ผู้เขียน หัวข้อ: ขอส่งความสุข ปี 2554 กับ สุดเขตสเลดเป็ด ภาพยนตร์ comedy แนวแนว  (อ่าน 3169 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


Facebook : teelao1979@hotmail.com
       
        จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่จังหวะที่คุณยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร ปล่อยผลงานของเขาออกมาฉายในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ติดต่อกันสองปีซ้อนแล้วนั้น ผมว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เพราะหากคุณยอร์ชแกทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ช่วงเวลาสิ้นปีจะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาซึ่งคนดูหนังตั้งตารอคอย ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาจะได้สำเริงสำราญกับการฉลองปีใหม่ แต่มันยังทำให้พวกเขาได้ดูหนังสนุกๆ เรื่องหนึ่งด้วย
       
        เมื่อปลายปี 2552 ผมชอบที่คุณยอร์ช-ฤกษ์ชัย บอกว่า “32 ธันวา” เป็นภาพยนตร์ ส.ค.ส. ต่างการ์ดอวยพรวันปีใหม่ และคราวนี้ ถึงแม้ “สุดเขต สเลดเป็ด” จะไม่ได้โปรโมตด้วยภาษาแบบนั้น แต่คนดูอย่างผมดูแล้ว ก็อยากจะใช้คำว่า “ส.ค.ส.” กับหนังเรื่องนี้เหมือนกัน
       
        อันที่จริง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาล้อเล่นได้นะครับ เพราะหากเจ้าของผลงานบอกว่านี่เป็น “หนังส่งความสุข” แต่คนดูดูแล้ว เห็นว่าน่าจะเป็น “หนัง ส.ค.ท.” ส่งความทุกข์ซะมากกว่า ผู้กำกับก็จะเสีย dog กันไปเลย แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ ไม่ว่าจะ “32 ธันวา” หรือ “สุดเขต สเลดเป็ด” ไม่ใช่โป้ปดมดเท็จที่ใครต่อใครจะบอกว่า ดูมาแล้วโคตรจะมีความสุขเลย
       
        เพียงแค่หนังเปิดตัวมา 5 นาทีแรก ผมจำได้ว่า “สุดเขต สเลดเป็ด” ก็ทำให้เสียงหัวเราะของคนดูดังลั่นโรงหนัง และหลังจากนั้น หนังก็เก็บคะแนนความฮาไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยมุกตลกที่มีตั้งแต่เรียกเสียงฮาออกมาดังๆ ไปจนถึงมุกตลกยิบย่อยเล็กๆ น้อยๆ น่ารักน่าชังที่ทำให้เรายิ้มๆ ที่มุมปาก
       
        ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะครับกับการที่ใครสักคนจะออกแบบมุกตลกมาได้เจ๋งๆ แบบนี้ คือมันไม่ใช่ว่า “โดนบ้างไม่โดนบ้าง” เหมือนหนังตลกเรื่องอื่นๆ แต่มุกตลกของสุดเขตฯ มันเด็ดหมดทุกมุก แต่ศักยภาพของแต่ละมุกอาจจะลดหลั่นกันไปอย่างที่บอก
       
        ผมเชื่อว่านักแสดงตลกแต่ละคนในเรื่องก็คงรู้สึกดีกับการที่ตัวเองได้มีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ ทุกๆ คน “ดูดี” และมีจุดเด่นเป็นที่น่าจดจำของตัวเอง ตุ๊กกี้ที่เคยเป็นถึงนางเอกขายกบ ยังเทียบไม่ติดราวฟ้ากับเหวกับบทตัวประกอบที่เธอได้รับในเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงโก๊ะตี๋และน้าค่อม ชวนชื่น ที่ปิดจ๊อบสุดท้ายในฐานะดาราตลกงานชุกแห่งปีได้อย่างใสสะอาด โก๊ะตี๋ดูดีมากๆ ในรูปลักษณ์ของศิลปินอินดี้ที่มากมายอารมณ์ขัน ทางด้านน้าค่อมก็ไม่น้อยหน้า ไม่เพียงมุกฮากระจาย ยังปิดท้ายด้วยซีนชวนซึ้งเล็กๆ อีกต่างหาก พ้นไปจากนี้ ยังมีดาราตลกขาประจำของหนังยอร์ช-ฤกษ์ชัย ทั้ง “แอนนา ชวนชื่น” และ “แจ๊ส ชวนชื่น” ที่ออกกันคนละไม่ฉาก แต่ก็ขำซะไม่มี
       
        เหนืออื่นใด ผมชอบแคสติ้งนักแสดงนำมากที่สุด บทของ “ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงษ์” ทำให้หญิงสาวที่ดูเอ๋อๆ งงๆ ดูน่ารักน่าแสวงหามาเป็นแฟนอย่างมากมาย ขณะที่เป้-อารักษ์ นั้น ตั้งแต่ดูหนังที่เขาแสดงมา ทั้ง “บอดี้ ศพ# 19”, “รัก สาม เศร้า” และ “ความจำสั้น แต่รักฉันยาว” ผมว่าบทนี้ดูจะเหมาะกับเขาอย่างที่สุด ไม่ต้องพยายามออกแอ็กติ้งอะไรมาก แต่เหมือนแค่ปลดปล่อยมันออกมาจาก “บุคลิก” ของเขาเอง
       
        อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมเซอร์ไพรส์สุดๆ เกี่ยวกับงานชิ้นนี้ของคุณยอร์ช-ฤกษ์ชัย ก็คือ บทภาพยนตร์ จำได้ว่าเมื่อตอนที่พูดถึง 32 ธันวา ผมบอกว่ามันเป็น “หนังเลวที่น่ารัก” คำว่า “หนังเลว” ในความหมายของผม ไม่ได้บอกว่ามันห่วย แต่เนื่องด้วยบทหนังซึ่งยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ พูดง่ายๆ ก็เป็นหนังสไตล์ของคุณยอร์ช-ฤกษ์ชัย ตั้งแต่ยุค “ส่ายหน้า” มาโน่นแหละครับ คือเป็นตลกที่เน้นการต่อมุก และการเปลี่ยนฉากแต่ละฉากก็ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าการพาคนดูไปสู่มุกตลกมุกใหม่
       
