างเปล่าและแผ่ปกครอบคลุมสิ้น จะไม่มีแบ่งแยกระหว่างตัวเรากับ ผืนแผ่นดิน ฟ้า น้ำ ครั้นเมื่อเราตื่นขึ้น เราย่อมมองว่าประสบการณ์ทั้ง มวลที่อุบัติขึ้นในฝันนั้นคืออาการแห่งจิตใจว่างเปล่าทว่าปรากฏอยู่ แต่ หากเรามิได้ตระหนักว่าเรากำลังฝัน ฝันนั้นก็จะดูชัดเจนเป็นจริงเป็นจัง ยิ่ง
 
 
 
ในทำนองเดียวกัน จากมุมมองของจิตใจสามัญ เรายอมรับรู้ถึงความแตก ต่างระหว่างกายของรัตติกาลและทิวาวาร ระหว่างตัวเรากับผู้อื่น ระหว่าง คนซึ่งช่วยเหลือเกื้อกูลเรากับคนผู้แรงร้าย ทว่าจากแง่มุมของปรมัตถสัจจ์ นั้น หามีผู้ใดมาหรือไปไม่ ทั้งหมดเป็นเพียงความเป็นไปของจิตใจ หาก เรามิได้ล่วงรู้ถึงเทพอันสูงสุดได้ เมื่อนั้นเราย่อมรู้สึกว่าตัวเรานั้นอยู่ต่าง หากจากองค์เทพ และความไม่รู้นี้ทำให้เรายังต้องผูกติดอยู่กับบ่วงกรรม และอวิชชา ซึ่งถ้าหากเราประจักษ์ในธรรมชาติของเราว่าคือองค์เทพแล้ว ไซร้ ขอบขตทั้งมวลดังเช่นกำแพงที่ขวางกั้น จะถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ และเราจะตระหนักได้ถึงกายวัชระเมื่อเราได้ล่วงรู้และดำรงสภาพรู้ถึงธรรม ชาติอันสูงสุดนี้ไว้ เราย่อมสามารถบรรลุถึงสิทธิและอาจเผยธรรมชาติของ เราออกเป็นองค์เทพ
 
 
 
 
 
 
เมื่อเราได้ประจักษ์แจ้งในธรรมกาย อานิสงส์ย่อมก่อเกิดแก่ตนเอง และ ความสามารถอันไร้ที่สิ้นสุดที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นย่อมผุดขึ้นมาเป็น สัมโภคกาย สัตว์ทั้งมวลล้วนได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยอาการอัน แตกต่างหลากหลาย ด้วยปรีชาหยั่งรู้ เมตตาและพลังทางจิตวิญญาณ และ ด้วยอำนาจแห่งมหาปัญญา ด้วยการภาวนาและปณิธานอันแน่วแน่ซึ่งสั่ง สมมาบนมรรคาแห่งการตรัสรู้ การกระทำอันเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข ของสรรพสัตว์ย่อมผุดขึ้นมาด้วยรูปลักษณ์ของเทพสันติและเทพพิโรธ พร้อมด้วยบริวาร ตัวอย่างเช่น เทพสันติมัญชุศรี คู่กับเทพพิโรธยมันตกะ หรือ เทพสันติวัชรสัตว์ คู่กับเทพพิโรธวัชรกุมาร ในการสำแดงออกของ ปัญญาบริสุทธิ์ในธรรมชาติอันสูงสุดของดวงจิตนี้ ย่อมกำเนิดรูปกายและ สีสันต่าง ๆ ขององค์เทพขึ้นมา ก่อเกิดวาจาและมนตราขององค์เทพ เกิด อธิจิตอันไม่อาจแบ่งแยกระหว่างความว่างกับกรุณา เทพคือองค์คุณแห่ง ความเมตตาเกื้อหนุน ซึ่งจะช่วยชักนำสรรพสัตว์ออกจากวัฏสงสารไปสู่ การตรัสรู้
 
 
 
ด้วยเหตุที่เราถูกความมืดบอดครอบงำ จึงมิได้ตระหนักถึงธรรมชาติของ เราว่าเป็นเทพภาวะ เราจึงฝึกฝนความระลึกรู้นี้ด้วยการสร้างภาพนิมิต และสาธยายมนต์ของเทพองค์นั้น ๆ ร่วมกับการภาวนาและถวายเครื่อง บูชา ด้วยการทำดังนี้เราจึงได้รรับพรของเหล่าอริยสัตว์ผู้ได้บรรลุโมกษ ธรรม นี่คือการปฏิบัติเทพสาธนาภายนอก
 
