ได้ชื่อว่าเป็นนางเอกร้อยล้านคนล่าสุดไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ ยิปโซ -รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์ นางเอกหน้าตาธรรมดา แต่ความคิดไม่ธรรมดา จากภาพยนตร์แนวโรแมนติก คอมมาดีที่มีมุกตลกกลมกล่อมอย่าง ‘สุดเขต สเลดเป็ด’ หลายคนรู้จักเธอจากรายการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก ในบุคลิกสาวหวาน น่ารัก สไตล์แอ๊บแบ๊ว แต่หลังจากได้เข้ามาเป็นนักแสดง สาวยิปโซสลัดคราบสาวแอ๊บแบ๊ว มาเป็นสาวห้าว สวย หวาน และยิ่งช่วงนี้กระแสความฮอตของหนังบวกกับบทบาท ‘มะยม’ สาวหน้าตาธรรมดา แต่มีเสน่ห์ล้นเหลือ ในเรื่องนี้เธอแสดงสีหน้าเหวอๆ ได้อย่างน่ารัก ทำให้หลายคนแอบเทใจให้เธอ แถมกระแสในอินเทอร์เน็ตยังแรงถึงขนาดมีหนุ่มโพสต์ว่าอยากได้สาวแบบนี้มาเป็นแฟน M-Lite นัดพูดคุย เพื่อทำความรู้จักกับสาวคิดเยอะคนนี้
ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์ ที่โฮมออฟฟิศบรรยากาศอบอุ่น
'M39' ยิปโซเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส และดูเป็นกันเอง วันนี้เธอแต่งตัวสบายๆ สวมเสื้อเชิ้ตผ้าลูกฟูกสีเขียวเข้ม กางเกงยีนส์เข้ม รองเท้าหนังสีน้ำตาล ลุคออกแนวสาวเท่ ปล่อยผมยาวสลวย เมกอัพบางๆ บนใบหน้าเนียนสวย พร้อมเปิดใจถึงความรู้สึกที่ถูกเรียกว่าเป็น
นางเอกร้อยล้าน ซึ่งเธอบอกว่าคำนี้ฟังยังไงก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่
นอกจากนั้นเธอยังเล่าประสบการณ์การเรียนในคณะบัญชี จุฬาฯ ควบคู่กับการทำงานว่าโหด และเครียดขนาดไหน วัยเด็กที่ถูกมองว่าเป็นเด็กอ้วน ไม่น่ารัก ความผูกพันกับคุณพ่อที่แสนดี และเรื่องความรักที่วันนี้เธอบอกว่ายังไม่มีหนุ่มคนไหนเข้ามาจองหัวใจของเธอได้ ทว่าภายใต้ความเป็นสาวคุยเก่ง ยิ้มง่ายนั้น เธอเป็นคนที่ค่อนข้างจะคิดเยอะ และจริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่ เรียกได้ว่าเป็นคนที่คิดทุกองศาเลยทีเดียว
ช่วงเวลาเพียงไม่นาน ไม่อาจจะทำให้รู้จักตัวตนสาวคนนี้ได้ทั้งหมด เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีนิยาม เธอค่อนข้างเป็นคนคิดเยอะกับทุกเรื่อง ดูเหมือนเป็นสาวรักอิสระ แต่เธอก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของการเรียน เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก และความน่ารักอีกอย่างที่น่าชื่นชมคือ เธอเป็นคนรักครอบครัว