        แต่ที่ผมเห็นว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีในหนังเรื่องล่าสุดของคุณยอร์ช-ฤกษ์ชัย อย่างสุดเขตฯ ก็คือ บทหนังและการเล่าเรื่องมันดู “เข้ารูปเข้ารอย” มากยิ่งขึ้น จริงๆ เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก หากแต่การเปลี่ยนฉากแต่ละฉาก มันเริ่มจะ “มีความหมาย” ต่อเรื่องราว เฉพาะอย่างยิ่ง “เนื้อหา” ของหนังก็ไม่ต้องสื่อสารผ่าน “คำคมๆ” (ที่โหน่ง ชะชะช่า ต้องตามจด เหมือนใน 32 ธันวา) เพียงอย่างเดียว (แต่ก็อยากจะบอกว่าหนังมีคำคมให้เราคิดเยอะเหมือนกันล่ะ) เพราะคนดูจะสัมผัสแก่นสารได้เองผ่านเรื่องราวของหนังและของตัวละคร
       
        แน่นอนครับ “ผู้ชายนับสาม” อย่าง “สุดเขต” (เป้-อารักษ์) นั้นคือแก่นแกนที่แน่นและแข็งแรงที่สุดของหนัง เขาคือคนหนุ่มที่มีความฝันอยากจะเป็นศิลปินชื่อดังและพยายามไขว่คว้าโอกาสให้กับตัวเอง คนดูจะรักเขาได้ไม่ยาก จากความจริงใจ ความตรงไปตรงมา คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร ก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็น่าแปลก คนแบบนี้กลับมักจะถูกมองว่า “เข้าใจยาก” และก็คงเป็นเพราะแบบนี้ เขาถึงต้องมี “คู่มือวิธีใช้งานตัวเขาเอง” เพื่อให้คนที่จะคบกับเขารู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ชอบอะไร (ไม่รู้ว่าผู้กำกับแกนั่งคิดบทหนังในส้วมหรืออย่างไร ถึงได้มุกนี้มา คนนะครับ ไม่ใช่ไอโฟนหรือมือถือ จะได้ต้องมีหนังสืออธิบายการใช้งาน 555)
       
        “สุดเขต” จึงถือเป็นความสำเร็จอีกประการหนึ่งของคุณยอร์ช-ฤกษ์ชัย ในการคิดดีไซน์คาแรกเตอร์ตัวละครแบบที่เราไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อนในหนังไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพของผู้ชายที่ยังยิ้มได้แม้ในเวลาที่รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้แล้วนั้น ก็ยิ่งเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนดูยากจะปฏิเสธความชื่นชอบในตัวเขาได้
       
        อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดกันถึงความสำเร็จจริงๆ ของคุณยอร์ช-ฤกษ์ชัย ในชีวิตของการเป็นคนทำหนัง ผมว่าเขาได้ยกระดับให้หนังตลกไทยดูดีมีมาตรฐานขึ้นมาอย่างน่าชม เพราะบางเรื่อง อาจได้ความตลก แต่บทหนังไม่ผ่าน ขณะที่หนังตลกบทดีๆ ก็หายากยิ่งกว่าหารัฐบาลดีๆ มาบริหารประเทศ แต่สุดเขต สเลดเป็ด สามารถทำให้ทั้งสองอย่างมาอยู่รวมกันได้ มันอาจยังไม่เพอร์เฟคต์มาก แต่นี่แหละครับ หนังตลกที่ “ดูหล่อ” ไม่แพ้หัวใจของสุดเขตเลยแม้แต่น้อย
       
        ชั่วโมงนี้ คำว่า “ผู้กำกับหนังตลกแห่งยุค” ถ้าไม่ใช่ ก็ถือว่าใกล้เคียงมากๆ แล้วล่ะครับ สำหรับคนที่ชื่อ “ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร”!!

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9540000001449
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ได้ชื่อว่าเป็นนางเอกร้อยล้านคนล่าสุดไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ ยิปโซ -รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์ นางเอกหน้าตาธรรมดา แต่ความคิดไม่ธรรมดา จากภาพยนตร์แนวโรแมนติก คอมมาดีที่มีมุกตลกกลมกล่อมอย่าง ‘สุดเขต สเลดเป็ด’ หลายคนรู้จักเธอจากรายการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก ในบุคลิกสาวหวาน น่ารัก สไตล์แอ๊บแบ๊ว แต่หลังจากได้เข้ามาเป็นนักแสดง สาวยิปโซสลัดคราบสาวแอ๊บแบ๊ว มาเป็นสาวห้าว สวย หวาน และยิ่งช่วงนี้กระแสความฮอตของหนังบวกกับบทบาท ‘มะยม’ สาวหน้าตาธรรมดา แต่มีเสน่ห์ล้นเหลือ ในเรื่องนี้เธอแสดงสีหน้าเหวอๆ ได้อย่างน่ารัก ทำให้หลายคนแอบเทใจให้เธอ แถมกระแสในอินเทอร์เน็ตยังแรงถึงขนาดมีหนุ่มโพสต์ว่าอยากได้สาวแบบนี้มาเป็นแฟน
       
       M-Lite นัดพูดคุย เพื่อทำความรู้จักกับสาวคิดเยอะคนนี้ ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์ ที่โฮมออฟฟิศบรรยากาศอบอุ่น 'M39' ยิปโซเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส และดูเป็นกันเอง วันนี้เธอแต่งตัวสบายๆ สวมเสื้อเชิ้ตผ้าลูกฟูกสีเขียวเข้ม กางเกงยีนส์เข้ม รองเท้าหนังสีน้ำตาล ลุคออกแนวสาวเท่ ปล่อยผมยาวสลวย เมกอัพบางๆ บนใบหน้าเนียนสวย พร้อมเปิดใจถึงความรู้สึกที่ถูกเรียกว่าเป็นนางเอกร้อยล้าน ซึ่งเธอบอกว่าคำนี้ฟังยังไงก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่
       
       นอกจากนั้นเธอยังเล่าประสบการณ์การเรียนในคณะบัญชี จุฬาฯ ควบคู่กับการทำงานว่าโหด และเครียดขนาดไหน วัยเด็กที่ถูกมองว่าเป็นเด็กอ้วน ไม่น่ารัก ความผูกพันกับคุณพ่อที่แสนดี และเรื่องความรักที่วันนี้เธอบอกว่ายังไม่มีหนุ่มคนไหนเข้ามาจองหัวใจของเธอได้ ทว่าภายใต้ความเป็นสาวคุยเก่ง ยิ้มง่ายนั้น เธอเป็นคนที่ค่อนข้างจะคิดเยอะ และจริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่ เรียกได้ว่าเป็นคนที่คิดทุกองศาเลยทีเดียว
       
       ช่วงเวลาเพียงไม่นาน ไม่อาจจะทำให้รู้จักตัวตนสาวคนนี้ได้ทั้งหมด เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีนิยาม เธอค่อนข้างเป็นคนคิดเยอะกับทุกเรื่อง ดูเหมือนเป็นสาวรักอิสระ แต่เธอก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของการเรียน เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก และความน่ารักอีกอย่างที่น่าชื่นชมคือ เธอเป็นคนรักครอบครัว
       