 
 
 
ในส่วนการปฏิบัติ เทพสาธนาภายใน เราจะเพ่งภายในของเราให้ปรากฏ เป็นเทพนิมิต ภายในช่องทางเดินของพลัง(นาฑี) อันละเอียดอ่อนบริสุทธิ์ ซึ่งมีปราณแห่งปัญญาเคลื่อนอยู่ภายในนั้น และยังมีมิติแห่งปัญญาอันละ เอียดสุขุมซึ่งเรียกว่า พินทุ หรือ ทีเกล รวมอยู่ด้วย นี่คือ เทพสาธนาภายใน
 
 
 
 
 
แม้ว่าด้วยประสบการณ์สามัญอันด่างพร้อยของกาย วาจา ใจ จะผุดขึ้น มาเป็นลมแห่งกระแสกรรมไหลเวียนอยู่ ทว่าภายในช่องนาฑีนั้นก็ยังคง เทพมณฑลไว้ได้ โดยการเพ่งมณฑลนิมิตนี้ กระทำการร่วมกันกับปราณและสาธยายมนต์ เราย่อมเผยธรรมชาติของตนให้ปรากฏขึ้นเป็นองค์เทพ และมหาโพธิจิตอันอยู่เหนือสองขั้ว ก่อเกิดมหาปีติอาบเอิบอยู่ในหัวใจ
 
 
 
ในการปฏิบัติเทพสาธนาลี้ลับ เราย่อมทำใจให้ประจักษ์ว่าบรรดาสิ่งทั้ง หลายทั้งปวงแห่งสังสารและนิรวาณล้วนดำรงอยู่ร่วมกัน อย่างเท่าเทียม กันภายในพื้นที่ว่างอันดำรงอยู่เหนือสองขั้ว ระลึกรู้ว่าไม่มีสิ่งใดดีขึ้นหรือ เลวลง ว่าธรรมชาติอันบริสุทธิ์แห่งดวงจิตของเรานั้นคือดวงปัญญามา แต่ปฐม โดยอาศัยความตระหนักรู้ประการนี้ เราจึงไม่ต้องพึ่งพาเทพที่ อยู่ภายนอก หรือต้องออกแรงขวนขวายใด ๆ โดยอาศัยพุทธวิธีอันลุ่ม ลึกอันมีนามว่า มหาบริบูรณ์ ( ซ็อกเชน ) เราย่อมเข้าถึงการหลุดพ้นโดย ธรรมชาติโดยมิต้องดิ้นรน เพียงด้วยธำรงการตระหนักรู้ในธรรมชาติอัน สูงสุดไว้ ซึ่งทุกสิ่งดำรงอยู่ในนั้น ซึ่งปรากฏการณ์ทั้งมวลย่อมอุบัติขึ้น โดยไม่แบ่งแยก ดุจดังคลื่นและมหาสมุทร หรือดวงอาทิตย์และแสงสว่าง
 
 
 
 
เหตุใดจึงมีหนทางอยู่หลายสาย ประการแรกสุด พระพุทธองค์ทรงสอน อุบายวิธีอันแตกต่างหลากหลาย ทั้งลามะก็มีประสบการณ์ทางธรรมอัน แตกต่างหลากหลายและมีความชำนาญเฉพาะทาง ผู้ปฏิบัติธรรมก็มีความ สามารถแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องอาศัยอุบายวิธีอันหลากหลาย บางคน อาจรู้สึกดีกับการปฏิบัติเทพสาธนาภายนอก บางคนก็สันทัดกับเทพสาธนา ภายใน บ้างก็ชื่นชอบการปฏิบัติเทพสาธนาลี้ลับ
 
 
 