‘นางเอกร้อยล้าน’ ฟังแล้วจักจี้ แม้ว่าช่วงนี้เวลาไปไหนมาไหน เธอจะถูกเรียกว่านางเอกร้อยล้าน แต่ดูเหมือนว่ายิปโซจะยังไม่ค่อยชินกับคำนี้สักเท่าไหร่ เธอบอกว่าได้ยินคำนี้แล้วจะรู้สึกจักจี้ และเสียทรงเล็กน้อย เพราะคำว่านางเอกร้อยล้านมันฟังดูยิ่งใหญ่สำหรับเธอ ทั้งที่เธอเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในกระบวนการทำหนัง ถ้าเป็นไปได้ เธออยากให้ทีมงานทุกคนที่ร่วมกันทำหนังเรื่องนี้ถูกเรียกว่าร้อยล้านเหมือนกัน
“คำว่านางเอกร้อยล้าน ฟังแล้วจักจี้มาก มันไม่ใช่ความรู้สึกไม่ดีนะ แต่เป็นคำที่พอฟังแล้วไม่รู้จะพูดคำว่าอะไรต่อ เพราะเราไม่ได้คิดไปถึงเรื่องนั้นไง คิดแค่ว่าถ้าเกิดหนังได้ร้อยล้าน เฮ้ย! เจ๋งอ่ะ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก วันแรกที่เปิดตัวมารายได้สิบล้าน วันต่อมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนเราแฮปปี้ทุกวัน พอถึงจุดนี้เราไม่รู้ว่าเราจะดีใจยังไง มันเป็นอารมณ์แบบว่าเราดีใจนะ แต่เราทำตัวไม่ถูก
ถ้าเปรียบหนังเรื่องหนึ่งเหมือนเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ แล้วเราเป็นคอลลาเจนที่ถูกแปะอยู่ด้านหน้า คนเห็นก็จะคิดว่าขวดนี้มีคอลลาเจนด้วย แล้วคนจะซื้อเพราะมีคอลลาเจน แต่ว่าจริงๆ อันที่มันมีประโยชน์มันคืออย่างอื่น คือตัวคอลลาเจนถ้าไปดูด้านหลังตรงส่วนประกอบ จะมี 0.01 เปอร์เซ็นต์”
นอกจากเธอจะเปรียบตัวเองเป็นดั่งคอลลาเจน ที่มีส่วนน้อยนิดในการทำหนังแล้ว เธอยังขอพูดถึงคนสำคัญในการที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้มาถึงร้อยล้าน
“ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์” ผู้กำกับที่ใช้หัวใจพูด
“พี่ยอร์ชเขาเป็นคนที่สามารถทำหนังให้เข้าถึงจิตใจคนได้ในแบบที่น่ารักมากๆ ไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดเรื่องเครียดเรื่องอะไรเลย เขาทำให้คนหัวเราะไปได้ ในขณะที่เข้าถึงใจมนุษย์ด้วยกัน สมัยก่อนเราตั้งคำถามตลอดเวลาว่าเด็กแนวคืออะไร ติสต์แตก มีโลกส่วนตัวสูง เราไม่เข้าใจเขา เราเลยมองว่าเขาผิด เพราะเขาไม่เหมือนเรา
แต่พี่ยอร์ชสามารถดึงทุกอย่างไปในแนวบวกได้ กลายเป็นว่าเราลองมองเขาในอีกมุมหนึ่งสิ มองจากเด็กแว้นกลายเป็นวีรบุรุษนักบิด สก๊อยกลายเป็นพริตตี้รองเท้าแตะ ทุกอย่างมันดูน่ารักไปหมด ตรงนี้เราว่าเป็นคุณสมบัติที่ทำให้คนมีความสุขกับหนังของเขา แล้วทำให้หนังมันมาถึงจุดนี้ได้” เป็นนางเอก สาม-สอง-หนึ่ง หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอในภาพของสาวแอ๊บแบ๊ว จากภาพยนตร์เรื่องแรกคือ
'32 ธันวาคม' หลังจากนั้นก็ได้เห็นภาพเธอในบทสาวแว่นสายตาสั้นมากในเรื่อง
'เราสองสามคน' จนมาถึงเรื่องล่าสุดที่เธอได้เป็นนางเอกอย่างเต็มตัว
