แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

ประทีปแห่งมหามุทรา : ภาคสอง มรรคมหามุทรา ประสบการณ์และการรู้แจ้ง

(1/2) > >>

มดเอ๊กซ:


         

ประสบการณ์และการรู้แจ้ง
ภายหลังจากพากเพียรจนจิตตั้งมั่นในความเป็นกลางโดยไม่เกิดความ ผิดพลาด หรือทิฏฐิและการปฏิบัติที่ผิด และไม่ไถลออกนอกทางหรือ หันเหไปทางอื่น และกำกับความรู้ด้วยสติ โดยไม่ปล่อยให้เสียเวลา อยู่กับความสับสนอย่างคนทั่ว ๆ ไป ท่านจะได้รับประสบการณ์ และ ความรู้แจ้ง ตามระดับแห่งอินทรีย์หรืออัธยาศัย

โดยทั่วไป เพราะมีระบบต่าง ๆ กันมากมายตามแต่อาจารย์ผู้ทรงคุณ จึงมีระบบแบ่งประสบการณ์และความรู้แจ้งที่แตกต่างกันมากมาย บ้างก็ว่าภายในแบบโยคะสี่ ภายหลังบรรลุถึง " ความเรียบง่าย " จะ ไม่มี " ภาวนา " หรือ " หลังภาวนา " ที่แยกกันได้บ้าง ก็แยกเป็น " ภาวนา " " หลังภาวนา " สำหรับประสบการณ์ และความรู้แจ้งแต่ละอย่าง ๆ บ้างก็มี " ภาวนา " หรือ " หลังภาวนา " สำหรับโยคะ แต่ละขั้น แท้จริงแล้ว จึงมีระบบต่าง ๆ กันมากมาย

ทำนองเดียวกัน มีระบบต่าง ๆ มากมายเพื่อจัดประเภท ประสบการณ์ และรู้แจ้ง บ้างก็ว่าระดับทั้งสามแห่งเอกัคคตา เป็นแค่ประสบการณ์ ไม่ใช่การรู้แจ้ง คำสอนต่าง ๆ มีรายละเอียดต่าง ๆ มากมายอย่างเช่น ยอมรับว่าเห็นแก่นแท้แห่งจิตเมื่อถึงระดับ " ไม่ภาวนา " และอื่น ๆ

เนื่องจากคำสอนต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการแสดงถึงความกรุณาที่จะฝึกคน ที่มีอินทรีย์ อธิมุตติ ( อัธยาศัย ) และสภาพแห่งจิตที่ต่างกัน พูดด้วยความ เคารพ เธอไม่ต้องไปถือคำสอนหนึ่งว่าเลิศเลอ ผู้เขียนไม่ได้เข้าถึง สังเกตุ เห็น หรือเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่สามารถตั้งบรรทัดฐาน ว่าอะไรถูกประเด็นหรือถูกต้อง อะไรไม่ถูกประเด็นหรือไม่ถูกต้อง นั่น เปรียบเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดผู้ไม่สามารถแยกสีที่สวยและน่าเกลียด ได้ เมื่อเทียบกับความเข้าใจของผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนจะบรรยายระดับชั้น เหล่านี้โดยสังเขป

ภาวนาและหลังภาวนา
ศัพท์ " ภาวนา " และ " หลังภาวนา " มีอยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งสองขั้น ซึ่งได้แก่ " ขั้นพัฒนา " และ " ขั้นเสร็จสมบูรณ์ " สิ่งนั้นคืออะไร " ภาวนา " หมายถึงมุ่งอยู่ที่อารมณ์แห่งการปฏิบัติโดยปราศจากการผสมผสานกับกิจกรรมอื่น ๆ และ " หลังภาวนา " หมายถึงการภาวนาขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่นระหว่างพักปฏิบัติ สภาวะจิตขณะนั้นเรียก " ปัญญาผลลัพธ์ " และ " สัญญาผลลัพธ์ " โดยทั่วไปมักเรียกกันอย่างนี้ นอกจากนี้ ในกรณีเช่นนี้ เราเรียก " ภาวนา " เมื่อผู้เริ่มเรียนอยู่ในการฝึกปฏิบัติชนิดจริงแท้ และ " หลังภาวนา " เมื่อเขาทำกิจกรรมเช่น เดิน ไปโน่นไปนี่ ทานอาหาร นอน และอื่น ๆ สำหรับนักปฏิบัติจริงจัง " ภาวนา " และ " หลังภาวนา " แยก จากกันไม่ได้ และเป็นอิสระจากความวอกแวกและความสับสน การปฏิบัติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

