การสวดมนต์ เหตุใดเราจึงสวดมนต์ เราอาจคิดว่าหากทำดังนี้แล้วพระพุทธองค์หรือพระ เจ้าหรือทวยเทพจะเมตตาเรา จะอวยพรและช่วยปกป้องคุ้มครอง เราอาจ เชื่อว่าหากไม่สวดมนต์ ทวยเทพจะไม่โปรดปรานเราหรือกระทั่งอาจลงโทษ ทว่าจุดมุ่งหมายแท้จริงของการสวดมนต์มิใช่เพื่อเอาใจหรือเพื่อป้องกันมิให้ พระเจ้าที่อยู่นอกเหล่านั้นพิโรธ
จากแง่มุมของความเข้าใจที่ว่าพระเจ้า พระพุทธองค์ หรือเทพคือการสำ แดงออกของความจริงสูงสุด เยี่ยงนั้นเอง เราย่อมได้รับพรเมื่อสวดมนต์ จากแง่มุมที่ว่าเราเปี่ยมศรัทธาในความรักความกรุณาอันไร้ขอบเขตของ พระเจ้า เยี่ยงนั้นเอง เราย่อมได้รับพรจากองค์คุณเหล่านั้น
บางครั้งเราก็นำเอาความเป็นมนุษย์ของเราไปสวมใส่ให้สิ่งต่าง ๆ ดังเช่น หากเราคิดฝันไปว่า " หมาของฉันก็กำลังทำสมาธิเช่นกัน " ก็เท่ากับเรา กำลังทึกทักเอาว่ามันนนั่งสมาธิเป็น จินตนาการไปต่าง ๆ นานา ครั้นเมื่อ เราเอาความเป็นมนุษย์ไปสวมใส่ให้พระเจ้า เราก็คิดเอาเองว่าพระเจ้าก็คง จะมีข้อจำกัดและผิดพลาดได้เช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเป็นอันมากเชื่อ ว่าพระเจ้าคงจะโปรดปรานหรือไม่ชอบตน ขึ้นอยู่กับความประพฤติ " ฉัน คงไม่มีทางจะได้ดีเป็นแน่ เพราะพระเจ้าไม่ทรงโปรดฉัน ฉันคงต้องตก นรกเป็นแน่ "
หากพระเจ้ารู้สึกสุขหรือเศร้าด้วยเหตุที่เราไม่สวดมนต์ เมื่อนั้นพระเจ้าก็ หาใช่องค์คุณแห่งความบริสุทธิ์แห่งความรักและกรุณาอันเต็มเปี่ยมไม่ ทุก การสำแดงออกแห่งสัจจะอันสูงสุด โดยธรรมชาติแล้วย่อมไม่ยินดียินร้าย กับการสวดหรือไม่สวดของเรา ความคิดฝันดังกล่าวเป็นเพียงอาการอัน ละเมอเพ้อพกของจิตใจเราเท่านั้น
การจะเข้าใจได้ว่าการสวดมนต์ส่งผลเยี่ยงไร ขอให้ลองพิจารณาดูดวง อาทิตย์ ซึ่งส่องแสงสว่างไปทุกหนแห่งโดยไม่ลังเลหรือมีสิ่งใดขัดขวาง ดุจดังพระเจ้าหรือพระพุทธองค์
มันเปล่งรัศมี ทอแสงแผ่ความอบอุ่นให้ แก่สรรพสิ่งโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อโลกหมุนไปจึงดูเหมือนหนึ่งว่า มันได้หยุดส่องแสง ทว่านั้นหาได้เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ไม่ ทว่าขึ้นอยู่ กับตำแหน่งที่อยู่ในเงามืดของโลก ถ้าหากว่าเราอาศัยอยู่ในเหมืองลึกมืด ดำ นั่นก็หาใช่ความผิดของดวงอาทิตย์ไม่ ที่เรารู้สึกหนาวเย็น หรือถ้า หากว่าเราอาศัยอยู่บนพื้นโลกแต่กลับหลับตาเสีย นั่นก็มิใช่ความผิดของ ดวงอาทิตย์ที่เราไม่แลเห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่แผ่ปกครอบคลุม ไม่ว่าเราจะเปิดรับมันหรือไม่ก็ตาม
ผ่านการสวดมนต์เราจึงหลุดออกมา จากหลุมลึกมืดดำ เปิดดวงตาออกรับรู้ถึงอริยจิต เปิดรับความรักความ กรุณาอันดำรงอยู่ทุกแห่งหนเพื่อสรรพสัตว์แม้ว่าเราจะไม่คุ้นเคยกับการสวดภาวนาต่อทวยเทพ ทว่าพวกเราส่วน ใหญ่ย่อมรู้สึกได้ถึงหลักการในเบื้องสูงหรือสัจจะ อันเป็นแหล่งกำเนิด แห่งปัญญาความกรุณาและพลังความสามารถที่จะเอื้ออำนวยผล การ สวดภาวนาต่อหลักเบื้องสูงเหล่านั้น ย่อมเปี่ยมผลานิสงส์อย่างไม่ต้อง สงสัย
