วิถีในการได้มาซึ่งอำนาจ มันมีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ คือ- 1. คือลักษณะการทำดี พูดดี คิดดี จนความดีนั้นกลายเป็นที่พึ่งของตนและคนอื่นได้ เมื่อดีมันเป็นที่ยอมรับของมหาชนคนทั้งหลานได้แล้ว ท่านผู้นั้นก็จะใช้ความดีอันนั้น หรือว่า ใช้กระบวนคิดก็ตาม พูดก็ตาม ทำก็ตาม นำพามหาชนคนที่เชื่อในบารมีนั้น ทำ พูด คิดตามตน ลักษณะอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ผู้มีอำนาจบารมี
- 2. ในอีกวิถีหนึ่งก็คือ คนที่มีหน้าที่ วิถีแห่งหน้าที่ที่จะต้องรับภาระ ธุระ อาจจะเป็นข้าราชการ นักปกครอง เป็นผู้มีอำนาจบริหารบริวารของตน เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่อะไรก็แล้วแต่ อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคำว่า บารมี แต่มีอำนาจในการบริหาร การจัดการ สั่งการตามกระบวนตัวบทกฎหมาย ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี วัฒนธรรมที่เชื่อถือและยึดถือสืบๆ กันมา นี่คือ กระบวนการบริหารจัดการและทำให้เกิดอำนาจ หรือการใช้อำนาจ
เพราะงั้น อำนาจที่เราคุยกันในเวลานี้ ชั้นถามกลับพวกคุณไปว่าชั้นมีอำนาจไม๊ ก็เพราะว่า ชั้นอยากจะเห็น หรืออยากดูว่า พวกคุณดูว่าชั้นเป็นคนมีอำนาจอย่างไร ถ้ามีอำนาจในฐานะที่ชั้นมีภาระกรรม มีหน้าที่ มีตำแหน่ง มียศถาบรรดาศักดิ์ หรือมีวิถีทางในการบริหารการจัดการตามภาระกรรม หน้าที่ ยศถาบรรดาศักดิ์ของตน ชั้นเป็นคนไม่มี แล้วนอกจากไม่มีแล้ว ก็จะปฏิเสธมันอยู่เนืองๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เชื่อ แล้วก็ไม่ชอบในอำนาจเหล่านี้
แต่ชั้นจะเชื่อและชอบอำนาจที่ได้มาจากการสร้างบารมี อำนาจที่ได้จากการทำดี พูดดี คิดดี แล้วความดีนั้นเป็นที่พึ่งของตนและคนอื่นได้ จบ คนอื่นได้พึ่งพาอาศัยความดีนั้นๆ จนเป็นที่ยอมรับ แล้วถึงเวลาทำ พูด คิดอะไร ก็ตามชั้นได้ ชั้นพูดอะไร ชั้นทำอะไร ชั้นคิดอะไร คนเหล่านั้นก็จะทำตาม พูดตาม คิดตาม
ลักษณะอย่างนี้เค้าเรียกว่า ผู้มีอำนาจบารมี หรือ บารมีอำนาจ ที่จริงมันต้องมีคำว่าบารมีมาก่อนอำนาจ แต่ถ้าในมุมกลับกัน ถ้าใช้คำว่า อำนาจบารมี นั่นมันหมายถึง ต้องเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่หล่ะ เป็นคนที่ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจบาตใหญ่ มีทรัพย์สินเงินทอง ทั้งบริวาร มือปืน หรือไม่ก็ต้องทรงอิทธิพล หรือมีเรียกว่า มีหน้าที่ภาระกรรมที่ต้องบริหารจัดการ เค้าจะใช้คำว่า อำนาจบารมี ใช้อำนาจของตนเป็นการสร้างบารมี