'สุดเขต สเลดเป็ด' ไม่ว่าจะเป็นเพราะจังหวะหรือ ด้วยความตั้งใจทำให้เธอกลายเป็นนางเอกแบบตามสเต็ป คือ จากสามเหลือสอง จากสองเหลือหนึ่ง และมันก็ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
“เราว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจังหวะ และพัฒนาการของเรา ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการที่เราออกมาให้คนเห็นหน้าด้วย อย่างเรื่อง 32 ธันวา มีนางเอกสามคน แล้วพอมาเรื่องเราสองสามคน นางเอกกลายเป็นสองคน เรื่องนี้สุดเขต สเลดเป็ด กลายเป็นหนึ่งคน ซึ่งเป็นอะไรที่สวยงาม จังหวะ โอกาส ทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้”
แม้ว่าเธอจะออกตัวว่าไม่ใช่คนสวย ไม่ใช่คนเก่ง แต่ด้วยบุคลิกที่แตกต่าง และมีคาแร็กเตอร์ชัดเจน บวกกับความตั้งใจจริง ก็เป็นส่วนที่ทำให้คนเห็นหน้าเธอทางจอภาพยนตร์ติดกันถึง 3 เรื่อง ภายในระยะเวลา 1 ปี
“ความที่เราเคยร่วมงานกับพี่ยอร์ช เขาเคยเกริ่นเอาไว้ว่าเรื่องหน้าอยากชวนเรามาเล่นหนังด้วยกันอีก เราจะเล่นไหม ตอนแรกก็นึกว่าพูดลอยๆ ก็ตอบว่าเล่นสิพี่ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นรูปเป็นร่าง เอาจริงเอาจังเร็วขนาดนี้ ถึงเขาจะวางเราเอาไว้แล้ว แต่ระหว่างที่สร้างคาแร็กเตอร์ตัวละครตัวนี้ ไม่ใช่ว่ามันง่ายนะ เขาคิดในใจว่าเราสามารถเป็นมะยมได้ แต่เราไม่สามารถจะเห็นในสิ่งที่เขาเห็นได้ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่ก่อนจะถ่ายหนังเป็นช่วงเวลาหฤโหดสำหรับเรา คือตอนที่คิดว่ามะยมจะเป็นยังไงดีมันสนุกมากๆ กลายเป็นว่าคิดตลอด ตื่นเต้น นอนไม่หลับเป็นเดือนน่ะ
ที่บอกว่ายากมันเป็นที่เรา
คือเราเป็นคนคิดทุกองศา คิดทุกมุม เป็นคนชอบคิด ชอบสร้างอะไรหลายอย่างมาก อย่างตัวคาแร็กเตอร์เราก็ชอบสร้างว่าจะเล่นยังไงดี ถ้าเกิดเราเป็นตัวนี้ เราเคี้ยวหมากฝรั่งดีไหม คือรายละเอียดไปถึงจุดนั้น แล้ว คือด้วยความที่เราตั้งใจมาก เราอยากทำให้ดี เราคิดว่าพี่เขาอุตส่าห์เลือกเรามาอีกครั้ง เราไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง ก็เลยกลายเป็นกระบวนการกดดันตัวเอง แต่พอถึงจุดหนึ่งเขาก็บอกว่าความตั้งใจเรามีอยู่แล้ว บางทีเราสนุกกับสิ่งที่เราพยามสร้างขึ้นมาบ้างก็ได้ ถ้าเราไม่สนุกกับมัน ตัวละครที่ออกมามันก็จะไม่สนุก แล้วคนดูก็จะไม่สนุก บทสนทนาของพี่ยอร์ชทำให้โลกเบาขึ้นได้เยอะ และเขาเป็นอย่างนั้นกับทุกคน เขาเป็นมนุษย์ที่ทำให้โลกของทุกคนเบาขึ้นได้จริงๆ ทุกอย่างบวกหมด”