 
อาจดูเป็นเรื่องง่ายที่จะตระหนักถึงและดำรงอยู่ในนเทพภาวะอันสูงสุด หรือธรรมชาติแห่งพุทธะของเรา แต่แท้ที่จริงเป็นเรื่องยากมาก ด้วยเหตุ ที่เราจมอยู่ในปลักของความคาดหวังและความกลัว ความยึดมั่นถือมั่น และโทสะ เราเต็มไปด้วยมโนคติและนิสัยความเคยชินต่าง ๆ ครั้นเมื่อ ประสบการณ์อันแตกต่างหลากหลายอุบัติขึ้นมา การคงความตระหนักรู้ ในธรรมชาติอันสูงสุดไว้ย่อมเป็นเรื่องยากมาก นี่เป็นเหตุที่ว่าในยามที่เรา เริ่มปฏิบัติวัชรยานสาธนา เราจึงเน้นที่การสร้างภาพนิมิตและหลอมรวม นิมิตนั้นเข้าด้วยกัน ครั้นแล้วจึงค่อยเลื่อนมาสู่การปฏิบัติภายในและโยคะ แล้วค่อยสู่การปฏิบัติในขั้นสมบูรณ์และ มหาบริบูรณ์ เป็นลำดับ
 
 
 
 
พุทธธรรมคำสอนนั้นเป็นเหมือนดังอุทยานซึ่งเบ่งบานด้วยบุปผชาตินานา พรรณ หลากหลายด้วยรูปทรงและสีสัน จึงไม่จำเป็นต้องเลือกใช้เพียงวิธี การเดียว หรือพยายามจะช่วงใช้ทั้งหมด
 
 
 
 
ถ้าคุณเป็นคนเจ้าโทสะ ก็เหมาะที่จะเพ่งนิมิตโดยใช้ความโกรธเป็นอุบาย ขจัดความโกรธในดวงจิต ในพิโรธเทพสาธนา เราจะเพ่งนิมิตองค์เทพพิ โรธอันเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา เป็นองค์เทพซึ่งมีสองบาท สี่หรือหลาย บาท เหยียบย้ำขยี้หมู่มาร เปล่งประการรัศมีและกวัดแกว่งศัสตราวุธต่าง ๆ เหล่ามารที่ถูกบดขยี้เหล่านั้นหาได้อยู่ภายนอกตัวเราไม่ หากคือกิเลสตัณหา ที่อยู่ภายในตัวเรา เป็นศัตรูและมารผจญที่แท้จริง เป็นมารผู้ทรงฤทธานุภาพ และเป็นเจ้าแห่งสังสารวัฏ ซึ่งอาจปราบลงได้ด้วยเทพแห่งปัญญา ในเทพ นิมิตจินตนาเหล่านั้น เราจะแลเห็นการดำเนินไปของสงครามภายใน ปัญญา ถอนทำลายโทสะ อุปาทาน และอวิชชา คนผู้มีโทสะเป็นเจ้าเรือนย่อมเอา ชนะความโกรธในกาย วาจา ใจ ได้ด้วยอุบายแห่งเทพพิโรธและมหาโยคะ
 
 
 
 
หากคุณเป็นผู้มีโลภะแรงกล้า แทนที่จะสลัดมันทิ้ง คุณอาจใช้มันเป็นหน ทาง โดยการกระทำร่วมกับนาฑีและปราณของกายละเอียดรวมทั้งต้นธาร แห่งอัคคีธาตุภายในและปีติ ฝึกฝนร่วมกับพลังภายในกาย สัญลักษณ์แห่ง องค์เทพซึ่งผนึกรวมกับเทวีธรรมของตน มิได้หมายแสดงถึงกามตัณหา อย่างสามัญหรือความสัมพันธ์ฉันบุรุษสตรี หากหมายถึงการไม่อาจแบ่ง แยกของความว่างและมหาปีติ ในสภาวะของการหลอมรวมกันภายในนี้ นาฑีหรือช่องทางเดินของพลังภายในร่างกายคือชาย และปราณหรือพลัง คือหญิง อัคคีธาตุภายในเป็นหญิง และปีติภายในเป็นชาย การหลอมรวม กันของทั้งสองก่อให้เกิดปีติอันยิ่งใหญ่เกินสามัญ ผ่านกามตัณหา ผู้ปฏิบัติ อนุโยคะย่อมบรรลุถึงปีติและประจักษ์แจ้งในภาวะอันไม่แบ่งแยกของมหา ปีติและสุญตา ซึ่งก็คือปัญญา โดยอาศัยการปฏิบัติตามแนวทางนี้ เราย่อม ชำระล้างกรรมและสร้างบุญกุศล ทั้งเผยปัญญาญาณให้ประจักษ์
 
 
 