       ‘นางเอกร้อยล้าน’ ฟังแล้วจักจี้
       แม้ว่าช่วงนี้เวลาไปไหนมาไหน เธอจะถูกเรียกว่านางเอกร้อยล้าน แต่ดูเหมือนว่ายิปโซจะยังไม่ค่อยชินกับคำนี้สักเท่าไหร่ เธอบอกว่าได้ยินคำนี้แล้วจะรู้สึกจักจี้ และเสียทรงเล็กน้อย เพราะคำว่านางเอกร้อยล้านมันฟังดูยิ่งใหญ่สำหรับเธอ ทั้งที่เธอเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในกระบวนการทำหนัง ถ้าเป็นไปได้ เธออยากให้ทีมงานทุกคนที่ร่วมกันทำหนังเรื่องนี้ถูกเรียกว่าร้อยล้านเหมือนกัน
       
       “คำว่านางเอกร้อยล้าน ฟังแล้วจักจี้มาก มันไม่ใช่ความรู้สึกไม่ดีนะ แต่เป็นคำที่พอฟังแล้วไม่รู้จะพูดคำว่าอะไรต่อ เพราะเราไม่ได้คิดไปถึงเรื่องนั้นไง คิดแค่ว่าถ้าเกิดหนังได้ร้อยล้าน เฮ้ย! เจ๋งอ่ะ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก วันแรกที่เปิดตัวมารายได้สิบล้าน วันต่อมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนเราแฮปปี้ทุกวัน พอถึงจุดนี้เราไม่รู้ว่าเราจะดีใจยังไง มันเป็นอารมณ์แบบว่าเราดีใจนะ แต่เราทำตัวไม่ถูก
       
       ถ้าเปรียบหนังเรื่องหนึ่งเหมือนเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ แล้วเราเป็นคอลลาเจนที่ถูกแปะอยู่ด้านหน้า คนเห็นก็จะคิดว่าขวดนี้มีคอลลาเจนด้วย แล้วคนจะซื้อเพราะมีคอลลาเจน แต่ว่าจริงๆ อันที่มันมีประโยชน์มันคืออย่างอื่น คือตัวคอลลาเจนถ้าไปดูด้านหลังตรงส่วนประกอบ จะมี 0.01 เปอร์เซ็นต์
       นอกจากเธอจะเปรียบตัวเองเป็นดั่งคอลลาเจน ที่มีส่วนน้อยนิดในการทำหนังแล้ว เธอยังขอพูดถึงคนสำคัญในการที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้มาถึงร้อยล้าน “ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์” ผู้กำกับที่ใช้หัวใจพูด
       
       “พี่ยอร์ชเขาเป็นคนที่สามารถทำหนังให้เข้าถึงจิตใจคนได้ในแบบที่น่ารักมากๆ ไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดเรื่องเครียดเรื่องอะไรเลย เขาทำให้คนหัวเราะไปได้ ในขณะที่เข้าถึงใจมนุษย์ด้วยกัน สมัยก่อนเราตั้งคำถามตลอดเวลาว่าเด็กแนวคืออะไร ติสต์แตก มีโลกส่วนตัวสูง เราไม่เข้าใจเขา เราเลยมองว่าเขาผิด เพราะเขาไม่เหมือนเรา แต่พี่ยอร์ชสามารถดึงทุกอย่างไปในแนวบวกได้ กลายเป็นว่าเราลองมองเขาในอีกมุมหนึ่งสิ มองจากเด็กแว้นกลายเป็นวีรบุรุษนักบิด สก๊อยกลายเป็นพริตตี้รองเท้าแตะ ทุกอย่างมันดูน่ารักไปหมด ตรงนี้เราว่าเป็นคุณสมบัติที่ทำให้คนมีความสุขกับหนังของเขา แล้วทำให้หนังมันมาถึงจุดนี้ได้”
       
       เป็นนางเอก สาม-สอง-หนึ่ง
       หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอในภาพของสาวแอ๊บแบ๊ว จากภาพยนตร์เรื่องแรกคือ '32 ธันวาคม' หลังจากนั้นก็ได้เห็นภาพเธอในบทสาวแว่นสายตาสั้นมากในเรื่อง 'เราสองสามคน' จนมาถึงเรื่องล่าสุดที่เธอได้เป็นนางเอกอย่างเต็มตัว 'สุดเขต สเลดเป็ด' ไม่ว่าจะเป็นเพราะจังหวะหรือ ด้วยความตั้งใจทำให้เธอกลายเป็นนางเอกแบบตามสเต็ป คือ จากสามเหลือสอง จากสองเหลือหนึ่ง และมันก็ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
       
       “เราว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจังหวะ และพัฒนาการของเรา ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการที่เราออกมาให้คนเห็นหน้าด้วย อย่างเรื่อง 32 ธันวา มีนางเอกสามคน แล้วพอมาเรื่องเราสองสามคน นางเอกกลายเป็นสองคน เรื่องนี้สุดเขต สเลดเป็ด กลายเป็นหนึ่งคน ซึ่งเป็นอะไรที่สวยงาม จังหวะ โอกาส ทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้”
       
       แม้ว่าเธอจะออกตัวว่าไม่ใช่คนสวย ไม่ใช่คนเก่ง แต่ด้วยบุคลิกที่แตกต่าง และมีคาแร็กเตอร์ชัดเจน บวกกับความตั้งใจจริง ก็เป็นส่วนที่ทำให้คนเห็นหน้าเธอทางจอภาพยนตร์ติดกันถึง 3 เรื่อง ภายในระยะเวลา 1 ปี
       
       “ความที่เราเคยร่วมงานกับพี่ยอร์ช เขาเคยเกริ่นเอาไว้ว่าเรื่องหน้าอยากชวนเรามาเล่นหนังด้วยกันอีก เราจะเล่นไหม ตอนแรกก็นึกว่าพูดลอยๆ ก็ตอบว่าเล่นสิพี่ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นรูปเป็นร่าง เอาจริงเอาจังเร็วขนาดนี้ ถึงเขาจะวางเราเอาไว้แล้ว แต่ระหว่างที่สร้างคาแร็กเตอร์ตัวละครตัวนี้ ไม่ใช่ว่ามันง่ายนะ เขาคิดในใจว่าเราสามารถเป็นมะยมได้ แต่เราไม่สามารถจะเห็นในสิ่งที่เขาเห็นได้ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่ก่อนจะถ่ายหนังเป็นช่วงเวลาหฤโหดสำหรับเรา คือตอนที่คิดว่ามะยมจะเป็นยังไงดีมันสนุกมากๆ กลายเป็นว่าคิดตลอด ตื่นเต้น นอนไม่หลับเป็นเดือนน่ะ
       