ชีวิตเปลี่ยนเพราะเลือกเรียนผิดคณะ ตอนนี้ยิปโซเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะบัญชี ภาคอินเตอร์ ปี 3 ด้วยความที่เป็นคนช่างคิด ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนคณะนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเธอเหมาะที่จะเรียนคณะนิเทศฯ มากว่า แต่กว่าที่เธอจะรู้ตัวว่าคณะที่เรียนอยู่มันไม่เหมาะกับเธอก็ตอนปี 2 ปลายๆ แล้ว และเป็นช่วงที่เธอเริ่มทำงานถ่ายหนังควบคู่ไปด้วย แต่เธอก็ไม่ทิ้งการเรียน และตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาสุดโหดที่สุดสำหรับเธอ
“เด็กบางคนจะรู้ว่าเขาอยากเป็นอะไร แต่เราเป็นคนที่อยู่อย่างมีความสุขไปทุกวัน แล้วไม่ได้คิดเลยว่าฉันอยากเป็นอะไร จนถึงวันที่จะเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่รู้ คือก็มานั่งวิเคราะห์กับที่บ้าน นั่งจับมือกัน แล้วก็คิดว่าอย่างเราน่าจะเรียนอะไร พี่สาวเรา
(ยิปซี -คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์) เขาจะเป็นคนที่มีระบบ เรียนเลขเก่งกว่าเรา พ่อแม่ก็สนับสนุนให้เขาเรียนบัญชี แต่เขาเลือกเรียนนิเทศฯ ตัวเราพ่อแม่บอกว่าเหมาะที่จะเรียนนิเทศฯ คือมันสลับกันตั้งแต่ต้น
ตอนแรกที่เลือกเรียนบัญชีเพราะว่า หนึ่งคือเราไม่รู้ว่าจะทำอะไร แล้วเราอยากรวย คือคิดว่าเรียนบัญชียังไงก็ไม่ตกงาน สองคือเพราะพี่สาวเรียนนิเทศฯไปแล้ว บ้านเราถ้าลูกสาวสองคน เรียนเหมือนกัน แล้วอุตสาหกรรมนี้ถ้าเกิดมันไม่พร้อมให้คนอยู่ หรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเราเลือกเรียนบัญชี ไม่ว่าอันไหนมันจะร่วง ก็จะมีอีกอาชีพหนึ่งที่ประคองไว้ได้ ที่บ้านเราก็จะไม่อด เราก็เลยเลือกเรียนเพราะอย่างนั้น” การที่เธอเลือกเรียนในสิ่งที่ไม่ได้ชอบ ไม่ได้รัก ก็ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่มีความุสข และเครียดกับการเรียน แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ทำอะไรแล้วตั้งใจจริง ก็ทำให้เธอผ่านมาได้
“บางทีก็อยากให้บัญชีเป็นเราเหมือนกันนะ เพราะรู้สึกว่าคนที่รักตัวเลข ชีวิตสบาย คือบัญชีทุกคนบอกว่าเหนื่อยกับการทำ แต่อะไรก็ตามถ้าเราชอบมันเราไม่เหนื่อยหรอก แต่ที่เราเรียนตอนนี้ ถามว่าชอบไหม ไม่เลย คือทำได้ คนเราตั้งใจทำอะไรทำได้หมดแหละ แต่ว่าเราไม่มีความสุขกับการทำมัน
เราเหนื่อยตลอดเวลา เราผ่านไปวันๆ เหมือนเราสอบให้มันผ่าน แล้วเรารู้สึกว่านี่มันไม่ใช่วิธีการเรียนที่ถูกต้อง แต่พอถึงจุดนี้ก็คงไม่คิดจะเปลี่ยนคณะ เพราะคิดว่าชีวิตคงไม่ได้ทำทุกอย่างที่เราอยากจะทำได้ทั้งหมด บางทีเราก็ทำอะไรที่เราไม่ชอบบ้างก็ได้ อย่างน้อยเราก็ได้ปริญญา ก็ถือว่าเราได้อะไรสักอย่างแล้วหละ พอในอนาคตเราอยากไปทำอะไรเอง เราก็มีโอกาสในการไปทำสิ่งที่เราอยากจะทำอยู่แล้ว”