อย่างไรก็ตาม เราจะต้องไม่สวดมนต์ด้วยจิตใจอันคับแคบต่ำต้อย คุณอาจ อยากจะสวดขอรถคันใหม่ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่ารถยนต์คันใหม่คือ สิ่งที่คุณต้องการ น่าจะดีกว่าที่จะสวดเพื่อสิ่งดีที่สุด โดยตระหนักว่าคุณไม่ มีทางจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อหลายปีก่อนมีหญิงทิเบตผู้หนึ่งเดินทาง ไปต่างประเทศโดยเครื่องบิน ครั้นเมื่อเครื่องบินโดยสารจอดแวะพัก เธอก็ ลงเดินเตร็ดเตร่ ด้วยความที่ไม่คุ้เคยกับสนามบินไม่คุ้นกับภาษาและการเดิน ทางไปต่างประเทศ เธอจึงไม่ได้ยินเสียงประกาศให้กลับขึ้นเครื่อง เลยตก ค้างอยู่ที่นั่น นี่ดูเป็นเรื่องร้ายแรงมากในตอนนั้น แต่หลังจากที่เครื่องบินออก ไปได้ไม่นานเท่าใด เครื่องบินลำนั้นก็เกิดอุบัติเหตุตก ผู้โดยสารเสียชีวิต เกือบทั้งหมด
เรามิได้สวดมนต์เพียงเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเท่านั้น แต่เพื่อสรรพ สัตว์ทั้งมวล เมื่อแรกเริ่มปฏิบัตินั้น การให้ความสำคัญต่อตัวเองของเรา มีพลังกล้าแข็งมาก จนทำให้แม้แต่การสวดมนต์ก็เป็นไปเพื่อตัวเอง และ ยิ่งทำให้อัตตาหนาหนักขึ้นแทนที่จะเบาบางลง ดังนั้นเอง จนกว่าเจตนา ของเราจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ จึงเป็นการดีกว่าที่จะบ่มเพาะความเมตตา ยิ่งกว่าที่จะใช้เวลาไปในการสวดมนต์
เมื่อเจตนาบริสุทธิ์ การสวดมนต์จะกลายเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งในการปฏิบัติ เพราะมันจะช่วยขจัดอุปสรรคต่าง ๆ อันได้แก่เหตุปัจจัยอันไม่พึงประสงค์ ความไม่สมดุลของปราณภายในร่าง ความสับสนและความมืดบอดในดวง จิต แม้ในการสดับธรรม เราก็อาจได้ยินสิ่งต่าง ๆ ฟั่นเฟือนไป เพิ่มตรงนี้ ตัดตรงนั้น ดัดแปลงแก้ไข การสวดมนต์จะช่วยขจัดอุปสรรคเหล่านี้
จิตใจเป็นเหมือดังกระจกเงา แม้ว่าธรรมชาติที่แท้จริงของเราคือ
เทพภาวะ ทว่าสิ่งที่เรารับรู้ได้ในขณะนี้เป็นเพียงแค่ภาพสะท้อนจากจิตใจสามัญ บรร ดาสิ่งอันดูเสมือนหนึ่งปรากฏอยู่ภายนอกตัวเราไม่ว่าจะเป็นศัตรู อุปสรรค ต่าง ๆ เคราะห์กรรมทั้งมวล แท้ที่จริงคือเงาสะท้อนจากอกุศลจิตของเรา เอง ถ้าหากคุณไม่เคยเห็นภาพของตนเองมาก่อน คุณอาจคิดว่าการได้มอง ดูในกระจกเงาคือการมองผ่านหน้าต่างและได้เห็นคนอีกผู้หนึ่งที่มิใช่ตน เอง ซึ่งดูจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณเลยยามเมื่อผ่านพบ ถ้าหากคุณได้เห็นคน หน้าตาน่ากลัวสกปรกมอมแมมผมเผ้าเป็นกระเซิง คุณอาจรู้สึกชิงชังรัง เกียจ อาจถึงขั้นพยายามเช็ดกระจกเพื่อลบภาพนั้น ทว่ากระจกเงาก็เป็นดั่ง ดวงจิต คือสามารถที่จะสะท้อนให้เห็นสิ่งต่าง ๆ มันเพียงเผยให้เห็นตัวคุณ ถ้าเพียงแต่สางผมล้างหน้าล้างตาเสีย คุณก็อาจเปลี่ยนภาพที่แลเห็น คุณจำ เป็นต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง คุณไม่อาจเปลี่ยนกระจกเงาได้