       ที่บอกว่ายากมันเป็นที่เรา คือเราเป็นคนคิดทุกองศา คิดทุกมุม เป็นคนชอบคิด ชอบสร้างอะไรหลายอย่างมาก อย่างตัวคาแร็กเตอร์เราก็ชอบสร้างว่าจะเล่นยังไงดี ถ้าเกิดเราเป็นตัวนี้ เราเคี้ยวหมากฝรั่งดีไหม คือรายละเอียดไปถึงจุดนั้น แล้ว คือด้วยความที่เราตั้งใจมาก เราอยากทำให้ดี เราคิดว่าพี่เขาอุตส่าห์เลือกเรามาอีกครั้ง เราไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง ก็เลยกลายเป็นกระบวนการกดดันตัวเอง แต่พอถึงจุดหนึ่งเขาก็บอกว่าความตั้งใจเรามีอยู่แล้ว บางทีเราสนุกกับสิ่งที่เราพยามสร้างขึ้นมาบ้างก็ได้ ถ้าเราไม่สนุกกับมัน ตัวละครที่ออกมามันก็จะไม่สนุก แล้วคนดูก็จะไม่สนุก บทสนทนาของพี่ยอร์ชทำให้โลกเบาขึ้นได้เยอะ และเขาเป็นอย่างนั้นกับทุกคน เขาเป็นมนุษย์ที่ทำให้โลกของทุกคนเบาขึ้นได้จริงๆ ทุกอย่างบวกหมด”
       
       ชีวิตเปลี่ยนเพราะเลือกเรียนผิดคณะ
       ตอนนี้ยิปโซเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะบัญชี ภาคอินเตอร์ ปี 3 ด้วยความที่เป็นคนช่างคิด ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนคณะนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเธอเหมาะที่จะเรียนคณะนิเทศฯ มากว่า แต่กว่าที่เธอจะรู้ตัวว่าคณะที่เรียนอยู่มันไม่เหมาะกับเธอก็ตอนปี 2 ปลายๆ แล้ว และเป็นช่วงที่เธอเริ่มทำงานถ่ายหนังควบคู่ไปด้วย แต่เธอก็ไม่ทิ้งการเรียน และตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาสุดโหดที่สุดสำหรับเธอ
       
       “เด็กบางคนจะรู้ว่าเขาอยากเป็นอะไร แต่เราเป็นคนที่อยู่อย่างมีความสุขไปทุกวัน แล้วไม่ได้คิดเลยว่าฉันอยากเป็นอะไร จนถึงวันที่จะเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่รู้ คือก็มานั่งวิเคราะห์กับที่บ้าน นั่งจับมือกัน แล้วก็คิดว่าอย่างเราน่าจะเรียนอะไร พี่สาวเรา (ยิปซี -คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์) เขาจะเป็นคนที่มีระบบ เรียนเลขเก่งกว่าเรา พ่อแม่ก็สนับสนุนให้เขาเรียนบัญชี แต่เขาเลือกเรียนนิเทศฯ ตัวเราพ่อแม่บอกว่าเหมาะที่จะเรียนนิเทศฯ คือมันสลับกันตั้งแต่ต้น
       
       ตอนแรกที่เลือกเรียนบัญชีเพราะว่า หนึ่งคือเราไม่รู้ว่าจะทำอะไร แล้วเราอยากรวย คือคิดว่าเรียนบัญชียังไงก็ไม่ตกงาน สองคือเพราะพี่สาวเรียนนิเทศฯไปแล้ว บ้านเราถ้าลูกสาวสองคน เรียนเหมือนกัน แล้วอุตสาหกรรมนี้ถ้าเกิดมันไม่พร้อมให้คนอยู่ หรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเราเลือกเรียนบัญชี ไม่ว่าอันไหนมันจะร่วง ก็จะมีอีกอาชีพหนึ่งที่ประคองไว้ได้ ที่บ้านเราก็จะไม่อด เราก็เลยเลือกเรียนเพราะอย่างนั้น”
       
       การที่เธอเลือกเรียนในสิ่งที่ไม่ได้ชอบ ไม่ได้รัก ก็ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่มีความุสข และเครียดกับการเรียน แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ทำอะไรแล้วตั้งใจจริง ก็ทำให้เธอผ่านมาได้
       
       “บางทีก็อยากให้บัญชีเป็นเราเหมือนกันนะ เพราะรู้สึกว่าคนที่รักตัวเลข ชีวิตสบาย คือบัญชีทุกคนบอกว่าเหนื่อยกับการทำ แต่อะไรก็ตามถ้าเราชอบมันเราไม่เหนื่อยหรอก แต่ที่เราเรียนตอนนี้ ถามว่าชอบไหม ไม่เลย คือทำได้ คนเราตั้งใจทำอะไรทำได้หมดแหละ แต่ว่าเราไม่มีความสุขกับการทำมัน เราเหนื่อยตลอดเวลา เราผ่านไปวันๆ เหมือนเราสอบให้มันผ่าน แล้วเรารู้สึกว่านี่มันไม่ใช่วิธีการเรียนที่ถูกต้อง แต่พอถึงจุดนี้ก็คงไม่คิดจะเปลี่ยนคณะ เพราะคิดว่าชีวิตคงไม่ได้ทำทุกอย่างที่เราอยากจะทำได้ทั้งหมด บางทีเราก็ทำอะไรที่เราไม่ชอบบ้างก็ได้ อย่างน้อยเราก็ได้ปริญญา ก็ถือว่าเราได้อะไรสักอย่างแล้วหละ พอในอนาคตเราอยากไปทำอะไรเอง เราก็มีโอกาสในการไปทำสิ่งที่เราอยากจะทำอยู่แล้ว”
       
       ฝันอยากเป็นนางฟ้า
       เมื่อถามถึงอาชีพในฝัน ยิปโซเล่าว่าเธอเคยอยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะเป็นคนชอบเครื่องบิน มองว่าเป็นอาชีพที่ดูดี และมีเสน่ห์ แต่พอมาถึงวันนี้เมื่อพูดถึงความฝันนี้อีกครั้ง ด้วยความที่ครอบครัวเธอไม่อยากให้เธอทำงานเป็นแอร์ฯ เพราะกลัวลูกสาวจะเป็นอันตราย ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ กิน นอน ไม่เป็นเวลา ทุกวันนี้ถึงแม้จะเลือกได้เธอก็ขอเลือกที่จะทำงานอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ครอบครัวต้องเป็นห่วง
       