แต่สำหรับคนที่เป็นคนสร้างบารมี ส่วนจะเกิดอำนาจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเชื่อชั้นหรือเปล่า เหมือนกับที่บอกเมื่อครู่นี้ว่า ชั้นเป็นคนมีอำนาจจริงอย่างนั้นก็ต้องสั่งไม(โครโฟน)ได้ แสดงว่าชั้นเป็นคนไม่มีอำนาจจริง ชั้นสั่งไมไม่ได้ แต่ในมุมกลับกัน อาจจะเป็นท่านอธิการบดี ท่านเจ้าของสถานที่ ไม่รู้เค้ามีบารมีหรือเปล่า แต่ถ้าไมดับสั่งได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่า เป็นคนมีอำนาจ จบ
อำนาจที่สง่างาม มันต้องมาวิจารณ์ว่า
สง่างามแล้วต้องไม่แลกได้แลกเสีย สง่างามต้องไม่มีคำว่า แลกเปลี่ยน มันต้องสร้างจากเม็ดทรายไปสู่ก้อนหิน จากก้อนหินไปสู่ภูเขา จากภูเขาไปเป็นยอดเขา คือมันค่อยๆก่อร่างสร้างตัวทีละเล็กทีละน้อย จากเม็ดทรายเล็กๆ แล้วตกผลึกแน่น จนเป็นก้อนหิน จาก้อนหินกลายเป็นเนินเขา จากเนินเขากลายเป็นภูเขา แล้วก็ยอดเขา นั่นเค้าเรียกว่า สง่างาม สร้างจากลำแข้งไง 2 ขา 2 แขนของตัวเอง แต่ ณ.วันนี้นี่ ที่มันเกิดขึ้นในสังคมแผ่นดินไทย มันมีอำนาจไหนบ้างที่มันสง่างาม มันต้องแลกมาทั้งนั้น มันต้องมีแลกได้แลกเสีย แลกเปลี่ยนมาทั้งนั้น มันเลยใช้คำว่าสง่างามไม่ได้ เหมือนกับคำว่า ผู้มีบารมีก็ใช้ไม่ได้ ถ้าถามว่าจะใช้ได้ ก็เป็นบารมีของโจร บารมีของคนที่ปล้นสดมภ์ บารมีของคนที่เอารัดเอาเปรียบ แต่ถ้าผู้มีบารมีตามหลักพุทธพจน์ ตามหลักพระธรรมวินัยพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องถือว่า
มันมีแล้วให้ แล้วแบ่งปัน มีแล้วการุณ มีแล้วอุปถัมภ์บำรุง แล้วเป็นที่พึ่งอาศัยทั้งตนและคนรอบข้าง อย่างนี้เค้าเรียกว่าผู้มีบารมี แต่ผู้มีบารมีในยุคปัจจุบัน มีแล้วไม่ให้ แต่แถม ยังได้ก็ดี ยังอยากได้เพิ่มพูนขึ้น จะเรียกว่า บารมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เค้าอาจจะไปสร้างบารมีในเรื่องอื่นๆ ก็ได้ เราก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเค้า
แสดงว่าอำนาจบารมี หรือบารมีอำนาจที่สง่างามยังไม่เคยเห็น มันเห็นแบบประมาณว่าที่พัฒนามาจากธุลีดินจนกลายเป็นภูเขามหึมายังไม่เคยเห็น มีแจ่อยู่ดีๆ ก็มาปั้นเป็นลูกหินแม้แต่กระบวนการสร้างบารมีที่เค้าเรียกว่า ศรัทธา เราคงไม่ปฏิเสธในความเป็นจริงว่า มันก็มีกระบวนการลงทุนนะ เหมือนอย่างที่มีข้อมูลในฐานะที่ชั้นเคยเป็นนักปกครองเก่าแล้วเป็นเจ้าคณะปกครองเก่า ทำให้เราได้รู้ตื้นลึกหนาบางของวัดวาอารามและคณะสงฆ์ เค้าก็ยังมีการสร้างโปรโมทตัวเอง ลงทุนจ้างสื่อ ลงทุนจ้างเซลล์ ทำการตลาดเพื่ออะไร ก็เพื่อสร้างอำนาจ สร้างการต่อรอง สร้างบารมีก็แล้วแต่เค้าจะเรียก บางวัดนี่เค้าลงทุนเป็นหลายๆ แสนบาท จ้างนักบริหารจัดการเรื่องโปรโมชั่นตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ แล้วก็เรียกตัวเองว่า เป็นผู้วิเศษ เค้ามีเยอะแยะ
เพราะฉะนั้น ชั้นถึงได้บอกว่า ชั้นยังไม่เคยเห็นกับคำว่า อำนาจบารมีบริสุทธิ์ อำนาจที่มันสง่างาม ยังไม่เคยเห็น เราจะเห็นว่ามันมีอะไรที่มันต้องแลกได้แลกเสียอยู่เนืองๆตลอดเวลา แม้แต่วัดชั้นเองก็เหมือนกัน คุณรู้จักชั้นก็เพราะชั้นลงทุน
