อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > ท่านพุทธทาสภิกขุ

ธรรมสากัจฉา ระหว่างม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ

<< < (2/3) > >>

ฐิตา:

คึกฤทธิ์-ฟังท่านอภิปราย กระผมก็เข้าใจครับ แต่จะถือว่ามันง่ายอย่างใต้เท้าว่านั้นมันยังไม่ง่าย คือจะไปอธิบายให้ลูกเด็กเล็กแดง หรือชาวบ้านฟังเห็นจะลำบาก เพียงแต่คาถาของพระอัสชิ ก็อธิบายกันหลายวันที่เดียว ผมเคยอธิบายมาแล้ว ไม่ใช่เข้าใจง่ายๆ เลย คือถ้าเป็นคนไม่ยึดแล้วก็เข้าใจง่ายเหลือเกิน ทีนี้คนไม่ยึดจะไปพูดกับคนที่เขายึดนี่มันลำบากจริงๆ กระผมก็ตรองไม่เห็นเหมือนกัน ความจริงกระผมก็เข้าใจ เพราะถ้าจับธรรมะข้อนี้เพียงข้อเดียวก็หมดอุปาทานได้ แต่ตามความจริงนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกข้อ ถ้ามีปัญญาจะพิจารณาไปในทางตัดอุปาทานก็ได้ทุกข้อ แต่ถ้าจะยึดเพียงข้อเดียวเพื่อความง่ายความสะดวกก็พอจะได้

การพิจารณาโลก พิจารณาทุกข์อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่รู้จักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็จะไม่รอด จะไปไม่รู้จักโลกจริงๆ ผมพบคนมามากที่เขาเกิดในศาสนาอื่น ไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาเป็นคนที่มีสรณะอย่างอื่น พูดกันอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อเขามาศึกษาพระพุทธศาสนา สรณะเก่าของเขา อุปาทานเก่าของเขาก็ยังแฝงอยู่ อย่างดีที่สุดเขาก็นับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระผู้เป็นเจ้า เขาก็เห็นว่าพระสงฆ์เป็นผู้ติดต่อระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์ ไม่ใช่ผู้ที่พยายามจะหลีกจากโลก มันเป็นเรื่องยาก กระผมยอมรับตรงๆ ว่าถ้าไม่มีใครมาสอนก่อน คงจะมองอะไรไม่ออก

ทุกวันนี้ที่มองเห็นโลก เข้าใจโลก รู้จักความทุกข์ ก็เพราะมีศรัทธาเป็นเบื้องต้นว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ดี ตรัสรู้ชอบ ตรัสรู้ความจริง แล้วก็พยายาามศึกษาว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรและพยายามมองโลกในทรรศนะนั้น ไม่เคยถามว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผิดหรือถูก ไม่เคยถามตัวเองว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้จริงหรือเปล่า เชื่อเสียก่อนในเบื้องต้น คือมีศรัทธาอย่างที่ท่านสอนให้มีศรัทธา แล้วทำความเข้าใจในศาสนาพุทธ คือไม่พยายามคิดอะไรให้มันวกออกไปนอกพุทธศาสนา จะว่าเป็นอุปาทานมันก็เป็น การมานั่งพูดกันที่นี่ก็มีอุปาทานกันอยู่ คือมีอุปาทานในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งก็คงไม่บาปไม่กรรมอะไรนัก

พระไตรปิฎกก็เช่นเดียวกัน มันมีวิธีศึกษาหลายทาง แล้วแต่ว่าเราจะศึกษาพระไตรปิฎกในฐานะอะไร ถ้าศึกษาในฐานะเป็นวรรณคดี มันก็ติดได้ เพราะเหตุว่าพระไตรปิฎกเป็นหนังสือไพเราะจริง ๆ ในทางอรรถรสก็สูง ถ้าจะศึกษาในทางเหตุผล พระไตรปิฎกก็มีสาระมีเหตุผลมากมายเหลือเกิน ถ้าศึกษาในทางอักษรศาสตร์ก็เป็นภาษาโบราณที่น่าสนใจ พระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องที่ทิ้งไม่ได้อีกนั่นแหละ จะลืมเสียเลยก็ไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เรารู้กันอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากพระไตรปิฎก จริงอยู่พระไตรปิฎกอาจมีสิ่งที่ผิด แต่ข้อที่เราเห็นว่าถูกก็อยู่ในพระไตรปิฎกนั่นเอง แล้วใครจะเป็นคนชี้ว่าพระไตรปิฎกหน้าไหนถูกหน้าไหนผิด ถ้ารับก็ต้องรับทั้งเล่ม ถ้าไม่รับก็ไม่รับเลย แต่ถ้าไม่รับเลยของดีที่มีอยู่ในนั้นเราก็จะไม่ได้รับ กระผมถืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น อย่างที่ใต้เท้ากรุณาว่ามานั้นก็ถูกทุกประการ กระผมไม่เถียงเลย แต่ว่าขั้นแรกเห็นจะต้องให้มีศรัทธาก่อน คือยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะก่อน เชื่อก่อนว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ดี ตรัสรู้ชอบ แล้วก็เชื่อด้วยว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหล่านั้นเป็นความจริงที่เชื่อถือได้ทุกประการ ถ้าไม่เชื่ออย่างนั้นแล้ว กระผมคิดว่าไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมะได้ มีแต่จะทุกข์ มีแต่จะยึด จะดิ้นรนขวนขวายอย่างไม่มีการสิ้นสุด คนที่จะตรัสรู้ได้โดยไม่คำนึงถึงพระพุทธศาสนา คนที่จะรู้โลกรู้ทุกข์ได้ด้วยตนเองโดยไม่รู้จักพระพุทธศาสนามาก่อนเลยนั้น ก็คงมีคนๆ เดียวเท่านั้นคือพระพุทธเจ้า คนอื่นทำไม่ได้ คนอื่นต้องเดินไปตามแนวที่พระองค์ได้วางไว้ กระผมเชื่ออย่างนั้น จะผิดถูกอย่างไร ก็ขอกราบเรียนถามใต้เท้าด้วย

พุทธทาส- อาตมาเข้าใจแล้วว่า ที่เรายังเข้าใจไขว้เขวกันอยู่นั้นคืออะไร ทว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาคือหลักพุทธภาษิตข้อที่กล่าวแล้วนั้น หมายความว่า ได้เลือกเอาหลักที่มีประโยชน์ที่สุด หรือว่าครอบคลุมความหมายทั้งหมดไว้ มาถือเป็นหลัก แม้แต่สำหรับจะเชื่อ จริงอยู่เราต้องอาศัยความเชื่อเป็นพื้นฐาน แต่อาตมาก็บอกว่าเพื่อจะประหยัดเวลาแก่ผู้ศึกษาและผู้ปฏิบัติ ความเชื่อนั้น เอามาระดมทุ่มเทไปที่หัวใจของพุทธศาสนา และจะเป็นความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด กว้างขวางที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เพราะได้รวมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออะไรทั้งหมดในพระพุทธศาสนาเอาไว้ในประโยคนี้