 
หนทางแห่งมหาโยคะและอนุโยคะล้วนอาศัยวิริยะ ความระแวดระวังและ ความตั้งมั่น สำหรับผู้ที่มีโมหะเป็นเจ้าเรือนและมีความเกียจคร้าน ย่อม ปฏิบัติตามแนวทางที่สามคือ มหาบริบูรณ์ หรือ อติโยคะ บนหนทางสายนี้ เราย่อมผ่อนพักลงโดยมิต้องใช้ความพยายามในการตระหนักรู้ถึงธรรมชาติ ของดวงจิต นี้เรียกว่ามรรคาอันไร้ความพายาม บรรดาการปฏิบัติและหลัก ธรรมคำสอนทั้งมวลเรื่อยมาจนถึงมหาบริบูรณ์ ล้วนต้องอาศัยความคิด สติ ปัญญา และความเพียรอย่างสามัญ ทว่าในมหาบริบูรณ์นี้กลับมีเพียงการกำ หนดรู้เป็นหนทาง ผู้ปฏิบัติตามมรรคาสายนี้จึงอาศัยการเพ่งนิมิตเทพอันสูง สุด ซึ่งก็คือตัวการกำหนดรู้อันมีมาแต่ดั้งเดิมของตน
 
 
 
 
หนทางทั้งสามล้วนช่วยชำระล้างความมืดมัวในดวงจิต ซึ่งเราจะใช้ต่างกัน ไปตามแต่สภาพของพิษร้ายอันครองดวงจิตอยู่ ซึ่งก็คือประตูสู่การปฏิบัติ ธรรมซึ่งอยู่ชิดไกล้เราที่สุด สิ่งใดก็ตามที่แนบชิดแรงกล้าที่สุด ย่อมจะกลาย เป็นเครื่องมือซึ่งเราใช้พื่อชำระความมหมองมัวของจิตใจ
 
 
 
 
 
โดยอาศัยอุบายต่าง ๆ ในวัชรยาน เราจึงอาจน้อมนำธาตุมูลสามประการ ขึ้นมาในการปฏิบัติธรรมของเรา นั่นคือการชำระล้างความหมองมัว การ กระทำจิตให้ผ่องแผ้ว และบ่มเพาะกุศลธรรมขึ้นในดวงจิต โดยอาศัยสิ่ง เหล่านี้เราจึงอาจชำระล้างประสบการณ์ทางโลกได้อย่างรวดเร็ว และเข้า ถึงมรรคผลซึ่งอยู่เหนือสังสารและนิรวาณ อันได้แก่ตรีกาย ซึ่งเป็นธรรรม ชาติพื้นฐานอันหมดจดสมบูรณ์ อาศัยวิธีการเหล่านี้ ปัญญาจึงหาใช่สิ่งที่ เกิดขึ้นแก่เราไม่ ทว่าคือสิ่งที่เผยออกให้ประจักษ์ ช่วยเกื้อหนุนและบ่ม เพาะการปฏิบัติให้สุกงอม
 
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ประตูสู่การภาวนา : สู่วัชรยาน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 11:02:54 pm »
@ ถาม : ผมรู้สึกยากที่จะยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านได้กล่าวมา ท่านพอจะ พูดเรื่องที่ผมสนใจได้หรือไม่ คิดว่าไม่ใช่เป็นคนเดียวที่รู้สึกอย่างนี้
 
 
 
@ ตอบ : เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากหลักธรรมบางอย่างของวัชรยานเป็น สิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับในตอนแรก
 
ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นนาฬิกาจนกระทั่งอายุยี่สิบสี่ปีมีเพื่อลามะผู้หนึ่งซื้อ นาฬิกาเรือนใหม่เอี่ยมมาจากพ่อค้าเจ้าเล่ห์ด้วยราคาแพงลิบลิ่ว พ่อค้า คนนั้นโฆษณาสรรพคุณว่า " คุณสมบัติพิเศษของนาฬิกาเรือนนี้ก็คือผู้ ใดก็ตามที่สวมมันจะรู้เวลาตายล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เห็นเข็มที่หมุน อยู่รอบหน้าปัดนี้ใหม มันจะบอกอย่างเที่ยงตรงว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อ ไปได้อีกนานแค่ไหน " ลามะผู้นั้นไม่เคยพบเห็นาฬิกามาก่อน ดังนั้น จึงยอมจ่ายเงินซื้อมา ครั้นล่วงมาภายหลัง ท่านได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า " ดูเหมือนจะจริงนะ ลองดูเจ้าเข็มเล็ก ๆ หมุนวนไปรอบ ๆ สิ ดูเหมือน มันกำลังจะเคลื่อนไปสู่วาระสุดท้ายของฉัน "
 