การสวดมนต์ จะช่วยชำระนิสัยความเคยชินและความเขลาของจิตใจสามัญซึ่งมีธรรมชาติ ที่แท้เป็นเทพภาวะเมื่อเรา
สวดมนต์ตามแนวทางการปฏิบัติเทพสาธนา บางครั้งเราก็จะสร้าง ภาพนิมิตเป็นองค์เทพประทับยืนหรือนั่งอยู่กลางนภากาศเบื้องหน้า เป็น ดุจดั่งองค์คุณแห่งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ในขณะที่เราเต็มไปด้วยมลทินอัน มืดมัว ทว่าการสวดภาวนาต่อองค์เทพมิใช่การหาสิ่งทดแทนที่อยู่ภายนอก ตัว
จุดมุ่งหมายของการใช้อุบายวิธีแบบทวิภาวะ ซึ่งก็คือการเพ่งนิมิตภาย นอกตัวเรานี้ ก็เพื่อถอนทำลายการแบ่งแยกทั้งมวลลงในการสวดมนต์ภาวนา เราจะสร้าง
มโนภาพให้ความบริสุทธิ์แต่ดั้งเดิม ของเราสะท้อนออกเป็นองค์เทพ และให้คุณธรรมความดีทั้งมวลปรากฏ ขึ้นเป็นกาย เป็นสีสันและทิพยาภรณ์ของเทพ สิ่งนี้จะช่วยให้ตระหนัก ได้ถึงสิ่งที่ดำรงอยู่แล้ว ณ ต้นกำเนิด คือธรรมชาติอันหมดจดของเรา เมื่อ เราสร้างภาพนิมิตให้ตนเองเป็นประดุจองค์เทพ ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำ ความรู้สึกในธรรมชาติอันนิรมลของเรา
ท้ายที่สุดในการปฏิบัติขั้นสมบูรณ์ เมื่อรูปปรากฏแห่งองค์เทพได้มลายหายไปสิ้น เราจะชะลอดวงจิตให้สงบ พักลงในธรรมชาติเดิมแท้อันเป็นอันติมเทวะโดยปราศจากความพยายาม หรือการกำหนดกฏเกณฑ์ใด ๆ
ดังนั้น จึงเท่ากับเราเริ่มต้นด้วย
ภาพนิมิตแห่ความบริสุทธิ์ซึ่งดำรงอยู่ภาย นอก ครั้นแล้วก็ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายมันมาสู่ภายใน และขึ้นอยู่เหนือความ คิดเรื่องภายในหรือภายนอกในที่สุด การกำหนดรู้ในเทพภาวะนี้จะช่วย เพิ่มพูนกุศล พร และพลังแห่งการสวดภาวนาของเรา
ถ้าหาก
ธรรมชาติของเทพคือความว่าง คุณอาจนึกฉงนว่าเหตุใดเราจึงต้อง สวดมนต์ด้วย นี่ดูออกจะขัดแย้งกันชอบกล เราจะพูดได้อย่างไรว่า หามี เทพใด ๆ อยู่ไม่ มีเพียงภาพสะท้อนจากธรรมชาติเดิมแท้ของเราเอง ครั้น พอถึงที่สุด กลับไพล่ไปกล่าวว่าเราพึงสวดมนต์ภาวนาต่อองค์เทพนั้น ๆ ความข้อนี้อาจไขกระจ่างได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจถึง
หลักการอันไม่อาจแบ่ง แยกระหว่างปรมัตถสัจจ์และโลกิยสัจจ์ใน
ระดับปรมัตถ์ ธรรมชาติของเราคือพุทธะ เราคือองค์เทพแต่ด้วยเหตุแห่ง ความไม่รู้ เราจึงหลงอยู่ในความจริงระดับโลกย์ ๆ การที่จะก้าวกระโดดไป สู่การประจักษ์แจ้งในธรรมชาติอันสูงสุดนั้น จำเป็นที่เราจะก้าวเดินไปบนหน ทางของโลก ด้วยขาของโลก ด้วยเหตุปมัตถสัจจ์นั้นช่างแผ่วเบารางเลือนยิ่ง ต่อดวงจิตอันจำกัดคับแคบของเรา จึงต้อง
อาศัยอุบายอันเป็นรูปธรรมทีละขั้น ทีละตอนเพื่อใช้จัดการกับการแบ่งแยกในดวงจิต กระทั่งเราบรรลุถึงการตระ หนักรู้ และการสวดมนต์ย่อมนับเป็นการปฏิบัติอันสำคัญยิ่งในกระบวนการ ดังกล่าว * จาก ประตูสู่การภาวนา *
-ธรรมเทศนาของ ท่านชักดุด ตุลกู หนึ่งในธรรมาจารย์ รุ่นสุดท้าย -
- แห่งวัชรนิกายของทิเบต -