ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธเถรวาท ตามใบทะเบียนบ้านมาแต่กำเนิด แต่ไม่ค่อยได้รู้เรื่องลึกซึ้งอะไรเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าสักเท่าไหร่ จนผ่านไปเกือบครึ่งชีวิต ถึงได้เข้่าสู่วิถีแห่งการเรียนรู้ในคำสอนของพระพุทธองค์ และพบว่า พุทธศาสนานั้น มีคำตอบสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ข้าพเจ้าสงสัย และอธิบายได้
เบื้องแรก ข้าพเจ้าต้องกลับมาสนใจเรื่องราวของพระพุทธองค์ อ่านเรื่องราวพุทธประวัติ ศึกษาเรียนรู้สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบ หลักใหญ่ใจความก็คือ ทุกสิ่งที่ปรากฏนี้ ความจริงอันยิ่งใหญ่นี้ มีมาแต่เดิมแล้ว พระองค์กล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้ค้นพบ และเป็นผู้บอกทาง แต่เราจะก้าวเดินไปตามนี้หรือไม่ ขึ้นกับการตัดสินใจของเรา
พระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้ ในอนาคตจะมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือพระศรีอริยเมตไตย์ มาเกิดยังโลกมนุษย์ และจะค้นพบหลักความจริงอันยิ่งใหญ่นี้อีกครั้ง
ในทางเถรวาทเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่หลายพระองค์ก่อนหน้านี้ แต่ในภัทรกัปนี้มีอยู่ 5 พระองค์ ความเชื่ออันนี้เป็นที่ทราบกันดี
ในเรื่องเล่า หรือตำนานของพระพุทธบาทสี่รอย ก็กล่าวไว้เช่นนั้น ว่ากันว่า เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือพระศรีอริยเมตไตย์ มาเกิด พระองค์ก็จะมาประทับรอยพระบาทที่นี่ เพื่อให้ทั้งสี่รอยนั้น กลายเป็นรอยพระบาทรอยเดียว เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธบาทสี่รอยนี้ น่าสนใจไม่น้อย ข้าพเจ้าว่าเรื่องเล่านี้ สะท้อนความเชื่อของการมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ได้เป็นอย่างดี
พอมาเรียนรู้เข้าสู่หนทางภาวนาของมหายาน และวัชรยาน ก็มีเรื่องราวของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีก มีเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ เรื่องราวของ พระพุทธเจ้า 5 สกุล ตามหลักวัชรธาตุมนฑล โดยทางมหายานและวัชรยานกล่าวว่า มีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีกมากมาย ที่อยู่ในโลกของสัมโภคกาย พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เรารู้จัก คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นเพียงตัวแทนของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ที่มาให้เราได้รับรู้ ได้รู้จัก ในโลกของนิรมาณกาย แต่ยังมีอีกหลายๆ พระองค์ สถิตอยู่ในโลกของสัมโภคกาย
ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ ว่าจะมีกี่พระองค์ แถมไม่เคยอ่านพระสูตรอะไรในทางมหายานเลย เพียงแต่ได้รับรู้จากการอ่านหนังสือของหลวงปู่ติช ที่ชื่อว่า ปลูกรัก โดยคร่าวๆ ในหนังสือเล่มนั้นมีเรื่องราวกล่าวถึง นิรมาณกาย สัมโภคกาย และธรรมกายด้วย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เข้าใจอะไรนักในตอนนั้น
ในทางเถรวาท มีคำกล่าวหนึ่งที่สะดุดใจข้าพเจ้า คือเมื่อตอนที่ข้าพเจ้าได้พบหลวงปู่อูเตชนียะ และ ได้รับหนังสือของท่านมาด้วยเล่มหนึ่ง ในหนังสือเล่มนั้นท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้านั้นมีมากมาย มากเสียยิ่งกว่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคารวมกัน ฟังดูน่าแปลกใจมากทีเดียว ข้าพเจ้าเข้าใจว่าผู้ทรงความรู้ในเรื่องราวของเถรวาทส่วนใหญ่ จะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าที่ผ่านมามีประมา๊ณยี่สิบกว่าพระองค์ เท่านั้น ?
และเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของหลวงพ่อชา มีตอนหนึ่งหลวงพ่อกล่าวว่า พระพุทธเจ้านั้นยังไม่ตาย พระองค์ยังอยู่ ใครๆก็กล่าวว่าท่านนิพพานไปแล้ว แต่พระองค์ยังอยู่นะ
ถ้าใครได้อ่านประวัติเรื่องราวของหลวงปู่มั่น มีเรื่องเล่าตอนหนึ่งว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จมาพบท่านพร้อมพระสาวก ?? ข้าพเจ้าผู้ชอบสงสัยก็นึกแปลกใจว่า ไหนพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วยังไงล่ะ พระองค์จะมาอีกได้อย่างไร สิ่งที่บอกเล่านี้จะอธิบายแบบไหนดี
มีอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ที่ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องราวของฆารวาสที่บรรลุธรรม ท่านก็กล่าวว่า มีหลวงปู่หลายรูปที่เป็นอริยสงฆ์และละสังขารไปแล้ว กลับมาสอนธรรมให้ท่านในขณะทำสมาธิภาวนา เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน เพราะสำหรับพระอริยสงฆ์นั้น คือผู้ถึงซึ่งนิพพาน ผู้ที่ถึงซึ่งพระนิพพานแล้วจะกลับมาได้อย่างไร ??
แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ากลับไม่นึกสงสัยอีกแล้ว เพราะหลังจากได้รับรู้เรื่องราวของกายทั้งสาม หรือตรีกาย ข้าพเจ้าพบว่า มีคำอธิบายและช่วยตอบข้อสงสัยนี้ได้เกือบทุกอย่าง อธิบายด้วยเรื่องราวของ นิรมาณกาย สัมโภคกาย และธรรมกาย
นิรมาณกาย คือกายเนื้อ หรือ กายหยาบที่เราจับต้องมองเห็น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์คือพระพุทธเจ้าที่เกิดในดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัย และปัจจุบันก็มีหลักฐาน ทางโบราณคดี ถึงสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพานของพระองค์ อย่างชัดแจ้ง พระองค์คือมนุษย์ธรรมดาๆ แบบเราทั้งหลาย มี เกิด -แก่ - เจ็บ และตายได้
สัมโภคกาย คือโลกของกายละเอียด ซึ่งบางคนกล่าวว่าเป็นกายทิพย์ นี่เป็นโลกที่พ้นไปจาก 31 ภพภูมิแล้ว ไม่ใช่โลกของเทวดา ไม่ใช่โลกของพรหม แต่เป็นโลกของกายละเอียด ไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้ เป็นโลกของพลังงาน กล่าวกันว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนของผู้บรรลุธรรมระดับสูงสุด และเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า 5 สกุล ของวัชรยาน แถม เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ ตามที่ทางมหายานกล่าวไว้
ข้าพเจ้าเพิ่งได้อ่าน เรื่องราวถาม- ตอบ ในหนังสือ secret ฉบับเดือนพฤษภาคม ปีนี้ เกี่ยวกับคำถามเรื่องของนิพพาน และ ปรินิพพาน ผู้ตอบคำถามคือท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ท่านได้บอกเล่าเรื่องนี้ได้น่าสนใจทีเดียว ท่านกล่าวว่า จิตเป็นพลังงาน ถ้าเป็นจิตปุถุชน พลังงานนั้นจะเจือด้วยกิเลส จะทำงานโดยอาศัยกิเลสเป็นตัวบงการ แต่เมื่อนิพพานแล้ว จิตจะเข้าสู่สภาวะของการเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์
ส่วนเรื่องปรินิพพานนั้น พระอรหันต์ท่านบอกว่า เมื่อปรินิพพานไปแล้วจิตจะยังอยู่ ไม่ดับสิ้นไปไหน เพียงแต่จะไม่มาอาศัยในร่างของสัตว์ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎอีก ( คือพ้นไปจาก 31 ภพภูมิ แล้ว )
นอกจากนี้ ท่านอาจารย์ ดร.สนองยังเล่าอีกว่า ท่านได้พูดคุยกับพระป่าที่บรรลุธรรมขั้นสูงรูปหนึ่ง พระท่านกล่าวว่า ได้ไปพบเห็นพระพุทธเจ้าในแดนนิพพาน ซึ่งไม่อยู่ใน 31 ภพภูมิ แต่เป็นอีกแดนหนึ่ง อีกโลกหนึ่ง ......
บางทีแดนนิพพานที่ว่า อาจจะคล้ายๆ กับ โลกของสัมโภคกาย ในทางมหายาน และวัชรยานก็เป็นได้
ส่วนเรื่องของ
ธรรมกาย ในความหมายของมหายาน และวัชรยานนั้น ข้าพเจ้าได้เข้าใจโดยบังเอิญ....
วันหนึ่ง ขณะที่เรานั่งสนทนาธรรมกันในงานภาวนาคือชีวิต 2 กับครูตั้ม วันนั้นเรานำประเด็นเรื่องของนิพพานมาพูดถึงกัน จำไม่ได้ว่ามันเริ่มต้นจากการพูดถึงเรื่องอะไรก่อน แต่สุดท้ายก็มาลงที่สภาวะของนิพพาน ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งข้าพเจ้าผู้อ่อนด้อยทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติก็ไม่รู้เหมือนกัน เหตุเพราะคำว่า "นิพพาน" นั้นดูจะสูงส่งเกินไปที่ข้าพเจ้าจะรู้และเข้าใจได้ แต่อย่างไรไม่รู้ ข้าพเจ้าก็ได้ออกความเห็นไปตามความรู้สึกว่า ในความคิดเห็นส่วนตนนั้น นิพพาน น่าจะหมายถึง การสิ้นไปแห่งเรา แล้วไม่กลับมาอีก และจิต เราได้ดับสลายออกไปหลอมรวมกับสรรพสิ่ง เราไปอยู่ในทุกๆ สรรพสิ่ง และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งทั้งมวล ครูตั้มจึงกล่าวว่า นั่นล่ะคือ
ธรรมกาย .
http://gotoknow.org/blog/sunmoola/276182