 
เราทั้งสองคนจะรู้ได้อย่างไร เราจะมีเหตุผลพอที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อหรือ ไฉน ข้าพเจ้าก็รู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อยแต่ก็คิดว่าบางทีอาจจะจริง
 
 
ครั้นต่อมา เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์ ที่ว่าผู้คนสามารถพูดจาสื่อ สารกันข้ามขุนเขาและลำน้ำเป็นระยะทางไกล ๆ ข้าพเจ้าก็พูดว่า " เป็น ไปไม่ได้ ไม่มีใครทำอย่างนั้นได้หรอก คุณอาจตะโกนให้ได้ยินไกล ๆ แต่ไม่มีใครอาจได้ยินเสียงใครพูดไกลตั้งหลายร้อยไมล์อย่างนั้น " ข้าพเจ้า คิดว่านี่คงเป็นเรื่องโกหกพกลม แต่การณ์กลับเป็นว่า ข้าพเจ้าได้พบเห็น โทรศัพท์ด้วยตนเอง
 
 
ครั้นต่อมา มีเพื่อนมาบอกอีกว่า " มีกล่องอย่างหนึ่งซึ่งท่านอาจเฝ้ามองดู ผู้คเต้นรำ พูดจาและเดินเหินไป ดูเหมือนจริงมาก " คุณน่าจะได้เห็นสาย ตาอันฉงนสนเท่ห์ของเรา ข้าพเจ้าแน่ใจว่านี่คงจะเป็นเรื่องโกหก
 
แต่ทั้งหมดกลับเป็นเรื่องจริง มีกล่องซึ่งอาจแลเห็นภาพต่าง ๆ อยู่จริง ทั้งคุณก็อาจพูดจาสนทนากับผู้คนซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป
 
 
ผู้คนมักจะมีนิสัยชอบเชื่อในสิ่งที่ตนคุ้นเคย และปฏิเสธที่จะเชื่อสิ่งที่เป็น ของแปลกใหม่ ผู้คนเป็นอันมากในโลกตะวันตกมีความกังขาในอดีตและ อนาคตชาติเพียงเพราะเขาไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวในเรื่องดังกล่าว เขา จดจำไม่ได้ว่าได้เคยตายไปและได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ดังนั้นจึงยืนยันว่ามัน ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ วินิจฉัยของเขามีพื้นฐานอยู่บนอวิชชา ดุจดังความ เชื่อมั่นที่ว่าโทรทัศน์ไม่มีอยู่ในโลก
 
 
วิธีที่ดีที่สุดในการสดับพระธรรมคำสอนก็คือการเปิดใจกว้างและชะลอการ ด่วนตัดสินไว้ก่อน การปฏิบัติธรรมจะช่วยไถ่ถอนม่านหมอกอันบางเบาแห่ง ความมืดมัวที่แผ่ขยายครอบคลุมอยู่ในดวงจิต ยิ่งเราปฏิบัติมากเพียงใด เราก็ จะยิ่งประจักษ์แจ้งในความจริงและความเป็นไปได้ ผ่านประสบการณ์ตรง ของเรา
 
 
 
 
 
@ ถาม : ท่านกล่าวใช่ไหมว่าสังสารวัฏก็คือดินแดนสุขาวดี และสุขาวดีก็ คือวัฏสงสาร ที่กล่าวมานี้เข้าใจถูกต้องหรือไม่ ทั้งสองสภาวะนี้เป็นหนึ่ง เดียวกันและเหมือนกันหรือหาไม่
 
 
 
 
@ ตอบ : ใช่และไม่ใช่ ขอยกน้ำแข็งมาเป็นอุปมาอุปไมย คุณอาจกล่าวได้ว่า น้ำแข็งก็คือน้ำ ธรรมชาติของน้ำแข็งไม่ต่างไปจากน้ำ ทว่าน้ำแข็งก็มีลักษณะ เฉพาะของมันเอง เป็นมวลสารที่จับตัวเป็นก้อน รูปลักษณ์ของมันจึงต่างไป จากน้ำ ในทำนองเดียวกัน ถึงแม้ว่าสังสารจะมิได้แตกต่างไปจากวิสุทธิภพ โดยสิ้นเชิง ทว่ามันก็มีลักษณะเฉพาะของตัวมันเอง ซึ่งถ้าหากเรามิได้ไถ่ ถอนอวิชชาความหลงออกจากดวงจิตแล้วไซร้ เราก็จะแลเห็นเพียงลักษณ์ แห่งสังสารเท่านั้น
 