       “ใครถามกี่ทีก็จะตอบว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตสนะ เพราะเราชอบเครื่องบิน แต่พ่อแม่กลัวว่าเราจะได้รับอันตราย กลัวเครื่องบินตก แม่เราเป็นคนขี้กลัวมาก เป็นคนคิดมาก ตอนแรกเราก็งอนๆ เราอยากเป็น แต่พ่อแม่ไม่ให้เป็น แต่พอมาถึงทุกวันนี้ ด้วยความที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่มาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราเลือกได้เราคงไม่ทำอย่างนั้นกับเขา แม่เราคงเสียสติทุกครั้งที่เราไปเดินทาง คิดว่าไม่คุ้มมั้งที่เราไปทำงานแล้วที่บ้านนอนไม่อยู่กับที่ ก็เลยคิดว่าเราทำอย่างอื่นก็ได้ ที่บ้านไม่เคยกดดันให้เราเป็นอะไรเลย แต่ไม่อยากให้เราเป็นอันตราย อะไรที่อันตรายสูง เขาจะบอกว่าขอได้ไหม อย่าเลย”
       
       เคยเป็นสาวแอ๊บ
       ก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะมองภาพเธอเป็นสาวแอ๊บแบ๊ว ด้วยความที่เธอเป็นพิธีกรรายการสตอเบอร์รีชีสเค้ก ซึ่งเป็นรายการที่มีแต่สาวน่ารักมารวมตัวกัน คาแร็กเตอร์ของยิปโซจะออกเป็นสาวหวาน เรียบร้อย เสียงเล็กๆ น่ารัก ซึ่งเธอยอมรับว่าเธอเป็นอย่างนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่งตัวเป็นสาวหวาน ชอบแฟชั่นเกาหลี แต่เมื่อได้มาเล่นหนัง เรื่อง 32 ธันวา ทำให้เธอรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา เธอพบว่าตัวตนของเธอจริงๆ ไม่ใช่สาวหวาน เรียบร้อย แต่เธอออกแนวเป็นสาวห้าวมากกว่า
       
       “มีช่วงหนึ่งที่เราทำจนเรารู้สึกแบบนี้แหละเป็นตัวเรา ตอนเด็กไม่เคยมีใครมองว่าสวยหวาน น่ารัก มีความเป็นผู้หญิงต่ำ ยิปซีจะออกแนวเป็นผู้หญิง เราจะออกแนวห้าว ถ้าเปรียบเป็นสี ยิปซีก็เป็นสีชมพู ส่วนเราเป็นสีฟ้า ตอนเด็กเคยมีคนซื้อหมอนขวดนมอันใหญ่ให้ เขาซื้อสีชมพูให้ยิปซี แล้วซื้อสีฟ้าให้เรา
       
       พอได้ทำงานเป็นพิธีกรรายการสตรอเบอร์รีชีสเค้ก ก็เหมือนเป็นโอกาสที่เราอยากหวานบ้าง เราก็เลยเชื่อว่าเราหวาน ทำอยู่ได้สองปีแล้วไม่ได้เซ็นสัญญาต่อก็ออกมา แต่เราก็ยังเชื่อว่าเราหวานอยู่ มันติดตัว เราก็เหนื่อยนะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันเหนื่อยกับการเป็นแบบนั้น แล้วพอผ่านมาถึงจุดหนึ่งเราก็รู้สึกว่ามันดูกะเทยไปไหม มันขัด ตัวเราไม่ใช่อย่างนั้น
       
       มารู้จริงๆ ก็ตอนหลังจากเล่น 32 ธันวา คือเรื่องนี้เรารับบทเป็นผู้หญิงแบ๊วที่ชอบแอ๊บ แล้วมีฉากหนึ่งที่เข้าไปในโรงแรมม่านรูดกับพระเอก คือแดน วรเวช แล้วเราพูดว่า "ฉันจะบอกอะไรไว้เลยว่าฉันก็ไม่ได้อยากทำตัวเรียบร้อยนักหรอก ฉันก็อยากซ่า อยากแรด อยากหัวเราะดังๆ” คือเรารู้สึกสนุกจนแปลกกับการที่พูดเหมือนกับปลดปล่อย รู้สึกสนุกจนตัวเองเริ่มงง มันเหมือนเป็นความรู้สึกสบายที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว ก็เลยกลับมาเป็นแบบเดิมแล้วตอนนี้”
       
       หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทุกวันนี้เธอต้องกดเสียงตัวเองให้ต่ำลง เพราะเสียงตัวเองจริงๆ จะเล็กมาก และเธอรู้สึกว่าคนตัวใหญ่เสียงเล็กมันดูแปลกๆ
       
       “บางทีเราดูหนัง เราไม่เชื่อตัวเองกับเสียงแบบนั้น รู้สึกว่าทำไมเสียงเราเป็นแบบนี้ล่ะ แล้วคิดว่าคนดูก็คงไม่เชื่อตัวละคร ด้วยความที่อยากทำให้มันเป็นธรรมชาติมากขึ้น เวลาดูหนัง เวลาทำงาน ก็เลยพยายามพูดจนชิน ตอนนี้ก็ชินกับเสียงแบบนี้แล้ว คนเราเปลี่ยนกันได้จริงๆ นะ“
       
       ตอนเด็กเป็นลูกเป็ดขี้เหร่
       ย้อนกลับไปตอนเด็ก เธอเล่าว่าเป็นเด็กตัวอ้วน หน้าตาไม่น่ารัก ไม่ค่อยมีคนอยากเล่นด้วย เธอเล่าพลางหยิบโทรศัพท์แบล็กเบอรีเปิดให้เราดูรูปเด็กผู้หญิงอ้วนกลม ซึ่งดูแล้วอาจจะจำไม่ได้ว่าเป็นยิปโซ เพราะเธอไม่มีเค้าเด็กอ้วนคนนั้นหลงเหลืออยู่เลย
       
       “เป็นเด็กกินตลอดเวลา เราเป็นเด็กที่พออ้วนแล้วแขน ขาพับ มันเป็นเหมือนมิชลินนะ เป็นเด็กชอบกินตลอดเวลา กินได้ทุกอย่าง เราไม่เคยเป็นเด็กผอม ช่วง ม.ต้นเริ่มยืด เราไม่ได้ผอมลง แต่ดันสูงขึ้น สูงเร็วมาก จนมีรอยแตกที่หัวเข่า สองข้าง พอยืดแล้วผอมเลย ช่วง ม. 1 สูงขึ้นเยอะมาก”
       
       ไม่น่าเชื่อว่าจากเด็กอ้วน หน้าตาไม่น่ารัก พอโตขึ้นเธอจะกลายเป็นสาวร่างสูง หุ่นดี เคยถ่ายแบบชุดว่ายน้ำทูพีซจนเป็นที่ฮือฮามาแล้ว แถมทุกวันนี้ยังเป็นนางเอกหนังสุดฮอตอีกด้วย
       