ข้อนี้หมายความว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงนั้น ก็คือภาวะ หรือบุคคลที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น หัวใจของพระพุทธเจ้าก็คือ ภาวะปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะท่านตรัสรู้และทำลายความยึดมั่นถือมั่น และพระพุทธเจ้าองค์แท้ก็คือ ภาวะแห่งความไม่ยึดมั่นถือมั่น ส่วนร่างกายนั้นเหมือนกับบุคคลทั่วไป

หัวใจของพระธรรมนั้นก็คือภาวะของความไม่ยึดมั่นถือมั่น พระธรรมในส่วนปฏิบัติ ก็ให้ปฏิบัติในลักษณะที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่น และพระธรรมในส่วนปฎิเวธคือผลที่ได้รับ ก็ขอให้เป็นมรรคผลนิพพาน คือการทำลายความยึดมั่นถือมั่นเสียได้จนหมดจดสิ้นเชิง

ฉะนั้นเรามุ่งจุดลงไปที่การทำลายความยึดมั่นถือมั่น นั้นแหละคือเราได้รวมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง มาฝังไว้ในจิตใจเราอย่างถูกต้อง เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง โดยความเชื่อก็ตาม โดยการกระทำก็ตาม ได้ด้วยลักษณะอย่างนั้น

เป็นอันว่าเราไม่ต้องนับถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ที่เป็นเพียงวัตถุ เป็นเพียงเสียง เป็นเพียงสิ่งของ ซึ่งเป็นการเนิ่นนานเลียเวลา ทำลายเวลาของเราให้เปลืองไป แม้ว่าเราจะต้องผ่านวัตถุเหล่านั้นก่อน ก็ให้เราผ่านไปโดยเร็ว ไปยังจุดที่เป็นองค์จริงของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือภาวะที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในตัวเราจริงๆ แล้วก็เชื่อได้จริง. เชื่อได้ด้วยตนเอง โดยไม่เชื่อตามผู้อื่น เห็นความยึดมั่นถือมั่นว่าเห็นภาวะแห่งความทุกข์ เห็นว่าการทำลายความยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นทางดับทุกข์เท่านั้น แล้วศีล สมาธิ ปัญญา ก็มีครบถ้วนอยู่ในตัวเอง

คนขาดศีลก็เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นในของรัก ในของไม่รัก แล้วทำไปตามอำนาจแห่งความรักหรือความไม่รัก สมาธิฟุ้งซ่านเลื่อนลอยเป็นนิวรณ์ต่างๆ นานา ก็เพราะการยึดมั่นถือมั่น ถ้ามองเห็นว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จิตก็จะสงบลงไปเอง

การเพ่งพิจารณาอยู่เสมอว่า ไม่มีสิ่งอะไรน่ายึดมั่นถือมั่นอยู่เสมอ ๆ คือตัวปัญญาสูงสุดที่พระพุทธเจ้าประสงค์จะให้เรามี ฉะนั้น เราจึงมีศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนบริบูรณ์ตามความต้องการของพระพุทธศาสนา ด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่น

ถ้าจะพูดถึงตัวพระไตรปิฎก เราก็จะเห็นได้ชัดว่าพระไตรปิฎกทุกคำพูด มุ่งไปยังการทำลายความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น แม้ในเรื่องอริยสัจจ์สี่ประการ ก็เห็นได้ชัดว่าความทุกข์ และเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คือผลของการยึดมั่นถือมั่น นี่เราก็ได้อริยสัจจ์สองข้อเต็มๆ แล้ว จะมองเห็นชัดต่อไปว่า เมื่อไม่มีความยึดมั่นถือมั่น คือไม่มีตัณหา นั่นแหละคือนิโรธ กล่าวคือความดับทุกข์ การกระทำทุกอย่างทุกประการ ที่เป็นไปด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นก็คือตัวมรรค

ฐิตา:


แม้ท่านจะจำแนกไว้แปดองค์ มันก็ล้วนแต่มุ่งหมายที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่น กล่าวคือ ความสำคัญผิดก็ขอให้เอาข้อแรกคือ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบความเข้าใจถูกต้อง) นั้นเป็นหลักใหญ่ มันต้องเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเสียก่อน จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์ ต่อนั้นไปก็จะถูกต้องในเรื่องต่างๆ ต่อไปจนครบแปดองค์

พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัมมาทิฏฐิต้องมาก่อน คือเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เห็นจริงว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา จึงมีอริยสัจจ์อีกสองข้อครบเป็นสี่ และเป็นอริยสัจจ์ที่รวมอยู่ในคำ ๆ เดียวคือ“ สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ฉะนั้น ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ดี จะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาก็ดี การปฏิบัติอื่นๆ ทั้งหมดก็ดี ล้วนแต่ขยายออกไปจากส่วนนี้ ปริยัติหรือพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องนี้ แต่เป็นคำบรรยายในลักษณะที่ไพเราะกว้างขวางที่สุด

ฉะนั้น จึงขอให้พวกเราที่ประสงค์จะเข้าใจธรรมะโดยเร็ว จงเล็งถึงหลักนี้ในฐานะที่เป็นหัวใจของธรรมะ อาตมาเห็นด้วยกับอาจารย์คึกฤทธิ์ ว่ามันยากหรือมันลึกซึ้งแก่คนทั่วไป แต่ว่าถ้าเราไม่ยอมแพ้ และหาหนทางจนสุดความสามารถของเรา ก็จะต้องมีหนทางที่สะดวกที่จะทำได้ และจะเหมาะสำหรับคนทั่วไปที่จะประพฤติปฏิบัติให้ตรงจุด แล้วเราก็จะได้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้อริยสัจจ์พร้อมกันไปในคราวเดียวโดยไม่รู้สึกตัว

ฉะนั้นขอให้สนใจเป็นพิเศษในประโยคที่ว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ถ้ายังเห็นว่ามันยาวไป ก็พูดได้สั้น ๆ ว่า “จิตว่าง” (สุญญตา) นั่นแหละคือหัวใจของธรรมะ หรือหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะการหมดการยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นจุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา

อาตมามีระบบปฏิบัติอันหนึ่ง ซึ่งเตรียมขึ้นสำหรับคนทั่ว ๆ ไปจะเข้าใจได้ปฏิบัติได้ อาตมาได้เผชิญกับปัญหาเรื่องการอธิบายคำว่า “จิตว่าง” (สุญญตา) นี้มามากและหลายปีแล้ว และก็ได้พบลู่ทางที่จะอธิบายเพิ่มขึ้นเสมอๆ จึงมีมานะพยายามที่จะอธิบายให้ลุล่วงไปให้จนได้ เพื่อประหยัดเวลาของเพื่อนมนุษย์ ให้เข้าใจพุทธศาสนาได้อย่างรวบรัดถูกต้อง และสมบูรณ์จริง ๆ เพราะเขาหาว่า กล่าวคำที่เข้าใจไม่ได้มามากแล้ว จึงขอให้ระวังฟังให้ดี

ระบบนี้มีหัวข้อปฏิบัติคือว่า ให้ทำงานด้วยจิตว่าง ให้ทำงานให้ความว่าง กินอาหารของความว่าง อยู่ด้วยความว่าง ส่วนความตายนั้น ไม่มีไปเสียตั้งแต่ทีแรกแล้ว