มดเอ๊กซ:



ประสบการณ์และการรู้แจ้ง

เพื่อให้เข้าใจคำว่า ประสบการณ์และการรู้แจ้ง " ประสบการณ์ " หมายถึง การปฏิบัติเพื่อคุณธรรมระดับสูงหรือต่ำ ซึ่งไม่ผสมผสานกับแก่นแท้แห่ง แห่งจิต และมีทัศนะแห่งการกำจัดบางสิ่ง ( เช่นกิเลส ) และบริวาร หรือ อาจกล่าวว่า " ประสบการณ์เป็นการรักษาไว้ซึ่งทัศนะแห่งผู้ภาวนาและ วัตถุแห่งภาวนา " และ " การรู้แจ้งหมายถึงการปฏิบัติและจิตไม่ได้แยก จากกัน แต่แสดงออกมาเป็นแก่นแท้แห่งจิต ซึ่งปรากฏผลเป็นผลที่แน่นอน " กล่าวสั้น ๆ สองแง่มุมนี้ปรากฏไม่เฉพาะในบริบทแห่งการภาวนา แต่ยัง หมายไปถึงส่วนใหญ่แห่งการปฏิบัติมรรคด้วย เช่น คุรุโยคะ กรุณาและ โพธิจิต ระดับแห่งการพัฒนา และอื่น ๆ

ตัวอย่างจะช่วยให้เข้าใจ เพราะได้ยินเรื่องราวหรือความคิดเกี่ยวกับวัชร- อาสนะ ( ท่าแห่งการบริหารกายแบบโยคะอย่างหนึ่ง - ผู้แปล ) เมื่อนึก ภาพและเรื่องราวในใจ และสามารถอธิบายผู้อื่นได้ นี่เรียก " สุตมยปัญญา " เมื่อมองจากที่ไกล ๆ หรือมองที่แผนผังทำให้เข้าใจโดยคร่าว ๆ เรียก " ประสบการณ์ " เมื่อปฏิบัติเอง เห็นเองอย่างละเอียดลออ และเข้าใจ อย่างลุ่มลึกอย่างแนบแน่นเกี่ยวกับมัน เรียกว่าการเกิดแห่ง " การรู้แจ้ง "

บุคคลสามประเภท

หัวข้อเหล่านี้จะเข้าใจหรือไม่ขึ้นกับระดับจิตใจของบุคคล ซึ่งสามารถ แบ่งออกเป็นสามจำพวก บุคคลจำพวกที่บังเกิดความเข้าใจ " ประสบ- การณ์ " และ " รู้แจ้ง " โดยเพียงแค่เห็นสัญลักษณ์ หรือสามารถทำให้ คุณภาพสมบูรณ์ได้ในทันทีโดยไม่ต้องปฏิบัติยากลำบาก เรียก " พวกฉับ พลัน " นี้คือพวกที่ได้ " รู้แจ้ง " ด้วยการฝึกฝนในครั้งก่อน บุคคลพวก ที่มีคุณภาพแห่งประสบการณ์และ " การรู้แจ้ง " ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีขั้นตอน ที่แน่นอน และไม่สามารถจัดเป็นชั้นสูงหรือชั้นต่ำได้ เรียก " พวกข้ามขั้น ตอน " อีกพวกคือค่อยเลื่อนชั้นเป็นขั้นตอนแน่นอน เรียก " พวกค่อยเป็น ค่อยไป " ซึ่งรวมประชาชนทั่วไปด้วย เนื่องจากบุคคลสองกลุ่มแรก สามารถรวมในพวกมีลำดับแห่งพวกค่อยเป็นค่อยไป จึงจะอธิบายวิธี ปฏิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไป

มดเอ๊กซ:




โยคะสี่
ยานสามัญสอนว่าบุคคลบรรลุพุทธะได้โดยภูมิทั้งสิบ และมรรคทั้งห้า แต่ที่นี่จะอธิบายการปฏิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไป คือโยคะสี่โดยเฉพาะ สายดรักโป กาจู ( dakpo kagyu ) แต่ละระดับยังแบ่งย่อยออกเป็น ชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นสูง ผลทั้งหมดจึงเป็น ๑๒ ระดับชั้น ซึ่งเป็นสาระแห่งคัมภีร์ ชื่อ ตันตระแห่งความลับสุดหยั่งรู้ ซึ่งอรรถาธิบายโดย lord Dawo Shonnu มีใจความดังนี้