คุณมนัส กำลังจะถาม
หลวงปู่ ใช่ เพราะชั้นต้องลงทุนอะไร ลงทุนก็คือ ต้องจ่ายค่า ไม่ใช่โฆษณาตัวเองนะ แต่จ่ายค่าเผยแพร่ธรรม ผลิตรายการธรรมะ คุณรู้ไม๊ เดือนนึง 300,000 กว่า แล้วจ่ายมา ถามว่าปีสองปีเหรอ เป็นสิบปี แล้วคุณรู้จักชั้นมาทางสื่อโทรทัศน์มากี่ปีแล้ว มันก็ต้องมีกระบวนการลงทุน แต่เผอิญวิธีการลงทุนของชั้น ไม่ใช่ลงทุนเพื่อโปรโมทตัวเอง แต่เป็นการลงทุนเพื่อจะให้คนทั้งหลายได้เข้าถึงพุทธิปัญญา พุทธธรรม เข้าถึงสภาวะธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่ลงทุนเพื่อจะโปรโมทตัวเอง หรือโปรโมชั่นตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของใคร
ถ้าจะลงทุนแล้วมีคนสามารถที่จะแสดงธรรม แสดงปัญญาให้คนฟังแล้วรู้เรื่อง รู้จัก เข้าใจ วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นได้ ก็ยินดีที่จะทำอย่างนั้น เพราะมีความรู้สึกว่า นี่คือ วิธีหนึ่งที่จะเอาธรรมะเข้าไปสู่เรือน สู่ครัวเรือนของพุทธบริษัท ของศาสนิกชน ของคนที่ควรต่อการจะได้รับรู้ และซึมซับสัมผัส แล้วก็เสพสิ่งที่มันเป็นกุศล และความงดงามของจิตวิญญาณให้มันมีความก่ำกึ่ง คู่คี่กับการเสพสิ่งที่เป็นอกุศล และความเลวทรามของจิตวิญญาณ เพื่อมันจะได้balance กันในการดำรงอยู่ ทำ พูด คิด ก็จะได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ หรือเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเกินไป
เพราะงั้นชั้นเองก็ยังตะขิดตะขวงใจว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี่ย จะแสดง เวลาจะสื่อออกไป มันจะต้องลงทุนนะ คุณรู้จักฟังธรรมะตามสื่อโทรทัศน์ ค่าจัดผลิตรายการ เดือนนึงไม่ใช่ถูกๆ นะคุณ ไม่ใช่ถูกๆ ก็บอกแล้วเดือนนึง 300,000 กว่าบาท เพราะงั้นมันก็เป็นอะไรที่รู้สึกว่า เอ้ เราไม่ได้อยากโปรโมทตัวเอง แต่เราอยากให้คนฟังธรรม แต่วิธีแสดงธรรมนั้น มันก็ไม่พ้นที่จะต้องเอาตัวเองเข้าไป เข้าไปเพื่อแสดง เป็นไปได้ไม๊ที่จะให้ผนังกำแพงแสดงธรรม เสาไฟฟ้าแสดงธรรม ให้ต้นไม้แสดงธรรม เราก็พยายามที่จะทำ แต่มันก็ไม่วายต้องลงทุนอยู่ดี เขียนพุทธพจน์ไปติดเสาไฟฟ้า ใช้ตังไม๊ ใช้คุณ ชั้นเคยเขียนไว้ อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตามเสาไฟฟ้าของอำเภอกำแพงแสน ติดวันนี้ พรุ่งนี้มันถอด เอ้า เราก็ไม่เบื่อที่จะติด สมัยอบรมพระกรรมฐาน ชั้นลงทุนไป 500,000 กว่าบาท ให้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เป็นคำสอนสั้นๆ ที่ได้ใจความ เช่น เพชรแท้ๆ ไม่กลัวการเจียรไน ทองแท้ๆ ไม่กลัวการเผาไฟ เหล็กแท้ๆ ไม่กลัวการทุบตี คนดีแท้ๆ ไม่กลัวการพิสูจน์ แล้วเอาไปติดตามกำแพงวัด ติดเดี๋ยวมันก็มาฉีกทิ้งอะไรอย่างนี้ ลงทุน