ฝันอยากเป็นนางฟ้า เมื่อถามถึงอาชีพในฝัน ยิปโซเล่าว่าเธอเคยอยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะเป็นคนชอบเครื่องบิน มองว่าเป็นอาชีพที่ดูดี และมีเสน่ห์ แต่พอมาถึงวันนี้เมื่อพูดถึงความฝันนี้อีกครั้ง ด้วยความที่ครอบครัวเธอไม่อยากให้เธอทำงานเป็นแอร์ฯ เพราะกลัวลูกสาวจะเป็นอันตราย ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ กิน นอน ไม่เป็นเวลา ทุกวันนี้ถึงแม้จะเลือกได้เธอก็ขอเลือกที่จะทำงานอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ครอบครัวต้องเป็นห่วง
“ใครถามกี่ทีก็จะตอบว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตสนะ เพราะเราชอบเครื่องบิน แต่พ่อแม่กลัวว่าเราจะได้รับอันตราย กลัวเครื่องบินตก แม่เราเป็นคนขี้กลัวมาก เป็นคนคิดมาก ตอนแรกเราก็งอนๆ เราอยากเป็น แต่พ่อแม่ไม่ให้เป็น แต่พอมาถึงทุกวันนี้ ด้วยความที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่มาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราเลือกได้เราคงไม่ทำอย่างนั้นกับเขา แม่เราคงเสียสติทุกครั้งที่เราไปเดินทาง คิดว่าไม่คุ้มมั้งที่เราไปทำงานแล้วที่บ้านนอนไม่อยู่กับที่ ก็เลยคิดว่าเราทำอย่างอื่นก็ได้ ที่บ้านไม่เคยกดดันให้เราเป็นอะไรเลย แต่ไม่อยากให้เราเป็นอันตราย อะไรที่อันตรายสูง เขาจะบอกว่าขอได้ไหม อย่าเลย”
เคยเป็นสาวแอ๊บ ก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะมองภาพเธอเป็นสาวแอ๊บแบ๊ว ด้วยความที่เธอเป็นพิธีกรรายการสตอเบอร์รีชีสเค้ก ซึ่งเป็นรายการที่มีแต่สาวน่ารักมารวมตัวกัน คาแร็กเตอร์ของยิปโซจะออกเป็นสาวหวาน เรียบร้อย เสียงเล็กๆ น่ารัก ซึ่งเธอยอมรับว่าเธอเป็นอย่างนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่งตัวเป็นสาวหวาน ชอบแฟชั่นเกาหลี แต่เมื่อได้มาเล่นหนัง เรื่อง 32 ธันวา ทำให้เธอรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา เธอพบว่าตัวตนของเธอจริงๆ ไม่ใช่สาวหวาน เรียบร้อย แต่เธอออกแนวเป็นสาวห้าวมากกว่า
“มีช่วงหนึ่งที่เราทำจนเรารู้สึกแบบนี้แหละเป็นตัวเรา
ตอนเด็กไม่เคยมีใครมองว่าสวยหวาน น่ารัก มีความเป็นผู้หญิงต่ำ ยิปซีจะออกแนวเป็นผู้หญิง เราจะออกแนวห้าว ถ้าเปรียบเป็นสี ยิปซีก็เป็นสีชมพู ส่วนเราเป็นสีฟ้า ตอนเด็กเคยมีคนซื้อหมอนขวดนมอันใหญ่ให้ เขาซื้อสีชมพูให้ยิปซี แล้วซื้อสีฟ้าให้เรา