       “ตอนเด็ก เราไม่เคยมองว่าตัวเองสวย มาเริ่มสนใจความสวยตอนเริ่มเข้ามาแคสงาน เพราะคิดว่าเราควรจะสนใจตัวเอง ต้องดูแลตัวเองนิดหนึ่งก่อนที่จะให้คนอื่นมาจ้างคุณได้ ตอนนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่ม
       เรื่องคุมน้ำหนักมีอยู่แล้ว ตอนถ่ายชุดว่ายน้ำก็มีประเด็น ตอนเด็กชอบกินมากก็เลยต้องเปลี่ยนนิสัยตัวเอง เรื่องการกิน คือมันเริ่มจากต้นตอคือการกิน ไม่กินจุบจิบ ไม่โฟกัสกับการกินมากเกินไป คือเราเอาการกินมาแทนความสุข ซึ่งเป็นอะไรที่ผิด เพราะว่าการกินมันไม่ควรเป็นอย่างเดียวที่ทำให้คนมีความสุขได้ ความสุขมันสั้นเหลือเกิน แล้วก็อ้วนอีกน่ะ ก็เลยเริ่มจากวิธีที่มันชัดเจน ก็คือบังคับตัวเองไม่ให้กินเยอะ”
       
       วีรกรรมโดดเรียนที่ต้องจำไปอีกนาน
       ยิปโซเล่าถึงวีรกรรมวัยเด็ก ที่เคยโดดเรียนครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิต แต่เธอต้องจดจำเหตุการณ์ครั้งนั้นไปอีกนานแสนนาน เพราะเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่เธอถูกพ่อตี
       
       “พ่อเราจะโฟกัสเรื่องการเรียนมาก การโดดเรียนเป็นโทษมหันต์ เราไม่เคยกล้าทำมาตั้งแต่เด็ก กลัวไง เราไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลยนะ แล้วอยู่ดีๆ มาวันหนึ่งคิดจะโดดเรียน เพราะว่าเพื่อนชวน ไปแบบกะทันหันมาก โดดเรียน ไปนั่งสตาร์บัคส์ ทองหล่อ ตรงมาร์เกตเพลซ นั่งอยู่เป็นชั่วโมง เราก็ไม่รู้ว่าไปทำไม แต่เพื่อนไปหมดเลย เราก็เลยไป
       
       เผอิญวันนั้นเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งก็โดดเรียนเหมือนกัน แล้วคนในห้องเหลือน้อยมาก อาจารย์ตกใจนึกว่าเกิดอะไรขึ้น โทร. ตามหาผู้ปกครองของทุกคน เราเริ่มรู้สึกตั้งแต่ตอนบ่ายโมงแล้ว ขอเพื่อนกลับก่อน พอนั่งแท็กซี่เท่านั้นแหละพ่อโทร. มาเลย พ่อไม่เคยโทร. มาตอนที่ระหว่างเรียนอยู่ โทร. มาถามว่า บี๊อยู่ไหน (พ่อจะเรียกยิปโซว่าบี๊) เสียงต่ำเลย ตอนนั้นน้ำตาร่วงแล้ว มันกลัว แต่ยังจะกล้าโกหกด้วย เพราะทำอะไรไม่ถูกบอกพ่อว่าอยู่สหกรณ์ ออกมาซื้อโปสเตอร์ ไม่รู้ว่าพูดทำไม พูดในขณะที่เขารู้อยู่แล้วว่าเราโกหก แต่ไม่อยากพูดออกมาว่าตัวเองโดดเรียน พ่อก็บอกให้กลับมาหาพ่อเดี๋ยวนี้
       
       วันนั้นพ่อน่ากลัวที่สุดตั้งแต่เราเคยเห็นมา กลับมาบ้านพ่อไม่พูดอะไรเลย เดินเข้าไปเอาไม้แขวนเสื้อมาฟาด จนไม้แขวนเสื้อหัก แล้วไปหยิบมาอีกไม้หนึ่งเพื่อฟาดจนหัก ด้วยความที่เขาไม่เคยตีเราเลย แล้วเราโมโห คิดว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น สุดท้ายเราก็รู้สึกว่าตัวเองนิสัยเสียมาก ทำไมไม่คิด วันนั้นวันที่ 4 ธันวาคม วันรุ่งขึ้นเป็นวันพ่อ แล้วไม่คุยกัน พอผ่านมาถึงจุดหนึ่ง เราเริ่มคิดอะไรได้แล้ว ตอนวัยรุ่นนึกถึงแต่ตัวเอง นึกถึงแต่เพื่อน ไม่มองหรอกว่าเราทำอะไร คนที่เราควรจะคิดถึงจริงๆ เราไม่คิด พอโตขึ้นมาหน่อยเราก็เริ่มแบ่งความสำคัญให้มันถูก”
     
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
 
       ‘พ่อ’ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
       เมื่อพูดถึงความผูกพันระหว่างเธอกับคุณพ่อ เธอระบายยิ้มพร้อมทั้งเล่าว่า คุณพ่อเป็นผู้ชายที่เธอสนิทที่สุดในโลก เพราะคุณพ่อดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก และมีนิสัยคล้ายกัน ชอบอะไรคล้ายๆ กัน เช่น ดูหนัง ไปเที่ยว แถมยังเป็นทั้งเพื่อน และที่ปรึกษาที่ดีที่สุดในชีวิต
       
       “สนิทกับป๊าที่สุดในโลก เวลาพูดแบบนี้ก็มีคนถามว่าทำไมไม่สนิทกับแม่ เราก็พูดตรงๆ ว่าเราสนิทกับป๊าตั้งแต่เด็ก เพราะว่าตอนเด็ก เราเป็นเด็กหน้าตาไม่น่ารัก พูดจริงๆ เป็นเด็กประหลาด เกิดมาก็ขาเบี้ยวๆ ขาเป็นเป็ด แล้วต้องดัดกลับมาใหม่ แล้วก็ป่วยตลอดเวลา ผมตั้งๆ หน้าเอ๋อๆ มีปานตรงคาง อมนมจนฟันผุทั้งปาก แล้วต้องใส่ที่ครอบฟันสีเงินๆ ยิ้มทีเหมือนฮิปฮอปน่ะ คือไม่มีใครอยากเล่นกับเรา เพราะเรามันไม่น่ารักน่ะ แต่ป๊าเล่นด้วยตั้งแต่เด็ก อยู่กับป๊าตลอด สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน”
       
       บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องแปลกที่ลูกสาวไปไหนมาไหนกับพ่อบ่อยกว่าไปเที่ยวกับเพื่อนเสียอีก แต่สำหรับยิปโซ ด้วยความที่รัก และผูกพันกันมาก เคยชินกับการที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แถมเธอยังมีความสุข และรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับพ่อ
       
       “ด้วยความที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ชอบทำอะไรเหมือนๆ กัน เช่นการไปเที่ยว การเดินทาง เรากับพ่อจะชอบเดินทางที่มันบู๊ๆ ได้ เราไม่อินกับการไปเที่ยวที่มันหรูมากๆ อยู่แล้ว ชอบเดินทางแบบสนุกๆ อยากขึ้นเขา ซึ่งฝั่งแม่กับยิปซีจะชอบอารมณ์ทะเล ฝั่งพ่อกับเราจะชอบขึ้นเขา ไปดูโบสถ์ แล้วแต่ ความชอบเราเหมือนกันมันก็คลิกกัน สนิทกันมาตลอด แล้วคุยกันได้ทุกเรื่อง
       
       ป๊ากับเราจะไปดูหนังด้วยกันบ่อยมาก ดูหนังกับพ่อประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของชีวิต ที่เหลือดูหนังกับเพื่อน บางทีคนก็งงว่าไปดูหนังกับพ่อเหรอ ประหลาด ก็เราสนิทกันไง แล้วชอบดูหนังเหมือนกันด้วย สบายเลย แล้วพ่อหน้าอ่อน คนก็ชอบมองว่าควงเสี่ยมาหรือเปล่า เสี่ยควงเด็ก อารมณ์นั้น”
       
       เมื่อเธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น มีความรับผิดชอบ และเริ่มดูแลบ้างได้แล้ว บางครั้งเธอเอ่ยปากบอกพ่อว่าให้พักบ้าง ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่เธอก็อยากช่วยแบ่งเบาความเหนื่อยนั้น เพราะเธอก็เป็นห่วงพ่อเช่นกัน
       
       “เขารักเรามาก และเราก็รักพ่อมาก บางทีรักกันจนทะเลาะกัน แบบว่าห่วงกัน ทุกวันนี้คือชีวิตเขาแทบจะเอามาผสมกับเราแล้ว เขาดูแลทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะขอทำอะไรเอง แต่คือเขาอยากทำ อยากจัดตารางให้เรา เป็นคนดูนู่นดูนี่ให้เรา เขาอยากเป็นคนดูแลเรา บางทีเรารู้สึกว่าเขามีเรื่องให้คิดเยอะแล้ว อย่ามาคิดเรื่องเราเพิ่มเลย แต่ว่าก็นั่นแหล่ะ ต่างคนต่างห่วงกัน ก็เป็นส่วนที่เรารักกัน เขาไม่เคยหยุดห่วงเราเลย ขับรถพาเราไปไหน เขาไม่เคยบ่นเลย เขาอยากทำให้ ไม่ว่าจะถามกี่ทีว่าป๊าเหนื่อยไหม หน้าไปแล้ว หน้าไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็ไม่เป็นไร นั่งรอรับ ขับรถมารับตี 1 ตี 2 มารอเพื่อรับเรากลับบ้าน ถึงจะไม่ให้เขามารับ เขาก็บอกว่าไม่ได้นอนอยู่ดี เขาห่วงแต่จะไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิก ไม่พูด”
       
       มีความสุขกับทุกวัน
       เมื่อถามเธอว่าทุกวันนี้เธอมีความสุขกับอะไร เพราะดูเหมือนว่าเธอเป็นคนค่อนข้างเครียด และไม่ค่อยมีเวลาทำอะไรตามใจตัวเองมากนัก เธอกลับบอกว่าเธอเป็นคนที่มีความสุขหลากหลายมาก และมีความสุขแต่ละวันได้โดยไม่ซ้ำกันเลย
       
       “สมัยก่อนคิดว่าการดูทีวีทำให้เรามีความสุขมาก ทุกวันนี้ก็ยังต้องดูทีวีนะ ดูเป็นกิจวัตร กลับมาบ้านตี 2 ก็ต้องเปิดดู ชั่วโมงหนึ่ง แล้วค่อยขึ้นไปนอน ให้รู้ว่าฉันดูแล้ว แต่เราไม่ได้ไปฟิกซ์ว่าความสุขคืออะไร เพราะความสุขมันสั้น เราก็มีความสุขกับทุกเรื่องที่เราทำแล้วรู้สึกว่ามีความสุข” อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้เธอมีความสุข ก็คือการอ่านหนังสือ พร้อมกับยกตัวอย่างหนังสือ 5 เล่มโปรด ที่เธอชอบมากๆ แถมยังมีหลายแนว ทั้งแนวปรัชญา, การ์ตูน, นิยาย, เรื่องสั้น
       
       “นิ้วกลม น้องแฟนคลับซื้อให้ เขาอ่านทวิตเตอร์ยิปโซ แล้วรู้ว่าเราชอบคิดโน่นนี่แล้วพิมพ์ เรื่องนี้ปรัชญาเต็ม เป็นหนังสือที่น่ารักมาก อ่านแล้วรู้สึกดี ส่วนอีกเล่มเป็นเรื่องสั้นที่นำมาจากเรื่องจริง เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่2ที่ฮิตเลอร์ฆ่ายิว นิยาย การ์ตูน อ่านได้หมด พอโตขึ้นแล้วชีวิตเครียดขึ้น บางทีกลับไปอ่านหนังสือเด็ก ภาพสวยๆ แล้วเรามีความสุข ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เล่มสุดท้ายเป็นรวมผลงานของเช็กสเปียร์ ตอนมัธยมได้มีโอกาสดูโรมิโอกับจูเลียตของจริง เป็นคลิปภาษาอังกฤษโบรารณ ชอบนะแต่อ่านไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากนั้นได้ดูหนังที่ลีโอนาโดเล่น ทำให้เราอินกับหนังเรื่องนี้ก็เลยหาซื้อมาอ่าน คุ้ม อ่านแล้วชอบ”
       
       ชอบผู้ชายที่มีความคิดคล้ายพ่อ
       พอถามเรื่องความรักสาวยิปโซออกตัวว่าไม่ใช่คนมีมุมมองความรักสวยหวาน ด้วยความเป็นคนคิดเยอะอีกนั่นแหละ ทำให้หนุ่มๆ ที่จะเข้ามา ต้องผ่านกระบวนการคิดแล้วคิดอีก แต่เธอก็มีมุมมองความรักที่น่าสนใจ คือความรักอยู่ในพื้นฐานของการทำเพื่อตัวเอง และมองว่าความรู้สึกรักหรือไม่รักกัน ตัวเองต้องเป็นรับผิดชอบ
       