 
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เราย่อมรับรู้ปรากฏการณ์ด้วยอาการอย่างสามัญ เราแล เห็นมันด้วยอาการอันมีมลทิน มักจะเล็งไปยังฝ่ายอกุศลเสมอ มักรวมศูนย์ อยู่ในสิ่งร้าย ๆ นี่คือนิสัยความเคยชินของเรา โดยการปฏิบัติวัชรยานสาธนาเราย่อมตระหนักได้ถึงธรรมชาติที่แท้แห่งสังสารวัฏว่าคือดินแดนสุขาวดี เป็นประสบการณ์อันบริสุทธิ์ เราจะไม่เสแสร้งในสิ่งที่มิได้เป็นจริง นั่นก็ คือ เราไม่อาจแลเห็นมันอย่างที่มันเป็น ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมาปฏิบัติ ด้วย เหตุนี้เราจึงต้องมาปฏิบัติ ด้วยการคงความตระหนักรู้ถึงธรรมชาติที่แท้แห่ง สังสารวัฏ เราจะไม่เสแสร้งในสิ่งที่มิได้เป็นจริง นั่นก็คือ เราไม่อาจแลเห็น มันอย่างที่มันเป็น ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมาปฏิบัติ ด้วยการคงความตระหนัก รู้ถึงธรรมชาติที่แท้เอาไว้ เท่ากับเป็นการอุ่นเครื่องขจัดความหนาวเย็นออก ไป และกระทำให้รูปลักษณ์ซึ่งดูเหมือนจะเยือกแข็งกลับคืนสู่รูปเดิมตาม ธรรมชาติ เหมือนดังน้ำแข็งที่หลอมละลาย โดยแก่นแท้แล้ว เราหาใช่อื่น ใดไม่นอกจากองค์เทพ และสภาพแวดล้อมทั้งหมดก็คือดินแดนสุขาวดี แม้ว่าเราจะไม่สำเหนียกถึงสิ่งนี้ตราบเท่าที่เรายังคงตกอยู่ภายใต้โมหะอัน หนาวเย็นของจิตใจ
 
 
หากว่าธรรมชาติอันแท้จริงของสังสารวัฏได้เผยปรากฏอย่างแจ่มต่อเรา เรา ย่อมบรรลุถึงการตรัสรู้โดยแน่แท้ เราคงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติใด ๆ เลย ทว่า เมื่อความพร่ามัวสับสนชั่วคราวนี้ได้สิ้นสุดลงโดยอาศัยการปฏิบัติธรรม เมื่อ นั้นเองที่ธรรมชาติพื้นฐานของเราย่อมเผยออก
 
 
 
 
@ ถาม : เราเกิดความสับสนพร่ามัวได้อย่างไร มันย่อมเป็นเยี่ยงนี้เสมอละ หรือ ธรรมชาติพื้นฐานของเราย่อมหมองมัวอยู่เสมอหรือ
 
 
 
@ ตอบ : โดยนัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าการขาดการตระหนักรู้ในธรรมชาติ ที่แท้คือปัจจัยพื้นฐาน คำสอนทั้งมวลล้วนระบุไว้อย่างนี้ ทว่าความเข้าใจ ของคุณจะค่อยแจ่มกระจ่างขึ้นเมื่อคุณได้ศึกษาหลักธรรมลึกซึ้งขึ้นเป็นลำ ดับ ดังเช่น มหาบริบูรณ์ ดุจดังผู้ที่ถูกพันธนาอย่างแน่นหนาด้วยเชือก สามารถแก้ปมสุดท้ายออก ปมต่อไปและต่อไป จนกระทั่งเป็นอิสระ ยิ่ง คุณปฏิบัติก็จะยิ่งเกิดความเข้าใจลุ่มลึก ยิ่งจะได้รับคำสอนอันลุ่มลึกขึ้น ไปเป็นลำดับ จนใกล้จะบรรลุถึงความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหา
 