พอได้ทำงานเป็นพิธีกรรายการสตรอเบอร์รีชีสเค้ก ก็เหมือนเป็นโอกาสที่เราอยากหวานบ้าง เราก็เลยเชื่อว่าเราหวาน ทำอยู่ได้สองปีแล้วไม่ได้เซ็นสัญญาต่อก็ออกมา
แต่เราก็ยังเชื่อว่าเราหวานอยู่ มันติดตัว เราก็เหนื่อยนะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันเหนื่อยกับการเป็นแบบนั้น แล้วพอผ่านมาถึงจุดหนึ่งเราก็รู้สึกว่ามันดูกะเทยไปไหม มันขัด ตัวเราไม่ใช่อย่างนั้น มารู้จริงๆ ก็ตอนหลังจากเล่น 32 ธันวา คือเรื่องนี้เรารับบทเป็นผู้หญิงแบ๊วที่ชอบแอ๊บ แล้วมีฉากหนึ่งที่เข้าไปในโรงแรมม่านรูดกับพระเอก คือแดน วรเวช แล้วเราพูดว่า
"ฉันจะบอกอะไรไว้เลยว่าฉันก็ไม่ได้อยากทำตัวเรียบร้อยนักหรอก ฉันก็อยากซ่า อยากแรด อยากหัวเราะดังๆ” คือเรารู้สึกสนุกจนแปลกกับการที่พูดเหมือนกับปลดปล่อย รู้สึกสนุกจนตัวเองเริ่มงง มันเหมือนเป็นความรู้สึกสบายที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว ก็เลยกลับมาเป็นแบบเดิมแล้วตอนนี้”
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทุกวันนี้เธอต้องกดเสียงตัวเองให้ต่ำลง เพราะเสียงตัวเองจริงๆ จะเล็กมาก และเธอรู้สึกว่าคนตัวใหญ่เสียงเล็กมันดูแปลกๆ
“บางทีเราดูหนัง เราไม่เชื่อตัวเองกับเสียงแบบนั้น รู้สึกว่าทำไมเสียงเราเป็นแบบนี้ล่ะ แล้วคิดว่าคนดูก็คงไม่เชื่อตัวละคร ด้วยความที่อยากทำให้มันเป็นธรรมชาติมากขึ้น เวลาดูหนัง เวลาทำงาน ก็เลยพยายามพูดจนชิน ตอนนี้ก็ชินกับเสียงแบบนี้แล้ว คนเราเปลี่ยนกันได้จริงๆ นะ“ ตอนเด็กเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ ย้อนกลับไปตอนเด็ก เธอเล่าว่าเป็นเด็กตัวอ้วน หน้าตาไม่น่ารัก ไม่ค่อยมีคนอยากเล่นด้วย เธอเล่าพลางหยิบโทรศัพท์แบล็กเบอรีเปิดให้เราดูรูปเด็กผู้หญิงอ้วนกลม ซึ่งดูแล้วอาจจะจำไม่ได้ว่าเป็นยิปโซ เพราะเธอไม่มีเค้าเด็กอ้วนคนนั้นหลงเหลืออยู่เลย
“เป็นเด็กกินตลอดเวลา เราเป็นเด็กที่พออ้วนแล้วแขน ขาพับ มันเป็นเหมือนมิชลินนะ เป็นเด็กชอบกินตลอดเวลา กินได้ทุกอย่าง เราไม่เคยเป็นเด็กผอม ช่วง ม.ต้นเริ่มยืด เราไม่ได้ผอมลง แต่ดันสูงขึ้น สูงเร็วมาก จนมีรอยแตกที่หัวเข่า สองข้าง พอยืดแล้วผอมเลย ช่วง ม. 1 สูงขึ้นเยอะมาก”
ไม่น่าเชื่อว่าจากเด็กอ้วน หน้าตาไม่น่ารัก พอโตขึ้นเธอจะกลายเป็นสาวร่างสูง หุ่นดี เคยถ่ายแบบชุดว่ายน้ำทูพีซจนเป็นที่ฮือฮามาแล้ว แถมทุกวันนี้ยังเป็นนางเอกหนังสุดฮอตอีกด้วย
“ตอนเด็ก เราไม่เคยมองว่าตัวเองสวย มาเริ่มสนใจความสวยตอนเริ่มเข้ามาแคสงาน เพราะคิดว่าเราควรจะสนใจตัวเอง ต้องดูแลตัวเองนิดหนึ่งก่อนที่จะให้คนอื่นมาจ้างคุณได้ ตอนนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่ม