       “ความรักสำหรับตัวยิปโซมองว่าเป็นการวางให้อีกคนเป็นตัวแปรของความสุข คนเราการทำทุกอย่างมันถูกเบสไว้กับการทำเพื่อตัวเอง การที่คนบอกว่าฉันไปอยู่กับเขา ฉันรักเขา ฉันชอบให้มีเขาอยู่ในชีวิตเหลือเกิน ความจริงเราไม่ได้ชอบตัวเขา แต่เราชอบความรู้สึกของเราเวลาอยู่กับเขา ก็เลยคิดว่าเราทำเพื่อตัวเองอยู่ แล้วเวลาที่สูญเสียเขาไป เราโทษเขา ว่าฉันอุตส่าห์ทำเพื่อเธอนะ เราคิดว่าเราทำเพื่อเขา แต่ความจริงแล้ว เราทำเพื่อความสุขของตัวเอง มาตลอด เราเลยรู้สึกว่าความรักเป็นอะไรที่ต้องรับผิดชอบเอง ความรู้สึกมันไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้นเราไม่ควรไปกล่าวโทษใคร ที่เขาอยู่กับเราไม่ได้”
       
       หนุ่มๆ คงอยากรู้สาวน่ารัก และเก่งแบบเธอจะมีคนรู้ใจหรือยัง สาวยิปโซรีบตอบว่าตอนนี้ไม่มีแฟน และไม่มีใครที่เข้ามาคุยด้วย อาจะเป็นเพราะช่วงนี้ทำงานเยอะ เรียนหนัก จึงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับใครเท่าไหร่นัก
       
       “ถ้าพูดถึงสเป๊ก เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ชอบคนที่หล่อจัดๆ เพราะมองแล้วจะเบื่อ เราชอบคนหน้าตาสะอาด แต่อธิบายไม่ถูกว่าหน้าตายังไงนะ เอาง่ายๆ คงตี๋ๆ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ยาก และเสี่ยงไป ไม่ยกตัวอย่างดีกว่า ชอบคนที่มองหน้าแล้วรู้สึกสบาย มองได้เรื่อยๆ ถ้าเรื่องนิสัยสำหรับเราต้องแก่ๆ เลยก็ได้ ความคิดต้องโต เขาจะได้เข้าใจเรา แล้วเขาจะได้รู้ว่าเราก็อยากเข้าใจเขาเหมือนกัน
       
       บางคนที่เขาจะเข้ามาคุยกับเขาเห็นภาพเราเป็นเด็ก เป็นสาวหวาน น่ารัก แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้น บางทีความคิดเราก็แก่เกินไป ถึงเราจะเป็นคนคุยเก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าความคิดเราต้องเด็ก ขอคนที่คิดอะไรได้เยอะ ไม่ได้หมายความว่าฉลาด แต่ออกแนวคิดแบบคนใจกว้าง คิดเผื่อคนอื่น เป็นคนคิดเป็น ไม่จำเป็นต้องอารมณ์เหมือนอยู่กับพ่อ แต่อย่างน้อยช่วยมีความคิดออกแนวคุณพ่อเรานิดหนึ่ง คือใจเย็นต้องมี มีความเข้าใจสูง และเป็นคนที่เราสามารถเคารพได้”
       
       --------------------------------------------------------------------------
       เปิดใจพ่อที่เป็นมากกว่าเพื่อน
       พ่อผู้เป็นคนดูแล เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนที่คอยให้คำปรึกษา บุญยง มหาพฤกษ์พงศ์ มักจะเห็นคุณพ่อกับลูกสาวไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด กินข้าว ดูหนัง คอยรับ-ส่ง พอถึงช่วงที่ลูกสาวโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว แม้ว่าจะยังเป็นห่วงอยู่ แต่เขาบอกว่าถึงเวลาก็ต้องทำใจ และต้องยอมให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเอง
       
       “ผมก็เลี้ยงดูลูกเหมือนพ่อทั่วไปคือหวงลูกสาวตัวเล็กๆ พอโตขึ้นมาก็เลี้ยงแบบเพื่อน เราฟังปัญหาเขา และเราก็ไม่ไปตัดสิน เราต้องพยายามห้ามใจตัวเอง เพราะว่ามาตรฐานของเรามันกี่สิบปีที่แล้ว กับสมัยนี้มันไม่เท่ากัน ยาก แต่เราต้องพยายามไม่ตัดสินให้เขาว่าถูกหรือผิด พยายามโยนข้อมูลให้เขาว่าถ้าเป็นเราเราจะทำอย่างนี้ แล้วแต่เขาว่าจะทำแบบไหน เวลามีเรื่องอะไรเขาก็จะปรึกษา เรื่องเพื่อน เรื่องเรียน เวลามีคนมาจีบเขาก็จะเล่าให้เราฟัง ตอนนี้เป็นช่วงทำงานเขา เขาไม่อยากให้เราลำบาก เขาก็บอกว่าเขาไปเองได้ เราก็ต้องปล่อยเขา แต่ถามว่าเป็นห่วงไหม เราก็ต้องเป็นห่วง แต่ว่าต้องทำใจว่าเขาโตแล้ว เขาดูแลตัวเองได้ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นห่วงทุกเรื่อง กินข้าวหรือยัง ถึงบริษัทหรือยัง จะออกจากบริษัทเมื่อไหร่ มันเป็นความเคยชินที่ต้องถามเขาตลอดเวลา เห็นเขาเป็นเด็กตลอดเวลา อันนี้ต้องปรับ หมายถึงต้องปรับตัวเราเองนะ ผมเชื่อว่าเขาคิดเองได้ อย่าไปคิดแทนเขาเลย ดอกไม้มันจะบานมันบานเองได้”
       
       ประวัติ
       
       ชื่อ-สกุล : รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์
       ชื่อเล่น : ยิปโซ
       วันเกิด : 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2532
       ส่วนสูง : 171 ซ.ม.
       น้ำหนัก : 51 ก.ก.
       ประวัติการศึกษา : มัธยมศึกษา โรงเรียนนานาชาติแอ็ดเวนตีส รามคำแหง , คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรนานาชาติ
       พี่น้อง : ยิปซี-คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ (พี่สาว)
       ผลงาน : โฆษณาขนมกูลิโก๊ะป๊อกกี้, เรโซน่า, โซนี่ boggie พิธีกรรายการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก แสดงภาพยนตร์เรื่อง 32 ธันวา, เราสองสามคน, สุดเขต สเลดเป็ด
       
       รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
       
       ภาพโดย ศิวกร เสนสอน


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000004785



ยิปโซ ยักคิ้วโชว์
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...