 
 
@ ถาม : เหตุใดจึงถือกันว่ามนตรามีพลังอำนาจยิ่ง
 
 
 
@ ตอบ : มนตรา ( งัก ในภาษาทิเบต ) หมายถึง " การสรรเสริญ " ด้วยเหตุ ที่การสาธยายมนต์ซ้ำ ๆ กันย่อมช่วยให้เราสัมฤทธิ์ผลได้อย่างรวดเร็วง่าย ดาย ความมีประสิทธิภาพของมนตราเนื่องมาจากปัจจัยสี่ประการ แรกสุด คือ แก่นแท้แห่งธรรมชาติของมัน ซึ่งก็คือธรรมชาติแห่งสัจจะนั่นเอง ด้วย เหตุที่มันมิได้หันเหออกจากความว่างอันเป็นธรมกาย สองคือธรรมชาติดั้ง เดิมของมันยืนพื้นอยู่บนความจริงเชิงปรากฏการณ์ มันประกอบด้วยเสียง และสระ ซึ่งผุดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติจากอุเบกขาและกรุณาของเหล่า พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย คือเหล่าอริยบุคคลผู้ครองความ ตระหนักรู้ทั่วถ้วนและเจริญอยู่ในธรรมอันยิ่ง สามคือพรจากเหล่าอริยสัตว์ ซึ่งทำให้มนตราเหล่านั้นศักดิ์สิทธิ์ขึ้นด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และปณิธาน ภาวนา น้อมนำการตระหนักรู้ถึงการหลอมรวมแห่งองค์เทพกับมนตราไป สู่สาธนาธรรม และสี่คือพลังอำนาจที่อาจถ่ายทอดโมกษธรรมและอำนวย พรต่อกระแสจิตของผู้พร่ำบริกรรมด้วยศรัทธาอันยิ่ง
 
 
 
 
@ ถาม : องค์เทพซึ่งเราใช้ในการปฏิบัติเทพสาธนากับเหล่าเทพเทวาใน เทวภูมินนั้นแตกต่างกันอย่างไร
 
 
 
@ ตอบ : เทพในภาษาทิเบตใช้คำเดียวกันคือ ลา ทว่าทวยเทพในสังสาร วัฏกับเทพซึ่งเราเพ่งนิมิตนั้นแตกต่างกันดุจดังทองเหลืองกับทองคำ
เทพนิมิตสาธนานั้นสะท้อนออกมาจากธรรมชาติที่แท้ในดวงจิต สำแดง ออกด้วยรูปลักษณ์อันแตกต่างหลากหลายเพื่ออำนวยประโยชน์แก่สรรพ สัตว์ เมื่อเราใช้คำว่า ลา เพื่อหมายถึงทวยเทพในสังสารวัฏ เราหมายถึง ผู้ที่ประกอบกุศลกรรมและได้ไปจุติในกามาวจรภูมิ ในรูปาวจรภูมิ และ อรูปาวจรภูมิอันละเอียดแยบยลทว่ายังเนื่องอยู่ในสังสารวัฏ และแม้ว่ากุศล กรรมจะหล่อเลี้ยงอายุขัยของเทพในเทวภูมิเหล่านั้นให้เสวยปีติอยู่ได้นาน นับกัปกัลป์ และแม้ว่าเทพเหล่านั้นอาจบันดาลโลกามิสสุขให้เกิดแก่ผู้ที่ อยู่ในภพภูมิอื่นได้ ทว่าถึงที่สุดเมื่อกุศลกรรมอ่อนล้าลง แรงกรรมอื่น ๆ ในสังสารวัฏก็จะพัดพาเทพเหล่านี้ให้จุติในภพภูมิที่ต่ำลงมา
 
 
@ ถาม : ท่านั่งมีส่วนสำคัญใหมเวลาที่เรานั่งสมาธิ
 
 
 