เพราะฉะนั้นมันเป็นอะไรที่มันแม้เราพยายามที่จะยัดเยียดพุทธธรรม
ชั้นไม่ได้หวังหรอกว่า คนจะอ่านร้อย แค่หนึ่งในร้อยได้อ่านได้ศึกษา แล้วก็ได้ทำมันจริงๆ จังๆ มันก็กำไรเกินคุ้มแล้ว ชั้นหวังแค่นั้นแหละ เพราะงั้น ชั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันจะไม่สง่างาม เพราะว่าถ้าจะสง่างามจริงๆ มันต้องไม่ลงทุนอะไรเลย แล้วถึงเวลาผู้มีศรัทธาก็มาแสวงหาพุทธธรรม แล้วก็ถึงเวลา เราก็แสดงธรรม แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ สมัยนี้ก็ยิ่งไม่ได้ มันจำเป็นจะต้องลงทุน
เผอิญชั้นเป็นคนที่ไม่เคยขาดทุน มีแต่ชั่วชีวิตมีกำไรตลอด เพราะทุกวันนี้ก็กำไรลมหายใจ กำไรอายุขัย กำไรความรู้ กำไรสติปัญญา เพราะออกจากท้องแม่นี่ ชั้นไม่ใช่ตัวเท่านี้ ถึงวันนี้ชั้นก็กำไรตั้งเยอะแล้ว แล้วก็กำไรอายุขัย แถมกำไรหนังเหี่ยวๆ เพิ่ม ตามันฟางเพิ่ม สิ่งเหล่านี้มันกำไรทั้งนั้น กำไรที่เราต้องบริหารมันให้เกิดกำไร มากมูลมากขึ้น หรือเพิ่มพูนให้เยอะขึ้น ชีวิตชั้นก็เลยเป็นคนไม่มีขาดทุน มีแต่กำไร เพราะกำไรน้ำหนัก เพราะเดี๋ยวสักครู่ เดี๋ยวหลวงปู่ต้องฉันเพล นี่ก็กำไรอีกแล้ว
นี่จะหมดเวลาแล้วเหรอ ไม่เป็นไร ยังได้เวลาอีก 10 นาที
คุณมนัส ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้นเราพอจะแยกในเบื้ยงต้นออกได้เป็น 2 อำนาจ คือ
2 อำนาจทางธรรม
ทุกคนจำเป็นเสมอไปไม๊ว่า ต้องเข้าสู่อำนาจทางธรรมเป็น % หรือสัดส่วนมากกว่าอำนาจทางโลก
หลวงปู่ ผู้มีอำนาจทางโลกมันจะเมา จะมัวเมา จะประมาท แล้วก็จะลืมตัว จะขาดสติ ผู้มีอำนาจทางธรรมจะสงบเป็นสุขสบาย และผ่อนคลาย มันจะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่แสวงหาอำนาจทางโลกแล้วปฏิเสธอำนาจทางธรรม สุดท้ายเค้าก็จะตายเพราะแสวงหาอำนาจของตัวเอง แล้วก็ถึงคำว่า วิบัติ ฉิบหาย เพราะอำนาจของตัวเองซึ่งเราก็มีต้นแบบเยอะแยะมากมายให้เห็นกับคนที่เมาอำนาจ บ้าอำนาจ แสวงหาอำนาจแล้วก็ต้องการอำนาจ ยื้อแย่งอำนาจ แล้วสุดท้ายก็ตายเพราะอำนาจ วิบัติฉิบหาย เพราะอำนาจที่ตนแสวงหา และยื้อแย่งต้องการมา แต่ในมุมกลับกัน
อำนาจทางธรรม ผู้ที่มีอำนาจทางธรรม ยิ่งมีก็ยิ่งสงบเย็น ยิ่งมีก็ยิ่งมีความสุขสมบูรณ์ ยิ่งมีก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อคนชนทั้งหลาย เพราะอำนาจทางธรรมไม่มีข้อเสียหายกับผู้เป็นเจ้าของอำนาจนั้นๆ แต่อำนาจทางโลก เมื่อเกิดกับใคร และปฏิเสธอำนาจในทางธรรมทันทีทันใด ก็แสดงว่า ต้องให้มองไว้ให้ได้เลย เอาปูนหมายหัวไว้แล้วต้องคิดกาหัวไว้ว่า ต้องฉิบหายเพราะอำนาจที่เค้ามี เพราะเค้าจะบริหารจัดการความอยากและอำนาจที่มีไม่ได้ดีเท่าที่ควร แล้วสุดท้ายก็โดยอำนาจเข้ามาประหัตประหารตัวเอง แล้วก็ต้องตายเพราะอำนาจของตัวเอง