ที่เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่างนั้น ก็คือเราทำงานตามหน้าที่ของเราทุกอย่างทุกประการ ด้วยจิตที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีความรู้สึกที่น้อมไปในทางที่มีตัวเรา หรือของเรา และไม่มีความรู้สึกที่จะะยึดมั่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา อย่างนี้เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวเราหรือของเรา ว่างจากความเห็นแก่ตัวเอง เพราะตัวเรานั้นมันไม่ใช่เป็นตัวเราจริง มันเป็นเพียงมายา แต่อย่าดูถูกสิ่งที่เป็นเพียงมายา สิ่งที่เป็นมายานั้นก็คือ ความรู้สึกดูเหมือนว่ามีตัวตน เป็นสิ่ง เป็นก้อน เป็นอะไรจริง ๆ แต่ที่จริงนั้นเป็นเพียงมายา หรือเป็นเพียงความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น สำคัญผิด เป็นอวิชชา มีลักษณะเป็นอุปาทานเพราะความยึดมั่นถือมั่นเราต้องทำงานด้วยจิตที่ไม่เห็นแก่ตัว อย่างนี้จึงจะเรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง

แต่ในขณะเดียวกันนั้น จิตว่างนี้ก็เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะและสติปัญญา ขอให้แยกออกเป็นสองคำ คือสติสัมปชัญญะ และอีกคำหนึ่งก็คือ สติปัญญา สองคำนั้นเป็นเกลอกัน สติสัมปชัญญะมันทำให้รอบคอบในการกระทำ สติปัญญามันทำให้ฉลาดในการกระทำ นี่เป็นตัวสำคัญยิ่งของหลักปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าสติเท่านั้นที่จะช่วยให้รอดได้ สติสัมปชัญญะ และสติปัญญาอยู่ร่วมกับอุปาทานไม่ได้ มีในขณะเดียวกันไม่ได้

แม้ว่าจิตของเราจะเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวเป็นอย่านั้นเดี๋ยวเป็นอย่างนี้ ก็มีอยู่ในขณะเดียวกันไม่ได้ ถ้ามีอุปาทานก็ไม่มีสติปัญญา ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มีสติปัญญาก็ไม่มีอุปาทาน ขณะใดที่จิตว่างจากอุปาทาน ในขณะนั้นจิตก็จะเต็มไปด้วยสติปัญญาและสติสัมปชัญะ เราจะทำงานตามหน้าที่ที่ไหนก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกปราศจากตัวเราหรือของเรา กล่าวคือไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว อย่างนี้เรียกว่า “จิตว่าง” (สุญญตา) แต่คนส่วนมากไม่เข้าใจอย่างนั้น เขาเข้าใจว่า จิตว่าง ก็คือจิตที่ไม่มีอะไร เหมือนอย่างท่อนไม้บ้าง หรือว่าทำไปเหมือนอย่างคนละเมอ อย่างนั้นมันไม่ใช่คำว่า “ว่าง” มันมีหลายความหมาย

คำว่า “ว่าง” หรือ สุญฺญํ นี้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มีเป็นลัมมาทิฏฐิก็มี แต่ถ้าเป็นไปตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องมีความหมายว่า ว่างจากความรู้ลึกว่ามีตัวเราหรือของเรา ซึ่งไม่เป็นความเข้าใจผิดเพราะอุปาทาน ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร มันก็ต้องเรียกว่าว่างจากตัวเรา แต่ในขณะเมื่อว่างจากตัวเรา มันก็คือเรื่องของสติปัญญาและสติสัมปชัญญะ

ธรรมะอย่างที่พวกพุทธศาสนานิกายเซ็นรวบรัดเอาว่า พุทธะคือความว่าง ธรรมะคือความว่าง เขาหมายถึง “ว่าง” อย่างที่ว่านี้ เมื่อใดว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เมื่อนั้นก็เป็นพุทธะ เป็นธรรมะที่พึงประสงค์ นี่เป็นหลักพระพุทธศาสนาที่ใช้ในฝ่ายนิกายเซ็น ก็เป็นอย่างเดียวกับที่มีอยู่ในฝ่ายเถรวาท “ว่าง” นี้หมายความว่า ว่างจากความรู้สึกเห็นแก่ตัวทุกชนิด เมื่อจะทำการงาน งานก็จะดี

ขอยกตัวอย่างเช่น ชาวนาทำนาด้วยจิตว่าง หมายความว่าไถนาอยู่กลางแดดเหงื่อไหลไคลย้อย แต่จิตใจของเขาว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีอะไรเป็นของตน เขาก็ร้องเพลงพลาง ไถนาไปพลาง อย่างนี้เรียกว่าทำนาด้วย “จิตว่าง” มันเลยเพลิดเพลินในการไถนา ถ้าเห็นว่าเป็นการปฏิบัติธรรมะไปในตัวด้วยยิ่งสนุกใหญ่ จิตก็ยิ่งว่างใหญ่ จึงทำนาด้วยความสบายใจ ไม่ได้คิดน้อมไปในทางว่าไปขโมยดีกว่า รวยเร็วกว่า อย่างนี้เป็นต้น

หรือว่าคนแจวเรือจ้างกลางแดดกลางฝนทวนลมทวนน้ำ ถ้ามี “จิตว่าง” ซึ่งหมายความว่าไม่มีความคิดที่นึกน้อมไปในทางที่เกื่ยวกับ ตัวเขาหรือของเขา เช่นเขาเป็นคนจน เขาเป็นคนรวย แต่มีความสำนึกว่านี่เป็นงานของเขา หรือแม้แต่จะนึกว่านี่เป็นผลกรรมเก่าของเขาก็ยังได้ อย่าให้เลยไปถึงว่าเขาน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วการแจวเรือจ้างก็จะไม่เป็นทุกข์ทรมานหรือเป็นนรกหมกใหม้อยู่ในใจ กลับสนุกสนานชื่นบาน ร้องเพลงไปพลางแจวเรือไปพลาง กรรมกรอย่างอื่นก็เหมือนกัน ต้องมีหลักอย่างนั้นจึงจะเรียกว่า “ทำงานด้วยจิตว่าง”

แม้เรื่องการยิงปืนให้แม่น หรือขว้างให้แม่น เขาก็ต้องเตรียมจิตให้ว่าง ถ้าจิตเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวจัด เช่น จะยิงให้ถูกเพื่อให้ได้รับเกียรติ์ ได้รับรางวัล ถ้ายิงผิดคนจะฮากัน อย่างนี้แล้ว ไม่มีทางจะยิงได้แม่นยำ เขาต้องสำรวมจิตและขจัดความเห็นแก่ตัวจัดนี้ ออกไปเสียให้หมด เหลือแต่สติสัมปชัญญะกับสติปัญญาอย่างที่ว่า แล้วเขาจะขว้างแม่นหรือยิงแม่นเป็นอัตโนมัติไปในตัวอย่างปาฏิหาริย์ เพราะทำไปด้วยจิตว่างจากความรู้นึกว่าเป็นตัวเขาหรือของเขา ถ้ามีความรู้สึกเห็นแก่ตัวจัดแล้ว ใจมันเกิดสั่น แล้วก็สั่นมาถึงกาย มือมันก็สั่น

ฐิตา:

ถึงแม้นักเรียนจะเขียนคำตอบสอบไล่ ก็ต้องเตรียมให้จิตว่าง ลืมเรื่องเกี่ยวกับตัวตนหมด ให้เหลือแต่สติสัมปชัญญะ และสติปัญญาเท่านั้น แล้วการตอบข้อสอบก็จะทำได้ดีผิดธรรมดา อย่างนี้เรียกว่าสอบไล่ด้วย “จิตว่าง” จริงอยู่เด็กๆ หวังสอบไล่เพื่อเอาผล ย่อมมีความเห็นแก่ตัว แต่ในขณะเขียนคำตอบนั้น ไม่ควรจะมีความนึกคิดอย่างนั้น ให้มีแต่สติสัมปชัญญะและสติปัญญา ซึ่งเรียกว่า “ความว่าง” แล้วเขาอาจสอบไล่ได้ดีกว่าธรรมดา เรียนก็เก่ง จำได้เก่ง ตัดสินใจเก่งแม้แต่เรื่องที่จะต้องทะเลาะวิวาทกันถึงโรงถึงศาล เราก็ควรทำกันด้วย "จิตว่าง” เพราะถ้าทำด้วย “จิตวุ่น” แล้ว จะมืดมัว จะเสียเปรียบเขา ถ้ามี “จิตว่าง” แล้วจะพบลู่ทางที่ดี จะรอบคอบ และจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ

แม้การร้องเพลงบางประเภทก็เป็นไปแบบ “จิตว่าง” ได้คือไม่ได้เป็นไปแบบ “จิตวุ่น” ฉะนั้นดนตรีบริสุทธิ์ที่ไม่มีคำร้องอะไร เช่นผิวปากเล่นอย่างนี้ก็ยังเป็น “จิตว่าง” อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะร้องเพลง ถ้าปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือของตน นี้ก็ยังร้องเพลงด้วย “จิตว่าง” ยิ่งกว่านั้นดนตรีบางชนิดที่บริสุทธิ์ยังจะช่วยให้ “จิตว่าง” คลายความหมกมุ่นกังวลใจ ความวุ่นค่อยๆ จางออก ๆ จนเป็นจิตว่างได้ในที่สุด

ฉะนั้นการร้องเพลงหรือการผิวปากนั้น อย่าได้เข้าใจว่าเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาไปหมด บางครั้งกลับจะเป็นอุบายอันหนึ่งที่จะทำให้ ”จิตว่าง” แล้วเราก็จะตั้งตัวได้ แต่ถ้าร้องเพลงด้วยกิเลสตัณหา มันก็ต้องเป็นเรื่อง จิตวุ่น แน่ ๆ ยิ่งมีความมุ่งหมายไปในทางเพศด้วยแล้ว มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ อย่าเหมาว่าการร้องเพลงหรือดนตรีจะทำให้จิตวุ่นไปหมด

ศิลปะบริสุทธิ์นั้นมีคุณสนับสนุนความมี “จิตว่าง” ส่วนศิลปินไม่บริสุทธิ์นั้นย่อมจะสนับสนุนกิเลสตัณหาแน่นอน ฉะนั้น เราอย่าได้โทษศิลปะ หรือยกย่องศิลปะไปโดยส่วนเดียว จะต้องแยกไปว่ามันเป็นศิลปะที่ทาให้ “จิตว่าง” หรือ “จิตวุ่น” ฉะนั้น อย่าไปว่าเมื่อเห็นใครเขาร้องเพลง พังเพลง หรือผิวปาก โดยเห็นว่าเป็นกิเลสตัณหาเสียหมด ต้องดูจิตใจของเขาว่ากำลังเป็นไปอย่างไร ฉะนั้นผู้ใดใจวุ่นเพราะกำลังโกรธใคร จะผิวปากหรือร้องเพลงให้หายความตึงเครียด ก็เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักนี้

ที่ว่า “ทำงานให้ความว่าง” นั้น ท่านผู้ฟังคงจะฉงนแน่นอน ไม่ได้ทำงานให้ตัวเอง หรือเขาเอง ไม่ได้ทำงานให้ครอบครัว ไม่ได้ทำงานให้ประเทศชาติหรือศาสนาอะไรหมด แต่ทำงานให้ความว่าง นี้เป็นการกล่าวที่กระโดดไปสู่ปลายทาง แต่ยังมีความหมายที่ลดต่ำลงมาทำนองเดียวกับทำงานด้วยความว่าง

ได้กล่าวมาแล้วว่าธรรมะคือ “ความว่าง” (สุญญตา) ความว่างนี้คือสิ่งสูงสุดซึ่งเป็นหลักที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะมันไม่มีตัวตน มันเป็นเรื่องว่างไปหมด โลกนี้ทั้งโลก รวมทั้งตัวเรา ครอบครัวของเรา ประเทศชาติของเรา มันเป็นเพียงสังขารของปรุงแต่งนามธรรม โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ใช่ตัวตน ฉะนั้น การทำงานให้ใครหรืออะไร มันก็เป็นการทำงานให้ความว่างอยู่ในตัวแล้ว เพราะฉะนั้นการทำงานให้ความว่าง ก็คือทำให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ถ้าเราทำงานเพื่อนั่นเพื่อนี่ มันก็ยังเป็นเรื่องต่ำอยู่ ยิ่งเพื่อเงินด้วยแล้วยิ่งเลวใหญ่ ถ้าทำงานเพื่องานเพื่อหน้าที่ก็ยังนับว่าสูงพอใช้ แต่ต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นในหน้าที่ด้วย การทำงานเพื่องานนั้น ก็ถือว่าเพื่อความว่าง

คำว่า “ความว่าง” (สุญญตา) คำนี้ มีความหมายในตัวมันเองเป็นพิเศษ เมื่อทำงานด้วยจิตว่างแล้ว การทำงานก็กลายเป็นการทำงานเพื่อความว่างไปด้วย ผลก็ไม่ไปไหนเสีย ย่อมจะตกกแก่ผู้ทำนั้นเอง จึงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรกินไม่มีอะไรใช้ ถึงแม้จะได้ผลมามากมายอย่างไร เราก็มิได้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น จึงกลายเป็นการทำงานเพื่อความว่าง ทีนี้ถ้าถามว่า แล้วจะเอาอะไรกิน ขอตอบว่า “กินอาหารของความว่าง” นั่นก็คือ การกินอาหารของธรรมะ กินอาหารของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เราเรียกว่ากินอาหารของ “ความว่าง” ซึ่งมีความหมายเฉพาะเป็นพิเศษ ฉะนั้น เราก็ยังมีอาหารกิน ทั้ง ๆ ที่ทำงานด้วยจิตว่าง ทำงานเพื่อความว่าง มันเป็นอาหารที่บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยโทษ ทำความเจริญให้แก่เราโดยแท้

ถัดไปที่ว่า “อยู่ด้วยความว่าง” นี้ก็คือการมีชีวิตมีลมหายใจอยู่โดยไม่รู้สึกว่ามีตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นของเรา ส่วนข้อที่ว่า “ความตายนั้นไม่มีมาตั้งแต่ทีแรก” ก็หมายความว่า เมื่อทำงานด้วยความว่าง ทำงานเพื่อความว่าง กินอาหารของความว่างแล้ว มันก็ไม่มีตัวเรา แล้วความตายมันก็ไม่มีด้วย ปัญหาเรื่องความตายจึงไม่มี จะมีก็แต่ความว่างตลอดกาลนั่นเอง อย่างนี้มันดีกว่าความตายชนิดที่สกปรกเน่าเหม็น น่าเกลียด น่าสังเวช อาตมาไม่อาจวินิจฉัยได้ด้วยตนเองว่า การกล่าวแบบนั้น คนจะเข้าใจและพอรับเอาได้หรือไม่ แต่ก็ยังไม่ท้อถอย ยังพยายามจะทำให้เขาเข้าใจให้จงได้