@ ตอบ : ในการปฏิบัติขั้นต้นและขั้นสมบูรณ์ล้วนอาศัยท่วงท่าในการนั่งที่ เหมาะสม เมื่อกระดูกสันหลังตั้งตรง เส้นทางเดินของพลังก็จะตั้งตรงและ ปราณก็สามารถไหลเวียนได้โดยปราศจากอุปสรรค นี่จะช่วยให้จิตแจ่มกระ จ่างไม่ส่ายไหวไปสู่อารมณ์ทั้งภายในและภายนอก ทว่าจะจดจ่ออยู่กับการ กำหนดรู้ การทำสมาธิในท่านั่งแทนที่จะใช้อิริยาบถอื่น เท่ากับเป็นการชำระ ความมัวหมองในกายและเป็นการสร้างกุศล การสาธยายมนต์และการสวด ภาวนาช่วยชำระล้างอกุศล การสาธยายมนต์และการสวดภาวนาช่วยชำระ ล้างอกุศลวาจาและช่วยบ่มเพาะวาจาอันบริสุทธิ์ โดยการทำวิปัสสนาและ อุบายวิธีอื่น ๆ ในแนวทางนี้ รวมทั้งการธำรงการกำหนดรู้ในธรรมชาติอัน สูงสุดของเรา เท่ากับเป็นการชำระล้างความมัวหมองในดวงจิตและช่วย เพิ่มพูนพลังปัญญา ถ้าหากเราน้อมนำกาย วาจา ใจ สู่การสดับธรรมและ นำมาปฏิบัติ เราย่อมชำระกรรมได้โดยพลันและสั่งสมกุศลและปัญญาบารมี
 
 
 
 
 
@ ถาม : ในพุทธศาสนานิกายวัชรยานมีสิ่งต่าง ๆ มากมายให้เรียนรู้ ทำความ เข้าใจ และเพ่งพินิจ เหตุใดจึงละเอียดซับซ้อนถึงปานนั้น และจำเป็นหรือไม่ ที่จะต้องดำเนินตามรายละเอียดอันซับซ้อนเหล่านี้ทั้งหมด
 
 
 
@ ตอบ : เราจำต้องอาศัยอุบายวิธีอันซับซ้อนเพื่อใช้จัดการกับความซับ ซ้อนของจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความคิดคำนึงและความสับสนสงสัย อาจ กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า เราจำต้องอาศัยตัวยาอันละเอียดอ่อนซับซ้อน เช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บของเรา โดยอาศัยอุบายวิธีแห่งวัชรยาน เราจึง อาจถอนทำลายนิสัยความเคยชิน ชำระล้างมลทินและสร้างกุศลไปพร้อม ๆ กัน
 
การเลือกว่าจะปฏิบัติตามแนวทางไหนจึงขึ้นอยู่กับตัวคุณว่าปวารณาจะ เดินไปบนมรรคาสายธรรมใด ถ้าหากคุณอยู่แคลิฟอร์เนียและอยากจะ เดินทางไปนิวยอร์ค รถจักรยานก็อาจพาคุณไปได้ มันง่ายที่จะสร้างจะ ใช้ และซ่อมแซม แต่ถ้าหากคุณอยากไปให้เร็วกว่านั้นก็อาจใช้รถยนต์ มันสร้างขึ้นมาด้วยความยุ่งยากซับซ้อนกว่า ขับขี่ก็ยุ่งยากกว่า และซ่อม แซมก็ทำได้ยาก แต่ออาจนำไปถึงที่หมายได้รวดเร็ว แน่นอนว่าคุณอาจ เลือกใช้เครื่องบิน ซึ่งยิ่งสร้างขึ้นมาได้โดยยาก ใช้งานและซ่อมแซมก็ ยาก ทว่าสามารถพาคุณไปถึงได้รวดเร็วยิ่ง
 
 
 
วัชรยานเป็นมรรคาอันสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ ซึ่งจะ ช่วยขจัดความหลงและความสับสนทางสายนี้ยังเรียกว่าหนทางแห่ง สายฟ้า ด้วยเหตุที่มันรวดเร็วเฉียบพลันและตรงยิ่ง ซึ่งหากคุณดำเนิน ตามทางสายนี้อย่างพากเพียร คุณย่อมบรรลุถึงการตรัสรู้ในชั่วชีวิตนี้ เป็นแม่นมั่น
 
 
* จาก ประตูสู่การภาวนา *
-ธรรมเทศนาของ ท่านชักดุด ตุลกู หนึ่งในธรรมาจารย์ รุ่นสุดท้าย -
- แห่งวัชรนิกายของทิเบต-
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ประตูสู่การภาวนา : สู่วัชรยาน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 12:36:51 am »
 :13: อนุโมทนาครับพี่มด ขอบคุณครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~