เรื่องคุมน้ำหนักมีอยู่แล้ว ตอนถ่ายชุดว่ายน้ำก็มีประเด็น ตอนเด็กชอบกินมากก็เลยต้องเปลี่ยนนิสัยตัวเอง เรื่องการกิน คือมันเริ่มจากต้นตอคือการกิน ไม่กินจุบจิบ ไม่โฟกัสกับการกินมากเกินไป คือ
เราเอาการกินมาแทนความสุข ซึ่งเป็นอะไรที่ผิด เพราะว่าการกินมันไม่ควรเป็นอย่างเดียวที่ทำให้คนมีความสุขได้ ความสุขมันสั้นเหลือเกิน แล้วก็อ้วนอีกน่ะ ก็เลยเริ่มจากวิธีที่มันชัดเจน ก็คือบังคับตัวเองไม่ให้กินเยอะ” วีรกรรมโดดเรียนที่ต้องจำไปอีกนาน ยิปโซเล่าถึงวีรกรรมวัยเด็ก ที่เคยโดดเรียนครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิต แต่เธอต้องจดจำเหตุการณ์ครั้งนั้นไปอีกนานแสนนาน เพราะเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่เธอถูกพ่อตี
“พ่อเราจะโฟกัสเรื่องการเรียนมาก การโดดเรียนเป็นโทษมหันต์
เราไม่เคยกล้าทำมาตั้งแต่เด็ก กลัวไง เราไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลยนะ แล้วอยู่ดีๆ มาวันหนึ่งคิดจะโดดเรียน เพราะว่าเพื่อนชวน ไปแบบกะทันหันมาก โดดเรียน ไปนั่งสตาร์บัคส์ ทองหล่อ ตรงมาร์เกตเพลซ นั่งอยู่เป็นชั่วโมง เราก็ไม่รู้ว่าไปทำไม แต่เพื่อนไปหมดเลย เราก็เลยไป
เผอิญวันนั้นเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งก็โดดเรียนเหมือนกัน แล้วคนในห้องเหลือน้อยมาก อาจารย์ตกใจนึกว่าเกิดอะไรขึ้น โทร. ตามหาผู้ปกครองของทุกคน เราเริ่มรู้สึกตั้งแต่ตอนบ่ายโมงแล้ว ขอเพื่อนกลับก่อน พอนั่งแท็กซี่เท่านั้นแหละพ่อโทร. มาเลย พ่อไม่เคยโทร. มาตอนที่ระหว่างเรียนอยู่ โทร. มาถามว่า บี๊อยู่ไหน
(พ่อจะเรียกยิปโซว่าบี๊) เสียงต่ำเลย ตอนนั้นน้ำตาร่วงแล้ว มันกลัว แต่ยังจะกล้าโกหกด้วย เพราะทำอะไรไม่ถูกบอกพ่อว่าอยู่สหกรณ์ ออกมาซื้อโปสเตอร์ ไม่รู้ว่าพูดทำไม พูดในขณะที่เขารู้อยู่แล้วว่าเราโกหก แต่ไม่อยากพูดออกมาว่าตัวเองโดดเรียน พ่อก็บอกให้กลับมาหาพ่อเดี๋ยวนี้
วันนั้นพ่อน่ากลัวที่สุดตั้งแต่เราเคยเห็นมา กลับมาบ้านพ่อไม่พูดอะไรเลย เดินเข้าไปเอาไม้แขวนเสื้อมาฟาด จนไม้แขวนเสื้อหัก แล้วไปหยิบมาอีกไม้หนึ่งเพื่อฟาดจนหัก ด้วยความที่เขาไม่เคยตีเราเลย แล้วเราโมโห คิดว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น สุดท้ายเราก็รู้สึกว่าตัวเองนิสัยเสียมาก ทำไมไม่คิด วันนั้นวันที่ 4 ธันวาคม วันรุ่งขึ้นเป็นวันพ่อ แล้วไม่คุยกัน พอผ่านมาถึงจุดหนึ่ง เราเริ่มคิดอะไรได้แล้ว ตอนวัยรุ่นนึกถึงแต่ตัวเอง นึกถึงแต่เพื่อน ไม่มองหรอกว่าเราทำอะไร คนที่เราควรจะคิดถึงจริงๆ เราไม่คิด พอโตขึ้นมาหน่อยเราก็เริ่มแบ่งความสำคัญให้มันถูก”