การมีชีวิตอยู่อย่างแบบนักบวชนี้ เข้าใจได้ง่าย กระทำได้ง่าย อาตมาเคยสอนภิกษุที่อยู่ด้วยกันว่า เราจงกินอาหารของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่กินอาหารของเรา หรือของชาวบ้าน และเขยิบต่อไปว่า พระพุทธเจ้าตัวจริงนั้นก็คือธรรมะ ธรรมะตัวจริงนั้นก็คือความว่าง (สุญญตา) พระภิกษุก็พอเข้าใจกันได้ ส่วนฆราวาสทั่ว ๆ ไปนั้น อาตมาก็ไม่แน่ใจ จึงขอให้อาจารย์คึกฤทธิ์ได้อภิปรายอีกครั้งหนึ่งก่อน

คึกฤทธิ์- ถ้าไปอยู่ที่กุฏิท้ายวัดก็คงทำได้อย่างใต้เท้าว่า ไม่ขัดข้องอะไร ตั้งแต่ฟังๆ ใต้เท้ามา ก็เห็นว่าใต้เท้าแสดงสัจจธรรมที่กว้างขวาง อย่างกับมหาสมุทร พูดถึงความมุ่งหมายของการพ้นทุกข์ คือการไม่ยึดมั่นถือมั่น การตัดอุปาทานให้พ้นไป เป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่พอมาถึงตอนที่ว่า “ทำงานด้วยจิตว่าง ทำงานเพื่อความว่าง กินอาหารของความว่าง อยู่ด้วยความว่าง” ตอนนั้นฟังเหมือนอย่างว่า ใต้เท้าพยายามเทน้ำในมหาสมุทรลงไปใส่ขันใบเล็ก ๆ มันใส่ไม่ลง มันล้นไปหมด สัจจธรรมที่ใต้เท้าประกาศนั้นมันเป็นเรื่องกว้างขวางใหญ่โตเหลือเกิน คือมันเป็นสภาพจิตของพระอรหันต์ ชาวบ้านสามัญเขาทำมาหากินกันตามปกติ จะนำธรรมะที่ใหญ่โตนั้น ใส่ลงไปในถ้วยแก้วใบเล็กเท่านี้ ใส่ไปเท่าไรมันก็ไม่ลง

คือถ้ายังทำงานอยู่แล้ว จิตมันว่างไม่ได้ กระผมยังถือว่าอย่างนี้ ที่ใต้เท้ากล่าวในตอนท้าย ใต้เท้าเองก็ยอมรับว่าถ้าบวชเป็นพระก็พูดกันง่ายในเรื่องเหล่านั้น ฉะนั้นที่โบราณเขาว่า ถ้ามีฆราวาสได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วไม่บวช ก็จะต้องตายภายในเจ็ดวันนั้น กระผมเชื่อ แต่ถ้าพระภิกษุสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านอยู่ไปได้ไม่เป็นอะไร กระผมเชื่อ เพราะภาวะของพระภิกษุสะดวกที่จะปฏิบัติธรรมอย่างนี้ แต่ถ้าฆราวาสจะเอามาปฏิบัติ กระผมเห็นว่ายังขัดข้องเหลือเกิน ไม่ใช่หมายความว่า ธรรมะนั้นผิดเชื่อถือไม่ได้ แต่ตรงกันข้าม กระผมเห็นว่าถูกที่สุด

ปัญหาอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ในฆราวาสวิสัยจะพึงปฏิบัติแค่ไหน ที่ใต้เท้ากล่าวมานั้นเป็นกิจกรรมของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้า ที่นี้ของฆราวาสควรจะทำนั้น ถ้าจะให้เหมือนกัน กระผมเห็นว่าจะไปไม่ไหว คือประการแรกการที่จำทำงานด้วยจิตว่างจากความเห็นแก่ตัวนั้น กระผมยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร คือถ้าทำงานแล้ว ไม่ถือว่างานนั้นเป็นงาน ไม่ถือว่าตัวเราเป็นผู้รับประโยชน์ของงาน หรือไม่ถือว่าผู้อื่นเป็นผู้ได้รับประโยชน์ของงาน ไม่ถือว่าชาติบ้านเมืองเป็นผู้ได้รับประโยชน์ของงานแล้ว ก็ไม่ทราบว่า จะทำไปทำไมเหมือนกัน เราควรจะคิดทำลายมันเสียด้วยซ้ำ จะไปทำมันทำไม ?

ฐิตา:


ถ้าจิตว่างจากความเห็นแก่ตัวแล้วคนก็ไม่ทำงาน ถ้ากระผมทำตัวให้ปราศจากอุปาทานได้จริงแล้ว ก็จะไปขอบรรพชากับใต้เท้า ไม่มานั่งทำงานให้มันเสียเวลาอยู่หรอกครับ ที่นี้เพราะมันยังไปไม่ไหว จึงได้มานั่งเป็นฆราวาส ยังตัดอุปาทานไม่หมด การทำงานมันเป็นสภาพของการยึดมั่น ถ้าใครยังละอุปาทานไม่ถึงขนาด ก็ยังต้องทำงานก้นต่อไปมันเป็นส่วนหนึ่งของทุกข์ ถ้าจะให้ทำงานด้วยจิตว่าง กระผมก็ยังมองไม่เห็นทาง

นี่ผมอาจจะใจคอคับแคบ หรือดวงตายังไม่เห็นธรรม คือยังนึกไม่ออกจริงๆ ส่วนเรื่องสติสัมปชัญญะหรือสติปัญญาก็ดี กระผมนึกว่า สตินั้นก็หมายเพียงการระลึกได้ว่าของทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จับอะไรขึ้นมาก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ของผมทั้งนั้น ถ้ามีสติอย่างนั้นแล้ว ก็ทำงานไม่ได้อีก นึกจะไปค้าไปขายอะไรก็ไม่อยากไป นอนดีกว่า กระผมกราบเรียนด้วยความเคารพจริง ๆ กระผมมันยังไม่เข้าใจ แล้วก็อยากจะเข้าใจ แต่มันก็นึกอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าใต้เท้าบอกว่า ทั้งหมดนี้ต้องการจะพ้นทุกข์ ต้องการจะทำให้จิตว่างเพื่อบวชต่อไปแล้ว กระผมเชื่อ แต่ถ้าใต้เท้าสอนอย่างนี้เสร็จแล้วว่า “ให้เอ็งกลับบ้านไปทำงาน และจิตต้องว่าง นะลูกนะ” กระผมทำไม่ได้ นี่แหละขอรับ เป็นการพูดของฆราวาสกับพระ มันเป็นคนละโลกกันอย่างนั้น กระผมก็อยากขอประทานกราบเรียนถามความรู้ต่อไปว่า จะให้ทำอย่างไรกันแน่