โดยสีหสมาธิ
จิตกระจ่างชัดเนื่องจากเอกัคคตาจิตที่ไม่หวั่นไหวแผ่รัศมีไปทั่ว
มันปลุกปัญญาแห่งการรู้โดยตนเองในตนเองจากภายใน
และจากอัพยาที่มีเสถียรภาพ เธอพ้นจากทุกข์ในอบายภูมิ

ระดับสอง สมาธิแห่งมายา
สืบเนื่องจากภาวนาที่ยิ่งใหญ่ชนิดเรียบง่าย
ปรากฏสิ่งที่คาดคิดไปถึงไม่ได้เป็นพลังแห่งสมาธิ
และบรรลุถึงอัคคี เธอเป็นนายเหนือการเกิดใหม่

ระดับสาม สมาธิแห่งการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญ
ความหลากหลายกลายเป็นหนึ่งรส บรรลุการหยั่งรู้ถึงภูมิทั้งสิบ
เธอบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่นในฐานะแห่งชินบุตรในกาลทั้งสาม
และเมื่อบรรลุถึงอนุตระ ความก้าวหน้าจะไม่มีการชะงัก

ระดับสี่ วัชรสมาธิ
เป็นความพากเพียรปฏิบัติ " ไม่ภาวนา "
ปัญญาของเธอหยั่งรู้ถึงพุทธภูมิ
สิ่งที่ปรากฏเองโดยปราศจากความพยายามคือคุณอันสูงสุด

ระดับและความหมายได้อธิบายอย่างกว้างขวางใน ลังกาวตารสูตร เช่นกัน อาจารย์ศานติปะได้อธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียดโดย การ อธิบายตาทั้งห้า สัพพัญญุตาญาณ และอื่น ๆ และนอกจากนี้ ตาม หลักมหามุทราในนิกายนิงมะ คุรุรินโปเช ยังได้สอนความหมายเหล่า นี้ ตามอย่างรัดกุม ใน Nekyi sintig ท่านได้อธิบายว่า

เอกัคคตาจิต
ด้วยใจที่มีคุณธรรมและความชั่วถูกชำระให้บริสุทธิ
ท่านเลิกละอกุศลกรรมโดยอัตโนมัติ

เรียบง่าย
แก่นแท้แห่งจิตเป็นอิสระจากสิ่งปรุงแต่ง
ท่านละเลิกอุปาทาน แห่งผู้รู้และสิ่งถูกรู้

หนึ่งรส
เมื่อทุกปรากฏการณ์คือ ธรรมกาย
ท่านเลิกละความคิดรวบยอดต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ

และไม่ภาวนา
โดยรู้แจ้งว่าสังสารและนิพพาน
ว่างเปล่าจากความเป็น " ตัวตน "

    ท่านเลิกละความยึดถือในสิ่งคู่ทั้งปวง ดังนั้น ท่านจึงสอนโยคะสี่ผสานปธานสี่
    ยิ่งกว่านั้น คุรุรินโปเช สอนว่า
 
อัคคี คือการเห็นแจ้งธรรมชาติแห่งจิต อนุตตระ คือการเห็นความไม่เกิด ในฐานะแห่งธรรมกาย โดย อัพยา ท่านอยู่เหนือการปฏิเสธสังสาระและรับนิพพาน คุณวิเศษ คือทั้งสังสาระและนิพพานหลอมรวมกันในจิตหนึ่ง
    ในคำสอนนี้ได้รวมโยคะสี่และความมั่นใจสี่ประการแห่งมรรคแห่งการ ผสม
    ซึ่งความหมายก็เหมือนกับข้างบน
    ต่อไปจะอธิบายหนทางก้าวหน้า ซึ่งความหมายที่แท้ของโยคะสี่นี้แสดง ออก
    และวิธีที่ภูมิทั้งสิบและหนทางทั้งห้าในระบบพระสูตรบรรลุความสมบูรณ์

มดเอ๊กซ:


     
            -http://www.facebook.com/warawut.srisopark   

เอกัคคตา
เมื่อกุลบุตรได้ละความยึดมั่นถือมั่นในชีวิตและสำคัญหมายในอาจารย์ของตนว่าเป็นดังพุทธะ ได้รับการสั่งสอน และอาศัยอยู่ในที่อันสงัด เขาอยู่เป็นสุข ปลอดโปร่งใจ ไร้ความคิดฟุ้งซ่าน และจิตมีความตั้งมั่น ยังเก็บความรู้สึกไว้ว่า " การภาวนา เป็นการหลุดพ้นจากความคิดโดย การตระหนักรู้ " นี้เป็นปฐมเอกัคคติ ( เอกัคคตาชั้นต้น )