พุทธทาส - อาตมายังสงสัยอยู่นิดหนึ่ง ขอถามว่า ถ้าสมมุติว่าเราเทน้ำทั้งมหาสมุทรลงไปในถังใบเล็กๆ นี่มันล้นได้ แต่ที่มันเหลืออยู่ในถังนั้นน่ะ มันเป็นน้ำอย่างเดียวกับที่ล้นออกไปหรือเปล่า

คึกฤทธิ์ - เป็นน้ำอย่างเดียวกันครับ แต่ผลมันไม่เหมือนกัน ปริมาณมันไม่เหมือนกัน ถ้าใครฟังเรื่องนี้ไปแล้วอย่างดีจริงๆ ไอ้ที่ จิตว่าง” อย่างที่ใต้เท้าพูดนั้นมันก็ไม่ใช่จิตว่าง มันยังเป็นอุปาทานนั่นเอง แต่มันว่างจากกิเลสนิดหน่อยเท่านั้น พูดในภาษาตรรกวิทยามันไม่เข้า ผลมีได้ทางปฏิบัตินั้นผมรับ ถ้าเช่นนั้นไม่ต้องเทศน์เรื่องนี้ก็ได้ เทศน์เรื่องการทำบุญสุนทานกัน จนในที่สุดแม้แต่สอนกันง่ายๆ ว่าทำบุญแล้วได้ขึ้นสวรรค์ก็ได้ เป็นการให้ทำดีเหมือนกัน มานั่งพูดให้มันวกวนนอกลู่นอกทางไปทำไม นี่ไม่ใช่แปลว่าใต้เท้านอกลู่นอกทางดอก คือการเทศน์ให้คนทำอย่างธรรมดาสามัญเขาก็มีอยู่

พุทธทาส - เดี๋ยวนี้อาตมาจับใจความได้แล้ว ที่ว่าให้ “ทำงานด้วยจิตว่าง” อย่าให้เจือด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเราหรือของเรานั้น หมายความว่า ในขณะที่ทำนั้นต้องมีจิตว่างไม่เห็นแก่ตัวจัด ส่วนสติปัญญาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีว่า เรามีประเทศชาติ ศาสนา เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำต่อประเทศชาติศาสนา ทำงานเพื่อหน้าที่นั้น มันมีแล้วมีก่อนแต่ลงมือทำ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นอุปาทานในฝ่ายดีก็ได้ แล้วอุปาทานในฝ่ายดีนั่นไม่ได้ถูกตำหนิติเตียนโดยส่วนเดียว ยอมให้ทุกคนมีอุปาทานในฝ่ายดี เป็นทุนสำรองไปเรื่อยๆ แต่ให้พยายามสูงขึ้นๆ พอถึงที่สุดของฝ่ายดีมันก็เข้าเรื่องเหนือดี หรือ “ความว่าง” (สุญญตา) นี้เอง

วิธีปฏิบัติเฉพาะหน้าก็มีอยู่ว่า ในขณะที่ลงมือทำแท้ๆ นั้น อย่าได้มีจิตวุ่น มีความรู้สึกตั้งแต่แรกว่าอะไรควรจะทำและจะทำอย่างไร เท่าไร เพียงไหน นี้มีได้ คิดนึกได้ แต่ก็ด้วยสติปัญญาอีกนั่นแหละ อย่าได้คิดด้วยจิตหมกมุ่นอยู่ด้วยความรู้สึกเห็นแก่ตัวจัด หรือว่าเป็นตัวเราหรือของเรา เพราะมันจะมากไปบ้าง น้อยไปบ้าง ผิดความจริงไปหมด ที่ทำด้วยสติปัญญาบริสุทธิ์ ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวเราของเรานี้ ก็คิดได้ว่าเราจะทำอย่างใด เรามีฐานะอย่างนี้ มีสภาวะอย่างนี้ จะต้องทำอะไรเป็นประจำวัน มีอาชีพอย่างไร มีประโยชน์ส่วนรวมอย่างไร นี้คิดไปได้ แต่ก็ยังกล่าวได้ว่ายังมีจิตว่างอยู่เหมือนกัน

ความสำคัญอยู่ที่ว่าขณะที่ลงมือทำ ก็ให้เหลือแต่สติปัญญา และสติสัมปชัญญะอย่างที่กล่าว สติในพระพุทธศาสนาหมายถึงสติปัฏฐาน ควบคุมความรู้สึกไว้เสมออย่าผลอตัว มีสติอยู่เสมอว่าไม่มีอะไรเป็นตัวตนหรือของตน แล้วทำงานโดยสตินั้น ในขณะนั้นจิตจะเฉลียวฉลาดที่สุด ว่องไวที่สุด อาตมาจึงว่าน่าจะลองไปคิดพิจารณาดู และลองพยายามทำดู ให้การพยายามนั้นแหละเป็นเครื่องวัดตัดสินว่า จะทำได้หรือไม่ได้เพียงใด เพราะว่าบางที่อาจจะได้ของวิเศษที่สุดจากปริมาณที่น้อยที่สุด เหมือนกับน้ำที่ขังอยู่ในถังใบเล็กๆ ที่เราเทให้ทั้งมหาสมุทรก็ได้

อาตมามีความมุ่งหมายอย่างนี้จึงขอฝากไว้ให้คิดต่อไปด้วย อาจจะเข้าใจไม่ได้ในวันนี้แต่ก็อาจจะเข้าใจได้ในวันหน้า หลักธรรมะส่วนลึกนี้ เราต้องมีความมุ่งหมายว่า ผู้ศึกษาค้นคว้ากันวันนี้ ก็เพื่อความเข้าใจในห้าปีหรือสิบปีข้างหน้า ซึ่งจะได้โดยแน่นอน แต่ถ้าเรายังรอไว้ไม่เอามาพูดกัน มันก็ต้องรอไปอีก ๑๐ ปีจึงจะได้ลงมือ แล้วก็ต้องรอไปอีกสิบปีจึงจะเข้าใจได้ คือขอให้กล้าเอาธรรมะที่เข้าใจไม่ได้เวลานี้ไปขบไปคิดเพื่อประโยชน์แก่ความเข้าใจในห้าปีหรือสิบปีข้างหน้า แล้วเรื่อง “จิตว่าง” หรือเรื่องทำงานด้วยจิตว่างนี้ ก็รวมอยู่ในพวกนี้ด้วย นี้เรียกว่า อาตมาพยายามที่จะบอกกล่าวท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจธรรมะในลักษณะอย่างนั้น เพื่อประหยัดเวลาหรือเพื่อให้ได้ผลทันตาเห็น เพราะเรามีหัวข้อว่า “ควรเข้าใจธรรมะอย่างไร” อาตมาจึงเสนอว่าควรจะเข้าใจธรรมะอย่างนี้

ที่อาจารย์คึกฤทธิ์พูดนี้ก็มีเหตุผล ควรที่จะเอาไปคิดไปนึกปรับปรุงแล้วสะสางให้เข้ารูปจนพอที่จะได้ร้บประโยชน์ แม้ในปริมาตรเท่ากับน้ำถังเดียวจากมหาสมุทร ก็ขออย่าได้ท้อถอย จงพยายามศึกษาคำว่า “ว่าง” หรือ “จิตว่าง” (สุญญตา) ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนานั้นให้เข้าใจกันให้จงได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ถือว่านิพพานนี้คือความว่างอย่างยิ่ง ว่างอย่างยิ่งคือ นิพพาน หมดความรู้สึกว่า ตัวตนถึงที่สุดได้เมื่อไร ก็คือนิพพาน

สิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้จึงอยู่ที่ตรงนี้ เราจึงมุ่งหมายไว้ว่าเป็นของที่จะมาถึงในวันข้างหน้าสักวันหนึ่ง และขอร้องให้เราเข้าใจธรรมะ ในลักษณะอย่างนี้เถิด อย่าได้เข้าใจว่าเพื่อจะเป็นพระอรหันต์ เพื่อจะดีจะเด่นอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยการศึกษาหรือปฏิบัติธรรมะ เพราะอย่างนั้นมันเพิ่มอุปาทาน แต่ถ้าเราเข้าใจว่า เพื่อจะให้เบาไปบางไป หมดไปจากความเห็นแก่ตัวจัด จากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนหรือของตนแล้ว นี้เป็นการถูกต้อง ขอให้เจริญงอกงามไปในลักษณะอย่างนี้

คำว่า “ความว่าง” นี้มันมีความหมายเฉพาะ ขอย้ำแล้วย้ำอีกว่า “นิพพาน คือความว่างอย่างยิ่ง” นี่มันมีความหมายเฉพาะ หรือพระพุทธภาษิตที่สำคัญอีกข้อหนึ่งที่ว่า “ให้ดูโลกทั้งหมดนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอๆ เถิด” ก็หมายความอย่างนั้น ว่าโลกที่จริงนั้นมันว่าง แต่เราไม่เห็นเป็นว่าง ฉะนั้น ขอให้พยายามจนได้เห็นจริงว่ามันว่างอยู่ นี้จะนำไปสู่ภาวะสูงสุดที่พึงปรารถนา คำกล่าวที่ใช้บัญญัติพูดกันนี้ มันมีความหมายพิเศษของมันเอง พอมาผิดยุคผิดสมัยกันก็เข้าใจยาก อาตมาจึงได้พยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ภาษาไทยของยุคปัจจุบันหรือภาษาไทยง่ายๆ ฉะนั้น อย่าได้ยึดถือมั่นในคำนั้นในคำนี้นัก หรือว่าอาจารย์คึกฤทธิ์เห็นว่า ควรจะมีข้อแม้อย่างไร หรือควรอภิปรายอย่างไร ก็ขอให้กรุณาอีกครั้ง จะได้จบธรรมสากัจฉา.

คึกฤทธิ์ - กระผมเข้าใจตามที่ท่านได้อธิบายมาคนที่ “ว่าง” อย่างพระอรหันต์แล้ว ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างกระผม ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนส่วนมากที่นั่งอยู่ที่นี่ การใช้ชีวิตอย่างใต้เท้า นุ่งห่มด้วยผ้าสามผืน สละหมู่ สละคณะออกไปอยู่ต่างหากตามลำพัง แล้วก็ถือศีล ๒๒๗ ข้อเป็นปกติ ไม่เดือดร้อนในการถือนั้น ไม่ใช่ใครบังคับให้ถือมั่นถือไปเอง อย่างนี้เรียกว่า “ว่าง” ถ้าจะให้คนอย่างกระผม ไปทำงานด้วย “จิตว่าง” กระผมยังมองไม่เห็นเพราะลักษณะของงานมันขัดต่อการมีจิตว่าง ภาวะของผมมันว่างไม่ได้ ถ้าว่างไปแล้วมันก็ไม่เป็นกระผม ถ้าท่านบอกว่าให้กระผมไปบวชแล้วมันจะว่าง กระผมเชื่อ กระผมก็ไม่ยึดอะไรทั้งนั้น แต่การทำงานด้วยจิตว่างนั้น กระผมก็อยากจะเรียนถามเหมือนกันว่า ท่านหมายความว่ายังไง ถ้าท่านบอกว่าทำงานด้วยจิตว่างแล้ว งานทางโลกนั้นจะดี กระผมไม่เชื่อ อย่างว่าเป็นทหารไปรบกับเขา แล้วรบด้วยจิตว่าง ยิงปืนด้วยจิตว่าง แล้วมันจะเป็นทหารที่ดี พูดอย่างไรๆ กระผมก็ไม่เชื่อ แต่ถ้าใต้เท้าบอกว่าทำงานอยู่ในโลกก็อยู่ในโลกเถิด ถ้าทำงานด้วยจิตว่างอย่ายึดมั่นอะไรแล้วงานจะดีไม่ดี หรือถึงจะเกิดผลร้ายเราก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าอย่างนั้นกระผมเชื่อ

ฐิตา:

ที่ท่านพูดมาว่าจิตว่าง แล้วงานจะประเสริฐ การงานจะรุ่งเรือง อย่างนั้นกระผมไม่เชื่อ เพราะงานของโลกมันขัดกันกับเรื่องจิตว่าง หรือเรื่องการพ้นทุกข์ ความสุขของโลกมันเป็นความทุกข์ในทางธรรม ความสำเร็จของงานมีความหมายในทางโลก ถ้า “จิตว่าง” จะนำความสำเร็จทางธรรมนั้นก็ถูก แต่จะเอาพร้อมกันทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้ สำเร็จทางธรรมด้วยจิตว่าง ก็ต้องเสียทางโลก ไม่อย่างนั้นคนจะไปบวชกันทำไม

พุทธทาส – หมายความว่าฆราวาสนี้จะไม่พยายามทำให้ “จิตว่าง” อย่างนั้นรึ ;

คึกฤทธิ์ - ทำได้ คือว่างจากกิเลส กระผมเชื่อ

พุทธทาส ฆราวาสควรจะพยายามหรือไม่ ?

คึกฤทธิ์ - เรื่องไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั้น กระผมเชื่อ คือว่าฆราวาสควรจะศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าไห้รู้ว่าธรรมะนั้นคืออะไร แต่ขณะเดียวกันก็ควรจะรู้ด้วยว่า แม้ในขณะที่ทำไป ถ้ามันจำเป็นต้องยึดมันก็ต้องยึดเพราะเรายังเป็นฆราวาส ถ้าปล่อยหมดก็อย่าเป็นฆราวาส

พุทธทาส – อาตมาต้องการให้ฆราวาสทำงานด้วยความมีทุกข์น้อย และมีผลสำเร็จเต็มที่ จะมีวิธีอย่างไร จะทำด้วยจิตว่างหรือจิตวุ่นดี ?

คึกฤทธิ์ - - กระผมเห็นว่า จะเอาผลสำเร็จทางโลกแล้ว มันก็ต้องซื้อผลสำเร็จนั้นด้วยความทุกข์ จะเอาทั้งสองอย่างไม่ได้หรอก จะเอาเนยไปทาขนมปังสองหน้าไม่ได้ ไม่มีใครเขาใส่บาตรอย่างนั้น กระผมขอสอนพระสักวันเถิดครับ ไม่มีทางทำได้ แต่ถ้าเผื่อว่าจะให้สิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้ว ให้ว่างจริงโดยไม่มีทุกข์แล้ว ต้องสละความสำเร็จทางโลก เลิกกันอย่างนั้นกระผมเชื่อ เมื่อเป็นฆราวาส มันก็ต้องสุขบ้างทุกข์บ้าง มันไม่ว่าง

พุทธทาส – แล้วจะมีวิธีทำให้ทุกข์น้อยลงได้อย่างไร ?

คึกฤทธิ์ - ก็อย่างที่กระผมพูดอยู่นั้นแหละครับ คือทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือของตัวของตน แต่ในขณะที่ทำงานนั้นมันต้องนึกถึงงาน มันไม่ “ว่าง” หรอก มันก็นึกว่าทำเพื่อตัวอยู่อย่างนั้นเองแหละ แต่ถ้ามันเกิดผิดพลาดเสียหายขึ้นมาแล้ว ตอนนี้แหละ ธรรมะของใต้เท้านำเข้ามาช่วยได้ ถือว่ามันไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไรของเรามันเสียไปแล้ว อย่างนี้มันก็พอนึกได้ มันพอปลอบใจได้เหมือน กัน

พุทธทาส - ข้อวิวาทะของเราอยู่ที่ตรงนี้ อาตมาขอยืนยันว่า แม้เป็นฆราวาส ทำงานอย่างฆราวาส ก็ต้องพยายามเอาชนะต่อความทุกข์ในการงานนั้น ให้ได้มากยิ่งขึ้นๆ โดยอุบายวิธีที่เอาหลักของพระพุทธศาสนา (สุญญตา) คือทำจิตให้ว่างจากอุปาทานนั้น มิใช่ให้ถูกตามสัดตามส่วน แล้วให้ลืมความเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิตเสียชั่วคราว มีปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ว่าในจิตใจกำลังเป็นอยู่อย่างไร ถ้าเป็นทุกข์ให้จะแก่มันให้ตรงจุด ตามหลักที่ว่าสิ่งทั้งปวงเกิดมาแต่เหตุ แล้วมันก็จะค่อยๆ เป็นพระอยู่ในบ้านในเรือนนั้นเอง มากขึ้น ๆ จนถึงขนาดที่ทนไม่ไหว ต้องออกไปบวช

คึกฤทธิ์ - ถ้าอย่างนั้น กระผมเชื่อครับ ฟังแต่แรก คล้ายๆ กับว่าใต้เท้าจะให้เป็นพระอยู่ในเรือนแล้วไม่ต้องบวชที่หลัง ถ้าค่อยๆ อบรมไป ๆ ทำให้ “ความว่าง” เกิดมากขึ้นๆ กระผมเชื่อ _ _

พุทธทาส - อาตมาบอกว่า ให้พยายามทุกอย่างให้เขาใกล้ “ความว่าง” นี้มากขึ้นๆ แม้แต่ในการทำงานการกินอาหาร ในการมีลมหายใจอยู่ ให้ใช้อุบายที่ประณีตแยบคายที่ให้เข้าใกล้ความว่างนี้มากขึ้นๆ แม้แต่ในเพศฆราวาส ความเห็นของเราแตกต่างกันนิดเดียวเท่านั้น

คึกฤทธิ์ - มันแตกต่างกันแยะครับ คือถ้ายิ่ง “ว่าง” มากขึ้น ความสำเร็จทางโลกมันต้องคอยลงทุกที่ๆ

พุทธทาส - ถ้าอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ ความว่าง (สุญญตา) ตามความหมายของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนพวกฆราวาสไว้

คึกฤทธิ์ - เป็นมหาเศรษฐีด้วย เป็นสัตตบุรุษด้วยอย่างนั้นไม่สำเร็จหรอกครับ เป็นมหาเศรษฐีทุกข์มากและ “ ว่าง” ไม่ได้

พุทธทาส - เป็นมหาเศรษฐี ที่เป็นพระอริยบุคคล อย่างนี้จะมีได้ไหม ?

คึกฤทธิ์ - ถ้าได้รับมรดกมา เป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ถ้าหาเอาเอง อย่างนั้นเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้เพราะถ้าเป็นพระอริยบุคคล ก็ไม่คิดเป็นเศรษฐีเสียแล้ว

พุทธทาส – เป็นพระอริยบุคคลชั้นหนึ่งขั้นใดแล้วจะเป็นเศรษฐีด้วย อย่างนี้ไม่ได้หรือ?

คึกฤทธิ์ –กระผมไม่เชื่อครับ ไม่ต้องเป็นพระอริยบุคคลหรอกครับ คนขนาดว่างนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างกระผม เห็นว่าสมบัติไม่เที่ยง เงินก็ไม่เที่ยง อะไรมันก็ไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวใช่ตน กระผมก็ยังไม่เป็นเศรษฐี ทุกวันนี้ผมก็หาหินพอใช้ ความจริงแล้วกระผมมีหลักการของกระผมว่า กระผมไม่หาเงินล่วงหน้า ผมอยากได้อะไรไปหาเงินมาซื้อ ซื้อแล้วเลิกกัน กระผมไม่หาต่อ ถึงได้มีเวลาว่างมานั่งคุยกับท่านได้ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาจะหาเงินอย่างเดียว เพราะอยากเป็นเศรษฐีแล้ว วันนี้ผมไม่มา ผมไม่ว่าง

พุทธทาส –คนที่เป็นเศรษฐีแล้ว รู้สึกว่ามีเพียงพอแล้ว จะไปสนใจธรรมะเรื่องของ “ความว่าง” (สุญญตา) นั้นได้ไหม ?

คึกฤทธิ์ - ถ้าอ้างว่าสนใจละก็ได้ แต่ใครลองไปแตะเงินเข้าซีครับ เกิดไม่ว่างขึ้นเชียว กระผมไม่เชื่อหรอกครับ

พุทธทาส – ข้อขัดแย้งข้อนั้นต้องขอฝากเอาไว้ให้ท่านทั้งหลาย ช่วยไปพิจารณาดูด้วยความคิดที่เป็นอิสสระของตนเอง อาตมายังขอยืนยันอยู่ในหลักเกี่ยวกับการดำรงสติให้มีความรู้สึกเป็น “จิตว่าง” อยู่เสมอนี้ ว่านำไปใช้ได้ในทุกกรณี ทุกชั้นทุกวัย และทุกเพศ เท่าที่สามารถจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ลงมือทำงานแล้วมีความทุกข์เกิดขึ้น ก็ขอให้นำไปใช้ในกรณีนั้น ข้อขัดแย้งกันที่เกี่ยวกับความคิดเห็น หรือกาลเวลานี้ไม่สำคัญโดยเนื้อหาอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ยอมรับว่า อุปาทานนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำลาย ต้องละในที่สุด เพราะเป็นหลักของพระพุทธศาสนา อาตมาก็ย้ำและยืนยันว่า เราควรเข้าใจธรรมะในลักษณะนั้น คือทำลายความเห็นแก่ตัวจัดนั้นเรื่อยไป ๆ ให้เบาบางหรือหมด ถ้าทำถูกวิธีแล้วจะสบายเย็นอกเย็นใจ ทำการงานก็สนุกสนานไม่รู้สึกว่าเป็นการทน-ทรมาน แล้วก็เป็นการก้าวหน้าในทางธรรมะพร้อมกันไปในตัว อาตมาขอยืนยันและขอร้องให้เข้าใจธรรมะในลักษณะอย่างนั้น และขอให้อาจารย์คึกฤทธิ์กล่าวทรรศนะส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version