แม้ว่าบุรพจารย์ในสายปฏิบัติ จะจัดเอกัคคตาทั้งสามระดับว่าเป็นสมถะ สำหรับความเข้าใจของฉัน ต้องมีบุคคลระดับต่าง ๆ กัน นอกจากนี้ สำหรับผู้รู้สภาวะดั้งเดิม ธรรมชาติที่แท้คือทั้งสมถะและวิปัสสนาจะ ปรากฏเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ ดังนั้น ควรเข้าใจในที่นี้ว่าสมถะมีวิปัสสนา ครอบคลุมอยู่ด้วย ปัญญาผลลัพธ์มีความเด่นอยู่ที่ความยึดมั่นในตัวตน ( แข็งกระด้าง ) ระหว่างฝันจะไม่ต่างจากบุคคลสามัญสามัญมากนัก กล่าวย่อ ๆ เพราะท่านเพิ่งเริ่มปฏิบัติ มีความขึ้นลงมากมายในความ ยากง่ายในการดำรงการปฏิบัติ

ในระดับมัชฌิมเอกัคคตา ( เอกัคคตาชั้นกลาง ) ท่านสามารถดำรงการ ปฏิบัติไว้ได้นานเท่าที่ท่านต้องการ บางครั้งสมาธิเกิดขึ้นแม้จะไม่ภาวนา ปัญญาผลลัพธ์ มีความยึดมั่นในตัวตน ( และแข็งกระด้าง ) น้อยกว่า ดังนั้น การรับรู้จึงเป็นเปิดกว้างมากขึ้น และการสั่งสมคุณธรรมก็เกิดขึ้น แม้ขณะหลับ กล่าวง่าย ๆ เวลาแห่งการภาวนาก็เป็นการภาวนา ( จริง ๆ )

หลังจากอุดมเอกัคคตา ( เอกัคคตาชั้นสูงสุด ) ตลอดวันและคืน การภาวนากลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีขีดคั่น ประกอบด้วย ความสุข ความชัดเจน ความสว่างไสว และปราศจากวิตกวิจาร ไม่ต้องแบ่งปัน ประสบการณ์ผลลัพธ์ และปัญญาผลลัพธ์ สมาธิมีความต่อเนื่องโดยตลอด ท่านเป็นอิสระจากเครื่องเสียดแทงทั้งภายในและภายนอกและ ไม่เกี่ยวข้องกับความยึดติดในรูปเสียง ฯลฯ คำสอนยังกล่าวว่า ท่าน บรรลุอภิญญาและอิทธิปาฏิหาริย์ อย่างไรก็ดี ท่านยังไม่พ้นจากการ ยึดติดในความดีเลิศ และไม่หลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งมโนคติที่ยึดติด ในการภาวนา

มีความแตกต่างกันมากมายในด้านความสามารถในหมู่ผู้ปฏิบัติเอกัคคตา เช่นเดียวกันความขยันของแต่ละคน กล่าวได้ว่าเธอจะเห็นแก่นของเอกัคคตา หรือไม่ก็ขึ้นกับว่าเธอได้ประสบและมั่นใจในการตื่นรู้ในภาวะแห่งสุข สว่างไสว และไร้คิดหรือไม่ ทำนองเดียวกันความสมบูรณ์ในการปฏิบัติ ขึ้นกับว่าประสบการณ์นี้ต่อเนื่องหรือเป็นครั้งคราว ความคิดจะกลายเป็น การภาวนาหรือไม่ขึ้นกับว่าจะมีสติกำกับอยู่หรือไม่ คุณภาพขึ้นกับว่า กระแสแห่งจิตมีความอ่อนโยนแค่ไหน ความแพร่กระจายแห่งพีชะแห่ง รูปกายขึ้นกับว่าความกรุณาที่ปราศจากความยึดติดเกิดขึ้นหรือไม่ใน ระหว่าง " ปัญญาผลลัพธ์ " ทักษะต่อความสัมพันธ์ขึ้นกับเธอสามารถ เชื่อมโยงระหว่างเหตุและผลได้ดีหรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือมาตรวัดที่สอน โดยบูรพาจารย์สายกาจู


มดเอ๊กซ:



เรียบง่าย
เมื่อได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับเอกัคคตา ถ้าเธอยังทุ่มเทในการปฏิบัติ โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของความเย่อหยิ่งทะนงตน และยึดติดกับภาวะอัน วิเศษบางอย่าง เธอจะเข้าถึงความเรียบง่าย ( หมายความว่าขั้นนี้ผู้ปฏิบัติ จะเลิกสนใจสิ่งวิเศษมหัศจรรย์ใด ๆ กลับมาสู่ความเรียบง่ายตามธรรมดา - ผู้แปล ) พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เธอจะพบอย่างถูกต้องว่าแก่นแท้ตามธรรมชาติของจิตเป็นอิสระจากการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป ในระหว่าง " ปัญญาผลลัพธ์ " เธอจะเป็นอิสระเมื่อกำกับสภาวะจิตด้วยความมีสติ ซึ่งจะนำเธอกลับสู่การภาวนา อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่กำกับไว้ด้วยความมี สติ ภาวะ " หลังภาวนา " จะกลายเป็นความยึดมั่นและแข็งกระด้าง ระหว่างฝันก็ไม่แน่ว่า เธอจะมีความสับสนหรือไม่ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ความเรียบง่ายชั้นต้นคือภาวะเมื่อเธอยังยึดมั่นกับความว่างอยู่บ้าง เช่น การคิดว่า " ปรากฏการณ์ใด ๆ ของการดำรงอยู่ การแสดงออกไม่ใช่ สิ่งอื่นนอกจากความว่าง "

เมื่อถึงความเรียบง่ายชั้นกลาง ความยึดมั่นในความว่างและความยึดถือ ในความคิดว่าเป็นความจริงจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม ความ ยึดมั่นถือมั่นต่อปรากฏการณ์ภายนอกว่าจริงยังไม่ถูกขจัดออกจนหมดสิ้น ระหว่าง " ปัญญาผลลัพธ์ " และระหว่างหลับ ความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น เป็นครั้งคราว และเธอก็มีความขึ้นลงในกรปฏิบัติด้วยเช่นกัน

ความเรียบง่ายชั้นสูงสุดเกิดเมื่อได้ตัดความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับสังสาระและ นิพพาน ภายใน ภายนอก ปรากฏการณ์และจิต และอื่น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เธอเป็นอิสระจากความยึดมั่นต่อภาวะ เช่น " ความมั่นหมาย " " ไม่มั่นหมาย " " ว่าง " " ไม่ว่าง " และอื่น ๆ การภาวนาในระหว่างกลางวันจะผ่านไปโดยราบเรียบไม่มีอาการสะดุดเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ความยึดมั่นถือมั่นมักเกิดในระหว่างฝัน อย่างไรก็ตาม สติยังไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น การมีสติที่คมชัดจึงเป็นสิ่งจำเป็น กล่าวย่อ ๆ ในระหว่างความเรียบง่ายนี้ เพราะว่าท่านประสบความว่างเป็นส่วนใหญ่ และมีประการณ์แห่งความ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ว่าจริงแท้ ความอุทิศตนต่อการปฏิบัติ สัญญา ที่บริสุทธิ์และความกรุณาอาจลดลง การไม่ตกเป็นเหยื่อของความว่างที่เกิดขึ้นมาเป็นศัตรู จึงจำเป็นอย่างยิ่งยวด

ณ จุดนี้ การเห็นแก่นสารของความเรียบง่ายขึ้นกับว่า ความเศร้าหมอง หรือความเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่ยึดติดกับความว่าง จะถูกชำระล้างให้ บริสุทธิ์ได้หรือไม่ ความสมบูรณ์แห่งการปฏิบัติขึ้นกับว่า เธอจะเป็นอิสระ จากความหวังและความกลัว หรือชำระล้างทัศนะผิด ๆ เกี่ยวกับความหมายมั่นและความว่างได้หรือไม่ ฯ ความคิดจะปรากฏขึ้นในฐานะเป็นการภาวนา หือไม่ขึ้นกับว่า ในระหว่างการภาวนาเพื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้แห่งความคิด ความรู้แจ้งว่า ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากความว่าง เกิดขึ้นในระหว่างประสบการณ์และระหว่างหลับหรือไม่ จะเชี่ยวชาญในการแพร่เมล็ดพันธุ์แห่งรูปกายได้แค่ไหนขึ้นกับว่า สามารถจัดการให้โพธิจิตและความบันดาลใจ เกิดร่วมกันได้แค่ไหน ภายหลังจากที่รู้เหตุและผลของความว่างแล้ว เธอ ควรรู้จุดแบ่ง


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version